ฝรั่งขายสุทธิ-ดัชนีฯผันผวน
หุ้นเล็กยังเป็นแหล่งพักใจ
วงการฟันธงช่วงนี้หุ้นเล็กยังเป็นศาลาพักใจ เป็นแหล่งหลบภัยสำหรับนักลงทุน เหตุหุ้นใหญ่ยังถูกเทขายทำกำไรต่อเนื่อง จากฝีมือของต่างชาติ หลังปัญหาซับไพร์มในสหรัฐยังทำนักลงทุนฝันผวาทั่วโลก ฟันธงหุ้นไทยรีบาวน์ยืนเหนือ 800 จุดสำเร็จวันนี้แค่ผักชีโรยหน้า หรือภาพลวงตา ให้รู้สึกว่าหุ้นไทยไม่เลวร้ายเกินไป ทั้งที่ของจริงฝรั่งยังขายสุทธิต่ออีกกว่า 2.5 พันลบ. ด้านเซียนหุ้นแนะนักลงทุนระยะกลาง-ยาว เก็บหุ้นใหญ่พื้นฐานดีเข้าพอร์ตรอ December Effect ส่วนสิงห์เดย์เทรดยังเก็งกำไรหุ้นเล็กที่มีสตอรี่หนุน หรือเล่นสั้นตามสัญญาณเทคนิคได้
วานนี้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวนอย่างชัดเจน โดยเปิดการซื้อขายที่ระดับ 808.00 จุด ก่อนจะปรับลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงแรกของการซื้อขาย จนมาอยู่ที่ระดับ 805.52 จุด และหลังจากนั้นดัชนีฯได้เริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นจนขึ้นไปทำระดับสูงสุดที่ 816.54 จุด ในช่วงเวลา 11.05 น. และหลังจากนั้นดัชนีฯได้ปรับลดลงต่อเนื่องไปจนทำระดับต่ำสุดของวันที่ระดับ 796.94 จุด หรือลดลง 10.64 จุด อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นได้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ ในกลุ่มพลังงาน แบงก์ จนทำให้ดัชนีฯกลับขึ้นมายืนแดนบวกได้อีกครั้ง และปิดการซื้อขายที่ระดับ 808.82 จุด เพิ่มขึ้น 1.24 จุด มีมูลค่าการซื้อขายรวม 18,184.74 ลบ.
การปรับขึ้นของดัชนีฯในช่วงบ่ายวานนี้ ทำให้นักลงทุนหลายคนรู้สึกเหมือนว่าได้มีแรงซื้อจากต่างชาติกลับคืนเข้ามาสู่ตลาดฯ อีกครั้ง เนื่องจากหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงาน แบงก์ พร็อพเพอร์ตี้ ที่ทราบกันเป็นอย่างดีว่าหุ้นเหล่านี้เป็นหุ้นตัวโปรดของนักลงทุนต่างชาติ อาทิ PTT-PTTEP-BBL-KBANK-LH-BANPU-SCC-SCB แต่อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีการรายงานการซื้อขายรายกลุ่มหลังจากปิดทำการซื้อขายก็พบว่าในวานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิถึง 2,575.71 ลบ.ในขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 40.55 ลบ. และนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 2,535.16 ลบ. โดยการขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติวานนี้ถือว่าขายต่อเนื่องมาถึง 13 วันทำการ (นับตั้งแต่ 1 พ.ย.-22 พ.ย.) รวมขายสุทธิ กว่า 40,000 ลบ. กดดันให้ดัชนีฯลดลงถึง 115.88 จุด หรือ 12.53% ภายในเวลาเพียง 15 วันทำการ (จากระดับสูงสุด 924.70 จุด ในวันที่ 1 พ.ย.- เวลาปิดตลาดฯ ที่ 808.82 จุด ของวันที่ 22 พ.ย.50)
ดังนั้น แรงซื้อที่เข้าในตลาดฯวานนี้เรียกได้ว่าเป็นผักชีโรยหน้าที่ทำให้รู้สึกว่าตลาดหุ้นไทยไม่ได้ถูกแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติบีบคั้นจนดัชนีฯหลุดแนวรับสำคัญที่ 800 จุด เท่านั้น หรือเป็นเพียงภาพลวงตาที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกดี ทำให้ไม่มีแรงเทขายเพราะความวิตกเรื่องดัชนีฯหลุดแนวรับสำคัญเข้ามากดดันตลาดหุ้นไทยเพิ่มเติมเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว การขายสุทธิอีกว่า 2,500 ล้านบาทของนักลงทุนต่างชาติได้สะท้อนภาพที่แท้จริงออกมาได้เป็นอย่างดีว่ายังไม่มีแรงซื้อที่แท้จริงกลับเข้ามาในช่วงนี้ ดังนั้นโอกาสที่หุ้นขนาดใหญ่จะกลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งจึงยังไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้ และดัชนีฯก็ยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีก หากปัจจัยกดดันยังไม่คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ การปรับลดลงของดัชนีหุ้นไทยในช่วงก่อนหน้านี้ สอดคล้องกับทิศทางความเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐ และดัชนีตลาดหุ้นอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย หลังจากพบว่าปัญหาสินเชื่อคุณภาพต่ำในภาคอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ หรือ ซับไพร์ม ได้สร้างความเสียหายให้กับธุรกิจเกี่ยวข้องและเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาชัดเจนขึ้น จนล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ได้ออกมาปรับลดประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจปีหน้าจาก 2.5%-2.75% มาอยู่ที่ 1.8%-2.5% ขณะที่อัตราการว่างงาน อาจจะเพิ่มขึ้นระหว่าง 4.8%-4.9% จึงส่งผลต่อเนื่องให้เกิดแรงเทขายหุ้นออกมาในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งตลาดหุ้นไทยดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีแรงเทขายหุ้นขนาดใหญ่ออกมาจากนักลงทุนต่างชาติในช่วงดังกล่าว ทำให้นักลงทุนบางส่วนได้หันมาลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กแทน เนื่องจากหุ้นดังกล่าวไม่ได้รับกระทบจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของนักวิเคราะห์ที่ยังแนะนำให้นักลงทุนเก็งกำไรหุ้นขนาดเล็ก และรอเก็บหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานดีเข้าพอร์ตหากราคาปรับลดลงค่อนข้างลึกแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (22 พ.ย.) หลังจากที่มีแรงเทขายออกมาของนักลงทุนทำให้หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กหลายตัวราคาพลิกกลับมาเคลื่อนไหวคึกคักขึ้น อาทิ BWG ปิดที่ระดับ 6.95 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท SALEE ปิดที่ระดับ 5.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท TRC ปิดที่ระดับ 4.88 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท TYM ปิดที่ระดับ 3.78 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท โดยในช่วงชั่วโมงการซื้อขายราคาได้ปรับเพิ่มขึ้นไปสูงสุดถึง 4.20 บาท ก่อนจะอ่อนตัวลงมาปิดที่ราคาลดลงดังกล่าว TWZ ปิดที่ระดับ 14.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท TNDT ปิดที่ระดับ 9.60 บาท เพิ่มขึ้น 0.45 บาท UMS เพิ่มขึ้นปิดที่ 26.00 เพิ่มขึ้น 2.10 บาท SAM เพิ่มขึ้น 2.64 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท รวมทั้ง UNIQ ปิดที่ระดับ 3.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.16 บาท
- ไซรัส แนะทยอยเก็บหุ้นใหญ่หลังดัชนีฯหลุด 800 จุด และเก็งกำไรหุ้นเล็ก
นางสาวสิริณัฏฐา เตชะศิริวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงหลุดระดับ 800 จุด หลังปัญหาซับไพร์มที่ยังลุกลามเศรษฐกิจสหรัฐ ได้ส่งผลทางจิตวิทยาการลงทุนให้นักลงทุนเทขายทำกำไรเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียงจากภาวะตลาดฯ ที่ผันผวน และต้องการนำเงินไปชำระในส่วนตราสารหนี้ที่ได้ขาดทุนจากซัพไพร์ม รวมทั้งดัชนีภูมิภาคเอเชียที่ส่วนใหญ่ก็ได้ปรับตัวอยู่แดนลบ จึงยิ่งเป็นกดดันให้ดัชนีฯ เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน
โดยกลยุทธ์การลงทุน เมื่อดัชนีฯหลุดจาก 800 จุดไปแล้ว แนะนำนักลงทุนระยะยาวให้ซื้อในหุ้น PTT-PTTEP-SCB-BBL-ADVANC เนื่องจากเป็นกลุ่มหุ้นที่ปรับลดลงตามแรงกดดันของซับไพร์มเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องปัจจัยพื้นฐาน อีกทั้งหุ้นกลุ่มดังกล่าวนี้มีผลการดำเนินงานที่ค่อนดี และมีแนวโน้มที่ราคาหุ้นวิ่งกลับมาได้ ส่วนการลงทุนระยะสั้นแนะนำให้นักลงทุนเลือกซื้อในหุ้นขนาดเล็ก เพราะไม่ได้รับแรงกดดันด้านจิตวิทยาการลงทุนเช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ที่ราคาดิ่งลดลงตามทิศทางตลาดภูมิภาคเชีย อีกทั้งเป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างชาติไม่ได้เลือกนิยมจะเข้ามาลงทุน จึงไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่นักลงทุนต่างชาติเร่งขายทำกำไรเพื่อนำเงินไปชำระในส่วนตราสารหนี้ที่ได้ขาดทุนจากปัญหาซับไพร์ม หรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากภาวะดัชนีฯ ที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
โดยแนะนำให้นักลงทุนซื้อ บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (QH) บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) (DEMCO) และบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) (BJC) เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวนี้ มีผลการดำเนินงานในช่วงสิ้นปี 2550 ออกมาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะ QH ที่เป็นบริษัทที่มีผลการดำเนินงานเติบโตได้โดดเด่นมากที่สุดในกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ และเป็นบริษัทที่จะมีการเปิดโครงการใหม่เพื่อสร้างรายได้ในช่วงปีหน้าออกมาได้มากที่สุด
- บล.นครหลวงไทย แนะเล่นหุ้นเล็กหลบแรงขายต่างชาติ
นางสาวมยุรี โชวิกรานต์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย กล่าวถึงดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงนี้ว่า ดัชนีฯอาจแกว่งตัวอยู่ในกรอบแคบๆเนื่อง
จากยังขาดปัจจัยบวกใหม่ที่จะกระตุ้นบรรยากาศการลงทุนอย่างชัดเจน ในขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงถูกกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากวิกฤตซับไพร์ม นอกจากนี้มูลค่าการซื้อขายที่เบาบางก็สะท้อนว่านักลงทุนยังไม่กล้าเข้ามาลงทุนเต็มตัวเพราะหวั่นเกรงผลกระทบของปัญหาซับไพรม์และแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่อาจมีออกมาต่อเนื่อง ซึ่งฉุดให้ดัชนีฯเคลื่อนไหวได้ไม่ไกลนัก
กลยุทธ์การลงทุน แนะหลีกเลี่ยงหุ้นที่มาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่เพราะมีความเสี่ยงจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติ และแนะนำเก็งกำไรหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล เนื่องจากปลอดภัยจากความผันผวนของภาวะตลาด โดยเฉพาะหุ้น BGH รวมไปถึงเก็งกำไรหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดกลางถึงขนาดเล็กที่ผลประกอบการไตรมาส3/2550 ออกมาเติบโตดี เช่น SAT
- พัฒนสิน แนะเก็งกำไร UNIQ-BWG หลบตลาดฯผันผวน
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า ภาวะตลาดฯที่ผันผวนอยู่ในขณะนี้ และมีแรงเทขายทำกำไรออกมาในหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ หากนักลงทุนสนใจหุ้นขนาดเล็กนั้น สามารถเก็งกำไรได้ แต่อย่างไรก็ตามให้ระมัดระวัง โดยแนะนักลงทุนให้เก็งกำไรในกรอบ เนื่องจากหุ้นที่มีพื้นฐานดี ราคาหุ้นยังปรับตัวลดลงได้
ซึ่งหุ้นขนาดเล็กที่แนะนำให้นักลงทุนเก็งกำไรได้ คือ หุ้นของบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีปันผลดี สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะเก็งกำไรในกรอบ โดยประเมินแนวรับที่ 3.16 บาท และแนวต้านที่ 3.50-3.56 บาท
และหุ้นของบริษัท บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน)หรือ BWG กลยุทธ์การลงทุนแนะนำนักลงทุนเก็งกำไรในกรอบ โดยประเมินแนวรับที่ 6.50 บาท และแนวต้านที่ 7.45 บาท
- สมาคมนักวิเคราะห์ ลุ้นดัชนีฯแตะ 900 จุด หลังเลือกตั้ง หวัง DECEMBER EFFECT หนุน
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปถึง 900 จุด ในช่วงหลังการเลือกตั้งวันที่ 23 ธันวาคมนี้ หรืออาจจะคาบเกี่ยวไปถึงต้นปีหน้า เนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคม จะมีเหตุการณ์ December Effect ขณะเดียวกันเชื่อนักลงทุนส่วนใหญ่คาดหวังเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะจะได้รัฐบาลชุดใหม่มาบริหารประเทศ ซึ่งน่าจะมีความคล่องตัวในการบริหารเศรษฐกิจมากกว่ารัฐบาลชั่วคราว ทำให้น่ามีแรงซื้อเข้ามา
นอกจากนี้ จากสถิติของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่ได้เก็บข้อมูลพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในรอบ 4 ปีที่ผ่านมาพบว่านักลงทุนต่างชาติจะขายหุ้นประมาณ 5-6 รอบ ในแต่ละรอบจะขายสุทธิประมาณ 2.6-5.5 หมื่นล้านบาทและจะมีระยะเวลาต่อเนื่องประมาณ 1-2 เดือน ดังนั้นจึงเชื่อว่าการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติใน 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงน่าจะใกล้ครบรอบการขายหุ้นแล้วก่อนที่จะกลับเข้ามาซื้อใหม่ในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง'เดือนธ.ค.จะมีทั้ง December Effect และมีประเด็นเรื่องการเลือกตั้ง หุ้นจึงน่าจะปรับตัวขึ้นมาได้ก่อนกลางเดือนธ.ค.เพราะตอนนั้นฝรั่งคงขายจนสุกงอมแล้วน่าจะเป็นจังหวะที่กลับเข้ามาซื้อและอาจจะทำให้ดัชนีฯมีลุ้นที่ 900 จุด'นายสมบัติ กล่าว
สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงมากในช่วงนี้ มีสาเหตุหลักเกิดจากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับปัญหาซับไพร์ม และความเสียหายของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่งจากการเข้าลงทุนในสินเชื่อซับไพร์ม ซึ่งเสียหายมากกว่าที่คาดไว้ จึงนำมาสู่การขายทำกำไรของนักลงทุนในหลายตลาด ไม่ใช่เฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ขณะที่ปัจจัยการเมืองแถบจะไม่มีผลกดดันดัชนีฯเลย
'ตัวแปรส่วนใหญ่คือเรื่องซับไพร์ม อีก 5% เป็นเรื่อง PTT ที่ศาลปกครองจะพิจารณานัดแรก 30 พ.ย.นี้ ส่วนการเมืองไม่แน่ใจว่านักลงทุนต่างชาติจะให้น้ำหนักเป็นลบ เพราะหลังเลือกตั้งไม่ว่าพรรคไหนได้เป็นรัฐบาลการทำงานย่อมคล่องตัวกว่ารัฐบาลชั่วคราว และเชื่อว่าเศรษฐกิจในปีหน้าจะกระเตื้อง จีดีพีจะโตมากกว่าปีนี้แน่นอน' นายสมบัติ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวต่อว่าจากการที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงค่อนข้างมากในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะสมที่นักลงทุนควรจะเข้าไปช้อนซื้อหุ้น เพราะจากการประเมินของสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ณ วันที่ 21 พ.ย. 50(SET เท่ากับ 807.58 จุด) พบว่าหุ้นบลูชิพมีราคาปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานประมาณ 15-20% แล้ว ซึ่งนอกจากราคาจะต่ำกว่ามูลค่าแล้ว หุ้นบลูชิพหลายตัวล้วนมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลดี และ P/E ต่ำ
'ในช่วงเดือนนี้ก็เป็นจังหวะที่จะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นบลูชิพเพราะมีหลายตัวที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานและยังมีการจ่ายปันผลในระดับที่ดี'นายสมบัติ
กล่าว
มูลค่าการซื้อ-ขายสุทธิของต่างชาติช่วงวันที่ 1-22 พ.ย.
วันที่ มูลค่าการซื้อ(ขาย) สุทธิ หน่วยลบ.
1 1,031.66
2 (2,699.17)
5 (5,229.43)
6 (3,938.82)
7 1,037.22
8 (2,538.98)
9 32.2
12 (4,550.77)
13 (2,918.18)
14 (609.43)
15 (915.58)
18 (1,701.86)
19 (2,391.68)
20 (4873.91)
21 (3,959.37)
22 (2,575.71 )