ทุนโลกป่วนหุ้นไทย"ซึมลึก" โบรกส่งสัญญาณ "รอซื

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
vichit
Verified User
โพสต์: 15833
ผู้ติดตาม: 0

ทุนโลกป่วนหุ้นไทย"ซึมลึก" โบรกส่งสัญญาณ "รอซื

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ทุนโลกป่วนหุ้นไทย"ซึมลึก" โบรกส่งสัญญาณ "รอซื้อ"

โบรกเกอร์ส่งสัญญาณนักลงทุนรอจังหวะซื้อหุ้น หลังประเมินบรรยากาศการลงทุนอาจซึมลึกถึงระดับ 830-840 จุด เลวร้ายสุดๆ อาจแตะระดับ 730 ผลพวงตลาดหุ้นทั่วโลกชะลอตัวต่อเนื่อง บวกกับค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่า และเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลกระแสเงินทุนไหลออก 2 หมื่นล้านแล้ว



แนะกลับไปค้นหุ้น "ปลอดภัยสูง" เช่น หุ้นปันผล หุ้น Defensive และหุ้นพลังงานน้ำมัน

นับแต่เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน 2550 เรื่อยมา หุ้นไทยปรับตัว "ลดลง" อย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบปัจจัยเสี่ยงภายนอกรุมเร้ารอบด้าน จนมีผลให้ "เม็ดเงินทุน" (ฟันด์โฟลว์) ต่างชาติ ที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและตลาดเกิดใหม่ รวมถึงตลาดหุ้นไทย มาแต่ต้นปี เริ่มมีสภาพคล่อง "หดหาย" ..

ถ้าย้อนดูตัวเลขเงินทุนต่างชาติ ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ถึง 12 พฤศจิกายน 2550 พบว่า เม็ดเงินทุนที่ไหลเข้าต่อเนื่อง (ยกเว้นเดือนสิงหาคม ที่มีเงินไหลออกไป 1,127 ล้านเหรียญ เพียงครั้งเดียวของปี) เริ่มเปลี่ยนทิศทางเป็น ขายออก คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 532 ล้านเหรียญ หรือราว 1.8 หมื่นล้านบาท

เทียบกับสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ยังมีเงินทุนไหลเข้าอยู่ 512 ล้านเหรียญ หรือ 1.74 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้เม็ดเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติยังเป็นบวก หรือยังมีเม็ดเงินอยู่ในหุ้นไทยอีก 3,047 ล้านเหรียญ หรือราว 1.04 แสนล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้ขายทำกำไรหุ้น

ในมุมมองของนักวิเคราะห์ ประเมินว่า โอกาสที่เม็ดเงินดังกล่าวจะไหลออกอย่างต่อเนื่องในเดือนพฤศจิกายนจนถึงต้นเดือนธันวาคม อดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปัจจัยลบที่ทำให้ตลาดหุ้นภูมิภาค ตลอดจนหุ้นไทยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง มาจากการปรับตัวลงต่อเนื่องของตลาดหุ้นทั่วโลก จากปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐ ตลอดจนการที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง

การปรับตัวลงของตลาดหุ้นภูมิภาคและหุ้นไทย เป็นไปตามการปรับตัวลงของหุ้นทั่วโลก (Global Slowdown) และผลของค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลง

เช่นเดียวกับฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันซ่า ประเมินว่า ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลง เป็นเพราะตลาดได้รับแรงกดดันจากสภาพคล่องที่หดหาย จากการไหลของเงินทุนกลับเข้าไปยังสหรัฐ เพื่อไถ่ถอนหน่วยลงทุน หรือลดความเสี่ยงของนักลงทุนต่างชาติ

ประกอบกับการปิดสถานะ (Position) เงินกู้สกุลเยนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าเงินเยน (JPY) ของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้น ทำให้นักลงทุนต้องลดพอร์ตการลงทุนในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ทั่วโลก โดยเฉพาะตลาดหุ้นจีน ซึ่งคาดว่าจะได้รับผลกระทบหนักสุด

การที่ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น 112 เยนต่อดอลลาร์ สวนทางกับค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่า จึงทำให้กองทุนเฮดจ์ที่กู้ยืมเงินเยนมาลงทุนในสหรัฐ มีต้นทุนกู้ยืมสูงขึ้น นักลงทุนจึงต้องขายหุ้นออก เพื่อรีบนำเงินไปคืนเงินกู้ อดิพงษ์กล่าว

แนวโน้มหุ้นไทยในมุมมองของนักวิเคราะห์ต่างเห็นสอดคล้องกันว่า ตลาดหุ้นไทยจะเกิดการแกว่งตัวรุนแรง จากผลการเคลื่อนย้ายของเม็ดเงินทุน โดยประเมินว่า ดัชนีหุ้นจะมีการปรับตัวลดลงไม่น้อยกว่า 10-15% จากจุดสูงสุดที่เคยทำไว้ก่อนหน้า

เราคาดว่าตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นทั่วโลก จะเกิดการ "แกว่งตัวขาลง" (Sideway Down) คาดจะปรับลดลง 10-15% จากจุดสูงสุดของแต่ละตลาด นักวิเคราะห์จาก บล.ฟินันซ่า ประมาณการ

จักรกริช เจริญเมธาชัย รองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟินันซ่า ประเมินดัชนีหุ้นไทยจะมีโอกาสที่จะซึมลงมาสู่ระดับ 840 จุด โดยสมมติฐานปรับตัวลงครึ่งหนึ่งของการปรับตัวลงจากปัญหาซับไพรม์ในช่วงเดือนกรกฎาคม หรือราว 9% จาก 924.7 จุด

ไม่ต่างจากฝ่ายวิเคราะห์ บล.ไทยพาณิชย์ ที่ประเมินว่า โดยเฉลี่ยหุ้นไทยจะปรับฐานลงครึ่งทางของจุดสูงสุดที่หุ้นเคยทำไว้

เรามองภาพตลาดว่าจะ Bearish อย่างดี ตลาดหุ้นไทยจะปรับฐานลงไปครึ่งทางจากจุดสูงสุดลงไป 830 จุด แต่หากเกิดเหตุการณ์เลวร้าย เกิดวิกฤติการเงินโลก หุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวลงไปถึง 730 จุดได้ อดิพงษ์ประเมิน

อย่างไรก็ตาม โอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะรีบาวด์ หรือปรับตัวขึ้นก็มีเช่นกัน ขึ้นอยู่กับผลการประชุมของเฟดที่คาดกันว่าจะปรับลดดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอีกครั้ง โดยต้องรอผลประชุมในวันที่ 11 พฤศจิกายนนี้

หากเฟดปรับลดดอกเบี้ย ตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสปรับขึ้นอีกครั้งในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน

ภาพของตลาดหุ้นไทยในช่วงเวลาที่เหลือ จึงเป็นการแกว่งตัว ขึ้นลงค่อนข้างรุนแรง ตามตลาดหุ้นโลก

คำแนะนำการลงทุนท่ามกลางกระแสเงินทุนไหลออก อดิพงษ์แนะนำว่า ให้แบ่งเงินลงทุน ลงทุนในหุ้นน้อยกว่าเดิม หรือเพียง 50% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือให้เก็บเป็นเงินสดไว้

ด้านเงินลงทุนในพอร์ตหุ้น เขาแนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่ ปลอดภัย โดยเน้นหุ้นที่จ่ายปันผลดี เช่น หุ้น SCC, DELTA และ ROJANA

เราคาดว่าหุ้นที่ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงจะปรับตัวได้ดี จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า หุ้นที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงจะสามารถปรับตัว Outperform ตลาดได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงปีต่อไป ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำไรงวด 9 เดือนที่ประกาศออกมาช่วงเดือนพฤศจิกายน ส่งสัญญาณถึงเงินปันผลที่จะจ่ายตลอดทั้งปี

เขายังแนะนำให้นักลงทุนโยกลงทุนออกจากกลุ่มธนาคาร กลับเข้าหุ้นพลังงานขั้นต้น

อดิพงษ์บอกว่า ช่วงปลายเดือนตุลาคม นักลงทุนสถาบันบางแห่งขายทำกำไรหุ้นพลังงานและสวิตช์เข้าหุ้นแบงก์ แต่มาถึงตอนนี้เราเห็นว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้น จะทำให้หุ้นพลังงานน่าสนใจ

หากดัชนีหุ้นปรับตัวลงถึง 800 จุดต้นๆ ก็เป็นโอกาสเลือกหุ้นอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการเข้าซื้อหุ้นพลังงาน ซึ่งเราคิดว่าราคาน้ำมันจะสูงขึ้นอีก จึงแนะนำให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นพลังงานใต้ดิน อย่างน้ำมันและถ่านหิน เช่น PTTEP BANPU

รองลงมา ให้เลือกหุ้นพลังงานบนดิน อย่างหุ้นโรงไฟฟ้า โรงกลั่น เช่น RATCH, EGCO

ตามด้วยหุ้นที่มีโอกาสดีและธุรกิจแข็งแกร่ง อย่าง "BEC" หรือหุ้นที่พึ่งพาเศรษฐกิจโลกแต่ราคาเป็นขาขึ้น เช่น "CPF"

อย่างไรก็ตาม เขาไม่แนะนำให้ลงทุนในหุ้นแบงก์พาณิชย์ ซึ่งยังไม่มีปัจจัยบวกสนับสนุน

ด้านจักรกริช จาก บล.ฟินันซ่า ให้คำแนะนำ "ซื้อลงทุน" เมื่อดัชนีตลาดปรับตัวลงไปสู่ระดับต่ำกว่า 840 จุด ด้วยการแบ่งเงินลงทุนเพียง 50% ของพอร์ตลงทุน ในหุ้นเด่น 9 บริษัท เช่น หุ้น PTT, BANPU, TOP, PTTCH, ITD, QH, KBANK, BAY และ BSEC

ตลาดหุ้นไทยท่ามกลางความเสี่ยงของกระแสเงินทุนโลกตลอดปีนี้ นักลงทุนเองก็จำเป็นต้องปรับจังหวะการลงทุนให้เข้า-ออก ให้ทันสถานการณ์ลงทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยเช่นกัน ...

+++


"จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า หุ้นที่ให้ผลตอบแทนปันผลสูงจะสามารถปรับตัว Outperform ตลาดได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงปีต่อไป"
โพสต์โพสต์