ขอถามท่านผู้รู้ถึงการคำนวณ Mkt Cap ของ AH หน่อยครับ

[Mr. Big]

พอดีอ่านงบของ AH อยู่นะครับ เห็นว่า AH มีทุนที่ออกและชำระแล้ว แบ่งเป็น

1. หุ้นบุริมสิทธิชนิดไม่สะสมเงินปันผล 42,360,000 หุ้น (par 1)
2. หุ้นสามัญ 240,000,000 หุ้น (par 1)

รวมหุ้นบุริมสิทธิ และ หุ้นสามัญ เท่ากับ 282,360,000 หุ้น


พลันเห็นข้อมูลใน Settrade พบว่า Market Cap ของ AH ล่าสุด ณ 18/7/49 เท่ากับ 2,856 ล้านบาท ( เอาราคาปิด 11.9 คูณ จำนวนหุ้นสามัญชำระแล้ว 240 ล้านหุ้น)

แต่มีคนแย้งถามผมว่า ทำไม การคำนวณ Market Cap ของ AH ไม่เอา หุ้นบุริมสิทธิจำนวน 42.36 ล้านหุ้น มารวมในการคำนวณ Market Cap ด้วย เพราะถ้าเอาหุ้นทั้งหมดมารวม AH จะมี Market Cap เท่ากับ 3,360 ล้านบาท แตกต่างกันถึง 500 ล้านบาท

ผมเลยอยากถามท่านผู้รู้ขอความเห็นหน่อยครับ ว่าจริงๆ แล้ว การดู Market cap ของ AH จริงๆ ต้องรวมหุ้นทุกประเภท หรือ หุ้นสามัญที่ชำระแล้วเท่านั้นครับ




ปล. การที่ AH ซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) มีผลอะไรกับ จำนวนหุ้น Outstanding ที่ใช้ในการคำนวณ Market Cap ไหมครับ

ขอบคุณครับ

[Doraemon]

ผมเลยอยากถามท่านผู้รู้ขอความเห็นหน่อยครับ ว่าจริงๆ แล้ว การดู Market cap ของ AH จริงๆ ต้องรวมหุ้นทุกประเภท หรือ หุ้นสามัญที่ชำระแล้วเท่านั้นครับ

การคำนวณ Market Cap. ใช้เฉพาะหุ้นสามัญที่ชำระแล้วครับ

ปล. การที่ AH ซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) มีผลอะไรกับ จำนวนหุ้น Outstanding ที่ใช้ในการคำนวณ Market Cap ไหมครับ ขอบคุณครับ

ยังไม่มีผลครับ การซื้อหุ้นคืนจะมีระยะเวลาที่ให้บริษัทสามารถจำหน่ายคืนได้(จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ปีนึงมั้ง) แต่หากบริษัทไม่จำหน่ายคืน จะต้องลดทุนจดทะเบียนตามจำนวนหุ้นที่ซื้อคืนมา ตอนนี้แหละที่จะมีผลกับ Market Cap.

[Mr. Big]

แล้วหุ้นบุริมสิทธิAH จำนวน 42.36 ล้านหุ้น มีหมดอายุไหมครับ


ถามต่อเรื่อง Preferred Shares นะครับ

ในหมายเหตุประกอบงบการเงินของ AH จะมีการจัดทำ กำไรสุทธิปรับลดให้ดูด้วยครับ ซึ่งเป็นกำไรสุทธิที่เป็นของผู้ถือหุ้นสามัญสมมติว่ามีการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ  (เอา หุ้นบุริมสิทธิมารวมกับหุ้นสามัญ) ทำไม EPS ที่ได้ลดลงกว่ากำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน  

ทำไมต้องแสดงในหมายเหตุด้วยเหรอครับ แสดงว่ามีประเด็นสิครับ สำหรับเรื่องหุ้นบุริมสิทธิ ( จะเหมือนกับ บริษัท ออก Warrant ทั่วๆ ไป ใช่ไหมครับ)

[naris]

หุ้นบุริมสิทธิ42.36 ล้านหุ้น เป็นหุ้นเพิ่มทุนให้กับกลุ่ม โซจิทสึ คอเปอเรชั่น ในราคา 34.41 บาทต่อหุ้น เมื่อเดือนสิงหา ปีที่แล้วครับ มีระยะห้ามขาย(ถ้าจำไม่ผิดคือ 2 ปี) อีก2ปีค่อยนำมาคิดรวมครับ

[Mr. Big]

อีกนัยนึง หุ้น AH ที่ซื้อขายตอนนี้ จริงๆ แล้ว Sojitz จะ trade ไม่ได้ใช่ไหมครับ เพราะไม่ใช่ AH-P  ( ที๋ซื้อขายอยู่ ไม่เกี่ยวกับ กลุ่มญี่ปุ่นนั้น)

[Jeng]

ถามได้ดี ถามได้น่าคิด ไว้ว่างๆจะมาคิดนะ ตอนนี้ขอลุยธุรกิจก่องนะ

[keng56]

อืม.. 8)

[Ent']

ผมคิดว่า นำหุ้นบุริมมุสิทธิ์ มาคิด EPS ด้วยจะเป็นวิธีที่ conservative กว่านะครับ เพราะว่าหุ้นบุริมมุสิทธิ์ถึงจะไม่มีสิทธิในการบริหาร แต่ก็มีสิทธิในการแบ่งเงินปันผล ก็เหมือนกับการนำ warrant มาคิด fully-diluted eps นะแหละครับ

หุ้นที่ซื้อคืนเรียก treasury stock โดยปกติจะไม่นำจำนวนมาคิด eps

[โอ@]

จริงๆใน set.or.th , settrade คิด Market Cap อย่างนี้ทุกตัวเลยหนิครับ เอาราคาหุ้นคูณหุ้นสามัญชำระแล้ว .... ทำไมไม่คูณด้วย บุริมสิทธิด้วย ผมละไม่เข้าใจ P/E จะได้น้อยๆ ?

SCB ก็เป็นหนิครับ ตัวแรกเลยที่ทำให้ผมเจอว่า set.or.th กับ settrade คิดอย่างนี้

[Ent']

ลืมตอบไปว่า Outstanding Shares จะลด เมื่อมี treasury shares ครับ

[สุมาอี้]

หุ้นบุริมสิทธิตามตำรานั้นหมายถึงเป็นหุ้นที่ผู้ถือหุ้นมีสิทธิได้รับแบ่งสินทรัพย์ก่อนผู้ถือหุ้นปกติหากบริษัทต้องเลิกกิจการ

แต่ในทางกฎหมาย ไม่ได้มีการระบุสิทธิดังกล่าวไว้ แต่กฎหมายให้บริษัทระบุสิทธิอะไรก็ได้ขึ้นมาเองแล้วจดทะเบียนไว้ในข้อบังคับของบริษัท ซึ่งอาจมีหรือไม่มีสิทธิข้างต้นก็ได้ และอาจมีสิทธิอย่างอื่นๆ เพิ่มอีกก็ได้ แล้วแต่บริษัทจะต้องการ

ในกรณีของ AH สิทธิที่ระบุไว้มีทั้งสิทธิดังกล่าวข้างต้น และสิทธิอื่นๆ ซึ่งรวมถึงสิทธิในการได้รับเงินปันผลเหมือนอย่างผู้ถือหุ้นด้วย

หุ้นบุริมสิทธิ์ของบางบริษัทมีลักษณะเหมือน หนี้ เพราะได้รับเงินปันผลเป็นอัตราแน่นอน แต่ถ้าเป็นการรับเงินปันผลเท่ากับหุ้นสามัญอย่างของ AH กรณีเช่นนี้ถือว่าโดยพฤตินัยคือหุ้นสามัญดีๆ นี่เอง ดังนั้นแม้ในตารางหุ้นจะไม่รวมมูลค่าหุ้นบุริมสิทธิไว้ในมูลค่าตลาด แต่เวลาเราคิดของเราเองควรจะรวมเข้าไปเองเป็นอย่างยิ่งครับ ลองคิดดูว่าอีก 3 ปี ถ้าหุ้นบุริมสิทธิ์ถูกแปลงเป็นหุ้นสามัญจะเกิดอะไรขึ้น ก็เหมือนหุ้นสามัญดีๆ นี่เองใช่มั้ย มองไปข้างหน้าได้เลยครับ

ส่วนหุ้นซื้อคืนนั้นต้องลุ้นอนาคตครับ เพราะกฏหมายกำหนดว่าภายใน 3 ปี บริษัทต้องนำหุ้นซื้อคืนนั้นออกขาย (แปลกจริงๆ กฏหมายไทย ของเมืองนอกเขาไม่มี) ถ้าภายใน 3 ปี บริษัทเห็นหุ้นราคาดีก็จะนำออกมาขายทำให้จำนวนหุ้นสามัญที่มีผู้ถือเพิ่มขึ้น (dilute) แต่ถ้าไม่มีโอกาสให้ขายในราคาดีเลยตลอด 3 ปี บริษัทก็อาจขอลดทุนเพื่อให้หุ้นซื้อคืนเหล่านั้นหายไปแทน ซึ่งก็จะไม่มี dilution effect เกิดขึ้น ส่วนจะดีหรือไม่ดีกับผู้ถือหุ้นนั้นขึ้นอยู่กับว่าต้นทุนที่บริษัทซื้อหุ้นคืนมาตั้งแต่แรกสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ

[Mr. Big]

ขอบคุณทุกท่านนะครับ สรุป ก็คือ รวมหุ้นบุริมสิทธิ จำนวน 42.6 ล้านหุ้นด้วย เพราะมีสิทธิ์แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ หลังจาก 3 ปีนับจากวันที่ออก
( คิด Fully Dilluted  เลย)