9 บริษัทหุ้นกลุ้มอสังหาฯ โชวผลงานปี 52 โต 35.07% กำไรพุ่งรวม 1.52 หมื่นลบ. จาก1.13 หมื่นลบ.ในปีก่อน RASA กำไรเจ๋งสุดเพิ่มขึ้น 1,235.69 % ส่วน ESTAR กำไรน้อยสุด -79.82% โบรกฯ ชี้ กำไรปี52 โตตามคาด แต่ปี 53 ผลงานอาจโตลดลง หลังรัฐเลิกมาตราการอุ้มอสังหาฯ บล.ทิสโก้ ชู LPN, AP และ LH เป็น Top pick ของกลุ่ม
ทยอยประกาศผลประกอบการ ปี 2552 ออกมาแล้วสำหรับหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ทั้งนี้จากการสำรวจผลประกอบการกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 9 บริษัท พบว่า ในปี 2552 มีกำไรรวม 15,228.19 ล้านบาท จากปี 2551 ที่มีกำไรรวม 11,365.79ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,862.4 ล้านบาท หรือเติบโต 33.98 % ซึ่งบริษัทที่มีกำไรเติบโตสูงสุดได้แก่ RASA ที่ปี 2552 มีกำไร 73.73 ล้านบาท จากปี 2551 ที่มีกำไร 5.52 ล้านบาท เปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 68.21 ล้านบาท หรือเติบโต 1,235.69 % ส่วนบริษัทหลักทรัพย์ที่มีกำไรน้อยสุด ได้แก่ ESTAR โดยปี 2552 มีกำไร 21.64 ล้านบาท ลดลง 85.61 ล้านบาท จากปี 2551 ที่มีกำไร 107.25 ล้านบาท หรือ-79.82%
* เซียนหุ้น ชี้ กำไรปี52 กลุ่มอสังหาฯ โตตามคาด แต่ปี 53 อาจลดลงหลังรัฐเลิกมาตราการอุ้มอสังหาฯ
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บล.คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด จำกัด กล่าวว่าผลประกอบการของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่ออกมาในปี 52 ถือว่าใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้ แต่เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้ปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงทำให้เมื่อผลประกอบการประกาศออกมาราคาหุ้นจึงไม่ค่อยตอบรับข่าวดีเท่าไหร่
ทั้งนี้จากการรวบรวมข้อมูลกลุ่มอสังหาฯเบื่องต้นคาดว่าในปี 52 กำไรเติบโตสูงถึง 20% จากปี51 เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากมาตการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล
สำหรับปี 53 คาดการณ์กำไรจะเติบโตในอัตราที่ลดลง โดยคาดเติบโตเพียง 5% เนื่องจากรัฐบาลตัดสินใจไม่ต่ออายุมาตการ ขณะที่ราคาขายบ้านที่ปรับขึ้นก็จะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
อย่างไรก็ดีแม้ว่ามองแนวโน้มปี 53 กำไรจะเติบโตในอัตราที่ลดลง แต่ยังคงมองหลักทรัพย์ 4 หลักทรัพย์หลักที่น่าสนใจจากประวัตการณ์จ่ายเงินปันผลที่ดีมาตลอด โดย SPALI มีความโดดเด่นสุดในกลุ่มเนื่องจาก 3 ปีที่ผ่านมาได้จ่ายปันผลในอตราที่สูงสม่ำเสมอ ทั้งนี้คาดการณ์ในปี 53 บริษัทจะจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า 10% ขณะที่ PE อยู่ที่ 5 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตลาดรวมอยู่ที่ 8-10 เท่า แนะนำซื้อลงทุน ราคาเหมาะสม 8.00บาท
ขณะที่รองลงมาเลือก AP โดยลักษณะใกล้เคียงกันคือคาดการณ์ปันผลในปี 53 สูงถึง 6% PE เพียง 7 เท่า แนะนำซื้อลงทุน ราคาเหมาะสม 7.00 บาท เช่นเดียวกับ LPN กับ NOBLE ที่คาดการณ์ว่าจะจ่ายปันผลในระดับสูง แนะนำซื้อ โดย LPN ราคาเหมาะสม 10.00 บาท และ NOBLE ราคาเหมาะสม 6.00 บาท
* กูรูหุ้น คาด ปี 53 กลุ่มอสังหาฯกำไรประมาณ 8% ชี้ การเมือง - ดอกเบี้ย ปัจจัยเสี่ยง
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส เปิดเผยว่า จากกรณีการประกาศผลประกอบการไตรมาส 4/52 ของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ โดยในภาพรวมถือว่าผลออกมาดีกว่าที่ได้ประมาณการณ์ไว้ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่ได้ประกาศใช้ในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ประชาชนซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น
สำหรับแนวโน้มหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2553 ประเมินว่าจะขยายตัวได้ดีขึ้น โดยคาดว่ากำไรสุทธิโดยรวมของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กลุ่มอสังหาฯจะขยายตัวประมาณ 8% ซึ่งเป็นการขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น และได้รับอานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของภาครัฐ แต่ทั้งนี้ กรณีที่รัฐบาลได้สั่งให้ยกเลิกมาตรการดังกล่าว โดยจะสิ้นสุดอายุลงวันที่ 28 มีนาคม 2553 ซึ่งจ ะส่งผลดีต่อผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรก /2553 เพราะประชาชนเร่งโอนที่อยู่อาศัยก่อนที่มาตรการจะหมดอายุลง แต่อย่างไรก็ดี จะเกิดการชะงักในช่วงไตรมาส 2/53 และหลังจากนั้นการซื้อขายที่อยู่อาศัยของภาคอสังหาฯจะเข้าสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้ ด้านปัจจัยเสี่ยงที่จะเข้ามากระทบต่อธุรกิจภาคอสังหาฯนั้น ได้แก่ การปรับอัตราดอกเบี้ย MLR ในช่วงปีนี้ รวมถึงปัจจัยการเมือง โดยเฉพาะเคลื่อนไหวของกลุ่มชุมนุม นปช. หากเกิดเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้น เพราะจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ
ส่วนหุ้นกลุ่มอสังหาฯที่น่าสนใจในปีนี้ ดีบีเอสฯ แนะนำ PS QH SPALI และLPN โดยหุ้น PS(ราคาเป้าหมาย 22 บาท) QH (ราคาเป้าหมาย 3.05 บาท) จะมีแนวโน้มผลประกอบการในช่วงปี 2553 จะขยายตัวได้โดดเด่นกว่าตัวอื่น ส่วนด้านหุ้น SPALI (ราคาเป้าหมาย 7.65บาท) LPN (ราคาเป้าหมาย 8.48 บาท) จะมีค่าP/E ที่ต่ำและการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นที่สูง
* เอเชียพลัส ชี้ SPALI-SC-SENA-LPN ปันผลสูง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เอเชียพลัส กล่าวว่า หลังจากภาครัฐไม่ต่อมาตรการกระตุ้นภาคอสังหริมทรัพย์
จะส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ให้ซบเซาในช่วงประมาณ 2-3 เดือน เนื่องจากประเด็นดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำกำไรของกลุ่มอสังหาฯ โดยในช่วงที่มีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ อัตราการทำกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 15% แต่หลังจากภาครัฐไม่ต่อมาตรการกระตุ้นอสังหาฯแล้ว คาดว่าอาจจะกระทบต่อ Net Profit Margin ประมาณ 2-3% ส่งผลให้ Net Profit Marginอยู่ที่ 13-14% ซึ่งกำไรของกลุ่มอสังหาฯที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนซึ่งหากนักลงทุนสนใจลงทุนหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ แนะนำให้เลือกหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงเป็นหลัก อาทิ SPALI-SC-SENA-LPN
*RASA แจงกำไรปี52 พุ่ง หลังรับรู้รายได้โอนกรรมสิทธิ์ บ้านพร้อมที่ดินเพิ่มขึ้น - ต้นทุนการเงินลดลง
นางสาวอัจฉราพร ศิริไพรวัน กรรมการ บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (RASA) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานสำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 และ 2551 ซึ่งเกินร้อยละ 20 มีรายละเอียดดังนี้
บริษัทมีผลกำไรสุทธิ สำหรับปี สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 จำนวน 73.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปีก่อน จำนวน 68.22 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ
1,235.27 ซึ่งเป็นผลมาจาก
1. ในปี 2552 บริษัทมีการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ บ้านพร้อมที่ดินจำนวน 445.95 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 179.24 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 67.20 และรับรู้รายได้จากการขายหน่วยในอาคารชุดของโครงการที่พัฒนาร่วมกับผู้ร่วมทุนตามวิธีอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จ จำนวน 144.40 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 138.50 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2,350.24 การรับรู้รายได้ดังกล่าวส่งผลให้รายได้จากการขายรวม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน จำนวน 317.74 ล้านบาท หรือคิดเป็น ร้อยละ 116.56
2. ในปี 2552 มีต้นทุนทางการเงินจำนวน 1.79 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปีก่อน จำนวน 2.13 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 54.26
*ทิสโก้ ชู LPN, AP และ LH เป็น Top pick แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.6 บาท, 7.5 บาท และ 7.3 บาท ตามลำดับ
บทวิเคราะห์ บล.ทิสโก้ ระบุว่า จากการตัดสินใจของรัฐบาลที่ไม่ต่ออายุมาตรการปรับลดภาษีอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะสิ้นสุดวันที่ 28 มี.ค. 53 เรายังคงประมาณการรายได้และผลประกอบการสำหรับปี 2553F เนื่องจากประมาณการของเรานั้นได้สะท้อนการไม่ต่ออายุมาตรการดังกล่าวอยู่แล้ว เราคงน้ำหนักการลงทุน “ระดับปกติ” สำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ อิงจาก 1) การสิ้นสุดมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์สำหรับผู้ประกอบการ 2) จำนวนอุปทานใหม่ที่เพิ่มขึ้นจากผู้ประกอบการรายใหญ่ และ 3) วัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นซึ่งน่าจะเริ่มตั้งแต่ 2Q53F เป็นต้นไป
ยอดขายบ้ายรายไตรมาสน่าจะขึ้นสูงสุด (peak) ใน 1Q53F เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงความต้องการบ้านและการส่งเสริมการขายจากผู้ประกอบ การเพื่อกระตุ้นให้ผู้ซื้อโอนบ้านก่อนสิ้นสุดมาตรการทางภาษี อนึ่งรายได้จากการขายใน 4Q46 (ไตรมาสสุดท้ายก่อนสิ้นสุดมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์) เพิ่มขึ้น 45% QoQ ก่อนที่จะลดลง 52% QoQ ใน 1Q47
แม้ว่ารายได้จากการขายบ้านที่สูงสุดจะเลื่อนจาก 4Q53F มาเป็น 1Q53F แทน แต่เรายังคงรายได้จากการขายบ้านโดยรวมสำหรับปี 2553F เราคาดว่ารายได้จากการขายบ้านสำหรับบริษัทส่วนใหญ่ภายใต้การวิเคราะห์ของเราน่าจะเพิ่มขึ้น 14-15% YoY ในปี 2553F ปัจจัยหนุนมาจากอัตราการขยายตัว GDP ที่สูงขึ้นซึ่งมีความสัมพันธ์กับอัตราการเติบโตความต้องการบ้านและยอดขายที่รอรับรู้รายได้ (backlog) จากโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งจะรับรู้ในปี 2553F
การสิ้นสุดมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์น่าจะส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานสำหรับผู้ประกอบการโดยรวมลดลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น YoY เรายังคาดว่าอัตราส่วนกำไรขั้นต้นน่าจะทรงตัว YoY สำหรับหุ้นภายใต้การวิเคราะห์ของเรา โดยรวมเราคาดว่าอัตราการเติบโตผลประกอบการในปี 2553F น่าจะคงตัว YoY (+1-1.5% YoY ไม่รวมผู้ประกอบการบางรายที่มีค่าผิดปกติมาก ๆ (Outlier))
หุ้นที่เราชอบได้แก่ LPN, AP และ LH แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 8.6 บาท, 7.5 บาท และ 7.3 บาท ตามลำดับ ปัจจัยเสี่ยงมาจากช่วงเวลาการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยที่ต่ำยืดตัวออกไป, จำนวนบ้านใหม่จดทะเบียนที่ลดลง และความไม่มีเสถียรภาพทางการเมือง ส่วน upside มาจากความต้องการบ้านที่แข็งแกร่งกว่าคาด
*บัวหลวง มอง LPN ผลงานไตรมาส 4/52 แต่มีข่าวดีรออยู่ในอนาคต
บทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า กำไรไตรมาส 4/52 ตำกว่าคาด: LPN รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/52 ที่ 190 ล้านบาท ลดลง 18% YoY และลดลงมากถึง 52% QoQ ต่ำกว่าประมาณการของเราและประมาณการตลาด (ในช่วง 250-280 ล้านบาท) เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารสูงกว่าคาดมาก แต่อย่างไรก็ตาม เราคาดการณ์กำไรหลักที่ 215 ล้านบาท ลดลงเพียง 7% YoY และ 45% QoQ เนื่องจากมีการตั้งด้อยค่าที่ดินจำนวน 24 ล้านบาทสำหรับที่ดินที่สุขุมวิทซอย 24 อย่างไรก็ตามมีสิ่งที่ดีกว่าเราและตลาดคาดคือ LPN ประกาศจ่ายปันผลสำหรับครึ่งปีหลังที่ 0.34 บาทต่อหุ้น แสดงถึงอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลต่อปีเฉลี่ยที่สูงถึง 10% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 3 มี.ค.และจ่ายปันผลในวันที่ 22 เม.ย. ซึ่งการจ่ายปันผลสูงกว่าประมาณการของเราที่ 0.30 บาท (เราคาดการณ์อัตราการจ่ายปันผล 50% ในปี 2552 แต่ LPN จ่ายที่ 54%) ประเด็นหลักจากผลประกอบการ: ผลประกอบการอ่อนตัวเนื่องจาก 1) อัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ที่ 28.8% ในไตรมาส 4/52 (อัตรากำไรขั้นต้นต่ำจากโครงการลุมพินีเพลซ และลุมพินีสวีทพระราม 8) เมื่อเทียบจากอัตรากำไรขั้นต้นสูงพิเศษที่ 33.5% ในไตรมาส 3/52 (จากการปรับเพิ่มราคาขายได้มากสำหรับโครงการที่ยังขายไม่หมด โดยเฉพาะโครงการคอนโดทาวน์ บดินทร์เดชาในไตรมาส 3/52) และ 2) ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารต่อยอดขาย เพิ่มก้าวกระโดดมาอยู่ที่ 13.7% ในไตรมาส 4/52 (เป็นระดับสูงสุดในรอบหลายปี) จากเดิมที่ 7.6% ในไตรมาส 3/52 (LPN เพิ่มค่าใช้จ่ายด้านการตลาดเพื่อขายโครงการเดิมที่ยังขายไม่หมด) และการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงาน 30 ล้านบาท (เพราะบริษัทนำมาตรฐานบัญชีสากล 19 เกี่ยวกับผลประโยชน์พนักงาน มาใช้ล่วงหน้าก่อนเริ่มบังคับใช้จริงในวันที่ 1 ม.ค.2554) สังเกตว่าการโอนโครงการลุมพินีเพลซ และลุมพินีสูทพระราม 8 รวมกันคิดเป็น 61% ของรายได้ไตรมาส 4/52
แนวโน้ม: เราคาดการณ์ว่ากำไรในไตรมาส 1/53 จะอ่อนตัวลง YoY แต่แข็งแกร่ง QoQ เนื่องจากกำหนดการโอนยอดขายรอรับรู้รายได้ของคอนโดใหม่ 6 โครงการ จะเริ่มต้นในไตรมาส 2/53 เป็นต้นไป
การเปลี่ยนแปลง: แม้ว่าผลประกอบการจะน่าผิดหวังในไตรมาส 4/52 แต่เรายังคงประมาณการกำไรหลักที่ 1.5 พันล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้น 7% YoY เนื่องจากยอดขายรอรับรู้ที่ 6.8 พันล้านบาท คิดเป็น 71% ของประมาณการรายได้เราปี 2553 (68% ของประมาณการรายได้ของตลาด) ความเสี่ยงหลักต่อประมาณการของเรามาจากค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่อาจสูงกว่าคาด
คงคำแนะนำ “ซื้อ”: เราชอบ LPN เนื่องจากคาดการณ์ความแน่นอนของกำไรจะมาเร็วและดีที่สุดในกลุ่ม สำหรับผลประกอบการ 2553-2554 โดยจะได้แรงหนุนจากยอดขายที่ก้าวกระโดดจากการเปิดตัวพร้อมกัน 2 โครงการในวันที่ 20 มี.ค. ได้แก่ลุมพินี เพลซ พหล มูลค่า 3 พันล้านบาทและลุมพินี เพลซ พระราม 4 มูลค่า 1.6 พันล้านบาท ปัจจัยบวดผลักดันระยะสั้นมาจากคาดยอดจองซื้อแข็งแกร่งในเดือนมี.ค.และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดีที่ 7.5% ในปี 2553 (จ่ายปีละสองครั้ง) เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายปี 2553 ที่ 8 บาทคิดตาม PER ที่ 8 เท่า (ซึ่งคิดลด 10% จากค่า +1 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานค่าเฉลี่ยปี 2548-2551) ปัจจุบัน LPN ซื้อขายที่ PER ปี 2553 ที่ 6.8 เท่าใกล้คียงค่าฉลี่ยปี 2548-2552 ที่ 6.6 เท่า และ PBV ที่ 1.65 เท่า (เทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 1.8 เท่า)
*เคที ซีมิโก้ ให้น้ำหนักลงทุนกลุ่มอสังหาฯ “มากกว่าตลาด” ชู PS -QH เด่น
บทวิเคราะห์ บล.เคที ซีมิโก้ ระบุว่า จากรายงานผลการสำรวจล่าสุดของ AREA อุปทานใหม่ในเดือน ม.ค. 53 เพิ่มขึ้น 59%YoY และ 96%MoM เป็น 6,552 หน่วย (ประมาณ 65% มาจากผู้ประกอบการที่อยู่ใน SET) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกประเภทที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม
การเพิ่มขึ้นของอุปทานใหม่ใน ม.ค. 53 แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นผลจากฤดูกาล แต่เรายังยืนยันมุมมองที่มีต่อแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยที่คาดว่าจะเห็นการเพิ่มขึ้นของอุปทานใหม่เร่งตัวขึ้นในปี 53 (โดยเฉพาะใน 1Q53 เพื่อรับประโยชน์จากมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์) ซึ่งเป็นปกติสำหรับที่อยู่อาศัยที่อยู่ในวงจรขาขึ้น
แม้อุปทานใหม่จะเพิ่มขึ้นมากใน ม.ค. แต่ความต้องการที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้อัตราการขายเฉลี่ยยังทรงตัวในระดับดีที่ 31% ใน ม.ค. 53 (เทียบกับ 35% ในปี 52 และ 16% ใน ธ.ค. 52) โดยบ้านเดี่ยวทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม มีอัตราการขายเฉลี่ย 16%,13% และ 58% ตามลำดับ (เทียบกับ 14%, 15% และ 56% ในปี 52)
อุปทานที่อยู่อาศัยใหม่ในเดือนม.ค.ประกอบไปด้วยคอนโดมิเนียม : ทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยว สัดส่วน 39%:41%:20% แต่อัตราการขายในเดือนแรกหลังการเปิดขายโครงการสำหรับคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นเป็น 72% สะท้อนถึงอัตราการขายที่แข็งแกร่งมาก สำหรับทาวน์เฮาส์ และบ้านเดี่ยว มีอัตราการขายหลังเปิดโครงการในเดือนแรกอยู่ที่ 17% และ 11% ตามลำดับ
เรายังคงมุมมองที่เป็นบวกต่อแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในปี 53 โดยคาดว่าอุปสงค์และอุปทานจะมีความสมดุลในปี 53 ราว 6.5-6.8 หมื่นหน่วย จึงคงน้ำหนักการลงทุน “มากกว่า ตลาด” โดยเลือก PS (มูลค่าพื้นฐาน 21.50 บาท) และ QH (มูลค่าพื้นฐาน 3.20 บาท) เป็นหุ้นเด่น
ปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบเชิงลบต่อประมาณการและคำแนะนำของเราคือ (1) การเมืองในประเทศ (2) การเพิ่มขึ้นของอุปทานใหม่ หากมากเกินไปจะทำให้อัตราการขายเฉลี่ยชะลอตัว และจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อบรรยากาศการแข่งขัน
* เคที ซีมิโก้ คาด กำไรรวมกลุ่มอสังหาฯ ในปี 53 โตไม่เกิน 10% ยอดขายรวมจะโต 20%
บทวิเคระห์ บล. บล.เคที ซีมิโก้ ระบุว่า การไม่ต่ออายุมาตรการภาษีอสังหาริมทรัพย์จะมีผลกระทบเชิงลบเพียงระยะสั้น โดยเรายังคงคำแนะนำลงทุน “มากกว่าตลาด” เพราะ (1) แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยยังอยู่ในวงจรขาขึ้นตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (2) คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัยจะมีอุปสงค์และอุปทานที่สมดุลอย่างต่อเนื่องในปี 53 (3) ผู้ประกอบการที่อยู่ใน SET ยังคงได้ประโยชน์จากส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น (การเติบโตที่มากกว่าปกติ) จากการช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดของผู้ประกอบการรายเล็ก/นอก SET (4) ราคาหุ้นที่ถูกในเชิงการประเมินมูลค่า และผลตอบแทนที่สมเหตุผล บ่งชี้ว่าราคาหุ้นได้สะท้อนแนวโน้มกำไรปี 53 ที่ชะลอตัวลงจากภาระภาษีจ่ายที่เพิ่มขึ้นไปแล้ว โดยเลือก PS (มูลค่าพื้นฐาน 21.50 บาท) และ QH (มูลค่าพื้นฐาน 3.20 บาท) เป็นหุ้นเด่นเพราะมีศักยภาพการเติบโตที่โดดเด่นสุดในกลุ่ม
คณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ต่ออายุมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่จะครบกำหนดใน มี.ค. 53 (ครอบคลุมถึงการลดภาษีธุรกิจเฉพาะ เหลือ 0.1% จาก 3.3% และลดค่าจดทะเบียนการโอน และจดจำนองเหลือ 0.01%)
ผลจากการที่รัฐเลือกไม่ต่ออายุมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ เราคาดว่าจะมีผลกระทบดังนี้
1) แม้การตัดสินใจดังกล่าวอาจสร้างความผิดหวังให้แก่ตลาดบ้าง แต่จะไม่ส่งผลให้เกิดการปรับลดประมาณการกำไรของ Consensus ซึ่งเราเชื่อว่าส่วนใหญ่อยู่บนสมมติฐานมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์หมดอายุปลาย 1Q53 แล้ว
2) ในระยะสั้นมีแนวโน้มจะกระตุ้นให้เกิดความต้องการเร่งซื้อและโอนเพื่อรับประโยชน์จากมาตรการภาษี โดยจากข้อมูลในอดีตพบว่าความต้องการซื้อจะเร่งตัวขึ้น 200% ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายก่อนมาตรการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จะสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าอาจจะมีการลังเลของความต้องการซื้อและโอนบ้างโดยเฉพาะใน มี.ค.53 ทำให้ความต้องการซื้ออาจไม่เร่งตัวแรงดังเช่นในอดีต
3) หลังจากนั้นคาดว่าความต้องการซื้อและโอนจะชะลอตัวลงอย่างมีนัยหลังมาตรการสิ้นสุดลง และคาดว่าจะต้องใช้เวลาราว 2-3 เดือน กว่าธุรกิจจะเข้าสู่วงจรปกติ
ตามประมาณการของเราแบบระมัดระวังตั้งอยู่บนสมมติฐานมาตรภาษีกระตุ้น อสังหาริมทรัพย์สิ้นสุด มี.ค. 53 ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการมีภาษีจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่ผู้ประกอบการอาจส่งผ่านภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้ไป ยังผู้ซื้อได้หากอุปสงค์ในการซื้อที่อยู่อาศัยยังคงมีแนวโน้มสดใสต่อเนื่อง ตามการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้มีเพียง KTZMICO ที่คาดการณ์ว่ากำไรรวมของกลุ่มในปี 53 จะโตไม่เกิน 10% ในขณะที่คาดการณ์
ว่ายอดขายรวมจะโต 20%
*เกียรตินาคิน แนะซื้อ SPALI หลังผลงาน ปี 52แจ่ม ให้ราคาเหมาะสมปี 53 ที่ 7.75 บาท
บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ผลประกอบการ4Q52 SPALI มีกำไรสุทธิ 639 ล้านบาทเพิ่มขึ้น9%เมื่อเทียบกับรายไตรมาสแต่เพิ่มขึ้น212% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิปี52 ที่ 2,476 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 128%YoY ดีกว่าคาด3%มาจากผลประกอบการใน 4Q52 เติบโตดีกว่าที่คาด
คงแนะนำ ทยอยซื้อ” จากราคาที่เหมาะสมปี 53อยู่ที่ 7.75บาท มอง บริษัทมีประเด็นบวกจาก 1) Dividend Stock ที่มีการจ่ายปันผลต่อเนื่อง โดยคาด
สามารถจ่ายปันผลของผลประกอบการปี 52 เติบโต (บริษัทจ่ายปันผลระหว่างกาล 0.25 บาท) คาดจ่ายผลประกอบการ 2H52 ได้ที่ 0.32 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทน Div.Yield2H52 ที่-5.1%ทั้งปีจ่าย 0.57 บาท 2) บริษัทมี Backlog ในมือทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 2-3ปีอยู่ที่ 16,801ล้านบาท
คาดผลประกอบการ4Q52มีกำไรสุทธิ 639 ล้านบาท (+9%เมื่อเทียบกับรายไตรมาสและเพิ่มขึ้น212% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้ที่เพิ่มขึ้น
บริษัทจะมีรายได้จากการขายและบริการ 2,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20%QoQ และ 70%YoY โดยมีโครงการหลักที่รับรู้รายได้มาจาก City Home รัชดา-ปิ่นเกล้า 550ล้านบาท โครงการ ปาร์ค ศรีนครินทร์ 250ล้านบาท และโครงการ Casa Riva Vista II 200ล้านบาท และอีก ประมาณ50%ของยอดโอนมาจากแนวราบอัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงเป็น41.4%เทียบกับ3Q52 ที่43.4% แต่ปรับดีขึ้นเมื่อเทียบกับ4Q51 ที่ 37.5% ส่วนหนึ่งมาจากที่บริษัทมีการตัดปิดโครงการแนวราบบางแห่งเพื่อปิดโครงการทำให้มีการลดราคาขายลง รวมถึงการรับรู้รายได้โครงการ Vista II ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นเพียง 36-37%
สำหรับผลประกอบการปี52 มีกำไรสุทธิ 2,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128% YoY มาจากรายได้จากการขาย และบริการ 9,618 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 56%YoY โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น43.4% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี51 ที่39% เนื่องจากบริษัท มีการรับรู้รายได้โครงการคอนโดมีเนียม ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง (มากกว่า40%)
ทั้งนี้ บริษัทมีภาระดอกเบี้ยจ่ายที่ปรับลดอยู่ที 92 ล้านบาทลดลง 9%YoY สอดคล้องกับสัดส่วน D/E ที่ลดลงเป็น 0.94 เท่า จากเดิมที่ 1.55เท่า
ในปี52 บริษัทสามารถทำยอดขาย(มีสัญญา) ดีกว่าคาดพอควรที่12,166ล้านบาทเพิ่มขึ้น 22% จากเป้าหมายเดิมที่ว่าวไว้ 10,000ล้านบาท ทั้งนี้มาจากใน 4Q52 บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มียอดขายต่อเนื่องจากแนวราบใน3Q52 แนะใน4Q52 จากแนวสูง ที่ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี เช่น โครงการศุภาลัยปาร์ค อโศก-รัชดา ที่ทำยอดขายได้100% จากมูลค่าโครงการรวมที่ 1,420ล้านบาท โครงการศุภาลัยปาร์ค อโศก-รัชดา รัชโยธิน ที่มียอดขายกว่า 80% จากมูลค่าโครงการรวม 2,290ล้านบาท ฯลฯ รวมถึงแนวราบที่ใน4Q52 มียอดขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประมาณ 40% ของยอดขายเดิม ทำให้มียอดขายใน4Q52 ทำได้โดยรวม 4,897ล้านบาท
สำหรับในปี53 ผู้บริหารตั้งเป้ายอดขายทั้งปีไว้ที่ 15,000ล้านบาท โดยมองการเติบโตจะมีมากกว่าปี52 จากแรงซื้อจากความต้องการซื้อบ้านจะเริ่มกลับมา ที่มาจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวพร้อมกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภค 2)สินค้าในตลาดจากผู้ประกอบการรายเล็กยังเติบโตไม่มาก ทำให้มองว่าเป็นโอกาสของบริษัทที่มีโครงการมือพร้อมขายเติบโตต่อเนื่องโดยมีสินค้าพร้อมขายในมือปัจจุบันที่ 14,464ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 8,242ล้านบาทหรือคิดเป็น 57% และแนวสูง 6,222 ล้านบาท หรือคิดเป็น 43% 3) จากโครงการใหม่ที่บริษัทเตรียมเปิดส่วนหนึ่งมาจากแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 15 โครงการมูลค่าโดยรวม 16,940ล้านบาท บริษัทมีงานในมือ (Backlog )อยู่ที่ 16,801ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 2-3ปีบริษัทมีงานในมือเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี52 บริษัท มีงานในมือเพิ่มสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมาอยู่ที่ 16,801ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปี 53 ที่ 7,505ล้านบาท ปี54 ที่5,790 ล้านบาท และปี53 ที่ 3,506 ล้านบาท
โครงการที่เปิดตัวใหม่ในปี 53 ( แบ่งเป็น Location) จำนวน 16โครงการ มูลค่าโดยรวม 16,940ล้านบาท
บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการต่อเนื่องในปี 53 จำนวน 16 โครงการ มูลค่าโดยรวมกว่า 16,940ล้านบาท เมื่อแบ่งเป็นประเภทสินค้า ตามมูลค่าเงินลงทุน จะเป็นประเภทคอนโดมีเนียมมากที่สุดคือ 6,980ล้านบาท หรือคิดเป็น 41%ของมูลค่าโครงการโดยรวม ในขณะที่ แนวราบซึ่งเป็นสินค้าบ้านเดี่ยว อยู่ที่ 2,090 ล้านบาทหรือคิดเป็น 12% และทาวน์เฮาส์ 690ล้านบาทหรือคิดเป็น 4% อย่างไรก็ตามกลยุทธ์การขายสินค้าบริษัท สำหรับบ้านเดี่ยวเน้น เปิดจำนวนโครงการมากขึ้น แต่เป็นโครงการที่เล็กลง โดยเปิดตัวถึง 10 โครงการ โดยผู้บริหารมองยอดขายในปี53สำหรับแนวราบ เริ่มกลับเข้ามา พร้อมกันนี้ บริษัทได้มีการเข้าโครงการ BOI จากโครงการบางแห่งที่ตรงกับคุณสมบัติ โดยคาดว่ายังคงรักษามาตรฐานความสามารถในการทำกำไรที่ดีไว้เช่นเดียวกับโครงการใหม่ที่เปิดปกติ
คาดผลในปี53 บริษัทยังคงกำไรสุทธิได้ในระดับใกล้เคียงกับปี 52 ส่วนหนึ่งมาจากการรับรู้รายได้โครงการคอนโดมีเนียมต่อเนื่อง โดยมี Backlog ที่คาดว่าจะรับรู้ประมาณ 7,505 ล้านบาท โดยคาดว่าแนวราบบริษัทยังทำยอดขายได้ดีต่อเนื่อง โดยประมาณการปี53 มีรายได้จากการขายและบริหาร 10.277 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2,445 ล้านบาท และประมาณการจ่ายปันผลทั้งปีของปี 53 ที่ 0.58 บาท ซึ่งให้ผลตอบแทน ที่ 9.2% และคาดว่าสถานะทางการเงิน จะแข็งแกร่งขึ้น หลังขายหุ้นที่ซื้อคืน ทำให้มีสัดส่วน หนี้สินต่อทุนลดลงต่ำกว่า 1 เท่า
*SPALI เผยปัจจุบันกวาดยอดขายแล้ว 1.8 พันลบ.มั่นใจหนุนผลงานไตรมาส 1/53 ดีกว่าปีก่อนแน่นอน
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ SPALI กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯมียอดขายอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท ซึ่งมากกว่าเป้าที่ประมาณการ 10-20% ทำให้คาดการณ์ว่าผลประกอบการในไตรมาส 1/2553 น่าจะเติบโตต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1/2552 ที่มียอดขายอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับมาดีขึ้น และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ฟื้นตัวขึ้น ขณะเดียวกันคาดการณ์ว่ารายได้ในไตรมาสนี้ก็น่าจะดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนเช่นกัน ทั้งนี้คาดการณ์ยอดโอนน่าจะใกล้เคียง 2,000 ล้านบาท
'ยอดขายปัจจุบันมากกว่าเป้า 10-20% โดยแบ่งเป็นแนวรับ 45-46% ที่เหลือเป็นแนวสูง ซึ่งสะท้อนว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคดีขึ้น มีความต้องการซื้อบ้านเพิ่มขึ้น 'นายไตรเตชะ กล่าว โดยบริษัทฯย้ำเป้ารายได้ในปี 2553 อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2552 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 9.7 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯมี Backlog อยู่ที่ 1.68 หมื่นล้านบาทโดยคาดว่าจะรับรู้ในปีนี้ 7.5 พันล้านบาท ในปี 2554 อีก 5.7 พันล้านบาท และปี 2555 อีก 3.5 พันล้านบาท
ส่วนยอดขายในปี 2553 ตั้งเป้าไว้ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขายอยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยบริษัทฯตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่จำนวน 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 5 โครงการ มูลค่า 9 พันล้านบาท และโครงการแนวราบ 10 โครงการ มูลค่าโครงการ 6 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทฯมีที่ดินที่รอการพัฒนา 750 ไร่ มีมูลค่าประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็จะเป็นการรองรับการเติบโตของยอดขายของบริษัทฯในอนาคต
ทั้งนี้บริษัทฯเตรียมเปิดโครงการแรกของปีนี้ คือ โครงการศุภาลัย ริเวอร์ รีสอร์ท มูลค่าโครงการ 3.8 พันล้านบาท โดยจะเปิดจองในวันที่ 6-7 มี.ค. 2553 ทั้งนี้หลังจากรัฐบาลไม่ต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ส่งผลให้เผู้ ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาขายบ้าน เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯได้มีการปรับขึ้นราคาขายบ้านแล้ว ในเบื้องต้นเพิ่มขึ้น 1-2% เพราะไม่สามารถหลีกเลี่ยงกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้
นอกจากนี้บริษัทฯคาดการณ์ว่า Gross Profit Margin ในปีนี้น่าจะมากกว่า 40% โดยในปีก่อนมี Gross Profit Margin อยู่ที่ 44% โดยบริษัทฯจะเน้นบริหารจัดการด้านต้นทุน
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ เตรียมประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมี.ค. นี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผลในงวดครึ่งปีหลังของปี 2552 โดยคาดการณ์ว่าไม่น่าจะจ่ายต่ำกว่างวดครึ่งปีแรกที่จ่ายไปในอัตราหุ้นละ 0.25 บาท เนื่องจากผลประกอบการของบริษัทฯ มีทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล 45% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี และคาดการณ์ว่าแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลในปี 2553 ก็น่าจะเพิ่มขึ้น
* SCRI ชี้ AP ราคาที่เหมาะสมปี 2553 เท่ากับ 7.10 บาทต่อหุ้นพร้อมจ่ายปันผล 0.32 บาทต่อหุ้น แนะ“Trading Buy”
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย หรือ SCRI ระบุว่า รายได้ Q4/52 เติบโต 39.6 yoy และ 65%% qoq มากกว่าประมาณการ: การรับรู้รายได้จาก Backlog คอนโดมิเนียมใน 4Q/52 โดยเฉพาะจากโครงการที่สร้างเสร็จ 4 แห่งคือ Life @ สุขุมวิท 65, Life @ สาทร 10, Life @ รัชดา-ห้วยขวาง, และ Life @ รัชดา-สุทธิสาร ส่งผลให้รายได้ใน Q4/52 เท่ากับ 4,484 ล้านบาท มากกว่าที่คาดไว้ 3,817 ล้านบาทเติบโต 39.6% yoy และ 65% qoq ส่งผลให้ปี 2552 AP มีราย
ได้รวมเท่ากับ 12,424 ล้านบาทเติบโต 26.4% yoy และมากกว่าประมาณการที่คาดไว้ที่ 11,757 ล้านบาท
กำไรสุทธิสูงเป็นประวัติการณ์เติบโต 29.3% yoy และ 105% qoq : จากรายได้ในระดับสูง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและอัตรากำไรขั้นต้นที่ยังคงควบคุมได้ในประสิทธิภาพสูง ทำให้กำไรสุทธิใน Q4/52 เท่ากับ 696 ล้านบาทเติบโต 29.3% yoy และ 105% qoq สูงกว่าที่ SCRI คาดไว้ที่ 1,722 ล้านบาท
โครงการใหม่ปี 2553 รวม 19 โครงการมูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท : ปี 2553 AP วางแผนที่จะเปิดโครงการใหม่เบื้องต้นรวม 19 โครงการมูลค่า 30,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ 15 โครงการมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาทและคอนโดมิเนียม 4 โครงการมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยน้ำหนักสัดส่วนมูลค่าโครงการใหม่ใน 1H/53 จะเท่ากับ 25% หรือประมาณ 750 ล้านบาทส่วนที่เหลือจะเปิดใน 2H/53
Backlog แข็งแกร่งสนับสนุนการเติบโตต่อเนื่อง : ในปี 2552 AP มียอด Presale รวม 16,653 ล้านบาทเติบโต 123% yoy และมี Backlog สะสม ณ สิ้นปี 2552 ที่เท่ากับ 16,747 ล้านบาทและรับรู้รายได้ถึงปี 2556 ในเบื้องต้น SCRI คงประมาณการของปี 2553 ที่เท่ากับ 12,748 ล้านบาทเติบโต 2.6% yoy ขณะที่กำไรสุทธิคาดเท่ากับ 1,753 ล้านบาทลดลง 6% yoy
ราคาที่เหมาะสมปี 2553 เท่ากับ 7.10 บาทต่อหุ้นพร้อมจ่ายปันผล 0.32 บาทต่อหุ้น : SCRI ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมปี 2553 เท่ากับ 7.10 บาทต่อหุ้น(วิธี P/BV ที่ 1.85 เท่า) คงแนะนำ “Trading Buy” และมีการประกาศจ่ายเงินปันผลที่เท่ากับ 0.32 บาทต่อหุ้นมากกว่าคาดที่ 0.30 บาทต่อหุ้นหรือคิดเป็น Dividend Yield ที่ 6.5% โดยจะขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 6 พ.ค. 2553 และจ่ายวันที่ 19 พ.ค. 2553
*กิมเอ็ง เชียร์ LH แนะนำเต็มมูลค่า ปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 6.05 บาท
บลวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ระบุว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/52 ของ LH ลดลง 14% จากไตรมาสก่อนเป็น 1.00 พันล้านบาท โดยมีสาเหตุจากยอดขายบ้านที่ลดลง และอัตรากำไรขั้นต้นที่หดตัว อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรไตรมาส 4/52 โต 29% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ ที่ฟื้นตัว รายได้จากการขายบ้านลดลง 10% จากไตรมาสก่อนเป็น 4.62 พันล้านบาท เนื่องจากยอดขายบ้านชะลอตัวช่วงเดือนธ.ค. ซึ่งมีวันหยุดมาก ประกอบกับยอดโอนคอนโดมิเนียมที่ลดลงเพราะส่วนใหญ่โอนในไตรมาส 2-3/52 แล้ว อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อนเป็น 30.8% จาก 31.6% ในไตรมาสก่อน เนื่องจากสัดส่วนโครงการราคาสูงที่ลดลง ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมยังคงแข็งแกร่ง โดยเท่ากับ 323 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน กำไรทั้งปี 2552 โต 14% เป็น 3.91 พันล้านบาทหรือ 0.39 บาทต่อหุ้น
เนื่องจาก LH เตรียมเปิดโครงการเพิ่มจำนวนมากในปีนี้ ยอดเงินกู้จึงเพิ่มเป็น 1.68 หมื่นล้านบาทในไตรมาส 4/52 จาก 1.64 หมื่นล้านบาทในไตรมาสก่อน ทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 0.64 เท่า ซึ่งนับว่าความเสี่ยงทางการเงินยังต่ำ เราคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะเพิ่มขึ้นอีกในครึ่งปีแรกของปีนี้ จากที่บริษัทมีแผนขยายงานในเชิงรุกมากขึ้น รวมถึงการที่บริษัทจะเพิ่มจำนวนโครงการคอนโดมิเนียมด้วย
LH ตั้งเป้ารายได้โต 20% ในปีนี้เป็น 2.0 หมื่นล้านบาท โดยจะเปิด 15 โครงการใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2.0 หมื่นล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มยอดขายที่แข็งแกร่งจากแผนเปิดโครงการเชิงรุกมากขึ้น เราจึงปรับประมาณการรายได้ปีนี้ขึ้นเป็น 1.89 หมื่นล้านบาท ทำให้ประมาณการกำไรปรับขึ้น 10% เป็น 3.81 พันล้านบาทหรือ 0.38 บาทต่อหุ้น
เราปรับราคาที่เหมาะสมขึ้นเป็น 6.05 บาท เพื่อสะท้อนถึงการปรับเพิ่มประมาณการกำไร เราคาดว่า LH จะจ่ายปันผลอีก 0.06 บาทต่อหุ้นสำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/52 ซึ่งคิดเป็นอัตราเงินปันผลเพียง 1.0% (LH จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้ว 0.24 บาทต่อหุ้น) ราคาหุ้นปัจจุบันยังค่อนข้างแพง โดยซื้อขายกันที่ PER ปี 2553 ที่ 15.5 เท่า และมี upside จำกัด เราคงคำแนะนำ เต็มมูลค่า
* เกียรตินาคิน ชี้ QH ผลงานปี53 โตโดดเด่น เผย มีกำไรจากการขายเงินลงทุนในQ-Con กว่า 100 ล้านบาท
บทวิเคระห์ บล.เกียรตินาคิน ระบุว่า ผลประกอบการ 4Q52 มีกำไรสุทธิ 445ล้านบาท (-12%QoQ,+36%YoY)มาจากค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้น สำหรับผลประกอบการ2552 มีกำไรสุทธิ 1,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น10%YoY ดีกว่าคาด3.6%
คาดผลประกอบการในปี53 มีความโดดเด่น จากการรับรู้รายได้โครงการคอนโดมีเนียม 2 โครงการทั้งจาก QH สาธร และ QH หลังสวน คาดเข้าเป็นรายได้ประมาณ 3,000ล้านบาท ระดับราคาปัจจุบันปรับลดจนทำให้มี Upside gain 23.6%ปรับคำแนะนำ จากซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว เป็น ซื้อ โดยมีมูลค่าเชิงพื้นฐานของปี53 ที่ 2.72 บาท ทั้งนี้ บริษัทประกาศจ่ายปันผล 0.12 บาท ให้ผลตอบแทน Dividend Yield 5.4% ขึ้น XD วันที่ 4 พค.53 จ่ายปันผล 20 พค.53
บริษัทมีรายได้จาการขายและบริการที่ 2,992 ล้านบาท (-6%QoQ และ+ 28% YoY) มาจากรายได้จากการขายบ้านและที่ดินที่ปรับดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อัตรากำไรขั้นต้น(GPM) ปรับเพิ่มเล็กน้อยเป็น 29.8% เมื่อเทียบกับ 3Q52 ที่ 29.4% แต่ปรับลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่33.2%
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 448 ล้านบาท(+37%QoQ และ+ 47%YoY )ซึ่งเมื่อเทียบกับยอดขาย เพิ่มขึ้นเป็น15% เทียบกับ3Q52 ที่ 10% และ 4Q51 ที่ 13% เนื่องจากมีการให้ผลตอบแทนพนักงานในรูปโบนัสเนื่องจากผลประกอบการดีกว่าคาด
ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม 132 ล้านบาท (+ 12%QoQ และ+25%YoY) มาจากกำไรของ HMPRO และ ธนาคาร LH Bank ที่มีผลประกอบการปรับดีขึ้น
สำหรับผลประกอบการ2552 มีกำไรสุทธิ 1,716 ล้านบาท เพิ่มขึ้น10%YoY ดีกว่าคาด3.6% มาจาก รายได้จากการขายและบริการ 11,355 ล้านบาท เพิ่มขึ้น7%YoY มาจากการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทำให้มียอดขายปรับดีขึ้นใน 2Q52 และ3Q52 โดยบริษัทมีสินค้าใหม่และขายบ้านระดับราคาสูงได้เพิ่มขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยที่ปรับลดเป็น 29.7% เมื่อเทียบกับ ปี51ที่ 33.0% เนื่องจากมีการขายบ้านลดลดราคาปิดโครงการ 2 แห่ง
ค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับยอดขาย SG&A/Sale ที่ 12.4% ลดลง เมื่อเทียบกับ ปี51 ที่ 15% ในขณะเดียวกันบริษัทมีกำไรจากส่วนแบ่งเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นเป็น 453 ล้านบาทเติบโต 24%YoY และมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนที่ลดลงเป็น1.26 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 1.51 เท่า บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปี53 ที่ 13 โครงการมูลค่า 17,877 ล้านบาทในปี53 คาดยอดขายฟื้นตัวจาก 3สาเหตุคือ
1) ความกังวลของผู้ซื้อลดลงเมื่อเทียบกับ ปี 52 กรณีการเมือง
2) ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีทิศทางที่ปรับดีขึ้นจาก ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
3) จาก Supply ในตลาดของผู้ประกอบการรายเล็กที่ลดลงก่อนหน้า ส่งผลดีต่อบริษัทที่มียอดขายที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับส่วนแบ่งตลาดและการแข่งขันที่ลดลง ดังนั้นทำให้บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการเพิ่มมากขึ้น คาดเปิด 13โครงการ มูลค่าโดยรวมกว่า 17,877 ล้านบาท โดยมีแผนขยายตลาดไปยังต่างจังหวัด คือ จังหวัดศรีราชา สินค้าวรารมย์ และ จังหวัด ภูเก็ต เป็นสินค้า ลดารมย์ รวมถึงเพิ่ม กลุ่มลูกค้าตลาดคอนโดมีเนียมระดับกลาง ในต่างจังหวัด เช่นเชียงใหม่ ฯลฯ
นอกจากนั้นพร้อมกันนั้นในปี 53 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการระดับกลางเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการคอนโดมีเนียม เพื่อเป็นขยายฐานลูกค้าจากเดิม ที่เน้นลูกค้าระดับสูง คาดระดับราคาประมาณ 3-5 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้มีการรับรู้รายได้ที่ต่อเนื่อง
ปัจจัยเสี่ยง
- ความแน่นอนของการฟื้นตัวภาวะเศรษฐกิจซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อ
- ประเด็นการเมืองและความมีเสถีรภาพของคณะรัฐบาลซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นใจของผู้บริโภค
- ในปี53 กรณีภาครัฐไม่มีการต่อ มาตรการกระตุ้น อสังหาฯ อาจส่งผลต่อยอดขาย และมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น
คาดผลประกอบการใน 1Q53 เติบโตโดดเด่น จากการรับรู้รายได้คอนโดมีเนียม พร้อมกำไรจากการขายเงินลงทุนในQ-Con กว่า 100 ล้านบาท
มองผลประกอบการในปี53 จาก1)การรับรู้รายได้โครงการคอนโดมีเนียม 2แห่งคือ 1)โครงการQ-หลังสวน มูลค่าโครงการ 3,510ล้านบาทคาดรับรู้รายได้ในปี53 ประมาณ 20% หรือ 800 ล้านบาท และ Q.House สาธร 2,300ล้านบาท คาดรับรู้รายได้หมดในปี 53 โดยปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า80% ทำให้คาดว่าทั้งปีจะมีการรับรู้รายได้เฉพาะโครงการคอนโดมีเนียมที่ 3,000ล้านบาท นอกเหนือจากการรับรู้รายได้จากแนวราบที่เติบโตจากโครงการในที่เปิดเพิ่มต่อเนื่อง
นอกจากนั้น บริษัทยังได้ร้บเงินจากการขาย Q-con ให้กับ SCC เป็นจำนวน 412.5 ล้านบาท โดยคาดว่าจะบันทึกำไรจากการขายเงินลงทุนดังกล่าวที่ ประมาณ 100 ล้านบาท ใน 1Q53 โดยเรายังคาดประมาณการปี 53มี กำไรสุทธิ 1,921 ล้านบาท โดยมีราคาที่เหมาะสม ปี 53 อ้างอิง APER 12 เท่า อยู่ที่ 2.72บาท
* PRECHA แจง กำไรปี 52 เพิ่ม จากการขายโครงกาพีจี พระราม9 คอนโดมิเนียม
นายวรยุทธ์ พงษ์สุวรรณ์ กรรมการรองผู้อำนวยการ บริษัท ปรีชา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ PRECHA เปิดเผยว่า บริษัท ฯ ขอชี้แจงผลการดำเนินงานประจำปี 2552 สิ้นสุด วันที่ 31 ธันวาคม 2552 ซึ่งได้รับการตรวจสอบจากผู้สอบบัญชีรับอนุญาต โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 204 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนที่ขาดทุน 18 ล้านบาท โดยมีสาเหตุสรุปได้ดังนี้
1. รายได้รวมของบริษัทฯ ประจำปี 2552 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552 มีจำนวน 1,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2551 จำนวน 637 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 133 เนื่องจากรายได้จากการขายโครงกาพีจี พระราม9 คอนโดมิเนียม
2. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร มีจำนวน 111 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ22% โดยมีรายการหลัก ๆ จากขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์ ค่าซ่อมแซมบำรุงรักษาและค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์
3. ในปี 2552 ค่าใช้จ่ายทางการเงินของบริษัทฯ มีจำนวน 46 ล้านบาท ลดลงจากปี 2551 จำนวน 3.5 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 7 เนื่องจากภาระหนี้ของบริษัทลดลง
*PRECHA สวนตลาดอสังหาฯ ยันไม่ขึ้นราคาขายบ้าน แม้มาตรการอสังหาสิ้นสุดมี.ค.นี้
นายยุทธ วรฉัตรธาร ประธานกรรมการบริษัท ปรีชา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)(PRECHA)กล่าวกับ eFinanceThai.comว่าขณะนี้บริษัทฯยังไม่มีแนวคิดที่จะปรับขึ้นราคาขายบ้าน แม้ว่ามาตการภาษีกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์จะสิ้นสุดอายุมาตรการลงในวันที่ 28 มีนาคม นี้ก็ตาม ทั้งนี้ มองว่าก่อนมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดลูกค้าจะเร่งตัดสินใจโอนกรรมสิทธิเพื่อรับสิทธิประโยชน์มากขึ้น และจะส่งผลให้รายได้ในไตรมาส 1/53 ของบริษัทฯ จะออกมาดี
'มองว่าการที่รัฐไม่ต่ออายุมาตรการภาษีอสังหาก็ต้องทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่เร่งตัดสินใจโอน โดยเฉพาะไตรมาส2 ก็จะมีรายได้บางส่วนไหลมายังไตรมาส 1 แต่แม้ว่าจะมีไหลมาไตรมาส1 เราเองก็ก็ไม่ได้ห่วงหรือกังวลว่าว่าไตรมาส 2 จะลดลง พร้อมเตรียมดูแลให้ลูกค้าได้รับสิทธิเต็มที่'นายยุทธ กล่าว
ส่วนสถานการณ์การเมืองถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม และมีผลกระทบต่อการลงทุนของภาคเอกชนให้ไม่กล้าลงทุนเต็มที่ โดยเฉพาะการลงทุนโครงการใหม่ๆ ต้องพิจรณาให้ถี่ถ้วน
'ปัจจัยการเมืองเป็นเรื่องที่มีมานานแล้ว ประชาชนคงรู้สึกเฉยๆ แต่ถ้ามองในแง่การลงทุนเอกชนคงไม่กล้าลงทุนเต็มที่ 'นายยุทธ กล่าว
นายยุทธ กล่าวต่อถึงแผนงานในปี 2553 ว่าบริษัทฯ เตรียมขยายโครงการเพิ่มในส่วนของโครงการบ้านเดี่ยว ร่มเกล้า กับรามคำแหง แต่ในทำเลใหม่หรือเปิดตัวโครงการใหม่ ณ ขณะนี้ยังไม่มีแผน
* PRIN จ่อขึ้นราคาขายบ้านขั้นต่ำ 4% ในปีนี้ หลังรัฐเมินต่อมาตรการอสังหาฯ
นายวีระ ศรีชนะชัยโชค กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติไม่ต่อมาตรการอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ อาจจะพิจารณาปรับขึ้นราคาขายบ้านขั้นต่ำ 4% ในปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องสถานการณ์และเป็นไปตามทิศทางเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นราคาขายบ้านเช่นกัน ส่วนปัจจัยทางการเมืองหากเกิดการเปลี่ยนแปลง คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการต่างๆ อาจชะลอการลงทุนได้
* ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เผย ความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 53 ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงาน เรื่อง ความต้องการที่อยู่อาศัยของคนกรุงเทพฯ : ยังมีปัจจัยหนุน…แม้มาตรการอสังหาฯจะหมดลง ระบุโดยสรุป ว่า จากการสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่การเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกำลังซื้อที่อยู่อาศัยยังคงขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ สำหรับแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์ภายหลังจากมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์สิ้นสุดลง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มีความเห็นว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์น่าจะยังคงสามารถเติบโตได้ แต่การเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากตลาดยังมีปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อการเติบโต อาทิเช่น ปัญหาทางการเมืองและเสถียรภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โดยแรงซื้อน่าจะยังคงมาจากความต้องการที่อยู่อาศัยที่แท้จริง (Real Demand) ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยจริงและมีกำลังซื้อค่อนข้างดี ซึ่งผู้ซื้อกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่จะเข้ามาในตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัย สร้างเสร็จในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในปี 2553 (ไม่รวมบ้านเอื้ออาทร) น่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ 4.5 - 6.2 จากที่หดตัวร้อยละ 5.1 ในปี 2552
จากผลสำรวจ พบว่า มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 28 มีนาคม 2553 นี้ มีผลอย่างมากต่อการเร่งการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค คิดเป็นร้อยละ 64.8 ของกลุ่มตัวอย่าง ดังนั้น ในช่วงระยะเวลาที่เหลืออีก 1 เดือน ก่อนที่มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์จะสิ้นสุดลง ตลาดอสังหาริมทรัพย์คงจะมีความคึกคักอย่างมาก เมื่อผู้ซื้อคงต้องเร่งทำการตัดสินใจซื้อและโอน
กรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย เพื่อที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ในขณะที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์คงจะเร่งทำแคมเปญการตลาดกันอย่างหนัก เพื่อกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการของตน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีบ้านสร้างเสร็จพร้อมขายเหลืออยู่ และอยู่ในทำเลที่ดีน่าจะได้ประโยชน์จากผลของมาตรการดังกล่าว
บริษัท กำไรปี 52 (ลบ.) กำไรปี 51 (ลบ .) เปลี่ยนแปลง %
LH 3908.46 3427.55 480.91 14.03
QH 1715.86 1557.6 158.26 10.16
SPALI 2476.11 1068.74 1407.37 131.68
PS 3621.81 2373.26 1248.55 52.61
LPN 1358.69 1205.43 153.26 12.71
RASA 73.73 5.52 68.21 1235.69
PRECHA 185.79 -17.73 203.52 1147.88
AP 1866.1 1638.17 227.93 13.91
ESTAR 21.64 107.25 -85.61 -79.82
รวม 15228.19 11365.79 3862.4 33.98
