ขำ ขำ กับ invisible hand
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ขำ ขำ กับ invisible hand
โพสต์ที่ 1
8) เมื่อสักครู่แวะไปอ่านกระทิงเขียว
ว่าจะโพสหลายครั้งแล้ว ก็ลืม
ผมว่าพี่ih ของน้องๆชาววีไอ วีเอส วีเอสโอพี
แกจัดว่า หนึ่งไม่มีสอง รองใคร ในแง่ฝีไม้ลายมือ
ผมชอบแกที่โพสแบบมีเมตตามากๆ
ไม่เคยว่าใครแม้ซักน้อย ให้เห็น
คุมเกมอยู่ตลอด แสดงว่าเป็นพวกมีสติตลอด ไม่มีหลุด
แต่ที่สังเกตุเห็น และชอบมากที่สุด
คือแกมีอารมณ์ขัน แทรกด้วยในหลายๆครั้งที่อารมณ์ดี
วันนี้มีมุขพี่ ih มาฝากพวกเราเผื่อใครไม่ได้อ่าน
ได้ทั้งประโยชน์สำหรับพวกเรามือใหม่ ที่กำลังแกว่ง
ที่ตลาดรวมมันหล่นปุ๊ ลงมาทุกๆวัน
พอร์ตที่มีอยู่ ก็ลดค่าลงไปทุกวัน
คงกะลังนั่งถามตัวเอง อยู่ว่าตรูทำไงดีฟะ
ลองอ่านดูครับ เผื่อจะเจอคำตอบที่กำลังค้นหา
ถึงไม่เจอ ก็ต้องหัวเราะ ขำกับมุขของพี่เขา....ฮ่า...
ว่าจะโพสหลายครั้งแล้ว ก็ลืม
ผมว่าพี่ih ของน้องๆชาววีไอ วีเอส วีเอสโอพี
แกจัดว่า หนึ่งไม่มีสอง รองใคร ในแง่ฝีไม้ลายมือ
ผมชอบแกที่โพสแบบมีเมตตามากๆ
ไม่เคยว่าใครแม้ซักน้อย ให้เห็น
คุมเกมอยู่ตลอด แสดงว่าเป็นพวกมีสติตลอด ไม่มีหลุด
แต่ที่สังเกตุเห็น และชอบมากที่สุด
คือแกมีอารมณ์ขัน แทรกด้วยในหลายๆครั้งที่อารมณ์ดี
วันนี้มีมุขพี่ ih มาฝากพวกเราเผื่อใครไม่ได้อ่าน
ได้ทั้งประโยชน์สำหรับพวกเรามือใหม่ ที่กำลังแกว่ง
ที่ตลาดรวมมันหล่นปุ๊ ลงมาทุกๆวัน
พอร์ตที่มีอยู่ ก็ลดค่าลงไปทุกวัน
คงกะลังนั่งถามตัวเอง อยู่ว่าตรูทำไงดีฟะ
ลองอ่านดูครับ เผื่อจะเจอคำตอบที่กำลังค้นหา
ถึงไม่เจอ ก็ต้องหัวเราะ ขำกับมุขของพี่เขา....ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ขำ ขำ กับ invisible hand
โพสต์ที่ 2
8) มีพี่golden pig เขียนไปถามดังนี้
"ปัญหาจะคล้ายปี 40 หรือไม่ แม้ธนาคารกลางอัดฉีดสภาพคล่อง ธนาคารพาณิชย์มีเงิน แต่กลับไม่ปล่อยกู้ในสินทรัพย์เสี่ยง เพราะสินทรัพย์กำลังด้อยมูลค่าลง ทำให้วงจรธุรกิจชะงัก ดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น
(เนื่องจากไม่แบงค์ไ่ม่ปล่อยกู้) เศรษฐกิจชะงักงัน
สภาวะนั้นถ้าเรามีเงินควรจะำทำอะไร จะฝากแบงค์กินดอกเบี้ย หรือ ซื้อทองคำเก็บไว้ดี
ควรถือหุ้นหรือไม่"
"ปัญหาจะคล้ายปี 40 หรือไม่ แม้ธนาคารกลางอัดฉีดสภาพคล่อง ธนาคารพาณิชย์มีเงิน แต่กลับไม่ปล่อยกู้ในสินทรัพย์เสี่ยง เพราะสินทรัพย์กำลังด้อยมูลค่าลง ทำให้วงจรธุรกิจชะงัก ดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น
(เนื่องจากไม่แบงค์ไ่ม่ปล่อยกู้) เศรษฐกิจชะงักงัน
สภาวะนั้นถ้าเรามีเงินควรจะำทำอะไร จะฝากแบงค์กินดอกเบี้ย หรือ ซื้อทองคำเก็บไว้ดี
ควรถือหุ้นหรือไม่"
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ขำ ขำ กับ invisible hand
โพสต์ที่ 3
8) พี่ih แกตอบดังนี้ครับ
มุขแกอยู่ตอนท้ายเลยนะ ใจเย็นๆ
"ปัญหาในปี 40 เกิดจากปัญหาหลักคือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจภายในประเทศเราเอง แต่ตอนนี้ปัญหาโครงสร้างในประเทศไม่ได้มีนัยสำคัญ แต่อาจจะมีปัญหาในระดับโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐ ผมจึงมองว่าปัญหาในประเทศย่อมรุนแรงกว่าการที่ปัญหาเกิดนอกประเทศแล้วลามมาบ้านเรา ยกตัวอย่างเช่น ตอนเราเกิดปัญหาตอนปี 40 ประเทศที่โครงสร้างไม่มีปัญหาก็ได้รับผลกระทบจากเราแต่ก็จะฟื้นเร็วกว่าเรา แต่ถ้าเกิดปัญหาจริงๆ รอบนี้ผลกระทบอาจจะลามได้มากและหนักหน่วงเพราะประเทศที่เป็น ผู้ส่งออก ปัญหาคราวนี้ไม่ได้เล็กๆ แบบประเทศไทยหรืออินโดฯ แต่เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐ
ผมมองว่าดอกเบี้ยในตลาดโลกก็มี cycle ของมันตามวัฎจักรเศรษฐกิจ ในอดีตดอกเบี้ยในโลกเคยสูงถึง 10% ก็มีแล้วดังนั้นโอกาสเกิดขึ้นอีกก็ต้องมีเช่นกัน ดังนั้นในอนาคตย่อมมีโอกาสที่จะเกิดช่วงสภาพคล่องโลกตึงตัวและดอกเบี้ยสูงขึ้นค่อนข้างแน่นอนแต่ปัญหาที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าเมื่อใด แต่ถ้าเรากลัวเกินไปคือ ขายหุ้นทั้งหมดแล้วไปฝากธนาคารและซื้อทองคำตั้งแต่ตอนนี้ แล้วหากเศรษฐกิจโลกตกต่ำไปเกิดในอีก 6 ปีข้างหน้าก็เท่ากับว่าเราเสียโอกาสการลงทุนไป 6 ปีเต็มๆ ผมจึงคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราควรจะยึดการลงทุนในธุรกิจที่น่าจะมีการเติบโตที่ดีในระยะยาว คือ น่าจะเติบโตได้มากกว่า GDP และมีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจต่ำ ซึ่งควรจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดในระดับหนึ่งไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงก็ตามครับ ส่วนสัญญาณเตือนเศรษฐกิจตกต่ำนั้น ผมสังเกตว่าก่อนเศรษฐกิจโลกตกต่ำนานๆ นั้น ตลาดหุ้นมักจะเป็นฟองสบู่ คือ p/e ตลาดจะขึ้นไประดับ 30-50 เท่า เช่น ตอนปี 1929 1969 2000 ( เฉพาะหุ้น high tech ) ดังนั้นถึงตอนนั้นถ้าหุ้นแพงขนาดนั้นเราคงจะต้องขายออกมาถือเงินสดกันพอสมควร ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเราควรจะต้องถือเงินสดเป็นหลักก่อนเศรษฐกิจถดถอยครับ อย่างกรณีของ Buffet ก็ได้ถือเงินสดพอสมควรในช่วงก่อนเศรษฐกิจถดถอยในทศวรรษ 70 อาจจะไม่ใช่เพราะ Buffet อ่าน cycle เศรษฐกิจถูกก็ได้ครับ แต่ตอนนั้น Buffet อาจจะคิดว่ามีเงินแต่ไม่มีหุ้นถูกๆ ให้ซื้อจึงถือเงินสดไว้ก่อน ซึ่งอาจจะต่างกับนักลงทุนอื่นๆ ที่อาจจะถือเงินสดไม่เป็นและกลัวตกรถมากเกินไปในช่วงตลาดฟองสบู่ใกล้แตกก็ได้ครับ
เศรษฐกิจบ้านเราย่ำแย่มาหลายปีแล้ว เรายังหวังว่าปีหน้าหลังมีการเลือกตั้งการเมืองอาจจะมีทิศทางดีขึ้น ความเชื่อมั่นจะดีขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยในปีหน้า เศรษฐกิจไทยก็คงเหนื่อยอีกแน่นอน และก็คงต้องเปลี่ยนสโลแกนเป็น ประชาชนต้องซวยก่อน แน่ๆ เลยครับ"
มุขแกอยู่ตอนท้ายเลยนะ ใจเย็นๆ
"ปัญหาในปี 40 เกิดจากปัญหาหลักคือ โครงสร้างทางเศรษฐกิจภายในประเทศเราเอง แต่ตอนนี้ปัญหาโครงสร้างในประเทศไม่ได้มีนัยสำคัญ แต่อาจจะมีปัญหาในระดับโครงสร้างของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐ ผมจึงมองว่าปัญหาในประเทศย่อมรุนแรงกว่าการที่ปัญหาเกิดนอกประเทศแล้วลามมาบ้านเรา ยกตัวอย่างเช่น ตอนเราเกิดปัญหาตอนปี 40 ประเทศที่โครงสร้างไม่มีปัญหาก็ได้รับผลกระทบจากเราแต่ก็จะฟื้นเร็วกว่าเรา แต่ถ้าเกิดปัญหาจริงๆ รอบนี้ผลกระทบอาจจะลามได้มากและหนักหน่วงเพราะประเทศที่เป็น ผู้ส่งออก ปัญหาคราวนี้ไม่ได้เล็กๆ แบบประเทศไทยหรืออินโดฯ แต่เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอย่างสหรัฐ
ผมมองว่าดอกเบี้ยในตลาดโลกก็มี cycle ของมันตามวัฎจักรเศรษฐกิจ ในอดีตดอกเบี้ยในโลกเคยสูงถึง 10% ก็มีแล้วดังนั้นโอกาสเกิดขึ้นอีกก็ต้องมีเช่นกัน ดังนั้นในอนาคตย่อมมีโอกาสที่จะเกิดช่วงสภาพคล่องโลกตึงตัวและดอกเบี้ยสูงขึ้นค่อนข้างแน่นอนแต่ปัญหาที่สำคัญคือเราไม่รู้ว่าเมื่อใด แต่ถ้าเรากลัวเกินไปคือ ขายหุ้นทั้งหมดแล้วไปฝากธนาคารและซื้อทองคำตั้งแต่ตอนนี้ แล้วหากเศรษฐกิจโลกตกต่ำไปเกิดในอีก 6 ปีข้างหน้าก็เท่ากับว่าเราเสียโอกาสการลงทุนไป 6 ปีเต็มๆ ผมจึงคิดว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราควรจะยึดการลงทุนในธุรกิจที่น่าจะมีการเติบโตที่ดีในระยะยาว คือ น่าจะเติบโตได้มากกว่า GDP และมีความผันผวนตามภาวะเศรษฐกิจต่ำ ซึ่งควรจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดในระดับหนึ่งไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นขาขึ้นหรือขาลงก็ตามครับ ส่วนสัญญาณเตือนเศรษฐกิจตกต่ำนั้น ผมสังเกตว่าก่อนเศรษฐกิจโลกตกต่ำนานๆ นั้น ตลาดหุ้นมักจะเป็นฟองสบู่ คือ p/e ตลาดจะขึ้นไประดับ 30-50 เท่า เช่น ตอนปี 1929 1969 2000 ( เฉพาะหุ้น high tech ) ดังนั้นถึงตอนนั้นถ้าหุ้นแพงขนาดนั้นเราคงจะต้องขายออกมาถือเงินสดกันพอสมควร ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับว่าเราควรจะต้องถือเงินสดเป็นหลักก่อนเศรษฐกิจถดถอยครับ อย่างกรณีของ Buffet ก็ได้ถือเงินสดพอสมควรในช่วงก่อนเศรษฐกิจถดถอยในทศวรรษ 70 อาจจะไม่ใช่เพราะ Buffet อ่าน cycle เศรษฐกิจถูกก็ได้ครับ แต่ตอนนั้น Buffet อาจจะคิดว่ามีเงินแต่ไม่มีหุ้นถูกๆ ให้ซื้อจึงถือเงินสดไว้ก่อน ซึ่งอาจจะต่างกับนักลงทุนอื่นๆ ที่อาจจะถือเงินสดไม่เป็นและกลัวตกรถมากเกินไปในช่วงตลาดฟองสบู่ใกล้แตกก็ได้ครับ
เศรษฐกิจบ้านเราย่ำแย่มาหลายปีแล้ว เรายังหวังว่าปีหน้าหลังมีการเลือกตั้งการเมืองอาจจะมีทิศทางดีขึ้น ความเชื่อมั่นจะดีขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยในปีหน้า เศรษฐกิจไทยก็คงเหนื่อยอีกแน่นอน และก็คงต้องเปลี่ยนสโลแกนเป็น ประชาชนต้องซวยก่อน แน่ๆ เลยครับ"
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ขำ ขำ กับ invisible hand
โพสต์ที่ 5
8) อีกมุข
ดังนั้นการลงทุนแบบ VI นั้นควรจะเลือกหุ้นที่สามารถถือได้ในเกือบทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศแล้วส่งผลมายังบ้านเราโดยที่เป็นระยะเวลาอันสั้น ที่ผ่านมาก็เช่น 911 ระเบิดที่ลอนดอน สงครามสหรัฐกับอิรัก หรือ sub prime หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราแต่ไม่ทำให้พื้นฐานหุ้นและเศรษฐกิจเปลี่ยนอย่างถาวร เช่น ซึนามิ ไข้หวัดนก เป็นต้น อย่างตอนที่มีระเบิดที่กรุงลอนดอนในปี 2547 นั้นวันที่มีระเบิดนั้นผมเดินทางถึงลอนดอนพอดี และนั่งดูราคาหุ้นตอนปิดตลาดลดลงเกือบทุกวัน แต่ท้ายสุดราคาหุ้นก็กลับมาได้เองเมื่อสถานการณ์เริ่มปกติ ในปีนั้นก็มีนักลงทุนบางคนตกใจขายหุ้นที่ราคาเกือบจะต่ำสุดเพราะความตกใจ เพื่อนนักลงทุนมือใหม่ขี้ตกใจคนหนึ่งไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อผมไม่ได้ขณะผมอยู่ที่ลอนดอนก็ตัดสินใจขายขาดทุนหุ้นตัวหนึงที่ถ้าถือถึงปัจจุบันก็ได้ 2 เท่ากว่าๆ เหตุผลหนึ่งที่ขายไปคงเพราะอาจจะคิดว่าผมจะเสียชีวิตไปแล้วจากเหตุการณ์ระเบิดไปเสียแล้วก็เป็นได้ครับ แต่ตอนนี้เพื่อนนักลงทุนท่านนี้ก็เป็นโรคตกใจน้อยลงแล้วและหมั่นเข้า course อบรม และอ่านหนังสือหาความรู้เพิ่มเติมเป็นระยะแล้วครับ
ดังนั้นการลงทุนแบบ VI นั้นควรจะเลือกหุ้นที่สามารถถือได้ในเกือบทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศแล้วส่งผลมายังบ้านเราโดยที่เป็นระยะเวลาอันสั้น ที่ผ่านมาก็เช่น 911 ระเบิดที่ลอนดอน สงครามสหรัฐกับอิรัก หรือ sub prime หรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราแต่ไม่ทำให้พื้นฐานหุ้นและเศรษฐกิจเปลี่ยนอย่างถาวร เช่น ซึนามิ ไข้หวัดนก เป็นต้น อย่างตอนที่มีระเบิดที่กรุงลอนดอนในปี 2547 นั้นวันที่มีระเบิดนั้นผมเดินทางถึงลอนดอนพอดี และนั่งดูราคาหุ้นตอนปิดตลาดลดลงเกือบทุกวัน แต่ท้ายสุดราคาหุ้นก็กลับมาได้เองเมื่อสถานการณ์เริ่มปกติ ในปีนั้นก็มีนักลงทุนบางคนตกใจขายหุ้นที่ราคาเกือบจะต่ำสุดเพราะความตกใจ เพื่อนนักลงทุนมือใหม่ขี้ตกใจคนหนึ่งไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อผมไม่ได้ขณะผมอยู่ที่ลอนดอนก็ตัดสินใจขายขาดทุนหุ้นตัวหนึงที่ถ้าถือถึงปัจจุบันก็ได้ 2 เท่ากว่าๆ เหตุผลหนึ่งที่ขายไปคงเพราะอาจจะคิดว่าผมจะเสียชีวิตไปแล้วจากเหตุการณ์ระเบิดไปเสียแล้วก็เป็นได้ครับ แต่ตอนนี้เพื่อนนักลงทุนท่านนี้ก็เป็นโรคตกใจน้อยลงแล้วและหมั่นเข้า course อบรม และอ่านหนังสือหาความรู้เพิ่มเติมเป็นระยะแล้วครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ขำ ขำ กับ invisible hand
โพสต์ที่ 6
8) มุขเหนือๆ
ผมเองได้อยู่ที่เชียงใหม่เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมชมกิจการที่ผมลงทุนไว้อีกระยะหนึ่ง เชียงใหม่เองก็เป็นเมืองที่น่าอยู่แห่งหนึ่งเพราะอากาศดี ตัวเมืองไม่ใหญ่นักสามารถวิ่งจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งด้วยถนนวงแหวนซึ่งเชียงใหม่มีถนนวงแหวนถึง 3 วง คนเชียงใหม่นั้นอัธยาศัยดี ผมถามอะไรก็ยินดีให้ข้อมูลอย่างเต็มใจ ภาษาเหนือเป็นภาษาที่ฟังไพเราะเพราะลงท้ายด้วย เจ้า ทำให้ดูอ่อนหวาน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจคือ น้ำใจในการขับรถไม่ค่อยต่างกับคนกรุงเทพฯ คือ ไม่ค่อยหยุดให้ทางกัน ซึ่งทำให้ผมสงสัยว่าคนเราเวลาเข้าไปอยู่หลังพวงมาลัยแล้วนิสัยจะเปลี่ยนเป็นคนละคนหรืออย่างไร เพราะอาจจะคิดว่าไม่มีใครเห็นหน้ามั้งครับ หลังจากคิดเช่นนี้ไม่นานก็ได้อ่านข่าวนักร้องชายชื่อดังไปมีเรื่องบนท้องถนนเพราะเริ่มต้นจากการบีบแตรกัน ก็เลยทำให้รู้สึกว่าคนเราเวลาอยู่บนถนนนั้นนิสัยคงเปลี่ยนไปจริงๆ น่ะครับ
ผมเองได้อยู่ที่เชียงใหม่เพื่อพักผ่อนและเยี่ยมชมกิจการที่ผมลงทุนไว้อีกระยะหนึ่ง เชียงใหม่เองก็เป็นเมืองที่น่าอยู่แห่งหนึ่งเพราะอากาศดี ตัวเมืองไม่ใหญ่นักสามารถวิ่งจากฟากหนึ่งไปอีกฟากหนึ่งด้วยถนนวงแหวนซึ่งเชียงใหม่มีถนนวงแหวนถึง 3 วง คนเชียงใหม่นั้นอัธยาศัยดี ผมถามอะไรก็ยินดีให้ข้อมูลอย่างเต็มใจ ภาษาเหนือเป็นภาษาที่ฟังไพเราะเพราะลงท้ายด้วย เจ้า ทำให้ดูอ่อนหวาน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจคือ น้ำใจในการขับรถไม่ค่อยต่างกับคนกรุงเทพฯ คือ ไม่ค่อยหยุดให้ทางกัน ซึ่งทำให้ผมสงสัยว่าคนเราเวลาเข้าไปอยู่หลังพวงมาลัยแล้วนิสัยจะเปลี่ยนเป็นคนละคนหรืออย่างไร เพราะอาจจะคิดว่าไม่มีใครเห็นหน้ามั้งครับ หลังจากคิดเช่นนี้ไม่นานก็ได้อ่านข่าวนักร้องชายชื่อดังไปมีเรื่องบนท้องถนนเพราะเริ่มต้นจากการบีบแตรกัน ก็เลยทำให้รู้สึกว่าคนเราเวลาอยู่บนถนนนั้นนิสัยคงเปลี่ยนไปจริงๆ น่ะครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า