ถึงเวลาของการชี้ชะตา...PTT

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
vichit
Verified User
โพสต์: 15833
ผู้ติดตาม: 0

ถึงเวลาของการชี้ชะตา...PTT

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ถึงเวลาของการชี้ชะตา...PTT

แสงธรรม จรณชัยกุล ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต
ในสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐโดยดัชนีหุ้นอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ถอยลงไปตั้งหลักได้ที่บริเวณ 12700 จุด และได้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาที่ระดับ 13400-13500 จุดอีกครั้ง ด้วยหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน หลังจากที่กองทุนอาบู ดาบี อินเวสเมนท์ ฟันด์ ใช้เงิน 7.5 พันล้านดอลลาร์ เข้าซื้อหุ้นของซิตี้กรุ๊ป



นอกจากนี้นักลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐยังเกิดความคาดหวังต่อเนื่อง ว่าทางการอันได้แก่กระทรวงการคลังของสหรัฐ จะมีมาตรการด้านอื่นๆ ออกมาโอบอุ้มให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เกิดการพักฐานครั้งใหญ่ โดยสัญญาซื้อขายล่วงหน้าส่งมอบในเดือนมกราคม 2551 ที่ตลาด Nymex ปรับตัวลงมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ระดับ 88-90 ดอลลาร์ต้นๆ นับเป็นข่าวดีต่อหุ้นในกลุ่มภาคการผลิต แต่เป็นข่าวร้ายของหุ้นในกลุ่มน้ำมัน ตลาดหุ้นสหรัฐได้กลับมาเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ เพื่อรอคอยผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในครั้งสุดท้ายของปี 2550 ในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ซึ่งส่วนใหญ่คาดหวังว่าธนาคารกลางของสหรัฐ จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.25%

สำหรับตลาดหุ้นในภูมิภาค ไม่มีตลาดใดจะสวนทางกับตลาดหุ้นสหรัฐได้ ต่างพากันปรับตัวลง ดูเหมือนว่าแนวโน้มของ Fund flow จะไหลออกไปในทิศทางเดียวกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีนและตลาดหุ้นสิงคโปร์ ที่อ่อนปวกเปียกกว่าเพื่อน อย่างไรก็ตามมีอยู่อย่างน้อยสองตลาดที่ทิศทางค่อนข้างแข็งแกร่ง คือ ตลาดหุ้นมาเลเซียและตลาดหุ้นอินโดนีเซีย โดยเฉพาะตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ซึ่ง ดัชนี JKSE สามารถเดินหน้าสร้างสถิติสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ได้ที่ระดับ 2750 จุด(4 ธ.ค.2550)

ส่วนในบ้านเราเอง Fund Flow ยังคงไหลออกจากตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง เม็ดเงินยิ่งไหลออก ในภาพใหญ่แม้ว่าทางสภาพัฒน์จะรายงานตัวเลขอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ซึ่งเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดีถึง 4.9% สูงกว่าไตรมาสสอง ซึ่งขยายตัวเพียง 4.3% ทำให้ประเมินกันว่าในปี 2550 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวในระดับ 4.5% และการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันที่ 4 ธ.ค.2550 (ซึ่งเป็นวันที่เขียนบทความนี้) ก็มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ระดับ 3.25% ตามเดิม

แม้ว่าภาพใหญ่จะดูดีขึ้น แต่ภาพเล็ก คือข่าวร้ายเฉพาะตัวบริษัท เช่น กรณีของ PTT ที่มีคดีอยู่ที่ศาลปกครอง และคู่ความได้แถลงปิดคดีไปแล้วเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา หลังจากนั้นราคาหุ้น PTT ก็อ่อนตัวลงโดยตลอด รวมทั้งข่าวที่ผู้บริหาร TPIPL และตัวบริษัททำผิดกฎหมายตลาดหลักทรัพย์ จนศาลอาญามีคำสั่งให้จำคุกผู้บริหารเป็นเวลา 3 ปี และให้ปรับบริษัทเป็นเงินจำนวน 6,900 ล้านบาท จนทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงทันที 30% หลังจากเปิดให้ซื้อขายในวันที่ 4 ธันวาคม 2550

ปัจจัยหลักๆ ในช่วงสองสัปดาห์หน้า ยังคงขึ้นกับทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐ ซึ่งเราคาดว่าหากไม่สามารถผ่านแนวต้านระดับ 13400-13500 จุดขึ้นไปได้ อาจจะปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับบริเวณ 12500-12600 จุดอีก ซึ่งเราคาดว่าขึ้นอยู่กับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ ในวันที่ 11 ธันวาคม 2550 ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงแค่ 0.25% หรือปรับลงมาในขนาด 0.50%

ในบ้านเราเอง ประเด็นสำคัญและอาจจะมีผลกระทบต่อตลาดค่อนข้างมากคือคำตัดสินของศาลปกครอง ต่อ PTT ในวันที่ 14 ธันวาคม 2550 นี้ ซึ่งจะเป็นจุดพลิกผันของตลาดหุ้นไทย

กลยุทธ์ที่เหมาะกับสถานการณ์เวลานี้ ยังเหมือนสองสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ให้ขายไปก่อนแล้วค่อยไปรอซื้อคืนภายหลังเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลงมาที่แนวรับ และควรรอซื้อด้วยความใจเย็น

กลุ่มธนาคาร : ทยอยซื้อ SCB (แนวรับแรก 75 บาท แนวรับที่สอง 70 บาท)

BBL (แนวรับแรก 110 บาท แนวรับที่สอง 105-106 บาท)

กลุ่มวัสดุก่อสร้าง: SCC ได้ลงมาเคลื่อนไหวต่ำกว่าแนวรับที่เราให้ไว้ในสองสัปดาห์ก่อนแล้ว หากจะซื้อเพิ่มให้รอ ทยอยรับเพิ่มที่ (แนวรับ 210 บาท และ 195-199 บาท ตามลำดับ)

กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม: ทยอยซื้อ AMATA (แนวรับแรก 15.5 บาท แนวรับที่สอง 14.5 บาท)

กลุ่มน้ำมัน : ซื้อเก็งกำไร PTTEP
โพสต์โพสต์