ตลาดหุ้นไทย 'ไอ้ปลาดุก' โตแต่หัว ตัวไม่เกี่ยว
- vichit
- Verified User
- โพสต์: 15833
- ผู้ติดตาม: 0
ตลาดหุ้นไทย 'ไอ้ปลาดุก' โตแต่หัว ตัวไม่เกี่ยว
โพสต์ที่ 1
ตลาดหุ้นไทย 'ไอ้ปลาดุก' โตแต่หัว ตัวไม่เกี่ยว
ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ยุค 'ไอ้ปลาดุก' หลังนักลงทุนแห่ลุยบิ๊กแคป เหตุเป็นที่ต้องตานัก
ลงทุนต่างชาติ นำทีมโดยหุ้นตระกูล ปตท. ปล่อยลอยแพหุ้นกลาง - เล็กตามยถากรรม วอลุ่มเทรด
เบาบาง 5 หุ้นสุด HOT ที่ NVDR ซื้อมากสุดนำโดย KBANK-BANPU-PTT-BBL-TOP วง
การเตือนหุ้นไทยตอนนี้มีความเสี่ยง หลังผูกขาดด้วยหุ้นพลังงานอย่างเดียว หากน้ำมันร่วง SET
อาจหัวทิ่ม แนะ นลท.ที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นรอดูสถานการณ์ไปก่อน ส่วนคนที่มีหุ้นหาจังหวะขายทำกำไร
ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ตลาดหุ้นสดใสซาบซ่าไม่มีที่ติ แถมได้อานิสงส์เงินทุนไหลเข้า หลังส่อแวว
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนค่า การถือ
ครองสินทรัพย์ตระกูลดอลลาร์ย่อมมีความเสี่ยง จึงทำให้ช่วงนี้หุ้นใหญ่ตระกูลครอบครัวปตท.มาทั้ง
แผง ท่ามกลางราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งกระฉูด พร้อมกับหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ไม่กี่ตัว
อย่าง PTT - PTTEP - TOP - BANPU - PTTCH แต่หุ้นที่เหลืออีก 400 กว่าตัวเป็นเพียงไม้
ประดับของตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ขณะที่ภาพใหญ่ หุ้นขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งเป็นชนหมู่มาก ราคา
กบดานนิ่ง วอลุ่มเทรดแห้งเหี่ยว
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือน ภาพลวงตา มาร์เก็ตแคปโตแต่หัว ดั่งหัวปลาดุกที่เติบ
โตทุกวัน ขณะที่ลำตัวตลอดหางเนื้อมาแห้งจนติดกระดูก ซึ่งคนในวงการหลักทรัพย์ต่างเซ็งแส่ว่า
ปลาดุกตัวนี้(ตลาดหุ้นไทย)พิการ เพราะนักลงทุนตื่นเช้ามา คิดอย่างเดียว อยากได้เงิน ได้กำไร ก็
ซื้อหุ้นครอบครัวปตท.เท่านั้น ส่วนหุ้นในพอร์ตขนาดกลาง เล็ก มีไว้ประดับพอร์ตเท่านั้น แถมนับ
วันมูลค่าน้อยลงอีกต่างหาก
ขณะที่ 2 วันทำการที่ผ่านมา ( 26 ต.ค. และ 29 ต.ค.50) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ
7,051.24 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 1,235.67 ล้านบาท ด้านนักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ
5,815.52 ล้านบาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ฟา
ร์อีสท์ เปิดเผยว่า นักลงทุนที่ซื้อหุ้นขนาดเล็กช่วงนี้จะไม่ได้กำไร เพราะเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้น
ทั่วโลก และตลาดหุ้นไทย หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนที่ถือครองสินทรัพย์สกุล
ดอลลาร์จะด้อยค่า ซึ่งเม็ดเงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามามักวื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ สังเกต
ได้จากการซื้อหุ้นของ NVDR ในช่วงที่ผ่านมาจะซื้อแต่หุ้นขนาดใหญ่
'ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นมาระดับ 915 จุด เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะหุ้นใหญ่ขึ้น หุ้น
ขนาดเล็กจะขึ้น ตอ่เมื่อหุ้นขนาดใหญ่ปรับฐาน จะเล่นหุ้นเล็กต้องรอ ตลาดหุ้นเหมือนเส้นด้าย
เพราะปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะแรงซื้อหุ้นพลังงาน ถ้าราคาน้ำมันไม่ลงฮวบฮาบ อาจมีปรับ
ฐาน แต่ก็ยังยืนเหนือ 90 บาร์เรล / วัน แต่ประเทศไทยยังมีปัจจัยเลือกตั้ง และการปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยเฟด ' นายวีระชัยกล่าว
นายวีระชัย กล่าวต่อว่า เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่หุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อเก็ง
กำไรหุ้นพลังงาน เพราะหุ้นพลังงานมีน้ำหนักในการคำนวณดัชนีฯมาก มูลค่าตลาดรวม(มาร์เก็ต
แคป)หุ้นพลังงานใหญ่มาก จึงเป็นตัวชี้นำดัชนีฯ แม้ว่าราคาน้ำมันจะไม่มีน้ำโน้มปรับตัวลดลง
เพราะล่าสุดน้ำมันดิบในตลาดสิงคโปร์ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ความตรึง
เครียดในอิรัก รวมทั้งแรงเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์ ทำให้น้ำมันดิบยังทรงตัวในระดับสูง แต่หากวัน
หนึ่งสถานการณ์เหล่านี้เริ่มคลี่คลาย ราคาหุ้นอาจปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ดี หากนักลงทุนต้องการเล่นเก็งกำไรหุ้นพลังงาน ดังนั้น แนะนำนักลงทุนที่ไม่มี
หากเข้าซื้อตอนนี้ถือว่าเสี่ยงเกินไป เพราะในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวราคา
ปรับขึ้นไป 50-70% แล้ว เช่น PTT ราคาหุ้นวันที่ 17 ส.ค.50 ปิดที่ 272 บาท เปรียบเทียบกับ
ราคาปิดวานนี้( 29 ต.ค.) ที่ 440 บาท เพิ่มขึ้น 61% PTTEP ราคาหุ้นวันที่ 17 ส.ค.50 ปิดที่
109 บาท เปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้( 29 ต.ค.) ที่ 170 บาท เพิ่มขึ้น 55.96% TOP ราคา
หุ้นวันที่ 17 ส.ค.50 ปิดที่ 252 บาท เปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้( 29 ต.ค.) ที่ 440 บาท เพิ่ม
ขึ้น 82.5% หากเมื่อไหร่ที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง อาจได้รับผลกระทบได้ และราคาหุ้นที่ปรับขึ้น
มาส่วนใหญ่เข้าใกล้ราคาเป้าหมายปี 2551 แล้ว
ทั้งนี้ จากการสำรวจการซื้อขายของบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (THAINVDR) เมื่อวัน
ที่ 26 ตุลาคม 2550 พบว่า อันดับแรกคือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)(KBANK) มูลค่า
การซื้อขายรวม 645.98 ล้านบาท อันดับที่สอง บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(PTT) มูลค่าการซื้อ
ขายรวม 637.77 ล้านบาท อันดับที่ 3 ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด(มหาชน) (BBL) มูลค่าการซื้อขาย
รวม 618.05 ล้านบาท
อันดับที่ 4 บริษัท บ้านปู จำกัด(มหาชน) (BANPU) มูลค่าการซื้อขาย 546.63 ล้านบาท
และอันดับที่ 5 บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ( DTAC ) มูลค่าการซื้อ
ขาย 516.26 ล้านบาท
ทั้งนี้ หุ้น 5 อันดับที่ THAINVDR ซื้อสุทธิ ได้แก่ อันดับแรก ธนาคารกสิกรไทย จำกัด
(มหาชน)(KBANK) ซื้อสุทธิ 545.98 ล้านบาท อันดับที่ 2 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)
(BANPU) ซื้อสุทธิ 469.17 ล้านบาท อันดับที่ 3 บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) (PTT) ซื้อสุทธิ
410.54 ล้านบาท
อันดับที่สี่ ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด(มหาชน) (BBL) ซื้อสุทธิ 367.18 ล้านบาท และอันดับ
ที่ 5 บริษัท ไทยออยส์ จำกัด(มหาชน) ซื้อสุทธิ 322.13 ล้านบาท
ส่วนหุ้น 5 อันดับที่ THAINVDR ขายมากที่สุดประจำวันที่ 26 ตุลาคม 2550 อันดับ
แรก ได้แก่ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ( DTAC ) ขายสุทธิ 264.55
ล้านบาท อันดับที่ 2 บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) ขายสุทธิ 90.09 ล้าน
บาท อันดับที่ 3 บริษัท อะโรเมติกส์ จำกัด(มหาชน)(ATC) ขายสุทธิ 83.19 ล้านบาท
และอันดับที่สี่ บริษัท แลนด์ แอนด์ แลนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)(LH) ขายสุทธิ 64.05
ล้านบาท อันดับที่ 5 ธนาคาร กรุงไทย จำกัด(มหาชน) (KTB) ขายสุทธิ 43.72 ล้านบาท
ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า
ดัชนีฯที่ปรับเพิ่มขึ้นในวันนี้กว่า 20 จุดโดยมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่เพียง
บางตัวนั้น อาทิ PTT-TOP-BANPU เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบใน
ตลาดโลกที่ทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง โดยปิดตลาดที่ราคา 91.86 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น1.40
ดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนมีแรงซื้อหุ้นพลังงานเข้ามา เนื่องจากได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่
ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหุ้นที่มีกลุ่มที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง
'ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีเฉพาะกลุ่มของพลังงาน แต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
โดยรวม ซึ่งหุ้นที่ได้รับผลกระทบคือ กลุ่มรับเหมา และกลุ่มขนส่ง'นายเทิดศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้มองแนวโน้มภาพรวมระยะกลางว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงอยู่ เนื่องจาก
ดัชนีฯตลาดปรับเพิ่มขึ้นแรงเกินไป
อย่างไรก็ดี หุ้นขนาดเล็ก ที่ไม่ได้รับความสนใจในการลงทุน อาจเป็นเพราะด้วยสภาวะ
ของตลาดฯที่อยู่ในช่วงขาขึ้น นักลงทุนจึงสนใจหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ นักลงทุนไม่ค่อยให้
ความสนใจในหุ้นขนาดเล็ก
สำหรับหุ้นขนาดใหญ่นั้นยังไม่แนะนำให้นักลงทุนที่สนใจเข้าซื้อ เนื่องจากราคายังอยู่ใน
ระดับสูง อย่างไรก็ตาม มีบางตัวที่นักลงทุนสามารถเข้าซื้อได้ คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
หรือ PTT และบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เนื่องจากมีพื้นฐานที่ดี
ทั้งนี้ หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก นั้นยังไม่แนะนำให้ลงทุน เนื่องจากมองว่ายังไม่มีหุ้น
ตัวไหนที่โดนเด่น
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า สาเหตุที่
หุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ อย่างหุ้นในกลุ่มพลังงานวันนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นตัวหนุนนำดัชนีตลาด
หลักทรัพย์ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยโดย
ราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนธันวาคม ที่ตลาดนิวยอร์ก ปิดตลาดที่ราคา 91.86
ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์
ทั้งนี้ มองว่าหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาความตึง
เครียดในตะวันออกกลาง และมีความกังวลว่าปริมาณอุปทานน้ำมันจะมีไม่เพียงพอกับความต้อง
การในช่วงฤดูหนาว จะส่งผลให้ราคาน้ำมันยังปรับตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งน่าจะส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม
พลังงานยังคงเป็นตัวนำดัชนีฯ อยู่ได้ โดยประเมินดัชนีฯ ปลายปีนี้ไว้ที่ 940-950 จุด
อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำซื้อลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานอยู่ อาทิ PTT-BANPU-TOP หุ้น
ในกลุ่มหลักทรัพย์ที่ อาทิ KGI-BLS และหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาทิ BBL-KBANK-SCB
ส่วนหุ้นขนาดกลางและเล็กแนะนำเก็งกำไรอาทิ หุ้น UMS และ LPN
ตลาดหุ้นไทยเข้าสู่ยุค 'ไอ้ปลาดุก' หลังนักลงทุนแห่ลุยบิ๊กแคป เหตุเป็นที่ต้องตานัก
ลงทุนต่างชาติ นำทีมโดยหุ้นตระกูล ปตท. ปล่อยลอยแพหุ้นกลาง - เล็กตามยถากรรม วอลุ่มเทรด
เบาบาง 5 หุ้นสุด HOT ที่ NVDR ซื้อมากสุดนำโดย KBANK-BANPU-PTT-BBL-TOP วง
การเตือนหุ้นไทยตอนนี้มีความเสี่ยง หลังผูกขาดด้วยหุ้นพลังงานอย่างเดียว หากน้ำมันร่วง SET
อาจหัวทิ่ม แนะ นลท.ที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นรอดูสถานการณ์ไปก่อน ส่วนคนที่มีหุ้นหาจังหวะขายทำกำไร
ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ตลาดหุ้นสดใสซาบซ่าไม่มีที่ติ แถมได้อานิสงส์เงินทุนไหลเข้า หลังส่อแวว
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์เริ่มอ่อนค่า การถือ
ครองสินทรัพย์ตระกูลดอลลาร์ย่อมมีความเสี่ยง จึงทำให้ช่วงนี้หุ้นใหญ่ตระกูลครอบครัวปตท.มาทั้ง
แผง ท่ามกลางราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งกระฉูด พร้อมกับหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ไม่กี่ตัว
อย่าง PTT - PTTEP - TOP - BANPU - PTTCH แต่หุ้นที่เหลืออีก 400 กว่าตัวเป็นเพียงไม้
ประดับของตลาดหุ้นไทยเท่านั้น ขณะที่ภาพใหญ่ หุ้นขนาดกลาง-เล็ก ซึ่งเป็นชนหมู่มาก ราคา
กบดานนิ่ง วอลุ่มเทรดแห้งเหี่ยว
ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือน ภาพลวงตา มาร์เก็ตแคปโตแต่หัว ดั่งหัวปลาดุกที่เติบ
โตทุกวัน ขณะที่ลำตัวตลอดหางเนื้อมาแห้งจนติดกระดูก ซึ่งคนในวงการหลักทรัพย์ต่างเซ็งแส่ว่า
ปลาดุกตัวนี้(ตลาดหุ้นไทย)พิการ เพราะนักลงทุนตื่นเช้ามา คิดอย่างเดียว อยากได้เงิน ได้กำไร ก็
ซื้อหุ้นครอบครัวปตท.เท่านั้น ส่วนหุ้นในพอร์ตขนาดกลาง เล็ก มีไว้ประดับพอร์ตเท่านั้น แถมนับ
วันมูลค่าน้อยลงอีกต่างหาก
ขณะที่ 2 วันทำการที่ผ่านมา ( 26 ต.ค. และ 29 ต.ค.50) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ
7,051.24 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ขายสุทธิ 1,235.67 ล้านบาท ด้านนักลงทุนทั่วไป ขายสุทธิ
5,815.52 ล้านบาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ฟา
ร์อีสท์ เปิดเผยว่า นักลงทุนที่ซื้อหุ้นขนาดเล็กช่วงนี้จะไม่ได้กำไร เพราะเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้น
ทั่วโลก และตลาดหุ้นไทย หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง นักลงทุนที่ถือครองสินทรัพย์สกุล
ดอลลาร์จะด้อยค่า ซึ่งเม็ดเงินต่างประเทศที่ไหลเข้ามามักวื้อหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ สังเกต
ได้จากการซื้อหุ้นของ NVDR ในช่วงที่ผ่านมาจะซื้อแต่หุ้นขนาดใหญ่
'ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นมาระดับ 915 จุด เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นเพราะหุ้นใหญ่ขึ้น หุ้น
ขนาดเล็กจะขึ้น ตอ่เมื่อหุ้นขนาดใหญ่ปรับฐาน จะเล่นหุ้นเล็กต้องรอ ตลาดหุ้นเหมือนเส้นด้าย
เพราะปัจจัยหลายอย่าง โดยเฉพาะแรงซื้อหุ้นพลังงาน ถ้าราคาน้ำมันไม่ลงฮวบฮาบ อาจมีปรับ
ฐาน แต่ก็ยังยืนเหนือ 90 บาร์เรล / วัน แต่ประเทศไทยยังมีปัจจัยเลือกตั้ง และการปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยเฟด ' นายวีระชัยกล่าว
นายวีระชัย กล่าวต่อว่า เป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งที่หุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น จากแรงซื้อเก็ง
กำไรหุ้นพลังงาน เพราะหุ้นพลังงานมีน้ำหนักในการคำนวณดัชนีฯมาก มูลค่าตลาดรวม(มาร์เก็ต
แคป)หุ้นพลังงานใหญ่มาก จึงเป็นตัวชี้นำดัชนีฯ แม้ว่าราคาน้ำมันจะไม่มีน้ำโน้มปรับตัวลดลง
เพราะล่าสุดน้ำมันดิบในตลาดสิงคโปร์ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสถานการณ์ความตรึง
เครียดในอิรัก รวมทั้งแรงเก็งกำไรของเฮดจ์ฟันด์ ทำให้น้ำมันดิบยังทรงตัวในระดับสูง แต่หากวัน
หนึ่งสถานการณ์เหล่านี้เริ่มคลี่คลาย ราคาหุ้นอาจปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ดี หากนักลงทุนต้องการเล่นเก็งกำไรหุ้นพลังงาน ดังนั้น แนะนำนักลงทุนที่ไม่มี
หากเข้าซื้อตอนนี้ถือว่าเสี่ยงเกินไป เพราะในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมาหุ้นขนาดใหญ่หลายตัวราคา
ปรับขึ้นไป 50-70% แล้ว เช่น PTT ราคาหุ้นวันที่ 17 ส.ค.50 ปิดที่ 272 บาท เปรียบเทียบกับ
ราคาปิดวานนี้( 29 ต.ค.) ที่ 440 บาท เพิ่มขึ้น 61% PTTEP ราคาหุ้นวันที่ 17 ส.ค.50 ปิดที่
109 บาท เปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้( 29 ต.ค.) ที่ 170 บาท เพิ่มขึ้น 55.96% TOP ราคา
หุ้นวันที่ 17 ส.ค.50 ปิดที่ 252 บาท เปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้( 29 ต.ค.) ที่ 440 บาท เพิ่ม
ขึ้น 82.5% หากเมื่อไหร่ที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลง อาจได้รับผลกระทบได้ และราคาหุ้นที่ปรับขึ้น
มาส่วนใหญ่เข้าใกล้ราคาเป้าหมายปี 2551 แล้ว
ทั้งนี้ จากการสำรวจการซื้อขายของบริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด (THAINVDR) เมื่อวัน
ที่ 26 ตุลาคม 2550 พบว่า อันดับแรกคือ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)(KBANK) มูลค่า
การซื้อขายรวม 645.98 ล้านบาท อันดับที่สอง บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน)(PTT) มูลค่าการซื้อ
ขายรวม 637.77 ล้านบาท อันดับที่ 3 ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด(มหาชน) (BBL) มูลค่าการซื้อขาย
รวม 618.05 ล้านบาท
อันดับที่ 4 บริษัท บ้านปู จำกัด(มหาชน) (BANPU) มูลค่าการซื้อขาย 546.63 ล้านบาท
และอันดับที่ 5 บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ( DTAC ) มูลค่าการซื้อ
ขาย 516.26 ล้านบาท
ทั้งนี้ หุ้น 5 อันดับที่ THAINVDR ซื้อสุทธิ ได้แก่ อันดับแรก ธนาคารกสิกรไทย จำกัด
(มหาชน)(KBANK) ซื้อสุทธิ 545.98 ล้านบาท อันดับที่ 2 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)
(BANPU) ซื้อสุทธิ 469.17 ล้านบาท อันดับที่ 3 บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) (PTT) ซื้อสุทธิ
410.54 ล้านบาท
อันดับที่สี่ ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด(มหาชน) (BBL) ซื้อสุทธิ 367.18 ล้านบาท และอันดับ
ที่ 5 บริษัท ไทยออยส์ จำกัด(มหาชน) ซื้อสุทธิ 322.13 ล้านบาท
ส่วนหุ้น 5 อันดับที่ THAINVDR ขายมากที่สุดประจำวันที่ 26 ตุลาคม 2550 อันดับ
แรก ได้แก่ บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ( DTAC ) ขายสุทธิ 264.55
ล้านบาท อันดับที่ 2 บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) (AMATA) ขายสุทธิ 90.09 ล้าน
บาท อันดับที่ 3 บริษัท อะโรเมติกส์ จำกัด(มหาชน)(ATC) ขายสุทธิ 83.19 ล้านบาท
และอันดับที่สี่ บริษัท แลนด์ แอนด์ แลนด์ เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน)(LH) ขายสุทธิ 64.05
ล้านบาท อันดับที่ 5 ธนาคาร กรุงไทย จำกัด(มหาชน) (KTB) ขายสุทธิ 43.72 ล้านบาท
ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า
ดัชนีฯที่ปรับเพิ่มขึ้นในวันนี้กว่า 20 จุดโดยมีแรงซื้อเข้ามาในกลุ่มมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่เพียง
บางตัวนั้น อาทิ PTT-TOP-BANPU เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบใน
ตลาดโลกที่ทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง โดยปิดตลาดที่ราคา 91.86 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น1.40
ดอลลาร์ ทำให้นักลงทุนมีแรงซื้อหุ้นพลังงานเข้ามา เนื่องจากได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่
ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหุ้นที่มีกลุ่มที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ ทำให้ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง
'ราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีเฉพาะกลุ่มของพลังงาน แต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
โดยรวม ซึ่งหุ้นที่ได้รับผลกระทบคือ กลุ่มรับเหมา และกลุ่มขนส่ง'นายเทิดศักดิ์กล่าว
นอกจากนี้มองแนวโน้มภาพรวมระยะกลางว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงอยู่ เนื่องจาก
ดัชนีฯตลาดปรับเพิ่มขึ้นแรงเกินไป
อย่างไรก็ดี หุ้นขนาดเล็ก ที่ไม่ได้รับความสนใจในการลงทุน อาจเป็นเพราะด้วยสภาวะ
ของตลาดฯที่อยู่ในช่วงขาขึ้น นักลงทุนจึงสนใจหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ นักลงทุนไม่ค่อยให้
ความสนใจในหุ้นขนาดเล็ก
สำหรับหุ้นขนาดใหญ่นั้นยังไม่แนะนำให้นักลงทุนที่สนใจเข้าซื้อ เนื่องจากราคายังอยู่ใน
ระดับสูง อย่างไรก็ตาม มีบางตัวที่นักลงทุนสามารถเข้าซื้อได้ คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)
หรือ PTT และบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU เนื่องจากมีพื้นฐานที่ดี
ทั้งนี้ หุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก นั้นยังไม่แนะนำให้ลงทุน เนื่องจากมองว่ายังไม่มีหุ้น
ตัวไหนที่โดนเด่น
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า สาเหตุที่
หุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ อย่างหุ้นในกลุ่มพลังงานวันนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นตัวหนุนนำดัชนีตลาด
หลักทรัพย์ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยโดย
ราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนธันวาคม ที่ตลาดนิวยอร์ก ปิดตลาดที่ราคา 91.86
ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์
ทั้งนี้ มองว่าหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาความตึง
เครียดในตะวันออกกลาง และมีความกังวลว่าปริมาณอุปทานน้ำมันจะมีไม่เพียงพอกับความต้อง
การในช่วงฤดูหนาว จะส่งผลให้ราคาน้ำมันยังปรับตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งน่าจะส่งผลให้หุ้นในกลุ่ม
พลังงานยังคงเป็นตัวนำดัชนีฯ อยู่ได้ โดยประเมินดัชนีฯ ปลายปีนี้ไว้ที่ 940-950 จุด
อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำซื้อลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงานอยู่ อาทิ PTT-BANPU-TOP หุ้น
ในกลุ่มหลักทรัพย์ที่ อาทิ KGI-BLS และหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ อาทิ BBL-KBANK-SCB
ส่วนหุ้นขนาดกลางและเล็กแนะนำเก็งกำไรอาทิ หุ้น UMS และ LPN
- zolomon
- Verified User
- โพสต์: 352
- ผู้ติดตาม: 0
ตลาดหุ้นไทย 'ไอ้ปลาดุก' โตแต่หัว ตัวไม่เกี่ยว
โพสต์ที่ 2
ผมว่าเป็นข้อดีของตลาดหุ้นไทยนะเนี่ย ทำให้มีอะไรซื้อได้ตลอดเวลา เพราะเวลาขึ้นไม่ขึ้นพร้อมกันทั้งตลาด
“If we wait for the moment when everything, absolutely everything is ready, we shall never begin.”
Ivan Turgenev
Ivan Turgenev
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ตลาดหุ้นไทย 'ไอ้ปลาดุก' โตแต่หัว ตัวไม่เกี่ยว
โพสต์ที่ 3
TOP ราคา
หุ้นวันที่ 17 ส.ค.50 ปิดที่ 252 บาท เปรียบเทียบกับราคาปิดวานนี้( 29 ต.ค.) ที่ 440 บาท เพิ่ม
ขึ้น 82.5%
8) คงไม่ใช่TOPมั๊งครับ 440บาทเนี่ย
แต่ถ้าบ้านปูมันก็460นี่นา
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
ตลาดหุ้นไทย 'ไอ้ปลาดุก' โตแต่หัว ตัวไม่เกี่ยว
โพสต์ที่ 6
เห็นด้วยครับhagrid เขียน:อาจจะเป็นโอกาสดีในการซื้อหุ้นกลุ่มอื่น
เพราะคงมีบางคนทนไม่ได้ขายหุ้น ไปซื้อพวก Big Cap แทน
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan