ซับไพร์ม ซับน้ำตาใคร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก

โพสต์ โพสต์
ภาพประจำตัวสมาชิก
vichit
Verified User
โพสต์: 15833
ผู้ติดตาม: 0

ซับไพร์ม ซับน้ำตาใคร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

เปิดโผ 11 สถาบันการเงินทั่วโลกเดี้ยงจากซับไพร์ม 'แบงก์ออฟอเมริกาฯ- เครดิตสวิส-
ไฟด์ลิตี้อินเวสท์เม้นท์- มอร์แกนสแตนเลย์ ขาดทุนหนักสุดรวม 3 แสนล้านดอลล์

หลังจากปัญหาตลาด สินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สำหรับลูกค้าที่มีความเสี่ยงสูงหรือตลาด
ซับไพร์มของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินและตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ในช่วงเกือบ
2  เดือนที่ผ่านมานี้ แม้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯไม่ว่า จะนายเบน เบอร์นันกี ผู้ว่าการ
ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด และนายเฮนรี่ พอลสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ จะ
ออกมาชี้แจงว่าวิกฤตดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบร้ายแรง เนื่องจากตลาดซับไพร์มมีสัดส่วนน้อย
มากเมื่อเทียบกับตลาดสินเชื่อกู้จำนองทั้งหมดของสหรัฐฯ  และล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ
เฟดระบุว่า เฟดจะทำทุกวิถีทางเพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพในตลาดเงินที่กำลังเกิดความผันผวนอย่าง
รุนแรงจากวิกฤตซับไพร์ม แต่ปัญหาก็ยังคงลุกลามมากขึ้น และยังไม่น่าวางใจ
                    ฝ่ายข่าวต่างประเทศ ของ eFinanceThai.com จึงได้รวบรวม รายชื่อสถาบันการ
เงินที่ต้องประสบปัญหาและขาดทุนจากการลงทุนในตลาดซับไพร์ม ซึ่งประกอบด้วย
1.แบงก์ออฟอเมริกาคอร์ป เครดิตสวิสกรุ๊ป ไฟด์ลิตี้อินเวสท์เม้นท์ และ มอร์แกนสแตน
เลย์ ได้รับความเสียหายจากการลงทุนในตลาดซับไพร์มรวมกันในปีนี้ มูลค่าประมาณ 300,000
ล้านดอลลาร์ และในเดือนมิถุนายนเพียงเดือนเดียว ตราสารหนี้อ้างอิงสินเชื่อหรือสินทรัพย์ หรือซีดี
โอ ที่ได้รับความเสียหายจากผลกระทบจากวิกฤตซับไพร์มมูลค่า 6 พันล้านดอลลาร์
2.บีเอ็นพีพาริบาส์เอสเอ ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศส ได้ระงับการไถ่ถอนเงินลง
ทุนจากกองทุน 3 กอง มูลค่ากว่า 2 พันล้านดอลลาร์ เนื่องจากยังไม่สามารถจำหน่ายหุ้นกู้และ
สินทรัพย์อื่นๆในตลาดซับไพร์มสหรัฐฯ เพราะตลาดตราสารดังกล่าวอยู่ในสภาวะขาดสภาพคล่อง
อย่างรุนแรง
3.แบร์สเติร์นส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐ ประสบผลขาดทุนจำนวนมากจากธุรกิจ
กองทุนประกันความเสี่ยง หรือ เฮดจ์ฟันด์ จนทำให้ต้องปิดกองทุนเฮดจ์ฟันด์ 2 แห่งที่ลงทุน
จำนวนมากในการปล่อยกู้ตลาดซับไพร์มนั้น เนื่องจากกองทุนดังกล่าวแทบไม่เหลือมูลค่าแล้ว
4. มิตซูบิชิยูเอฟเจไฟแนนเชี่ยลกรุ๊ป ประสบผลขาดทุน 42.6 ล้านดอลลาร์จากการลง
ทุนที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อตลาดซับไพร์มในสหรัฐฯ
5.เอ็นไอบีซีโฮลดิ้ง วาณิชธนกิจสัญชาติฮอลแลนด์  ขาดทุนจากการลงทุนในตลาดสิน
เชื่ออสังหาริมทรัพย์กลุ่มลูกค้าความเสี่ยงสูง หรือ ซับไพร์มสหรัฐฯ มูลค่า 137 ล้านยูโร (189
ล้านดอลลาร์) ในปีนี้
6. โฮมโลนส์กรุ๊ป ผู้ให้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัยสัญชาติออสเตรเลีย ประสบความล้ม
เหลวในรีไฟแนนซ์เงินกู้ระยะสั้นวงเงิน 6.17 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (5 พันล้านดอลลาร์)
เนื่องจากปัญหาซับไพร์มในสหรัฐฯทำให้สถาบันการเงินขาดความเชื่อมั่นในการปล่อยสินเชื่อ
7.ธอร์นเบิร์กมอร์ทเกจ ผู้ให้บริการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของสหรัฐฯ ขาย
หลักทรัพย์มูลค่า 20.5 พันล้านดอลลาร์ หลังขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรง ซึ่งเป็นผลกระทบจาก
อัตราการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นในตลาดซับไพร์ม และมีแนวโน้มจะขาดทุน 930 ล้านดอลลาร์
ในไตรมาส 3 นี้ และผลการดำเนินการทั้งปีอาจขาดสุทธิเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
8. เซ็นตินอล แมเนจเมนท์กรุ๊ป บริษัทจัดการลงทุนในอิลินอยส์ ประกาศระงับการไถ่
ถอนหน่วยลงทุน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตซับไพร์มในสหรัฐฯ  พร้อมระบุว่า บริษัทมี
ความประสงค์จะคืนเงินให้กับผู้หน่วยลงทุน แต่ขณะนี้ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะกระทำได้เนื่องจาก
สภาพคล่องที่หายไปจากตลาดตราสารหนี้อ้างอิงสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์กลุ่มลูกค้าที่มีประวัติทาง
การเงินไม่ดี หรือ กลุ่มซับไพร์มทำให้ไม่สามารถประเมินความเสียหายจากการลงทุนได้
ส่วนบริษัทที่มีแนวโน้มล้มละลายและกำลังประสบปัญทางการเงินจากผลกระทบดัง
กล่าว ได้แก่  
                    1. คันทรี่ไฟแนนเชี่ยลคอร์ป ผู้ให้บริการสินเชื่อบ้านรายใหญ่ของสหรัฐฯ มีความ
เสี่ยงต่อการล้มละลาย หากสภาพคล่องในตลาดตราสารหนี้อ้างอิงสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์สหรัฐฯยัง
ไม่ดีขึ้น หลังเกิดวิกฤตซับไพร์ม
2. เบซิสแคปิตอลฟันด์แมเนจเมนท์ บริษัทจัดการกองทุนประกันความเสี่ยง หรือ
เฮดจ์ฟันด์ สัญชาติออสเตรเลีย แจ้งต่อผู้ถือหน่วยลงทุนกองทุนยิลด์ฟันด์ว่า กองทุนดังกล่าวอาจ
ขาดทุนเกินกว่า 50% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากวิกฤตซับไพร์มของสหรัฐฯ
            3.แคปิตอลวันไฟแนนเชี่ยลคอร์ป ผู้ให้บริการทางการเงินรายใหญ่ในสหรัฐฯ ประกาศ
ปิดกิจการกรีนพอยท์มอร์ทเกจ บริษัทสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้มีพนักงานถูกเลิกจ้างกว่า
1,900 คน เนื่องจากนับตั้งแต่ซื้อกิจการกรีนพอยท์ในช่วงไม่ถึง 1 ปีกรีนพอยท์ประสบผลขาดทุน
มาอย่างต่อเนื่อง
และเอชเอสบีซีโฮลดิ้งส์ เลห์แมนบราเธอร์ส และแอคเครดิตโฮมเลนเดอร์สโฮลดิ้ง ได้
ปิดกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ความเสี่ยงสูงแล้ว และทำให้มีพนักงานตก
งานรวมกันกว่า 3,700 คน
ภาพประจำตัวสมาชิก
vichit
Verified User
โพสต์: 15833
ผู้ติดตาม: 0

ซับไพร์ม ซับน้ำตาใคร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

แบงก์ออฟอเมริกาใจถึง ซื้อหุ้นบุริมสิทธิ คันทรี่ไวด์ไฟแนนเชี่ยล 2 พันล้านดอลล์ หวังช่วยต่อ
ลมหายใจ

               รายงานข่าวต่างประเทศระบุว่า แบงก์ออฟอเมริกา ซื้อหุ้นบุริมสิทธิ คันทรี่ไวด์ไฟแนน
เชี่ยล ผู้ให้บริการสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐฯ มูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเสริมสถานะ
ความแข็งแกร่งทางการเงิน หลังได้รับผลกระทบการผิดนัดชำระหนี้ในตลาดซับไพร์ม
              โดยแบงก์ออฟอเมริการะบุว่า การซื้อหุ้นดังกล่าวก่อให้เกิดผลดีต่อทั้งสองฝ่าย เนื่อง
จากคันทรี่ไวด์ไฟแนนเชี่ยลมีศักยภาพที่จะฟื้นตัว ขณะที่แบงก์ออฟอเมริกามีสถานะทางการเงินที่
แข็งแกร่งและพร้อมที่จะหาโอกาสการลงทุนที่ดี
             ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่า การขายหุ้นบุริมทรัพย์ดังกล่าวจะช่วยให้คันทรี่ไวด์ไฟแนนเชี่
ยลมีเงินทุนในการดำเนินธุรกิจสินเชื่อท่ามกลางภาวะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนตกต่ำลงจนทำ
ให้ยากต่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ หรือ การทำซิเคียวริไทเซชั่น
teetotal
Verified User
โพสต์: 1667
ผู้ติดตาม: 0

ซับไพร์ม ซับน้ำตาใคร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ซับน้ำตาหลายคนครับ

อสังหาริมทรัพย์ ที่ถูก ตีตรา ว่า เป็น aaa เป็นกับดักชั้นดี
เงินจาก ยุโรป ก็ไปติดกับดัก เยอะเหมือนกัน ใช่ไหมครับ

รัฐบาลอเมริกา อาจต้องออกมาตรการมาช่วย พวกที่จะไม่มีบ้านอยู่
คนอเมริกัน คงจะต้องเก็บออม และอยู่กันแบบพอเพียงซะที
คงไม่มีใคร หาเงินมากมาย ไว้ยัดใส่โลงศพตัวเอง
.........
เชิญรับแจก เมล็ดพันธุ์พืชนานาชนิดได้ที่
http://www.kasetporpeang.com/forums/ind ... board=22.0
เชิญฟังธรรมฟรี ที่ http://www.fungdham.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
Muffin
Verified User
โพสต์: 874
ผู้ติดตาม: 0

ซับไพร์ม ซับน้ำตาใคร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

teetotal เขียน:
คนอเมริกัน คงจะต้องเก็บออม และอยู่กันแบบพอเพียงซะที
คงยากครับ

ทั้งเอกชน และรัฐบาลอเมริกา ชอบก่อหนี้ครับ
แล้วก็ให้ เงินออมของชาวโลก เป็นตัว absorb ไปครับ

เก็งกำไรเยอะๆไม่ดีครับ ยิ่งเก็งกำไรด้วยเงินชาวบ้านเยอะๆยิ่งไม่ดีใหญ่
"Hope is not a strategy"
ภาพประจำตัวสมาชิก
Basketman
Verified User
โพสต์: 1208
ผู้ติดตาม: 0

ซับไพร์ม ซับน้ำตาใคร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

เจอข่าวนี้.....มันมาอีกแล้วรึ  :shock:

วิกฤตการเงินรอบใหม่มาแล้ว!
โดย หมายเหตุผู้จัดการ 18 กันยายน 2550 18:05 น.
วิกฤตทางการเงินอันเกิดจากวิกฤตซับไพรม์ในสหรัฐฯ ได้ขยายตัวไปคุกคามอังกฤษอย่างรุนแรงแล้ว โดยในปลายสัปดาห์ที่แล้วชาวอังกฤษตื่นตระหนกแห่กันไปถอนเงินจากธนาคารถึง 70,000 ล้าน และยังคงตื่นตระหนกพากันถอนเงินอย่างต่อเนื่องมาจนถึงต้นสัปดาห์นี้
     
      เป็นผลให้ธนาคารกลางของอังกฤษต้องอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบอย่างขนานใหญ่ เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในสหรัฐและอีกหลายประเทศ
     
      แล้วมันจะไม่มาถึงประเทศไทยหรือ? มันต้องมาถึงแน่ และกำลังคืบคลานมาถึงแล้ว! อย่าได้ไปเชื่อนายธนาคารหรือผู้คนในรัฐบาลเต่าที่ว่าไม่มีผลกระทบถึงประเทศไทยเป็นอันขาด มิฉะนั้นจะพากันพินาศยับเยินด้วยกันหมด
     
      ก็ต้องทำความเข้าใจกันว่าวิกฤตซับไพรม์มันคืออะไร เกิดขึ้นอย่างไร และส่งผลอย่างไร ทั้งจะเกิดผลกระทบอะไรกับประเทศไทยของเรา ซึ่งจำจะต้องพูดจาว่ากล่าวอย่างง่าย ๆ ให้พี่น้องร่วมชาติได้เข้าใจทั่วถึงกันจะได้ไม่ถูกใครเขาหลอกแล้วพากันเสียหายยับเยิน
     
      สิ่งที่เรียกว่าวิกฤตซับไพรม์เริ่มต้นขึ้นที่สหรัฐ เพราะในสหรัฐนั้นผู้คนทั้งหลายล้วนนิยมความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย จับจ่ายใช้สอยอย่างไม่บันยะบันยังยิ่งกว่านโยบายประชานิยมของรัฐบาลก่อนหลายร้อยเท่า จึงพากันเป็นหนี้สินท่วมตัว
     
      เมื่อหนี้สินท่วมตัวก็มีระบบขายอนาคตของตัวเองโดยการก่อหนี้ล่วงหน้า ด้วยหวังว่าจะมีรายได้ในอนาคตมาทดแทนได้ทัน แต่ครั้นนิสัยเดิมที่เห่อเหิมฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไม่มีความพอเพียงอยู่ในจิตใจ ถึงแม้จะขายรายได้ในอนาคตแล้วก็ยิ่งมีหนี้ท่วมหัวท่วมตัวล้นพ้นเข้าไปอีก
     
      คนเหล่านั้นเป็นหนี้กับธนาคารและสถาบันการเงินเต็มไปทั้งประเทศ และหนี้เหล่านั้นกลายเป็นหนี้ด้อยคุณภาพที่อาจจะถูกจัดชั้นสำรองหนี้หรือตัดเป็นหนี้สูญ คล้ายๆ กับสถานการณ์ที่คนชั้นกลางและประชาชนในชนบทไทยที่กำลังเป็นหนี้ท่วมหัวท่วมตัวอยู่ในวันนี้ ซึ่งเป็นผลผลิตโดยตรงของนโยบายประชานิยมแห่งระบอบทักษิณ
     
      การที่มีหนี้ด้อยคุณภาพที่อาจถูกจัดชั้นสำรองหนี้หรือตัดเป็นหนี้สูญเกิดขึ้นในระบบเป็นจำนวนมหาศาล จึงกดดันต่อธนาคารและสถาบันการเงินที่จะต้องแก้ไขปัญหานี้ก่อนที่จะล่มจม และหนึ่งในวิธีนั้นก็คือการจำหน่ายหนี้เหล่านั้นออกไปในราคาถูก
     
      เมื่อเป็นเช่นนี้ก็มีพวกหัวใสคิดหวังกำไรจากธุรกิจรับซื้อหนี้ จึงตั้งเป็นกองทุนขึ้นรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพเหล่านั้นจากธนาคารและสถาบันการเงินในราคาถูก ๆ แล้วไปเรียกเก็บหนี้เต็มจำนวนพร้อมดอกเบี้ยซึ่งถ้าเป็นมรรคผลเต็มที่ก็จะมีกำไรมหาศาล
     
      เช่น มูลหนี้ราคา 100 บาท ก็รับซื้อมาในราคา 15-20 บาท หากเรียกเก็บได้เต็ม 100 บาทก็จะมีผลกำไร 85-80 บาท นับว่าเป็นกำไรที่มากมายมหาศาลพอที่จะเสี่ยงกับหนี้บางจำนวนที่เรียกเก็บไม่ได้
     
      การรับซื้อหนี้แบบนี้เรียกว่าซับไพรม์ หากจะแปลเป็นภาษาไทยให้เข้าใจกันชัด ๆ ก็คือกิจการรับซื้อหนี้ด้อยคุณภาพนั่นเอง
     
      เมื่อแรกเริ่มเดิมทีทำกันใหม่ๆ ก็สามารถเรียกเก็บหนี้ได้เกือบเต็มจำนวน จึงสร้างผลกำไรมหาศาล ทำให้ผู้ทำธุรกิจนี้เห็นโอกาสที่จะมีกำไรมากขึ้น จึงเกิดเป็นกิจการที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน
     
      จึงเกิดการระดมทุนโดยทั้งธนาคารและสถาบันการเงิน ตลอดจนนักลงทุนก็พากันมาลงทุนในกองทุนแบบนี้กันอย่างล้นหลาม ทำให้กิจการนี้ขยายตัวจนสามารถรับซื้อหนี้ในระบบได้มากตามไปด้วย
     
      แต่เป็นเวรกรรมของชาวสหรัฐฯ เพราะเมื่อธนาคารและสถาบันการเงินสามารถขายหนี้ด้อยคุณภาพออกไปได้แล้วก็เบาตัวลง แล้วเร่งปล่อยกู้แบบเดียวกันนั้นอีก กู้แล้วก็ขายไปอีก เป็นวัฏฏะแห่งความพินาศเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
     
      ในที่สุดผู้คนก็เป็นหนี้ซ้ำหนี้ซ้อน คือเป็นหนี้ในกิจการซับไพรม์ด้วย เป็นหนี้ใหม่ที่เกิดจากการเร่งให้กู้ยืม ขยายวงเงินให้กู้ยืมด้วย ในที่สุดก็เกินความสามารถที่จะชำระหนี้ได้
     
      เมื่อเป็นเช่นนี้กิจการซับไพรม์ก็เริ่มเก็บหนี้ได้น้อยลง และมีแนวโน้มว่าจะขาดทุน แต่ทว่าวงเงินรวมทั้งหมดทั้งประเทศที่นำไปลงทุนในกิจการซับไพรม์นั้นมันมากมายมหาศาล พอนักวิเคราะห์พบเหตุการณ์ผิดสังเกตว่ากองทุนซับไพรม์ทั้งหลายอาจจะเจ๊งก็รายงานความเห็นให้สาธารณชนทราบ
     
      เท่านั้นแหละเกิดเรื่อง ผู้คนก็พากันกลัวว่าธนาคารและสถาบันการเงินอาจจะต้องล้มเพราะไปลงทุนหรือให้กู้เงินในกิจการซับไพรม์กันมากมายมหาศาล จึงพากันไปถอนเงิน การตื่นตระหนกตกใจลุกลามเป็นไฟไหม้ฟาง ที่ไหนๆ ก็มีคนแห่ไปถอนเงิน
     
      ความกลัวเหล่านี้ขยายตัวไปยังประเทศอื่นๆ ทั้งในยุโรปและญี่ปุ่น กลายเป็นวิกฤตขนาดใหญ่ที่มีขอบเขตทั่วโลกขึ้น เพราะเมื่อธนาคารและสถาบันการเงินถูกคนแห่กันไปถอนเงินไม่มีที่สิ้นสุดกิจการก็จะต้องล้ม จึงเป็นหน้าที่ของธนาคารกลางที่จะต้องอัดเงินเข้าไปในระบบให้กับธนาคารและสถาบันการเงิน เพื่อให้พอเพียงต่อการถอนเงิน
     
      ดีไม่ดีถ้าอุดรอยรั่วไม่พอ ธนาคารกลางก็จะพาลเจ๊งตามไปด้วย ถึงกระนั้นแม้ว่าจะชะลอการถอนเงินได้บ้าง แต่ก็ทำให้ขาดความเชื่อมั่นว่าในที่สุดแล้วธนาคารและสถาบันการเงินหรือกองทุนต่างๆ จะไม่สามารถได้รับเงินที่ลงทุนไปกลับคืน จะส่งผลกระทบต่อเงินฝากของตน ซึ่งในวันหนึ่งธนาคารและสถาบันการเงินเหล่านั้นก็จะต้องเผชิญกับสภาพเช่นนั้น
     
      ประเทศไทยของเรานอกจากไม่รู้สึกรู้สาเพราะไร้น้ำยาหน่อมแน้มเฉื่อยชาและล้าหลังแล้ว ยังหลอกลวงประชาชนว่าผลกระทบจะไม่ถึงประเทศไทย เป็นการโกหกทั้งเพ
     
      ประเทศไทยเป็นมหาอำนาจทางการเงินหรือ มีฐานะการเงินมั่งคั่งกว่าสหรัฐและอังกฤษหรือจึงว่าไม่มีผลกระทบ มันกระทบแน่ อย่าไปเชื่อใครว่าไม่กระทบ
     
      ดังนั้นเพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ที่เงินฝากแล้วถอนไม่ได้ซ้ำรอยปี 2540 ก็ควรจะได้เตรียมตัวเตรียมใจ รวมทั้งนักธุรกิจน้อยใหญ่ทั้งหลายก็ต้องเตรียมรับมือกับวิกฤตที่หากจะเกิดขึ้นให้ทันท่วงทีก่อนที่จะตายหยังเขียด.

By:manager วิกฤตการเงินรอบใหม่มาแล้ว!
"สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องไปปั่นเอาเอง"
ภาพประจำตัวสมาชิก
house
Verified User
โพสต์: 683
ผู้ติดตาม: 0

ซับไพร์ม ซับน้ำตาใคร

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ผมว่าไอ้ข้างบนนี้มันไม่เกี่ยวกับซับไำพรม์นะ เหมือนตามหนี้บัตรเครดิตมากกว่า
ทำให้เต็มที่ เพื่อจะไม่เสียใจภายหลัง
Rataohm
Verified User
โพสต์: 597
ผู้ติดตาม: 0

ซับไพร์ม ซับน้ำตาใคร

โพสต์ที่ 7

โพสต์

...อืมที่เข้าใจไม่เห็นเหมือนที่ manager เขียนเลยแหะ...
plamuek76
Verified User
โพสต์: 478
ผู้ติดตาม: 0

ซับไพร์ม ซับน้ำตาใคร

โพสต์ที่ 8

โพสต์

Rataohm เขียน:...อืมที่เข้าใจไม่เห็นเหมือนที่ manager เขียนเลยแหะ...
อ่านในbusiness weekไทยแลนด์ของเดือนกันยายน เข้าใจเรื่องนี้ดีขึ้นมากเลยครับ

ผมว่ายังน่าจะมีผลลามไปเรื่อยๆนะครับ แต่ความรุนแรงไม่อาจคาดเดาได้ แล้วแต่ใครจะลดความเสี่ยงได้มากน้อยขนาดไหน
โพสต์โพสต์