ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 4
เท่าที่อ่านหนังสือธรรมะและศึกษาธรรมะศีลข้อไหนบาปสุดครับ
ผมไม่เคยได้ยินว่ามีครูบาอาจารย์ท่านใดบอกว่าศีลข้อไหนบาปสุดนะครับ
แต่ถ้าเป็นความรู้สึก ผมคิดว่าข้อ 1
การเบียดเบียนชีวิตสัตว์อื่น ควรละเว้นที่สุดครับ นั่นก็คือศีลข้อ 1
ศีลข้อ 4 หรือการโกหก ผมว่าเบาสุด ในแง่ของการเบียดเบียนผู้อื่น
ถ้าเทียบกับข้อ 1,2 และ 3
ส่วนข้อ 5 ผมมองว่า หากผู้เสพสุราสามารถครองสติได้
ก็เป็นการเบียดเบียนตัวเองเท่านั้น ไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น
ซึ่งอาจจะมองว่าเป็นตัวกระตุ้นให้ผิดศีลข้ออื่นๆ ตามมา
ตัวผมถ้าจะผิดก็ผิดข้อ 5 นี่แหละครับ (ดื่มเบียร์กับเพื่อนบ้าง)
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 6
ทำหมดครบทั้งห้า ก็จะกลายเป็น
เป็นเกย์ที่ไม่รวย ไม่มีใครเชื่อถือ ความจำเสื่อม แล้วอายุสั้น
เป็นเกย์ที่ไม่รวย ไม่มีใครเชื่อถือ ความจำเสื่อม แล้วอายุสั้น
-
- Verified User
- โพสต์: 877
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 10
ศีลข้อไหนบาปสุด........????
ถ้าคิดตรงข้าม...ศีลข้อไหนปฏิบัติแล้วได้บุญสุด...แล้วค่อยตอบคำถามพี่ฉัตรผม
แบบนี้ ... ต้องเป็นศีลข้อแรกครับ
ถ้าวันไหนไปปล่อยปลา....
ยิ่งหัวร้างข้างแตกรอโดนทุบหัวในกาละมังเนี่ย....
ถ้าซื้อมาปล่อย จะอิ่มอกอิ่มใจเป็นพิเศษเลย
ถ้าค่าอิ่มบุญ เป็นตัวเลข ผมให้ 10 คะแนน
ข้อสอง เวลาไปทำทาน บริจาคทำบุญเลี้ยงเด็กพิการ............ผมให้ค่าอิ่มบุญ ที่ 8
ข้อสาม เวลาไปไกลเกลี่ยเรื่องผัวเมียให้คืนดีกัน ..ผมเคยครับครั้งหนึ่งครับ...ประสบการณ์ไม่ค่อยดีเลย...... ผมไม่ขอออกคะแนนให้ข้อนี้
ข้อสี่ พูดแต่ความจริง...สบายใจสุดๆ เลยครับ แต่บางทีจังหวะพูดก็ต้องดู ผมให้ค่าอิ่มบุญ 7 คะแนน
ข้อสุดท้าย ของมึนเมา .....ถ้าไม่กิน ผมก็ไม่รู้สึกอิ่มบุญตรงไหน ให้ 0 คะแนนครับ
สรุปแล้วนะ แต่ละคนผิดศีล ผิดบัญญัติ 5 ประการ ในแต่ละข้อ แล้วคงรู้สึกไม่เหมือนกัน
ถ้าเป็นผมลองผิดข้อแรก ถือว่าบาปสุด ค่าอิ่มบุญผมจะติดลบทันที 10 คะแนน
การฆ่าชีวิตแม้กระทั่งแมลงสาปตัวเดียว ก็อาจทำให้ผมคิดมากนอนไม่หลับไปหลายวันเลยทีเดียว..........
วันนี้เพื่อนๆพี่ๆ ท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน.........ให้ชีวิตแล้วยังครับ
ถ้าคิดตรงข้าม...ศีลข้อไหนปฏิบัติแล้วได้บุญสุด...แล้วค่อยตอบคำถามพี่ฉัตรผม
แบบนี้ ... ต้องเป็นศีลข้อแรกครับ
ถ้าวันไหนไปปล่อยปลา....
ยิ่งหัวร้างข้างแตกรอโดนทุบหัวในกาละมังเนี่ย....
ถ้าซื้อมาปล่อย จะอิ่มอกอิ่มใจเป็นพิเศษเลย
ถ้าค่าอิ่มบุญ เป็นตัวเลข ผมให้ 10 คะแนน
ข้อสอง เวลาไปทำทาน บริจาคทำบุญเลี้ยงเด็กพิการ............ผมให้ค่าอิ่มบุญ ที่ 8
ข้อสาม เวลาไปไกลเกลี่ยเรื่องผัวเมียให้คืนดีกัน ..ผมเคยครับครั้งหนึ่งครับ...ประสบการณ์ไม่ค่อยดีเลย...... ผมไม่ขอออกคะแนนให้ข้อนี้
ข้อสี่ พูดแต่ความจริง...สบายใจสุดๆ เลยครับ แต่บางทีจังหวะพูดก็ต้องดู ผมให้ค่าอิ่มบุญ 7 คะแนน
ข้อสุดท้าย ของมึนเมา .....ถ้าไม่กิน ผมก็ไม่รู้สึกอิ่มบุญตรงไหน ให้ 0 คะแนนครับ
สรุปแล้วนะ แต่ละคนผิดศีล ผิดบัญญัติ 5 ประการ ในแต่ละข้อ แล้วคงรู้สึกไม่เหมือนกัน
ถ้าเป็นผมลองผิดข้อแรก ถือว่าบาปสุด ค่าอิ่มบุญผมจะติดลบทันที 10 คะแนน
การฆ่าชีวิตแม้กระทั่งแมลงสาปตัวเดียว ก็อาจทำให้ผมคิดมากนอนไม่หลับไปหลายวันเลยทีเดียว..........
วันนี้เพื่อนๆพี่ๆ ท่านผู้อ่านที่เคารพทุกท่าน.........ให้ชีวิตแล้วยังครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 11
คำว่า "ศีล" หมายถึง "ปกติ"
คนเรารักษาศีล ก็คือรักษาสภาพปกติของตนเอง
พระรักษาศีล ก็คือรักษาสภาพปกติของพระ
การผิดศีลก็จะเกิดสภาพไม่ปกติขึ้น
คนไม่ปกติ (ผิดศีล) ผลที่ตามมาก็จะเกิดการเบียดเบียนกัน จึงทำให้สังคมก็ไม่ปกติ
ศีลในแง่มุมต่างๆจาก เรื่องเล่าให้โยมฟัง โดยพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
ศีลข้อ 3 ก็เพื่อรักษาความเป็นปกติในสังคม
หากเราไปผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ผู้อื่นย่อมโกรธแค้น
เช่นเดียวกันกับหากผู้อื่นมาผิดลูกผิดเมียเรา เราย่อมโกรธแค้น
ความปกติในสังคมก็ไม่เกิด ก็เกิดการเบียดเบียนกัน
ซึ่งเป็นคนละความหมายกับการ ไปไกล่เกลี่ยให้คู่ที่ทะเลาะกันให้คืนดีกัน
เช่นเดียวกันกับศีลข้อ 5
ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ดื่มขาดสติ แล้วก็จะไม่อยู่ในสภาพปกติ
ไม่ได้หมายถึง ไม่กินก็ไม่เห็นอิ่มบุญ
การรักษาศีลคือการรักษาความเป็นสภาพปกติ
ไม่ใช่การให้ทาน ซึ่งทำให้เกิดความอิ่มใจ (ปีติ)
ที่ยกมาเจตนาให้ผู้อ่านได้เข้าใจข้อธรรมะที่ถูกต้องครับ
คนเรารักษาศีล ก็คือรักษาสภาพปกติของตนเอง
พระรักษาศีล ก็คือรักษาสภาพปกติของพระ
การผิดศีลก็จะเกิดสภาพไม่ปกติขึ้น
คนไม่ปกติ (ผิดศีล) ผลที่ตามมาก็จะเกิดการเบียดเบียนกัน จึงทำให้สังคมก็ไม่ปกติ
ศีลในแง่มุมต่างๆจาก เรื่องเล่าให้โยมฟัง โดยพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
ศีลข้อ 3 ก็เพื่อรักษาความเป็นปกติในสังคม
หากเราไปผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ผู้อื่นย่อมโกรธแค้น
เช่นเดียวกันกับหากผู้อื่นมาผิดลูกผิดเมียเรา เราย่อมโกรธแค้น
ความปกติในสังคมก็ไม่เกิด ก็เกิดการเบียดเบียนกัน
ซึ่งเป็นคนละความหมายกับการ ไปไกล่เกลี่ยให้คู่ที่ทะเลาะกันให้คืนดีกัน
เช่นเดียวกันกับศีลข้อ 5
ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ดื่มขาดสติ แล้วก็จะไม่อยู่ในสภาพปกติ
ไม่ได้หมายถึง ไม่กินก็ไม่เห็นอิ่มบุญ
การรักษาศีลคือการรักษาความเป็นสภาพปกติ
ไม่ใช่การให้ทาน ซึ่งทำให้เกิดความอิ่มใจ (ปีติ)
ที่ยกมาเจตนาให้ผู้อ่านได้เข้าใจข้อธรรมะที่ถูกต้องครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 877
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 13
สาธุ ไม่เอาดีทางนี้ไปเลย ท่านมหา......ท่านมหานี่หลักดีเนอะ ทางโลก ทางธรรม เก่งหมด ...........ทางในละครับท่าน ขอสักงวดนะ....555HVI เขียน:คำว่า "ศีล" หมายถึง "ปกติ"
คนเรารักษาศีล ก็คือรักษาสภาพปกติของตนเอง
พระรักษาศีล ก็คือรักษาสภาพปกติของพระ
การผิดศีลก็จะเกิดสภาพไม่ปกติขึ้น
คนไม่ปกติ (ผิดศีล) ผลที่ตามมาก็จะเกิดการเบียดเบียนกัน จึงทำให้สังคมก็ไม่ปกติ
ศีลในแง่มุมต่างๆจาก เรื่องเล่าให้โยมฟัง โดยพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
ศีลข้อ 3 ก็เพื่อรักษาความเป็นปกติในสังคม
หากเราไปผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ผู้อื่นย่อมโกรธแค้น
เช่นเดียวกันกับหากผู้อื่นมาผิดลูกผิดเมียเรา เราย่อมโกรธแค้น
ความปกติในสังคมก็ไม่เกิด ก็เกิดการเบียดเบียนกัน
ซึ่งเป็นคนละความหมายกับการ ไปไกล่เกลี่ยให้คู่ที่ทะเลาะกันให้คืนดีกัน
เช่นเดียวกันกับศีลข้อ 5
ก็เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ดื่มขาดสติ แล้วก็จะไม่อยู่ในสภาพปกติ
ไม่ได้หมายถึง ไม่กินก็ไม่เห็นอิ่มบุญ
การรักษาศีลคือการรักษาความเป็นสภาพปกติ
ไม่ใช่การให้ทาน ซึ่งทำให้เกิดความอิ่มใจ (ปีติ)
ที่ยกมาเจตนาให้ผู้อ่านได้เข้าใจข้อธรรมะที่ถูกต้องครับ

-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 14
ไม่ได้ตั้งใจจะขัดแย้งอะไร ดร.โหน่ง หรอกครับ
ผมก็แค่หยิบคำอธิบายในเรื่องศีลมา Post แค่นั้นเอง
ถ้าความคิดผมมันผิดเพี้ยนไปอย่างไร ก็กรุณาแนะนำด้วย
ดีกว่ามาประชดประชันกัน เพราะมันทำให้คนที่ตั้งใจดีขาดกำลังใจ
หรือถ้าไม่มีใครต้องการอ่าน หรือมันไม่มีประโยชน์ผมก็จะเลิก Post
เอาเวลาไปทำอะไรที่มันมีประโยชน์ดีกว่า ...
ผมก็แค่หยิบคำอธิบายในเรื่องศีลมา Post แค่นั้นเอง
ถ้าความคิดผมมันผิดเพี้ยนไปอย่างไร ก็กรุณาแนะนำด้วย
ดีกว่ามาประชดประชันกัน เพราะมันทำให้คนที่ตั้งใจดีขาดกำลังใจ
หรือถ้าไม่มีใครต้องการอ่าน หรือมันไม่มีประโยชน์ผมก็จะเลิก Post
เอาเวลาไปทำอะไรที่มันมีประโยชน์ดีกว่า ...
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 877
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 16
....แหม!!!!
น้องหวี....พี่แซวหน่อยก็ไม่ได้
มาเถอะ....รักหรอกจึงหยอกเล่น
วันไปเล่นกอล์ฟ ยังชมน้องหวีให้ ดร.Muffin ฟังอยู่เลยว่าน้องหวีเก่ง และเป็นคนที่ผมอยากเจอที่สุดในเว็ปนี้
ดร. ท่านยังบอกเลยว่า นอกจากเก่งแล้วยังขยันหาข้อมูลเป็นที่หนึ่งอีกด้วย
ขาด play maker อย่างน้องหวีก็ไม่สนุกเนอะ... :lol:
น้องหวี....พี่แซวหน่อยก็ไม่ได้
มาเถอะ....รักหรอกจึงหยอกเล่น
วันไปเล่นกอล์ฟ ยังชมน้องหวีให้ ดร.Muffin ฟังอยู่เลยว่าน้องหวีเก่ง และเป็นคนที่ผมอยากเจอที่สุดในเว็ปนี้
ดร. ท่านยังบอกเลยว่า นอกจากเก่งแล้วยังขยันหาข้อมูลเป็นที่หนึ่งอีกด้วย
ขาด play maker อย่างน้องหวีก็ไม่สนุกเนอะ... :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 17
บางทีอาจจะถูกต้อง แต่ไม่ถูกที่ ถูกเวลา แทนที่จะเป็นประโยชน์ก็กลายเป็นสร้างความขัดแย้ง หรือเป็นโทษ
ความรู้ ถ้าไม่เอามาปฏิบัติก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรนะครับ (ผมคงจัดอยู่ในจำพวกนี้)
ช่วงนี้ไม่สบายใจหลายเรื่อง รวมทั้งเหตุการณ์บ้านเมือง
หวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
เว็บหุ้นก็ควรคุยเรื่องหุ้น ขอให้ลงทุนประสบความสำเร็จนะครับพี่ๆ
ไว้สบายใจจะมา Post ใหม่ สวัสดีครับ ...

ความรู้ ถ้าไม่เอามาปฏิบัติก็คงไม่เกิดประโยชน์อะไรนะครับ (ผมคงจัดอยู่ในจำพวกนี้)
ช่วงนี้ไม่สบายใจหลายเรื่อง รวมทั้งเหตุการณ์บ้านเมือง
หวังว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
เว็บหุ้นก็ควรคุยเรื่องหุ้น ขอให้ลงทุนประสบความสำเร็จนะครับพี่ๆ
ไว้สบายใจจะมา Post ใหม่ สวัสดีครับ ...



-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 19
ขอบคุณครับพี่ฉัตรชัย
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 20
เอามาฝากคุณ HVI จะได้สบายใจเร็วๆ


- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 21
8) เอาบทความดีๆมาฝากน้องหวีด้วยคน
คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ
โดย น.พ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย [email protected]
มีท่านผู้อ่านสงสัยและเขียนถามไปมากพอสมควรเกี่ยวกับคำว่า "ไม่ตัดสิน" ซึ่งนับเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำความเข้าใจกันค่อนข้างยากสักนิดหนึ่งอาจจะในแง่ของภาษาด้วย ผมอยากจะขอลองเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองก่อนหน้าที่จะได้รู้จัก "สุนทรียสนทนา" ซึ่งหมายถึงก่อนหน้าที่จะได้เข้าใจถึงเรื่องของ "การไม่ตัดสิน"
ผมเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่มีชีวิตเป็น "ไม้บรรทัด" และยึดถือคุณค่าของความถูกต้องแบบ "ตรงเป๊ะ" มากเกินไปไม่ยืดหยุ่นจนทำให้ชีวิตไม่มีความสุขเท่าที่ควร ก็ดูชื่อผมสิครับ "วิธาน" แปลว่า "การจัดหมวดหมู่ จัดระเบียบวินัยข้อบังคับ" คือเรื่องการยึดถือความถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่ดีแต่การยึดถือแบบ "ตรงเป๊ะเป็นไม้บรรทัด" โดยมุ่งการตัดสินคนนั้นเป็นเรื่องที่นำความลำบากมาให้ผมเองในการทำงาน
ในสมัยที่ทำงานเป็นแพทย์ใช้ทุนนั้น แพทย์รุ่นพี่คนไหนไม่ดูคนไข้หรือดูคนไข้ไม่ดี (ในสายตาของผม) ผมก็คือว่าแพทย์คนนั้นเลว ไม่ได้มาตรฐาน
พยาบาลคนไหนทำงานไม่ดี ไม่ดูคนไข้ รายงานอาการของคนไข้ไม่ถูกต้อง ทำแผลคนไข้ไม่เรียบร้อย ผมก็จะตัดสินทันทีว่าพยาบาลคนนั้นทำงานไม่ได้เรื่อง แย่ ไม่ได้มาตรฐาน
พอไปเรียนต่อระหว่างที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน ผมต้องไปทำงานตั้งแต่ 06.30 น. ทุกวัน แพทย์รุ่นน้องคนไหนมาทำงานสายกว่าผมซึ่งเป็นแพทย์รุ่นพี่ 5 นาที แพทย์รุ่นน้องคนนั้นก็กลายเป็นแพทย์ที่เลว ขี้เกียจและไม่รับผิดชอบ
ชีวิตที่ "ตัดสินคน" แบบนี้ทำให้ผมพบว่าผมเจอ "คนดีที่ได้มาตรฐาน" ของผมน้อยลงไปทุกวันๆ ทำไปทำมาคนที่ทำงานรอบๆ ข้างของผมเลวไปหมด พยาบาลส่วนมากทำงานไม่ได้เรื่อง แพทย์ส่วนใหญ่ก็ทำงานห่วยสู้ผมไม่ได้สักคน
และบางครั้งผมรู้สึกว่าเหลือผมเป็นคนดีอยู่คนเดียวจริงๆ
เรื่องการตัดสินยังไม่จบแค่นั้นเพราะเป็นเรื่องที่แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของผมทุกๆ เรื่องอย่างแยกไม่ออกเลยทีเดียว
ร้านก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยร้านหนึ่งทำก๋วยเตี๋ยวให้กับลูกค้าแซงคิวผม-ผมถือว่าไม่ได้มาตรฐานบริหารห่วย มีอย่างที่ไหนไม่ดูเลยว่าใครมาก่อนมาหลัง ผมก็ไม่เหยียบร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นอีกเลย
ร้านคอมพิวเตอร์ร้านหนึ่ง ส่งช่างไปซ่อมคอมพิวเตอร์ของผมไม่ทันใจ ผมก็ตัดสินทันทีว่าร้านนี้ทำงานไม่ดี-ห่วย ผมก็เปลี่ยนร้านและไม่ซื้อของจากร้านนั้นอีกเลย
ปั๊มน้ำมันปั๊มหนึ่งเด็กปั๊มไม่ยอมให้น้ำดื่มแถมตามที่เขียนบอกไว้ ผมก็ว่าปั๊มนี้ห่วย
ฯลฯ
ทำไปทำมาผมเหลือร้านอาหารที่จะเข้าได้เพียงไม่กี่ร้าน เพราะร้านนั้นก็ไม่ดี ร้านนี้ก็ไม่ดี
ทำไปทำมาผมแทบจะไม่เหลือร้านคอมพิวเตอร์ให้เข้า
ทำไปทำมาผมแทบจะไม่เหลือปั๊มน้ำมันให้เติม เพราะมีแต่ปั๊มห่วยๆ ไม่ได้มาตรฐาน
ผมรู้สึกว่าสังคมแย่จังมีแต่เรื่องไม่ได้มาตรฐาน ชุ่ย แฉะและเลวร้าย ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าสุขภาพของผมก็เลวร้ายตามไปด้วย ผมโกรธง่าย อารมณ์ฉุนเฉียวและเป็นแผลในกระเพาะอาหารที่รักษาไม่หายเสียที
สองเรื่องที่ช่วยให้ผมเข้าใจถึงโทษของ "การตัดสิน" และทำให้ผมได้เรียนรู้และก้าวไปสู่พื้นที่ของ "การไม่ตัดสิน" มากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งคือการพยายามฝึกตัวเองให้เข้าไปสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ตามที่ได้เขียนถึงมาตลอดในคอลัมน์นี้แล้วและสองก็คือ "สุนทรียสนทนา" นั่นเอง
"สภาวะแห่งความเป็นปกติ" นั้นเป็นเรื่องของปัจเจกแต่ละบุคคล มีวิธีการหลายวิธีมากที่จะช่วยนำทางให้เราเข้าสู่ "สภาวะ" แบบนี้ได้ เช่น การฝึกลมหายใจ โยคะ ชี่กง เทคนิคการใช้พลังงานของหัวใจ การนั่งสมาธิ กีฬาที่พ้นมิติการแข่งขันและเงินรางวัล ฯลฯ
"สุนทรียสนทนา" เป็นเรื่องของกลุ่มของชุมชนที่ช่วยเอื้อซึ่งกันและกัน องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดหนึ่งในสามเรื่องของ "สุนทรียสนทนา" ก็คือ "การไม่ตัดสิน" หรือ "การแขวนการตัดสิน" "การชะลอการตัดสิน" "การไม่ตัดสิน" ตรงนี้มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "Nonjudgement" ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า "การตัดสินใจ" (Decision)
การตัดสินนั้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและ "คุณสมบัติอย่างหนึ่ง" ที่สำคัญของความเป็นวิทยาศาสตร์เก่าอย่างชัดเจน เพราะวิทยาศาสตร์เก่านั้นต้องการจะบ่งบอกถึง "ความแน่นอน" "ความชัดเจน" "ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเท่านั้น" "ไม่ใช่ข้างฉันก็เป็นศัตรูกับฉัน"
ความเป็นวิทยาศาสตร์แบบเก่ามีแนวโน้มที่จะผลักดันให้มนุษย์คิดแบบตายตัว เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนกับว่าชีวิตนี้มีเรื่องเพียงสองแบบให้คุณต้องเลือก "ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง" (Either) เท่านั้น แต่วิทยาศาสตร์ใหม่บอกว่า เราสามารถเลือกแบบใดแบบหนึ่งก็ได้ เลือกทั้งสองแบบก็ได้หรือไม่เลือกทั้งสองแบบก็ได้(Both, And)
พอความคิดของเราสามารถพัฒนาไปพ้น "ทวิภาวะ" (Dualism) ได้ เราจะรู้สึกถึง "ความเบาสบาย" อย่างแปลกประหลาดเพราะการตัดสินนั้นทำให้เราไปไม่พ้น "ทวิภาวะ" เป็นขอบเขตที่มนุษย์ไปกำหนดเอาเอง
ผมพบว่าเมื่อผมลอง "ไม่ตัดสิน" ลอง "แขวนการตัดสิน" ไว้ ผมรู้สึกได้ว่าผมเข้าใจคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างไปจากผมได้ เหมือนกับว่าเรารู้เท่าทันความคิดที่ผุดขึ้นมาในศีรษะของเราอย่างทันท่วงทีก่อนที่ความคิดเหล่านั้นจะไปทำให้เกิดปฏิกิริยาออกมาเป็นอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น จากเดิมที่พอคนพูดอะไรไม่เข้าหูก็จะโกรธทันทีเลย กลายมาเป็นสามารถมองเห็นความคิดที่เกิดขึ้นในศีรษะของเราก่อนที่จะเกิดอารมณ์โกรธ เป็นต้น
การไม่ตัดสินทำให้เราสามารถมองเห็นความดีในคนอื่นๆ มากขึ้น มองเห็นได้ว่าคนมีทั้งดีทั้งเลวอยู่ในตัว ไม่มีใครดีทุกเรื่อง ไม่มีใครเลวทุกเรื่อง
แต่แท้ที่จริงแล้ว การไม่ตัดสินทำให้ตัวเราเองนั่นแหละมีความสุขมากขึ้นต่างหาก
ที่เขียนเล่านี้ไม่ได้มีเจตนาจะยกตัวเองว่าดีว่าเก่งอะไรนะครับ ผมเพียงรู้สึกว่าอยากจะเล่าถึงเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปของผมมาประกอบบ้างและตัวผมเองก็ยังจะต้องพัฒนาในเรื่องนี้ต่อไปอีกมากเพราะยังจะมีเรื่องหลายเรื่องที่ทำให้ผม "ติดกับดัก" การตัดสินได้อีกทีผมจะต้องเรียนรู้ต่อไปอีกเช่นกัน
--------------------------------------------------------------------------------
มติชน วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9759
คอลัมน์ จับจิตด้วยใจ
โดย น.พ.วิธาน ฐานะวุฑฒ์ หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ เชียงราย [email protected]
มีท่านผู้อ่านสงสัยและเขียนถามไปมากพอสมควรเกี่ยวกับคำว่า "ไม่ตัดสิน" ซึ่งนับเป็นเรื่องหนึ่งที่ทำความเข้าใจกันค่อนข้างยากสักนิดหนึ่งอาจจะในแง่ของภาษาด้วย ผมอยากจะขอลองเล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองก่อนหน้าที่จะได้รู้จัก "สุนทรียสนทนา" ซึ่งหมายถึงก่อนหน้าที่จะได้เข้าใจถึงเรื่องของ "การไม่ตัดสิน"
ผมเองก็เคยเป็นคนหนึ่งที่มีชีวิตเป็น "ไม้บรรทัด" และยึดถือคุณค่าของความถูกต้องแบบ "ตรงเป๊ะ" มากเกินไปไม่ยืดหยุ่นจนทำให้ชีวิตไม่มีความสุขเท่าที่ควร ก็ดูชื่อผมสิครับ "วิธาน" แปลว่า "การจัดหมวดหมู่ จัดระเบียบวินัยข้อบังคับ" คือเรื่องการยึดถือความถูกต้องนั้นเป็นเรื่องที่ดีแต่การยึดถือแบบ "ตรงเป๊ะเป็นไม้บรรทัด" โดยมุ่งการตัดสินคนนั้นเป็นเรื่องที่นำความลำบากมาให้ผมเองในการทำงาน
ในสมัยที่ทำงานเป็นแพทย์ใช้ทุนนั้น แพทย์รุ่นพี่คนไหนไม่ดูคนไข้หรือดูคนไข้ไม่ดี (ในสายตาของผม) ผมก็คือว่าแพทย์คนนั้นเลว ไม่ได้มาตรฐาน
พยาบาลคนไหนทำงานไม่ดี ไม่ดูคนไข้ รายงานอาการของคนไข้ไม่ถูกต้อง ทำแผลคนไข้ไม่เรียบร้อย ผมก็จะตัดสินทันทีว่าพยาบาลคนนั้นทำงานไม่ได้เรื่อง แย่ ไม่ได้มาตรฐาน
พอไปเรียนต่อระหว่างที่เป็นแพทย์ประจำบ้าน ผมต้องไปทำงานตั้งแต่ 06.30 น. ทุกวัน แพทย์รุ่นน้องคนไหนมาทำงานสายกว่าผมซึ่งเป็นแพทย์รุ่นพี่ 5 นาที แพทย์รุ่นน้องคนนั้นก็กลายเป็นแพทย์ที่เลว ขี้เกียจและไม่รับผิดชอบ
ชีวิตที่ "ตัดสินคน" แบบนี้ทำให้ผมพบว่าผมเจอ "คนดีที่ได้มาตรฐาน" ของผมน้อยลงไปทุกวันๆ ทำไปทำมาคนที่ทำงานรอบๆ ข้างของผมเลวไปหมด พยาบาลส่วนมากทำงานไม่ได้เรื่อง แพทย์ส่วนใหญ่ก็ทำงานห่วยสู้ผมไม่ได้สักคน
และบางครั้งผมรู้สึกว่าเหลือผมเป็นคนดีอยู่คนเดียวจริงๆ
เรื่องการตัดสินยังไม่จบแค่นั้นเพราะเป็นเรื่องที่แทรกซึมเข้าไปอยู่ในวิถีชีวิตของผมทุกๆ เรื่องอย่างแยกไม่ออกเลยทีเดียว
ร้านก๋วยเตี๋ยวแสนอร่อยร้านหนึ่งทำก๋วยเตี๋ยวให้กับลูกค้าแซงคิวผม-ผมถือว่าไม่ได้มาตรฐานบริหารห่วย มีอย่างที่ไหนไม่ดูเลยว่าใครมาก่อนมาหลัง ผมก็ไม่เหยียบร้านก๋วยเตี๋ยวร้านนั้นอีกเลย
ร้านคอมพิวเตอร์ร้านหนึ่ง ส่งช่างไปซ่อมคอมพิวเตอร์ของผมไม่ทันใจ ผมก็ตัดสินทันทีว่าร้านนี้ทำงานไม่ดี-ห่วย ผมก็เปลี่ยนร้านและไม่ซื้อของจากร้านนั้นอีกเลย
ปั๊มน้ำมันปั๊มหนึ่งเด็กปั๊มไม่ยอมให้น้ำดื่มแถมตามที่เขียนบอกไว้ ผมก็ว่าปั๊มนี้ห่วย
ฯลฯ
ทำไปทำมาผมเหลือร้านอาหารที่จะเข้าได้เพียงไม่กี่ร้าน เพราะร้านนั้นก็ไม่ดี ร้านนี้ก็ไม่ดี
ทำไปทำมาผมแทบจะไม่เหลือร้านคอมพิวเตอร์ให้เข้า
ทำไปทำมาผมแทบจะไม่เหลือปั๊มน้ำมันให้เติม เพราะมีแต่ปั๊มห่วยๆ ไม่ได้มาตรฐาน
ผมรู้สึกว่าสังคมแย่จังมีแต่เรื่องไม่ได้มาตรฐาน ชุ่ย แฉะและเลวร้าย ผมไม่รู้ตัวหรอกว่าสุขภาพของผมก็เลวร้ายตามไปด้วย ผมโกรธง่าย อารมณ์ฉุนเฉียวและเป็นแผลในกระเพาะอาหารที่รักษาไม่หายเสียที
สองเรื่องที่ช่วยให้ผมเข้าใจถึงโทษของ "การตัดสิน" และทำให้ผมได้เรียนรู้และก้าวไปสู่พื้นที่ของ "การไม่ตัดสิน" มากขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งคือการพยายามฝึกตัวเองให้เข้าไปสู่ "สภาวะแห่งความเป็นปกติ" ตามที่ได้เขียนถึงมาตลอดในคอลัมน์นี้แล้วและสองก็คือ "สุนทรียสนทนา" นั่นเอง
"สภาวะแห่งความเป็นปกติ" นั้นเป็นเรื่องของปัจเจกแต่ละบุคคล มีวิธีการหลายวิธีมากที่จะช่วยนำทางให้เราเข้าสู่ "สภาวะ" แบบนี้ได้ เช่น การฝึกลมหายใจ โยคะ ชี่กง เทคนิคการใช้พลังงานของหัวใจ การนั่งสมาธิ กีฬาที่พ้นมิติการแข่งขันและเงินรางวัล ฯลฯ
"สุนทรียสนทนา" เป็นเรื่องของกลุ่มของชุมชนที่ช่วยเอื้อซึ่งกันและกัน องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดหนึ่งในสามเรื่องของ "สุนทรียสนทนา" ก็คือ "การไม่ตัดสิน" หรือ "การแขวนการตัดสิน" "การชะลอการตัดสิน" "การไม่ตัดสิน" ตรงนี้มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "Nonjudgement" ไม่เกี่ยวข้องกับคำว่า "การตัดสินใจ" (Decision)
การตัดสินนั้นเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันและ "คุณสมบัติอย่างหนึ่ง" ที่สำคัญของความเป็นวิทยาศาสตร์เก่าอย่างชัดเจน เพราะวิทยาศาสตร์เก่านั้นต้องการจะบ่งบอกถึง "ความแน่นอน" "ความชัดเจน" "ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่งเท่านั้น" "ไม่ใช่ข้างฉันก็เป็นศัตรูกับฉัน"
ความเป็นวิทยาศาสตร์แบบเก่ามีแนวโน้มที่จะผลักดันให้มนุษย์คิดแบบตายตัว เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เหมือนกับว่าชีวิตนี้มีเรื่องเพียงสองแบบให้คุณต้องเลือก "ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง" (Either) เท่านั้น แต่วิทยาศาสตร์ใหม่บอกว่า เราสามารถเลือกแบบใดแบบหนึ่งก็ได้ เลือกทั้งสองแบบก็ได้หรือไม่เลือกทั้งสองแบบก็ได้(Both, And)
พอความคิดของเราสามารถพัฒนาไปพ้น "ทวิภาวะ" (Dualism) ได้ เราจะรู้สึกถึง "ความเบาสบาย" อย่างแปลกประหลาดเพราะการตัดสินนั้นทำให้เราไปไม่พ้น "ทวิภาวะ" เป็นขอบเขตที่มนุษย์ไปกำหนดเอาเอง
ผมพบว่าเมื่อผมลอง "ไม่ตัดสิน" ลอง "แขวนการตัดสิน" ไว้ ผมรู้สึกได้ว่าผมเข้าใจคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างไปจากผมได้ เหมือนกับว่าเรารู้เท่าทันความคิดที่ผุดขึ้นมาในศีรษะของเราอย่างทันท่วงทีก่อนที่ความคิดเหล่านั้นจะไปทำให้เกิดปฏิกิริยาออกมาเป็นอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น จากเดิมที่พอคนพูดอะไรไม่เข้าหูก็จะโกรธทันทีเลย กลายมาเป็นสามารถมองเห็นความคิดที่เกิดขึ้นในศีรษะของเราก่อนที่จะเกิดอารมณ์โกรธ เป็นต้น
การไม่ตัดสินทำให้เราสามารถมองเห็นความดีในคนอื่นๆ มากขึ้น มองเห็นได้ว่าคนมีทั้งดีทั้งเลวอยู่ในตัว ไม่มีใครดีทุกเรื่อง ไม่มีใครเลวทุกเรื่อง
แต่แท้ที่จริงแล้ว การไม่ตัดสินทำให้ตัวเราเองนั่นแหละมีความสุขมากขึ้นต่างหาก
ที่เขียนเล่านี้ไม่ได้มีเจตนาจะยกตัวเองว่าดีว่าเก่งอะไรนะครับ ผมเพียงรู้สึกว่าอยากจะเล่าถึงเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงไปของผมมาประกอบบ้างและตัวผมเองก็ยังจะต้องพัฒนาในเรื่องนี้ต่อไปอีกมากเพราะยังจะมีเรื่องหลายเรื่องที่ทำให้ผม "ติดกับดัก" การตัดสินได้อีกทีผมจะต้องเรียนรู้ต่อไปอีกเช่นกัน
--------------------------------------------------------------------------------
มติชน วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2547 ปีที่ 27 ฉบับที่ 9759
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ศีลข้อไหนบาปสุดครับ
โพสต์ที่ 22
ขอบคุณคุณ BSL และพี่พอใจครับ
ปล. ผมไม่เห็นด้วยกับบทความทั้งหมด แต่ก็ได้แง่คิดที่ดีครับ
ปล. ผมไม่เห็นด้วยกับบทความทั้งหมด แต่ก็ได้แง่คิดที่ดีครับ