ธุรกิจหนังสือสะดุดพิษ ศก. ชี้เทรนด์ "ร้านเล็ก" มาแ

[hot]

http://www.matichon.co.th/prachachart/p ... 2005/08/15

[naris]

ศรีวรรณ" บอกด้วยว่า ตัวแปรสำคัญอย่างหนึ่งที่กระทบธุรกิจร้านหนังสือมากก็คือ การแข่งขันของตลาดโดยเฉพาะการขยายตัวของร้านหนังสือเชนสโตร์ต่างๆ ที่ออกไปต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งผู้ประกอบการรายเดิมในท้องถิ่นต้องเปลี่ยนวิธีการคิดและการบริหารจัดการใหม่ นอกจากนี้การที่สำนักพิมพ์ต่างๆ ที่มีหนังสือขายดีมักจะกั๊กหนังสือไว้เปิดตัวในงานบุ๊กแฟร์ใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯก่อน หลังจากนั้นค่อนส่งไปให้ร้านค้ารายย่อย ทำให้ร้านค้ารายย่อยขาดโอกาสในการขาย



ด้าน "ทนง" ผู้บริหารใหญ่ร้าน "ซีเอ็ด บุ๊คเซ็นเตอร์" มองว่า วิกฤตเศรษฐกิจในปีนี้จะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงเท่ากับเมื่อปี 2540 ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าผู้ประกอบการมีประสบการณ์และเรียนรู้วีธีการตั้งรับ ที่สำคัญสัญญาณการชะลอตัวทางเศรษฐกิจนั้นได้ส่งมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่ปลาย ปี 2547

แต่กระนั้นก็ตาม เมื่อทุกคนรับรู้ถึงสถานการณ์ของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น สำนักพิมพ์หลายแห่งก็เริ่มที่จะตรวจเช็กอาการด้านการเงินของร้านค้าปลีกบ้างแล้ว

"ภาพรวมครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตัวเลขของธุรกิจหนังสือก็ตกลงเล็กน้อย แต่ตัวเลขที่ตกลงนั้นก็ยังมีอัตราการเติบโตอยู่ เพียงแต่อัตราการเติบโตอาจจะเหลือแค่ตัวเลขตัวเดียวเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ที่ธุรกิจหนังสือยังสามารถโตได้เป็นตัวเลข 2 หลักติดต่อกันมา 4-5 ปี"

พร้อมกันนี้ "ทนง" ยังให้ข้อมูลด้วยว่า หากดูจากจำนวนหนังสือที่ออกใหม่ในปีนี้ พบว่าในแต่ละเดือนมีหนังสืออกใหม่โดยเฉลี่ย 31 หัว/เดือน ขณะที่ปีที่ผ่านมามีประมาณ 28-29 หัว/เดือน แสดงว่าสำนักพิมพ์ต่างๆ ยังมั่นใจกำลังซื้อผู้บริโภค และครึ่งปีที่ผ่านมาก็มีสำนักพิมพ์หลายๆ แห่งที่ยังมีอัตราการเติบโตในเกณฑ์สูง

"ทนง" ยังชี้แนะร้านค้าปลีกด้วยว่า การที่จะบริหารร้านหนังสือให้อยู่รอดได้ เจ้าของจะต้องมีเวลาที่จะดูแลและคุยกับลูกค้าเพื่อค้นหาจุดขายที่ชัดเจนของตัวเอง และหาโอกาสที่จะทำให้ขายหนังสือได้มากขึ้น ที่สำคัญต้องหันมาควบคุมค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นค่าเช่าพื้นที่ ค่าพนักงาน ค่าขนส่ง รวมถึงค่าน้ำ-ค่าไฟ ฯลฯ



ด้าน "เขต เส็งพานิช" กรรมการผู้จัดการ "อมรินทร์ บุ๊คเซ็นเตอร์" แสดงทรรศนะในเรื่องเดียวกันนี้ว่า ราคาน้ำมันเป็นตัวแปรที่มีผลต่อธุรกิจร้านหนังสือไม่มากนัก เพราะน้ำมันจะกระทบแค่กลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น ตลาดรวมหนังสือยังสามารถเติบโตได้ แต่สำคัญอยู่ที่ว่าเจ้าของร้านหนังสือนั้นๆ สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีมากน้อยแค่ไหนพร้อมกันนี้เขายังระบุด้วยว่า โดยทั่วไปสูตรการทำธุรกิจร้านหนังสือนั้นจะต้องมีหนังสือที่ทำรายได้หลัก (80%) ที่จะใช้พื้นที่วางขายอยู่หน้าร้านประมาณแค่ 20% ส่วนอีก 80% เป็นหนังสือที่ขายไม่ค่อยดีแต่ก็ต้องมีไว้เพื่อให้มีหนังสือบริหารลูกค้าที่ครบถ้วน ซึ่งสูตรนี้จะส่งผลให้ร้านหนังสือในอนาคตมีขนาดพื้นที่เล็กลง จะเหลือเพียงแค่ร้านขนาดกลางและขนาดเล็กเท่านั้นที่เจาะกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนของคนในแต่ละทำเลอย่างชัดเจน ส่วนร้านขนาดใหญ่ก็อาจมีบ้างสำหรับเป็นสาขาแฟล็กชิปเพื่อสร้างแบรนด์ของตัวเอง

[สุมาอี้]

ถ้าอัตราเติบโตกำลังลดลงเหลือหลักเดียวอย่างที่คุณทนงว่า การที่ se-ed ร่วงลงมาเหลือพีอี 10 ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ยังลงได้อีกด้วยซ้ำ