โลก 2 ด้าน ในการลงทุนตลาดหุ้นไทย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
โลก 2 ด้าน ในการลงทุนตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 1
สำหรับผมแล้ว รู้สึกว่า ตลาดหุ้น มีโลกอยู่สองด้าน ด้านหนึ่ง เป็นคนที่ชอบเล่นสั้น อีกด้านเป็นคนที่ชอบเล่นยาว
ทั้งคู่ต้องการกำไร และรังเกียจ การขาดทุน
ทั้งสองด้านทำให้เกิดหุ้นสองแบบ ที่ผมวัดตามวอลลุ่ม คือ หุ้นที่มีคนชอบเล่นยาวเข้าไปถือ ก็จะไม่มีวอลลุ่ม ในขณะหุ้นที่คนชอบเล่นสั้นเข้าไปถือก็จะมีวอลลุ่ม
ในตลาดหุ้นมีหุ้น 400 ตัว มีหุ้นที่มีวอลลุ่มเกิน 20 ล้านบาทต่อวัน กีตัว มีหุ้นที่เกิน 10 ล้านบาทต่อวันกีตัว
หุ้นที่มีวอลลุ่มต่ำกว่า 10 ล้านบาท ผมอยากจะสรุปว่าเหมาะกับนักเล่นยาว ใจเย็น ไม่ชอบความเสี่ยง และไม่มีเวลาในการติดตามราคา ไม่ชอบเห็นราคาขึ้นมากๆลงมากๆ แต่ชอบเห็นราคาค่อยๆขึ้น ขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นช้าๆ ไม่เป็นไร แต่อยากให้ค่อยๆขึ้น โดยอาศัยพื้นฐานของหุ้น ในด้านยอดขาย รายได้ กำไร เป็นหลัก ถึงแม้หุ้นขึ้นไปมากๆก็ไม่อยากจะขาย เพราะพอใจในผลประกอบการณ์ พอใจในปันผล พอใจในความรู้สึกว่ารวยขึ้น เพราะหุ้นที่ถืออยู่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ส่วนหุ้นที่มีวอลลุ่ม เกิน 10 ล้านบาท ก็เหมาะกับนักเล่นสั้น ที่ชอบเห็นราคาขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะถ้ามันขึ้นมาเร็วมากๆ ก็จะได้ขาย เมื่อมีการขายออกมามากๆ ราคามันก็จะลงมามากๆ สุดท้ายเมื่อราคามันลงมามากๆ ก็จะได้เข้าซื้อ คือ สามารถเล่นเป็นรอบๆได้ โดยอาศัยเทคนิค อาศัยจิตวิทยามวลชน เป็นต้น
สำหรับคนที่อารมณ์ร้อน ถือหุ้นได้ไม่นาน และอยากจะเห็นกำไรอย่างรวดเร็ว ผมว่าเหมาะกับการเล่นสั้น ต้องเลือกซื้อหุ้นในจังหวะที่ราคาต่ำเพื่อขายในจังหวะที่ราคาสูง
สนุกสนาน มีลุ้น มีความมันส์ ความถ้าทาย
ส่วนคนที่ใจเย็น ถือหุ้นได้นานมาก ถือหลายปีก็เฉยๆ คงต้องเลือกหุ้นที่ผลประกอบการดีมาก่อน แล้วถือตราบเท่าที่พื้นฐานยังไม่เปลี่ยน
..........................................................................................
ไม่น่าเชื่อที่คนเล่นหุ้น 2 แบบ ในหุ้น 2 สไตล์ ก็เข้ามาคุยกัน ทั้งๆที่ พื้นฐานความคิดในการเลือกหุ้น การถือหุ้น การขายหุ้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
.....................................................................................................
กรุณาอย่างเถียงกันนะครับ ว่าใครได้กำไรมากกว่ากัน ผมลบทันที ไม่ปราณีนะครับ
ก็แค่อยากจะแสดงความเห็นว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า หุ้นที่มีวอลลุ่มน้อยๆ นี่มักจะเป็นหุ้นแนวเล่นยาว ส่วนหุ้นที่มีวอลลุ่มมากๆ นี่น่าจะเป็นหุ้นแนวเล่นสั้น
ทั้งคู่ต้องการกำไร และรังเกียจ การขาดทุน
ทั้งสองด้านทำให้เกิดหุ้นสองแบบ ที่ผมวัดตามวอลลุ่ม คือ หุ้นที่มีคนชอบเล่นยาวเข้าไปถือ ก็จะไม่มีวอลลุ่ม ในขณะหุ้นที่คนชอบเล่นสั้นเข้าไปถือก็จะมีวอลลุ่ม
ในตลาดหุ้นมีหุ้น 400 ตัว มีหุ้นที่มีวอลลุ่มเกิน 20 ล้านบาทต่อวัน กีตัว มีหุ้นที่เกิน 10 ล้านบาทต่อวันกีตัว
หุ้นที่มีวอลลุ่มต่ำกว่า 10 ล้านบาท ผมอยากจะสรุปว่าเหมาะกับนักเล่นยาว ใจเย็น ไม่ชอบความเสี่ยง และไม่มีเวลาในการติดตามราคา ไม่ชอบเห็นราคาขึ้นมากๆลงมากๆ แต่ชอบเห็นราคาค่อยๆขึ้น ขึ้นไปเรื่อยๆ ขึ้นช้าๆ ไม่เป็นไร แต่อยากให้ค่อยๆขึ้น โดยอาศัยพื้นฐานของหุ้น ในด้านยอดขาย รายได้ กำไร เป็นหลัก ถึงแม้หุ้นขึ้นไปมากๆก็ไม่อยากจะขาย เพราะพอใจในผลประกอบการณ์ พอใจในปันผล พอใจในความรู้สึกว่ารวยขึ้น เพราะหุ้นที่ถืออยู่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น
ส่วนหุ้นที่มีวอลลุ่ม เกิน 10 ล้านบาท ก็เหมาะกับนักเล่นสั้น ที่ชอบเห็นราคาขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะถ้ามันขึ้นมาเร็วมากๆ ก็จะได้ขาย เมื่อมีการขายออกมามากๆ ราคามันก็จะลงมามากๆ สุดท้ายเมื่อราคามันลงมามากๆ ก็จะได้เข้าซื้อ คือ สามารถเล่นเป็นรอบๆได้ โดยอาศัยเทคนิค อาศัยจิตวิทยามวลชน เป็นต้น
สำหรับคนที่อารมณ์ร้อน ถือหุ้นได้ไม่นาน และอยากจะเห็นกำไรอย่างรวดเร็ว ผมว่าเหมาะกับการเล่นสั้น ต้องเลือกซื้อหุ้นในจังหวะที่ราคาต่ำเพื่อขายในจังหวะที่ราคาสูง
สนุกสนาน มีลุ้น มีความมันส์ ความถ้าทาย
ส่วนคนที่ใจเย็น ถือหุ้นได้นานมาก ถือหลายปีก็เฉยๆ คงต้องเลือกหุ้นที่ผลประกอบการดีมาก่อน แล้วถือตราบเท่าที่พื้นฐานยังไม่เปลี่ยน
..........................................................................................
ไม่น่าเชื่อที่คนเล่นหุ้น 2 แบบ ในหุ้น 2 สไตล์ ก็เข้ามาคุยกัน ทั้งๆที่ พื้นฐานความคิดในการเลือกหุ้น การถือหุ้น การขายหุ้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
.....................................................................................................
กรุณาอย่างเถียงกันนะครับ ว่าใครได้กำไรมากกว่ากัน ผมลบทันที ไม่ปราณีนะครับ
ก็แค่อยากจะแสดงความเห็นว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่า หุ้นที่มีวอลลุ่มน้อยๆ นี่มักจะเป็นหุ้นแนวเล่นยาว ส่วนหุ้นที่มีวอลลุ่มมากๆ นี่น่าจะเป็นหุ้นแนวเล่นสั้น
- คัดท้าย
- Verified User
- โพสต์: 2917
- ผู้ติดตาม: 0
โลก 2 ด้าน ในการลงทุนตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 2
สำหรับผม จริงๆผมเชื่อแนวทางทั้ง VS และ VI ครับ ผมเชื่อและชอบทั้งคู่ แต่ผมคิดว่าปัจจัยที่ผมจะเลือกเป็นนั้นขึ้นกับเวลาและสถานะการณ์ครับ
(ผมว่าผมคล้ายๆท่านพี่ FE เรื่องนี้นะ)
ผมเองไม่เลือก VI ตอนนี้ เพราะผมมองในตลาดแล้วไม่มีหุ้นตัวไหนที่ถูกและดีพอที่ผมจะซื้อแล้วถือแบบ VI เลยครับ ในเวลานี้ผมเลยเป็น VS ครับ
เสียดายที่ผมไม่ได้รู้จักแนวการลงทุนแบบ VI ตั้งแต่สมัย SET ยังต่ำกว่า 400-500
(ผมว่าผมคล้ายๆท่านพี่ FE เรื่องนี้นะ)
ผมเองไม่เลือก VI ตอนนี้ เพราะผมมองในตลาดแล้วไม่มีหุ้นตัวไหนที่ถูกและดีพอที่ผมจะซื้อแล้วถือแบบ VI เลยครับ ในเวลานี้ผมเลยเป็น VS ครับ
เสียดายที่ผมไม่ได้รู้จักแนวการลงทุนแบบ VI ตั้งแต่สมัย SET ยังต่ำกว่า 400-500
แก้ไขล่าสุดโดย คัดท้าย เมื่อ อาทิตย์ พ.ค. 02, 2004 11:39 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
The crowd, the world, and sometimes even the grave, step aside for the man who knows where he's going, but pushes the aimless drifter aside. -- Ancient Roman Saying
-
- Verified User
- โพสต์: 2509
- ผู้ติดตาม: 0
โลก 2 ด้าน ในการลงทุนตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 4
มาขอแฝงตัวด้วยคนครับพี่ ฮ่า.. ฮ่า...
-
- ผู้ติดตาม: 0
โลก 2 ด้าน ในการลงทุนตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 5
ส่วนผมนั้นแอบครับ ลักปิดลักเปิด เดี๋ยวก็เป็น VI เดี๋ยวก็เป็น VS เหอๆ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
โลก 2 ด้าน ในการลงทุนตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 6
ผมขอเป็น VX ไอ้มดแดง X วีห้า ครับ (จำมาจากลูกชาย)
อยากให้เค้าทำสถิติถึงอัตราผลตอบแทนของหุ้นที่มี volume น้อยกับเยอะเทียบกันเหมือนกันนะครับ
แต่เคยอ่านเจอว่ามีท่านนึงถือหุ้นปูนซีเมนต์ไทยนานหลาย 10 ปีทีเดียวซึ่งได้กำไรเฉลี่ยแล้วต่อปี (คิดแบบทบต้น) ก็ได้เกือบ 20 เปอร์เซนต์ทีเดียวนะครับ
สรุปว่าหุ้นที่มี volume ก็ถือยาวได้ถ้าเราจะไม่สนใจ Mr. Market แล้วดูแค่ผลประกอบการอย่างเดียว
แล้วใจแข็งพออะเปล่าอะดิ นี่แหละปัญหาของหุ้น volume เยอะ 8)
อยากให้เค้าทำสถิติถึงอัตราผลตอบแทนของหุ้นที่มี volume น้อยกับเยอะเทียบกันเหมือนกันนะครับ
แต่เคยอ่านเจอว่ามีท่านนึงถือหุ้นปูนซีเมนต์ไทยนานหลาย 10 ปีทีเดียวซึ่งได้กำไรเฉลี่ยแล้วต่อปี (คิดแบบทบต้น) ก็ได้เกือบ 20 เปอร์เซนต์ทีเดียวนะครับ
สรุปว่าหุ้นที่มี volume ก็ถือยาวได้ถ้าเราจะไม่สนใจ Mr. Market แล้วดูแค่ผลประกอบการอย่างเดียว
แล้วใจแข็งพออะเปล่าอะดิ นี่แหละปัญหาของหุ้น volume เยอะ 8)
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
โลก 2 ด้าน ในการลงทุนตลาดหุ้นไทย
โพสต์ที่ 7
ผมมองสองด้านในตลาดหุ้น ในอีกมิติหนึ่งคือ วงนอกและวงใน
วงนอก หาวิธีสารพัด ทั้งวิเคราะห์พื้นฐาน วิเคราะห์เทคนิค คัดเลือกหุ้นให้ดีที่สุด ..แต่สุดท้ายก็ซื้อขายให้ได้กำไร (หรือขาดทุน)
วงใน ใช้วิธีสารพัด เพื่อได้เงินจากคนวงนอก เช่นระดมเงินต้นทุนต่ำๆ..ทำผลประกอบการณ์ให้ดี (คนก็แห่มาไล่ซื้อหุ้น) ...ไปจนถึงทำสัญญาณเทคนิคให้น่าซื้อ(คนก็แห่มาไล่ซื้อหุ้นเหมือนกัน) จะได้รอขายแพงๆ
ผมชอบแนวคิดของหลายๆท่านเป็นอย่างมาก เป็นคนวงนอกที่คิดแบบคนวงในเป็น ทำให้ท่านเหล่านั้นเอาชนะคนวงนอกด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ
วงนอก หาวิธีสารพัด ทั้งวิเคราะห์พื้นฐาน วิเคราะห์เทคนิค คัดเลือกหุ้นให้ดีที่สุด ..แต่สุดท้ายก็ซื้อขายให้ได้กำไร (หรือขาดทุน)
วงใน ใช้วิธีสารพัด เพื่อได้เงินจากคนวงนอก เช่นระดมเงินต้นทุนต่ำๆ..ทำผลประกอบการณ์ให้ดี (คนก็แห่มาไล่ซื้อหุ้น) ...ไปจนถึงทำสัญญาณเทคนิคให้น่าซื้อ(คนก็แห่มาไล่ซื้อหุ้นเหมือนกัน) จะได้รอขายแพงๆ
ผมชอบแนวคิดของหลายๆท่านเป็นอย่างมาก เป็นคนวงนอกที่คิดแบบคนวงในเป็น ทำให้ท่านเหล่านั้นเอาชนะคนวงนอกด้วยกันได้อย่างสม่ำเสมอ
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร