คน 3 คน (3 men)
-
- Verified User
- โพสต์: 4
- ผู้ติดตาม: 0
คน 3 คน (3 men)
โพสต์ที่ 1
นำมาจาก Tip of Inspiration
เห็นจั่วหัวข้อแบบนี้ ก็คิดว่าท่านผู้อ่านหลายคนคงจะผ่านหูผ่านตาบ้าง แต่ไม่เป็นไร คิดว่าร่วมกันช่วยเผยแพร่บทความดีๆ ก็แล้วกันนะ
ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง
หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า "ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ "
หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า
"เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ "ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา
"คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน
เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ "
"มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น
มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ "
"อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร "
"สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง
คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล "
"แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ" ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา
"เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม"
แหล่ง : Tip of Inspiration
[/url]
เห็นจั่วหัวข้อแบบนี้ ก็คิดว่าท่านผู้อ่านหลายคนคงจะผ่านหูผ่านตาบ้าง แต่ไม่เป็นไร คิดว่าร่วมกันช่วยเผยแพร่บทความดีๆ ก็แล้วกันนะ
ณ วัดบ้านไร่แห่งหนึ่ง
หลวงตาเพิ่งกลับจากการบิณฑบาตเห็นลูกศิษย์วัดนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้น จึงเข้าไปถามไถ่ว่าเป็นอะไร ลูกศิษย์ตอบกลับมาว่า "ผมถูกใส่ร้าย ผมไม่ได้ขโมยเงินในหอพระ แต่ผมเข้าไปปัดกวาดเช็ดถูบ่อย ๆ ทุกคนก็หาว่าผมเป็นขโมย ไม่มีใครเชื่อผมเลย ฮือ ฮือ "
หลวงตานั่งลงข้าง ๆ พยักหน้าเข้าใจแล้วสอนลูกศิษย์ว่า
"เจ้ารู้ไหม ในตัวเรามีคนอยู่สามคน คนแรกคือ คนที่เราอยากจะเป็น คนที่สองคือ คนที่คนอื่นคิดว่าเราเป็น คนที่สามคือ ตัวเราที่เป็นเราจริง ๆ "ลูกศิษย์หยุดร้องไห้ นิ่งฟังหลวงตา
"คนเราล้วนมีความฝัน ความทะยานอยาก ตามประสาปุถุชนทั่วไป ไม่ใช่สิ่งเลวร้าย บางครั้งความฝันก็เป็นสิ่งสวยงาม เป็นพลังที่ทำให้เราก้าวเดิน เช่น บางคนอยากเป็นนักร้อง เป็นนักมวย เป็นดารา ถ้าถึงจุดหมายเราก็จะรู้สึกว่าโลกนี้ช่างสว่างไสวสวยงาม ดังนั้นเราควรมีความฝันไว้ประดับตน
เพื่อเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจ "
"มาถึงไอ้ตัวที่สอง จะเป็นเราแบบที่คนอื่นยัดเยียดให้เป็น บางครั้งก็ยัดเยียดว่าเราดีเลิศ จนเราอาย เพราะจิตสำนึกเรารู้ดีว่ามันไม่จริงหรอก แต่เราก็ยิ้มรับ แต่บางครั้งไอ้ตัวที่สองนี้ก็มหาอัปลักษณ์ จนไม่อยากจะนึกถึง ซ้ำร้ายยังเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะมันเป็นโลกในมือคนอื่น
มันเป็นสิ่งแปลกปลอมที่คนอื่นยื่นให้ "
"อย่างคนขับสิบล้อจอดรถอยู่ข้างทางเฉย ๆ เช้ามาพบศพใต้ท้องรถ ก็ต้องขับรถหนี ทั้งที่ศพนั้น ถูกรถชนตายอีกฝั่งแล้วดันถลามาใต้ท้องรถ แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนขับสิบล้อ บางคนก็ตัดสินไปแล้วว่าเขาเป็นฆาตกร "
"สมัยที่หลวงตายังไม่ได้บวชเคยไปส่งเพื่อนผู้หญิงที่มีผัวแล้ว เพราะเห็นว่าบ้านเป็นซอยเปลี่ยว ส่งได้สองครั้งก็เป็นเรื่อง ชาวบ้านซุบซิบนินทา หาว่าเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน คนที่เห็นนั้นมองคนอื่นด้วยใจที่หยาบช้า ไร้วิจารณญาณ ใจแคบ มองคนอื่นผ่านกระจกสีดำแห่งใจตัวเอง
คนเหล่านี้มีอยู่ทั่วไปในสังคม เจ้าต้องจำไว้นะ ทุกครั้งที่เราว่าคนอื่นเลว คนอื่นไม่ดี ก็เท่ากับเราประจานความมืดดำในใจตัวเองออกมา เห็นสิ่งไม่ดีของใครจงเตือนตัวเองว่าอย่าทำ อย่าเลียนแบบ นั่นแหละวิถีของนักปราชญ์ ถ้าเอาไปว่าร้ายนินทาเรียกว่าวิถีของคนพาล "
"แล้วเราต้องทำตัวอย่างไรละครับในเมื่อเราต้องเจอคนเหล่านั้นเรื่อย ๆ" ลูกศิษย์หยุดร้องไห้แล้วเริ่มสนทนาโต้ตอบหลวงตา
"เจ้าต้องทำความเข้าใจจิตใจมนุษย์ เรียนรู้ว่าความเข้าใจผิดเกิดขึ้นได้ เราห้ามใจใครไม่ได้ สิ่งใดที่เราไม่ได้ทำ ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็น แต่คนอื่นคอยยัดเยียดให้เรา เราก็ไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะเราสัมผัสได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ใจเราควรสงบนิ่ง ยังไม่ต้องชำระ ใจคนอื่นต่างหากที่ควรซักฟอกให้ขาวสะอาดกว่าที่เป็นอยู่ เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมีเวลามองคนอื่น แต่ไม่มีเวลามองตัวเอง จงแผ่เมตตาให้เขาไป เข้าใจใช่ไหม"
แหล่ง : Tip of Inspiration
[/url]
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
คน 3 คน (3 men)
โพสต์ที่ 2
เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่ง แต่ถ้าเป็นเรื่องจริง น่าสงสัยว่าเด็กน้อยจะดำรงชีวิตต่อไปในสังคมเดิมนั้นได้อย่างไร
ในบริบทของเรื่อง ก็น่าจะเป็นสังคมชนบท ที่ทุกคนรับรู้ชีวิตของคนอื่นๆอย่างง่ายๆ การที่ถูกมองว่าเป็นคนขี้ขโมย ก็ไม่รู้ว่าวันหน้าใครจะมีงานให้ทำ บ้านไหนจะยกลูกสาวให้
เปลือกนั้นก็มีความสำคัญของเปลือก ไม่งั้นก็คงไม่มีการดำรงอยู่ คนหลายคนพัฒนาแก่นไปมากแต่ละเลยเปลือก ก็อาจจะไม่มีความสุขความสะดวกเมื่ออยู่ร่วมในสังคม
หลายๆครั้งในชีวิตจริง เปลือก หรือ สิ่งที่คนอื่นเห็นเรานั้น เป็นตัวตัดสิน เพราะไม่มีใครมีเวลาที่จะมาเรียนรู้แก่นหรือตัวตนของคนนั้นๆได้ เพราะต้องอาศัยเวลามากมาย
ในบริบทของเรื่อง ก็น่าจะเป็นสังคมชนบท ที่ทุกคนรับรู้ชีวิตของคนอื่นๆอย่างง่ายๆ การที่ถูกมองว่าเป็นคนขี้ขโมย ก็ไม่รู้ว่าวันหน้าใครจะมีงานให้ทำ บ้านไหนจะยกลูกสาวให้
เปลือกนั้นก็มีความสำคัญของเปลือก ไม่งั้นก็คงไม่มีการดำรงอยู่ คนหลายคนพัฒนาแก่นไปมากแต่ละเลยเปลือก ก็อาจจะไม่มีความสุขความสะดวกเมื่ออยู่ร่วมในสังคม
หลายๆครั้งในชีวิตจริง เปลือก หรือ สิ่งที่คนอื่นเห็นเรานั้น เป็นตัวตัดสิน เพราะไม่มีใครมีเวลาที่จะมาเรียนรู้แก่นหรือตัวตนของคนนั้นๆได้ เพราะต้องอาศัยเวลามากมาย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1841
- ผู้ติดตาม: 0
คน 3 คน (3 men)
โพสต์ที่ 3
เคยเรียนมาน้อยนิด
อาจารย์เคยสอน จำมาได้หน่อยๆว่า
ไอ้เจ้า ๓ ตัวเนี่ย ถ้าเปรียบเป็น วงกลม ๓ วง ซ้อนๆๆกันอยู่
ใครมีพื้นที่ตรงกลาง overlap ซ้อนกันมาก ก็สุขมากเพราะ เราเห็นเรา,คนอื่นๆเห็นเรา และตัวจริงๆเราเป็นนั้น ใกล้เคียงกันเยอะ
แต่ถ้าใครซ้อนกันน้อย และโน้มเอียงไป วงกลมนั้นที วงกลมนี้ที ชีวิตก็ทุกข์ เหมือนลูกบอลโดนเตะไปโน้นทีนี้ที เห็นไม่ค่อยเหมือนกัน และไม่ค่อยเหมือนจริง
วิชานึง เทอมนึง ตอนนั้นเรียน/เลียน มาได้แค่นี้เอง
อาจารย์เคยสอน จำมาได้หน่อยๆว่า
ไอ้เจ้า ๓ ตัวเนี่ย ถ้าเปรียบเป็น วงกลม ๓ วง ซ้อนๆๆกันอยู่
ใครมีพื้นที่ตรงกลาง overlap ซ้อนกันมาก ก็สุขมากเพราะ เราเห็นเรา,คนอื่นๆเห็นเรา และตัวจริงๆเราเป็นนั้น ใกล้เคียงกันเยอะ
แต่ถ้าใครซ้อนกันน้อย และโน้มเอียงไป วงกลมนั้นที วงกลมนี้ที ชีวิตก็ทุกข์ เหมือนลูกบอลโดนเตะไปโน้นทีนี้ที เห็นไม่ค่อยเหมือนกัน และไม่ค่อยเหมือนจริง
วิชานึง เทอมนึง ตอนนั้นเรียน/เลียน มาได้แค่นี้เอง
Rabbit VS. Turtle
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
คน 3 คน (3 men)
โพสต์ที่ 4
จริงครับ เปลือกก็สำคัญ ไม่แพ้แก่นBoring Stock Lover เขียน: เปลือกนั้นก็มีความสำคัญของเปลือก ไม่งั้นก็คงไม่มีการดำรงอยู่ คนหลายคนพัฒนาแก่นไปมากแต่ละเลยเปลือก ก็อาจจะไม่มีความสุขความสะดวกเมื่ออยู่ร่วมในสังคม
เรื่องความคาดหวังของคนอื่น เป็นสิ่งที่สำคัญมากครับ
- porntipd
- Verified User
- โพสต์: 12
- ผู้ติดตาม: 0
คน 3 คน (3 men)
โพสต์ที่ 5
การอยู่ในสังคมมันหลีกเลี่ยงพวกนี้ไม่ได้อยู่แล้วค่ะ