ลอร์ดเคน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- oatty
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 2444
- ผู้ติดตาม: 0
ลอร์ดเคน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 11 พฤศจิกายน 2551
ถ้าจะยกย่องบุคคลที่เป็นผู้นำในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องใหม่ไม่มีคนคิดมาก่อน เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมวลชนในวงกว้างว่าเป็น “บิดา” แล้วละก็ John Maynard Keynes หรือ ลอร์ด เคน ก็ถือว่าเป็น “บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์หลังยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ” เคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ “สุดโต่ง” “รุนแรง” และเป็นคนที่ “สวนกระแส” ความคิดของเขานั้นเป็นประเภทที่ว่า “ถ้าคนตกงานกันมากไม่มีงานทำ วิธีแก้ก็ไม่เห็นยาก รัฐบาลก็จ้างคนมาขุดหลุม เสร็จแล้วก็จ้างคนมากลบหลุมที่ขุดไว้ คนก็มีงานทำ มีเงินใช้ เศรษฐกิจก็เดิน” นั่นก็พูดแบบเวอร์ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว วิธีการก็คือ ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำนั้น รัฐบาลควรที่จะสร้างงานขึ้นมาเช่น สร้างถนนหนทาง เขื่อน และสาธารณูปโภคต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการจ้างงานชดเชยกับการปิดงานของเอกชน วิธีนี้จะทำให้สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำได้ และนั่นทำให้รัฐบาลโดยเฉพาะรัฐบาลอเมริกันในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังปี 1929 สร้างงานต่าง ๆ ขึ้น ที่โดดเด่นก็คือ เขื่อนฮูเวอร์ และหนังสือที่เป็นต้นตำรับสำคัญที่ทำให้เคนโด่งดังและเป็นหนังสือคลาสสิกก็คือ General Theory Of Employment, Interest, and Money
แน่นอน นักเศรษฐศาสตร์ทุกคนจะต้องรู้จัก ลอร์ด เคน แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ก็คือ นอกจากจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์แล้ว เคนยังเป็นนักลงทุนตัวยงที่ผ่านช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 เคยเจ๊งและกลับมาร่ำรวยจากการลงทุนซึ่งจนถึงวันที่เขาเสียชีวิตในปี 1945 เขามีเงินถ้านับเปรียบเทียบกับปัจจุบันก็มีถึงประมาณหนึ่งพันล้านบาทไทย ผลตอบแทนการลงทุนของเขาในช่วง 25 ปี สูงถึง 13% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น ซึ่งถ้าคิดถึงว่านี่เป็นการลงทุนที่ผ่านช่วงภาวะวิกฤติแล้วก็ต้องถือว่าเป็นสถิติที่สุดยอดคนหนึ่ง และเนื่องจากว่าเคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนคนแรก ๆ ที่มีหลักการและวิธีการที่แตกต่างกับนักลงทุนในช่วงก่อนหน้าเขา เขาจึงได้รับการยอมรับว่าเป็น “ซือแป๋” คนหนึ่งของวงการนักลงทุนแม้ว่าชื่อในฐานะของการเป็นนักลงทุนของเขาอาจจะถูกกลบโดยชื่อในฐานะที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับต้น ๆ ของโลก เรามาดูกันว่าเคนมีหลักการลงทุนอย่างไร
ข้อแรก และเป็นหัวใจสำคัญที่สุดก็คือ มีความคิดสวนกระแสกับคนทั่วไป ภายใต้พื้นฐานสำคัญก็คือ ถ้าทุกคนเห็นด้วยกับสิ่งที่ดีหรือข้อดีของมัน การลงทุนนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแพง ดังนั้นมันก็ไม่น่าสนใจ
ข้อสอง เลือกการลงทุน น้อยตัวหรือน้อยอย่าง โดยคำนึงถึงความถูกของมันเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของมันในปัจจุบันและศักยภาพของมันในช่วงหลายปีข้างหน้า ทั้งนี้จะต้องเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ตัวอื่นในช่วงเวลาเดียวกันด้วย
ข้อสาม ให้ถือหุ้นหรือการลงทุนจำนวนน้อยตัวที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เหล่านั้นยาวนานผ่านภาวะที่ทั้งดีและร้าย บางทีอาจจะหลายปี จนกระทั่งมันบรรลุถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้หรือจนกระทั่งมันปรากฏชัดเจนว่าเราซื้อหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นผิดตัว
ข้อสี่ ให้ถือพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่สมดุล นั่นคือ มีความเสี่ยงที่หลากหลาย และถ้าเป็นไปได้ ความเสี่ยงเหล่านั้นมีการหักล้างกันเอง เช่น ถือหุ้นบริษัททอง เพราะมันมักจะปรับตัวตรงกันข้ามกับหุ้นทั่วไปเมื่อมีการผันผวนของราคาหุ้นหนัก ๆ การถือหุ้นที่มีความเสี่ยงหลากหลายแบบนี้จะทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตไม่สูงแม้ว่าความเสี่ยงของแต่ละตัวจะสูงมากเพราะลงทุนค่อนข้างหนักในแต่ละตัว
หลักการลงทุนของเคนนั้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่าคล้าย ๆ กับของวอเร็น บัฟเฟตต์ ในแง่ที่เป็นนักลงทุนแบบเน้นหุ้นน้อยตัวหรือแบบ Focus และถือหุ้นยาวนาน ไม่ค่อยขาย แต่ต้องไม่ลืมว่าเคนนั้นมาก่อนบัฟเฟตต์ ดังนั้น ถ้าจะว่าไป ต้นตำรับของการลงทุนแบบโฟคัสนั้นมาจากเคน ส่วนบัฟเฟตต์มาต่อยอดอีกทีหนึ่ง
การเป็น “ชาวสวน” ของเคนนั้นดูเหมือนจะได้สำแดงอย่างเต็มที่ในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ในช่วงปี 1929 ถึง 1936 นั่นก็คือ ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยอม “โยนผ้า” ถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว เคนกลับลงเงินถึง 65% เข้าไปในตลาดหุ้นที่เขาดูว่ามีราคาถูกมาก เช่นเดียวกัน เขายังใช้เงินกู้จำนวนมากซื้อหุ้น ในปี 1936 เขามีความมั่งคั่งคิดเป็นเงินประมาณ 500,000 ปอนด์ แต่หนี้เขามีถึง 300,000 ปอนด์ แต่ในเวลาต่อมาเขาก็ค่อย ๆ ลดหนี้ลงจนเหลือประมาณแค่ 12% ในปี 1939 ข้อสรุปก็คือ เขาใช้เงินกู้มากในช่วงที่เขาเห็นว่าเป็น “โอกาส” ในขณะที่คนอื่นเห็นว่าเป็นวิกฤติ แต่ในช่วงที่โอกาสลดลงเขาก็ไม่ได้ใช้
แม้ว่าเคนจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์ แต่เขาเองไม่เคยใช้ “ความสามารถในการคาดการณ์” ตัวเลขทางเศรษฐกิจมาใช้ในการลงทุน เขาเห็นว่าตลาดหุ้นนั้นคาดการณ์ไม่ได้ และนั่นเป็นสิ่งที่เขานำมาใช้ประโยชน์ เขาบอกว่า การผันผวนของตลาดหุ้นทำให้เกิดหุ้นราคาถูกมากมาย ในเวลาเดียวกัน ความผันผวนก็ทำให้คนไม่กล้าเข้ามาฉวยโอกาสจากมัน ดังนั้น ถ้าเรามีความหนักแน่น ใจเย็นพอ เราก็จะสามารถฉกฉวยประโยชน์จากมันได้
ประวัติศาสตร์บอกเราว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสูงในการลงทุน เคนเป็นข้อยกเว้น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ประเภทสุดโต่งและคิดไม่เหมือนนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป เขารู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ดีมากจนอาจจะรู้ว่า การลงทุนนั้นเป็นเรื่องระดับเล็กถึงเล็กมาก วิธีที่จะเอาชนะในการลงทุนได้จึงอยู่ที่ความสามารถในการเลือกหุ้นมากกว่าความสามารถในการมองภาพรวม แต่แน่นอน ความรู้ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์เป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการเรียนรู้พฤติกรรมทางเศรษฐกิจของคน เพียงแต่เศรษฐศาสตร์ระดับสูงนั้น ไม่มีความจำเป็นสำหรับการลงทุนนัก
ถ้าจะยกย่องบุคคลที่เป็นผู้นำในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องใหม่ไม่มีคนคิดมาก่อน เป็นเรื่องที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อมวลชนในวงกว้างว่าเป็น “บิดา” แล้วละก็ John Maynard Keynes หรือ ลอร์ด เคน ก็ถือว่าเป็น “บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์หลังยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ” เคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่ “สุดโต่ง” “รุนแรง” และเป็นคนที่ “สวนกระแส” ความคิดของเขานั้นเป็นประเภทที่ว่า “ถ้าคนตกงานกันมากไม่มีงานทำ วิธีแก้ก็ไม่เห็นยาก รัฐบาลก็จ้างคนมาขุดหลุม เสร็จแล้วก็จ้างคนมากลบหลุมที่ขุดไว้ คนก็มีงานทำ มีเงินใช้ เศรษฐกิจก็เดิน” นั่นก็พูดแบบเวอร์ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว วิธีการก็คือ ในช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำนั้น รัฐบาลควรที่จะสร้างงานขึ้นมาเช่น สร้างถนนหนทาง เขื่อน และสาธารณูปโภคต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการจ้างงานชดเชยกับการปิดงานของเอกชน วิธีนี้จะทำให้สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำได้ และนั่นทำให้รัฐบาลโดยเฉพาะรัฐบาลอเมริกันในยุคเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่หลังปี 1929 สร้างงานต่าง ๆ ขึ้น ที่โดดเด่นก็คือ เขื่อนฮูเวอร์ และหนังสือที่เป็นต้นตำรับสำคัญที่ทำให้เคนโด่งดังและเป็นหนังสือคลาสสิกก็คือ General Theory Of Employment, Interest, and Money
แน่นอน นักเศรษฐศาสตร์ทุกคนจะต้องรู้จัก ลอร์ด เคน แต่สิ่งที่หลายคนอาจจะไม่รู้ก็คือ นอกจากจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์แล้ว เคนยังเป็นนักลงทุนตัวยงที่ผ่านช่วงภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 เคยเจ๊งและกลับมาร่ำรวยจากการลงทุนซึ่งจนถึงวันที่เขาเสียชีวิตในปี 1945 เขามีเงินถ้านับเปรียบเทียบกับปัจจุบันก็มีถึงประมาณหนึ่งพันล้านบาทไทย ผลตอบแทนการลงทุนของเขาในช่วง 25 ปี สูงถึง 13% ต่อปีโดยเฉลี่ยแบบทบต้น ซึ่งถ้าคิดถึงว่านี่เป็นการลงทุนที่ผ่านช่วงภาวะวิกฤติแล้วก็ต้องถือว่าเป็นสถิติที่สุดยอดคนหนึ่ง และเนื่องจากว่าเคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนคนแรก ๆ ที่มีหลักการและวิธีการที่แตกต่างกับนักลงทุนในช่วงก่อนหน้าเขา เขาจึงได้รับการยอมรับว่าเป็น “ซือแป๋” คนหนึ่งของวงการนักลงทุนแม้ว่าชื่อในฐานะของการเป็นนักลงทุนของเขาอาจจะถูกกลบโดยชื่อในฐานะที่เป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับต้น ๆ ของโลก เรามาดูกันว่าเคนมีหลักการลงทุนอย่างไร
ข้อแรก และเป็นหัวใจสำคัญที่สุดก็คือ มีความคิดสวนกระแสกับคนทั่วไป ภายใต้พื้นฐานสำคัญก็คือ ถ้าทุกคนเห็นด้วยกับสิ่งที่ดีหรือข้อดีของมัน การลงทุนนั้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องแพง ดังนั้นมันก็ไม่น่าสนใจ
ข้อสอง เลือกการลงทุน น้อยตัวหรือน้อยอย่าง โดยคำนึงถึงความถูกของมันเมื่อเทียบกับมูลค่าที่แท้จริงของมันในปัจจุบันและศักยภาพของมันในช่วงหลายปีข้างหน้า ทั้งนี้จะต้องเปรียบเทียบกับการลงทุนในหุ้นหรือหลักทรัพย์ตัวอื่นในช่วงเวลาเดียวกันด้วย
ข้อสาม ให้ถือหุ้นหรือการลงทุนจำนวนน้อยตัวที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่เหล่านั้นยาวนานผ่านภาวะที่ทั้งดีและร้าย บางทีอาจจะหลายปี จนกระทั่งมันบรรลุถึงเป้าหมายที่เราตั้งไว้หรือจนกระทั่งมันปรากฏชัดเจนว่าเราซื้อหุ้นหรือหลักทรัพย์นั้นผิดตัว
ข้อสี่ ให้ถือพอร์ตโฟลิโอการลงทุนที่สมดุล นั่นคือ มีความเสี่ยงที่หลากหลาย และถ้าเป็นไปได้ ความเสี่ยงเหล่านั้นมีการหักล้างกันเอง เช่น ถือหุ้นบริษัททอง เพราะมันมักจะปรับตัวตรงกันข้ามกับหุ้นทั่วไปเมื่อมีการผันผวนของราคาหุ้นหนัก ๆ การถือหุ้นที่มีความเสี่ยงหลากหลายแบบนี้จะทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตไม่สูงแม้ว่าความเสี่ยงของแต่ละตัวจะสูงมากเพราะลงทุนค่อนข้างหนักในแต่ละตัว
หลักการลงทุนของเคนนั้น หลายคนอาจจะรู้สึกว่าคล้าย ๆ กับของวอเร็น บัฟเฟตต์ ในแง่ที่เป็นนักลงทุนแบบเน้นหุ้นน้อยตัวหรือแบบ Focus และถือหุ้นยาวนาน ไม่ค่อยขาย แต่ต้องไม่ลืมว่าเคนนั้นมาก่อนบัฟเฟตต์ ดังนั้น ถ้าจะว่าไป ต้นตำรับของการลงทุนแบบโฟคัสนั้นมาจากเคน ส่วนบัฟเฟตต์มาต่อยอดอีกทีหนึ่ง
การเป็น “ชาวสวน” ของเคนนั้นดูเหมือนจะได้สำแดงอย่างเต็มที่ในช่วงภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ ในช่วงปี 1929 ถึง 1936 นั่นก็คือ ในขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่ยอม “โยนผ้า” ถอนตัวจากตลาดหุ้นกันเป็นแถว เคนกลับลงเงินถึง 65% เข้าไปในตลาดหุ้นที่เขาดูว่ามีราคาถูกมาก เช่นเดียวกัน เขายังใช้เงินกู้จำนวนมากซื้อหุ้น ในปี 1936 เขามีความมั่งคั่งคิดเป็นเงินประมาณ 500,000 ปอนด์ แต่หนี้เขามีถึง 300,000 ปอนด์ แต่ในเวลาต่อมาเขาก็ค่อย ๆ ลดหนี้ลงจนเหลือประมาณแค่ 12% ในปี 1939 ข้อสรุปก็คือ เขาใช้เงินกู้มากในช่วงที่เขาเห็นว่าเป็น “โอกาส” ในขณะที่คนอื่นเห็นว่าเป็นวิกฤติ แต่ในช่วงที่โอกาสลดลงเขาก็ไม่ได้ใช้
แม้ว่าเคนจะเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์ แต่เขาเองไม่เคยใช้ “ความสามารถในการคาดการณ์” ตัวเลขทางเศรษฐกิจมาใช้ในการลงทุน เขาเห็นว่าตลาดหุ้นนั้นคาดการณ์ไม่ได้ และนั่นเป็นสิ่งที่เขานำมาใช้ประโยชน์ เขาบอกว่า การผันผวนของตลาดหุ้นทำให้เกิดหุ้นราคาถูกมากมาย ในเวลาเดียวกัน ความผันผวนก็ทำให้คนไม่กล้าเข้ามาฉวยโอกาสจากมัน ดังนั้น ถ้าเรามีความหนักแน่น ใจเย็นพอ เราก็จะสามารถฉกฉวยประโยชน์จากมันได้
ประวัติศาสตร์บอกเราว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จสูงในการลงทุน เคนเป็นข้อยกเว้น บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ประเภทสุดโต่งและคิดไม่เหมือนนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป เขารู้เรื่องเศรษฐศาสตร์ดีมากจนอาจจะรู้ว่า การลงทุนนั้นเป็นเรื่องระดับเล็กถึงเล็กมาก วิธีที่จะเอาชนะในการลงทุนได้จึงอยู่ที่ความสามารถในการเลือกหุ้นมากกว่าความสามารถในการมองภาพรวม แต่แน่นอน ความรู้ในเรื่องของเศรษฐศาสตร์เป็นพื้นฐานที่จำเป็นในการเรียนรู้พฤติกรรมทางเศรษฐกิจของคน เพียงแต่เศรษฐศาสตร์ระดับสูงนั้น ไม่มีความจำเป็นสำหรับการลงทุนนัก
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
-
- Verified User
- โพสต์: 2712
- ผู้ติดตาม: 0
ลอร์ดเคน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณนะครับผม :D
อย่าลืมให้เวลากับครอบครัว และสังคมรอบๆข้างของคุณนะครับ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
มีสติ และมีความสุขกับการลงทุนนะครับผม
นักลงทุนที่เก่งที่สุดมิใช่คนที่ซื้อขายไวที่สุด
แต่คือคนที่นำสติกลับมาได้เร็วที่สุด
หลายครั้งส่งคำสั่งซื้อทางไปรษณีย์ได้ผลตอบแทนมากกว่าซื้อผ่านnetหากเราขาดสติ
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 1922
- ผู้ติดตาม: 0
ลอร์ดเคน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
นึกถึงญี่ปุ่นปัจจุบันตอนนี้เลยครับถ้าคนตกงานกันมากไม่มีงานทำ วิธีแก้ก็ไม่เห็นยาก รัฐบาลก็จ้างคนมาขุดหลุม เสร็จแล้วก็จ้างคนมากลบหลุมที่ขุดไว้ คนก็มีงานทำ มีเงินใช้ เศรษฐกิจก็เดิน
รัฐแจกเงินให้คนญี่ปุ่นทุกครอบครัวให้เอาไปใช้กันฟรีๆ
และก็ประเทศไทยตอนยุคทักษิณ
รัฐตั้งกองทุนหมู่บ้านละล้าน
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นวิธีการแปลกๆหลุดโลก
คนที่อนุรักษ์นิยมก็คัดค้าน โดยให้แนวคิดว่า เศรษฐกิจไม่ดีต้องประหยัดสิ ไม่ใช่ฟุ่มเฟือย
แต่อีกฝ่ายก็บอกว่า เศรษฐกิจจะดีได้คนต้องใช้เงินสิ
แต่ทางจิตวิทยาเห็นว่า คนจะใช้เงินได้นั้นก็ต้องมีงาน มีเงิน
แม้อดีตจะบอกว่าวิธีอัดฉีดเงินในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดี จะเป็นวิธีที่ถูกต้องและได้ผล แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยคัดค้านอยู่เสมอ
- Sumotin
- Verified User
- โพสต์: 1131
- ผู้ติดตาม: 0
ลอร์ดเคน / ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 6
การใส่เงินเข้าไปในระบบเป็นการสร้างงานทำให้คนไม่ต้องอยู่ว่างๆ เสียเวลาที่มีค่าของชีวิตไป ครับ การสร้างงานคือสิ่งที่ต้องทำในภาวะ ศก. ตกต่ำ ซึ่งเป็นมุมมอง จากทางด้าน macro eco จะเป็นทางรัฐบาลที่ทำ
ส่วนเรื่องบอกว่าต้องประหยัดจะเป็นมุมมองในเชิง micro eco หรือ ของแต่หละบริษัทมากกว่าไม่ได้ดู ศก. ภาพรวมครับ ดังนั้นถ้าให้นักธุรกิจที่ไม่รู้ macro eco ก็จะยิ่งทำให้ ศก. ตกยาวไปอีกครับ เหมือน สมัยก่อน ประธานาธิปดี รูสเวล จำชื่อไม่ได้ใคร ศก ตกยาวเลย พอรูสเวลเข้ามา ให้มีการทำ mega project เยอะแยะ ทำให้ ศก.พื้นตัวได้อย่างรวดเร็วครับ :D
ส่วนเรื่องบอกว่าต้องประหยัดจะเป็นมุมมองในเชิง micro eco หรือ ของแต่หละบริษัทมากกว่าไม่ได้ดู ศก. ภาพรวมครับ ดังนั้นถ้าให้นักธุรกิจที่ไม่รู้ macro eco ก็จะยิ่งทำให้ ศก. ตกยาวไปอีกครับ เหมือน สมัยก่อน ประธานาธิปดี รูสเวล จำชื่อไม่ได้ใคร ศก ตกยาวเลย พอรูสเวลเข้ามา ให้มีการทำ mega project เยอะแยะ ทำให้ ศก.พื้นตัวได้อย่างรวดเร็วครับ :D
Timing is everything, no matter what you do.
CAGR of 34% in the past 15 years of investment
CAGR of 34% in the past 15 years of investment