"วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
-
- Verified User
- โพสต์: 5659
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 61
ขอบคุณ คุณ humdrum สำหรับบทความและมุมมองดีๆด้วยนะขอรับ
หลังจากอ่านข้อความเหล่านี้จบ
ผมก็พยายามมองอะไรให้มันกลับทางดูบ้างอ่ะนะขอรับ 555+
เช่น...
เวลาส่องกระจก...เมื่อก่อนจะพยายามมองให้ตัวเองดูหล่อ - -"
แต่วันนี้...พอมองกระจก พยายามจะดูให้เห็นถึงความขี้เหร่ ความเสื่อม และความเหี่ยวแก่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป
เวลาคิดถึงหุ้นในพอร์ตของตัวเอง จะพยายามคิดว่า...
ฉันต้องทำใจให้ได้ว่า "มีก็เหมือนไม่มี!!!"
ก็ไม่รู้เกี่ยวกันหรือเปล่านะครับ (กลัวโชว์ความโง่เหมือนกันอ่ะนะ)
ด้วยความรู้อันน้อยนิด แต่ก็อยากร่วมคุย ร่วมแชร์มุมมองอ่ะนะขอรับ
(^_^)
หลังจากอ่านข้อความเหล่านี้จบ
ผมก็พยายามมองอะไรให้มันกลับทางดูบ้างอ่ะนะขอรับ 555+
เช่น...
เวลาส่องกระจก...เมื่อก่อนจะพยายามมองให้ตัวเองดูหล่อ - -"
แต่วันนี้...พอมองกระจก พยายามจะดูให้เห็นถึงความขี้เหร่ ความเสื่อม และความเหี่ยวแก่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป
เวลาคิดถึงหุ้นในพอร์ตของตัวเอง จะพยายามคิดว่า...
ฉันต้องทำใจให้ได้ว่า "มีก็เหมือนไม่มี!!!"
ก็ไม่รู้เกี่ยวกันหรือเปล่านะครับ (กลัวโชว์ความโง่เหมือนกันอ่ะนะ)
ด้วยความรู้อันน้อยนิด แต่ก็อยากร่วมคุย ร่วมแชร์มุมมองอ่ะนะขอรับ
(^_^)
"แม้การลงทุนจะมีความเสี่ยง แต่มันก็มีความฝันปะปนด้วยอยู่เสมอ..."
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 62
อ่านแล้วเข้าใจกันจริงหรือครับ?
ผมว่ายัง
ถ้าได้อย่างที่โพสว่าเข้าใจนะครับ ลองเอาความคิดเกี่ยวกับเรื่องการอินเวิดมาวางให้ดูหน่อยก็ได้นะครับ
ถ้าเข้าใจจริงๆ มันเอาไปใช้ได้ทุกอย่างละครับ อย่างท่าน pak เขียนมาอย่างนี้
pak : หลังจากอ่านข้อความเหล่านี้จบ ผมก็พยายามมองอะไรให้มันกลับทางดูบ้างอ่ะนะขอรับ 555+
เช่น...เวลาส่องกระจก...เมื่อก่อนจะพยายามมองให้ตัวเองดูหล่อ - -"แต่วันนี้...พอมองกระจก พยายามจะดูให้เห็นถึงความขี้เหร่ ความเสื่อม และความเหี่ยวแก่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป
^O-O^ ผมว่าความคิดใช่เลย คือมองทุกอย่างให้มัน balance ได้อย่างนี้ ไม่ใช่ไปมองด้านเดียว เหตุผลที่ต้องมองสองด้าน เวลามันไม่เป็นอย่างที่คิด มันจะได้ไม่หลุดตกใจ หรือว่าเสียใจขนาดว่าทำอะไรไม่ถูกเลย ผมจะบอกให้ครับ เวลาทุกอย่างมันพลิกกลับ มันจะมีสิ่งหนึ่งเข้ามาควบคลุมการตัดสินใจของเราทุกอย่างเลย สิ่งนี้มีในตัวพวกเราทุกคน มีมากมีน้อยต่างกันไป อะไรทราบไหมครับ ความเครียดไงครับ
มีใครอยากเครียดไหมละครับ หายากนะครับ ผมได้แนะนำให้ทุกท่านเครียด แต่ผมให้ยอมรับกับมัน และทำความเข้าใจมันให้มากอย่างถึงพริกถึงขิงเลย ผมยกตัวอย่าง เอ้าอะไรที่ทำให้เราขนาดหลุดหนัก ๆ เลย โอเค อันนี่โดน
เมียมีชู้ ผูํชายไทยรับกันได้ไหมครับ
ที่ผมบอกว่า ผมมองแต่ความทุกข์ มองอย่างเดียวก็ไม่พอ กำหนดให้เป็นภาพเลย จดไว้เลยนะครับ มองให้เป้นภาพที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งกำหนดมันชัดออกมาเท่าใด ยิ่งรับมื่อกับความทุกข์ได้มากเท่านั้น ผมกำหนดภาพวันหนึ่งกลับบ้าน เจอเมียตัวเองกับคนอื่น พอเห้นภาพในหัว สังเกตลมหายใจตัวเองเลยครับ เข้ายาว ออกสั้น แสดงว่าตัวเองกำลังโมโห ลมหายใจนี่มันบอกได้หมดเลย ผมวิเคราะห์ลมหายใจตัวเอง แล้วบอกได้หมดเลยว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์แบบใด แล้วต้องจัดการกับมันแบบไหน ถ้าปกติ ผมหายใจ 1 นาที เข้า/ออก เป็นหนึ่งชุด เวลา 1 นาที ก็ห้าครั้งเอง อย่างนี้อยู่ใน comfort zone ของผม นิ่งมากเลย มองทุกอย่างออกมาเป็นภาพหมด นั่นแรก ๆ มองเป็นภาพ ใช้ประสาทสัมผัสทางตาอย่างเดียว พอเก่งขึ้นหน่อย มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีสัมผัส
อย่างง่ายๆ ผมจะไปโรงพยาบาล ก็กำหนดเส้นทางก่อนไป อย่างนั้นคือ ตา กลื่นโรงพยาบาลละเป้นไง หูละ ได้ยินเสียงอะไรที่นั่น ปากละ รสของโรงพยาบาลเป้นอย่างไร
ไม่ว่าความทุกข์ หรือว่า ความเครียดต่างๆ มันจะไปหายไปถ้าเรากำหนดภาพของมันออกมาอย่างชัดเจน อย่างเรื่องเมียมีชู้ ผมจะนั่งหลับตาจินตนาการเขาอยู๋กับผู็ชายคนอื่น หรือวาอยู๋กับผู้หญิงแฟนใหม่เป็นเลสเบี่ยน จะกำหนดภาพว่าตัวเองจะทำอย่างไร จนกว่าลมหายใจของผมจะเหลือเพียวแค่ประมาณ 5-6 ครั้งต่อนาที อย่างนี้ถือว่าพอเจอเหตุการณ์อย่างนั้นจริงๆ ผมรับมื่อกับสถานการณ์อย่างได้ 100 เปอร์เซ็นต์ มั่นใจมาก เพราะเราได้ล๊อคสเป๊กอารมณ์ตัวเองไว้ล่วงหน้าแล้ว เคยมีเพื่อนเทรดเดอร์ฝรั่ง พอฟังผมพูดเรื่องนี้จบ บอกว่า ผมซื้อประกันล่วงหน้าอารมณ์ตัวเองไว้แล้วนะนี่
ใช่ครับ เขาพูดถูกเพ็งเลย ทุกข์แค่ไหน มันไม่เคยใหญ่ไปกว่าหัวของเราหลอก มันอยู๋ในหัวทั้งนั้น มันปั่นพวกเราซะอยู่หมัดเลย ไอ้สมองของเราที่ว่ามันทำงานแบบมีเหตุผล ก็เข้าใจไม่ถูกหมด แสดงว่ายังเข้าใจมันเพียงด้านเดียว dark side มันก็มี เหตุผลมันก็ทำงานเพื่อตอบสนองตามใจกิเลส ego ของเจ้าของที่มันรับใช้ ยอมรับได้หรือปล่าวละครับ นั่นละครับ I am always wrong and I try to correct my mistakes
pak : เวลาคิดถึงหุ้นในพอร์ตของตัวเอง จะพยายามคิดว่า...ฉันต้องทำใจให้ได้ว่า "มีก็เหมือนไม่มี!!!"
^O-O^ : ส่วนประโยคนี้ ผมไม่เข้าใจดีครับ
Invert Daily
อ่านดีๆ ละครับ ท่านเอาไปใช้ได้จริงในการลงทุนครับ
วันนี้ได้ใช้เส้นทางถนนจรัลจากสะพานพระรามเจ็ดตรงไปทางเส้นปิ่นเกล้า ติดหนักน่าดูครับ ผมเคยไปครั้งหนึ่งแล้ว วันนี้ลองอินเวิดใช้มุมมองด้านอื่นๆ ดูครับ ผมหมายถึงบนถนนนั่น นอกจากมุมมองจากรถยนต์แล้ว ยังมีมุมมองจากมอไซค์ รถเมล์ รถกะบะ และรถอื่นๆ ที่วิ่งอยู๋บนถนนที่ผมกำลังใช้อยู่ด้วย ผมได้อินเวิดเป็นมอไซค์ดูครับ ขับเองละครับ วิ่งยากกว่ารถยนต์ซะอีกครับ ทางแคบเพราะก่อสร้าง ต้องระวังกระจกมอไซค์ของเราไปเชี่ยวชนกระจกรถท่านอื่นแตกเสียหาย ไอ้แบบมีคุณธรรม ชนแล้วจอดมาเคลียประกัน อย่าไปฝันให้มากดีกว่า มีแต่กรูแล่นต่อเลยเฟ้ย อยู๋ให้โง่ทำไม
ถ้าท่านไปติดตรงนั้นแล้ว ท่านไม่อารมณ์เสียเลยนะ ท่านไม่ต้องมาอ่านตรงนี้เลย ท่านเก่งโคตรในการจัดการกับตัวเองอย่างดีแล้ว ถ่าท่านขับไปแ บ่นไป แสดงว่าท่านไมได้คาดหวังว่าจะติด หรือ ว่า คาดหวังแล้ว แต่ว่าไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ นี่ละครับ ที่ผมบอกว่า วันนี้เป้นวันดีที่ขาดทุน
วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะไปติดบนถนน ผมพูดอย่างนั้นเพราะผมได้กำหนดภาพตัวเองติดแง็กอย่างชัดเจนแล้ว พร้อมทั้งหาวิธีที่จัรับมื่อกับอารมณ์ตัวเองที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนออกมาเป้นภาพอีกด้วย
ท่านรับได้ไหมครับ มีมอเตอไซค์ เอ้าผมนี่ละ ชนกระจกท่านแตกตรงถนนจรัลแล้วขับหนีไปเลย ถ้าทำใจไม่ได้ ปิดกระจกพับมันเข้าครับ ไม่ต้องให้มันกลางออก
ท่านไม่จำเป็นต้องใช้กระจกมองข้างหรอกขับ เวลารถมันติดอย่างนั้น ถ้าเถียงว่าไม่จริง ก็เอาไว้ดูมอไซค์ไงละ ดูอะไรครับ ดูแล้วมันช่วยอะไรได้ กระจกข้างตรงนั้น น้ำหนักมันลบมากกว่าบวก ทางลบมีไว้ให้พวกผมรอชนต่างหาก
ละครับ ขับตรงนั้นให้เป้น คิดถึงมุมมองอื่นๆ บ้่าง ไอ้ที่ว่าอินเวิด ผมอินเวิดทางความคิดมานาน บางอย่างมันคิดไม่พอ ต้องลองไปทำดูจริงๆ ถึงมองกันออก
หุ้นก็เหมือนกัน ในตลาดมีทั้งคนขาย/ คนซื้อ เวลาอยากซื้อ ก็มองหน่อยว่า ไอ้คนขายทำไมมันถึงขาย ทำไมเราถึงมองออกว่าหุ้นตัวนี้มันดี ทำไมคนอื่นถึงมองว่าไม่ดี เวลาขายก็มองกลับกัน นั่นละครับ หลักการของอินเวิด
เอาใจคนอื่นมาใส่ใจเรา ประโยคนี้จบเลย
ใช้ได้ครอบจักรวาลจริงไหมครับ
สุดยอดของเซียนแล้ว ไม่ว่าเซียนวงการไหน
ใจของคู่ต่อสู้ก็คือใจของเรา ตัวเราเป็นเพียงกระจกสะท้อนทุกสิ่งเท่านั้น
แล้วกระจกมันไม่มีเอาอะไรเป็นของตัวเองด้วยนะครับ
มันแค่สะท้อนสิ่งต่างๆ เท่านั้น ไม่เคยมีอะไรติดในกระจกถาวรเลย
เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ
เวลาลงทุน ก็แยกอารมณ์ต่างๆ ให้ออกจากตัวของท่าน
มันไม่เคยเป้นของท่านหรอกครับ ท่านคิดไปเองทั้งนั้นครับ
ผมว่ายัง
ถ้าได้อย่างที่โพสว่าเข้าใจนะครับ ลองเอาความคิดเกี่ยวกับเรื่องการอินเวิดมาวางให้ดูหน่อยก็ได้นะครับ
ถ้าเข้าใจจริงๆ มันเอาไปใช้ได้ทุกอย่างละครับ อย่างท่าน pak เขียนมาอย่างนี้
pak : หลังจากอ่านข้อความเหล่านี้จบ ผมก็พยายามมองอะไรให้มันกลับทางดูบ้างอ่ะนะขอรับ 555+
เช่น...เวลาส่องกระจก...เมื่อก่อนจะพยายามมองให้ตัวเองดูหล่อ - -"แต่วันนี้...พอมองกระจก พยายามจะดูให้เห็นถึงความขี้เหร่ ความเสื่อม และความเหี่ยวแก่ร่วงโรยไปตามกาลเวลาที่ผ่านไป
^O-O^ ผมว่าความคิดใช่เลย คือมองทุกอย่างให้มัน balance ได้อย่างนี้ ไม่ใช่ไปมองด้านเดียว เหตุผลที่ต้องมองสองด้าน เวลามันไม่เป็นอย่างที่คิด มันจะได้ไม่หลุดตกใจ หรือว่าเสียใจขนาดว่าทำอะไรไม่ถูกเลย ผมจะบอกให้ครับ เวลาทุกอย่างมันพลิกกลับ มันจะมีสิ่งหนึ่งเข้ามาควบคลุมการตัดสินใจของเราทุกอย่างเลย สิ่งนี้มีในตัวพวกเราทุกคน มีมากมีน้อยต่างกันไป อะไรทราบไหมครับ ความเครียดไงครับ
มีใครอยากเครียดไหมละครับ หายากนะครับ ผมได้แนะนำให้ทุกท่านเครียด แต่ผมให้ยอมรับกับมัน และทำความเข้าใจมันให้มากอย่างถึงพริกถึงขิงเลย ผมยกตัวอย่าง เอ้าอะไรที่ทำให้เราขนาดหลุดหนัก ๆ เลย โอเค อันนี่โดน
เมียมีชู้ ผูํชายไทยรับกันได้ไหมครับ
ที่ผมบอกว่า ผมมองแต่ความทุกข์ มองอย่างเดียวก็ไม่พอ กำหนดให้เป็นภาพเลย จดไว้เลยนะครับ มองให้เป้นภาพที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้ ยิ่งกำหนดมันชัดออกมาเท่าใด ยิ่งรับมื่อกับความทุกข์ได้มากเท่านั้น ผมกำหนดภาพวันหนึ่งกลับบ้าน เจอเมียตัวเองกับคนอื่น พอเห้นภาพในหัว สังเกตลมหายใจตัวเองเลยครับ เข้ายาว ออกสั้น แสดงว่าตัวเองกำลังโมโห ลมหายใจนี่มันบอกได้หมดเลย ผมวิเคราะห์ลมหายใจตัวเอง แล้วบอกได้หมดเลยว่าตัวเองกำลังมีอารมณ์แบบใด แล้วต้องจัดการกับมันแบบไหน ถ้าปกติ ผมหายใจ 1 นาที เข้า/ออก เป็นหนึ่งชุด เวลา 1 นาที ก็ห้าครั้งเอง อย่างนี้อยู่ใน comfort zone ของผม นิ่งมากเลย มองทุกอย่างออกมาเป็นภาพหมด นั่นแรก ๆ มองเป็นภาพ ใช้ประสาทสัมผัสทางตาอย่างเดียว พอเก่งขึ้นหน่อย มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีสัมผัส
อย่างง่ายๆ ผมจะไปโรงพยาบาล ก็กำหนดเส้นทางก่อนไป อย่างนั้นคือ ตา กลื่นโรงพยาบาลละเป้นไง หูละ ได้ยินเสียงอะไรที่นั่น ปากละ รสของโรงพยาบาลเป้นอย่างไร
ไม่ว่าความทุกข์ หรือว่า ความเครียดต่างๆ มันจะไปหายไปถ้าเรากำหนดภาพของมันออกมาอย่างชัดเจน อย่างเรื่องเมียมีชู้ ผมจะนั่งหลับตาจินตนาการเขาอยู๋กับผู็ชายคนอื่น หรือวาอยู๋กับผู้หญิงแฟนใหม่เป็นเลสเบี่ยน จะกำหนดภาพว่าตัวเองจะทำอย่างไร จนกว่าลมหายใจของผมจะเหลือเพียวแค่ประมาณ 5-6 ครั้งต่อนาที อย่างนี้ถือว่าพอเจอเหตุการณ์อย่างนั้นจริงๆ ผมรับมื่อกับสถานการณ์อย่างได้ 100 เปอร์เซ็นต์ มั่นใจมาก เพราะเราได้ล๊อคสเป๊กอารมณ์ตัวเองไว้ล่วงหน้าแล้ว เคยมีเพื่อนเทรดเดอร์ฝรั่ง พอฟังผมพูดเรื่องนี้จบ บอกว่า ผมซื้อประกันล่วงหน้าอารมณ์ตัวเองไว้แล้วนะนี่
ใช่ครับ เขาพูดถูกเพ็งเลย ทุกข์แค่ไหน มันไม่เคยใหญ่ไปกว่าหัวของเราหลอก มันอยู๋ในหัวทั้งนั้น มันปั่นพวกเราซะอยู่หมัดเลย ไอ้สมองของเราที่ว่ามันทำงานแบบมีเหตุผล ก็เข้าใจไม่ถูกหมด แสดงว่ายังเข้าใจมันเพียงด้านเดียว dark side มันก็มี เหตุผลมันก็ทำงานเพื่อตอบสนองตามใจกิเลส ego ของเจ้าของที่มันรับใช้ ยอมรับได้หรือปล่าวละครับ นั่นละครับ I am always wrong and I try to correct my mistakes
pak : เวลาคิดถึงหุ้นในพอร์ตของตัวเอง จะพยายามคิดว่า...ฉันต้องทำใจให้ได้ว่า "มีก็เหมือนไม่มี!!!"
^O-O^ : ส่วนประโยคนี้ ผมไม่เข้าใจดีครับ
Invert Daily
อ่านดีๆ ละครับ ท่านเอาไปใช้ได้จริงในการลงทุนครับ
วันนี้ได้ใช้เส้นทางถนนจรัลจากสะพานพระรามเจ็ดตรงไปทางเส้นปิ่นเกล้า ติดหนักน่าดูครับ ผมเคยไปครั้งหนึ่งแล้ว วันนี้ลองอินเวิดใช้มุมมองด้านอื่นๆ ดูครับ ผมหมายถึงบนถนนนั่น นอกจากมุมมองจากรถยนต์แล้ว ยังมีมุมมองจากมอไซค์ รถเมล์ รถกะบะ และรถอื่นๆ ที่วิ่งอยู๋บนถนนที่ผมกำลังใช้อยู่ด้วย ผมได้อินเวิดเป็นมอไซค์ดูครับ ขับเองละครับ วิ่งยากกว่ารถยนต์ซะอีกครับ ทางแคบเพราะก่อสร้าง ต้องระวังกระจกมอไซค์ของเราไปเชี่ยวชนกระจกรถท่านอื่นแตกเสียหาย ไอ้แบบมีคุณธรรม ชนแล้วจอดมาเคลียประกัน อย่าไปฝันให้มากดีกว่า มีแต่กรูแล่นต่อเลยเฟ้ย อยู๋ให้โง่ทำไม
ถ้าท่านไปติดตรงนั้นแล้ว ท่านไม่อารมณ์เสียเลยนะ ท่านไม่ต้องมาอ่านตรงนี้เลย ท่านเก่งโคตรในการจัดการกับตัวเองอย่างดีแล้ว ถ่าท่านขับไปแ บ่นไป แสดงว่าท่านไมได้คาดหวังว่าจะติด หรือ ว่า คาดหวังแล้ว แต่ว่าไม่คิดว่าจะหนักขนาดนี้ นี่ละครับ ที่ผมบอกว่า วันนี้เป้นวันดีที่ขาดทุน
วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะไปติดบนถนน ผมพูดอย่างนั้นเพราะผมได้กำหนดภาพตัวเองติดแง็กอย่างชัดเจนแล้ว พร้อมทั้งหาวิธีที่จัรับมื่อกับอารมณ์ตัวเองที่จะเกิดขึ้นอย่างชัดเจนออกมาเป้นภาพอีกด้วย
ท่านรับได้ไหมครับ มีมอเตอไซค์ เอ้าผมนี่ละ ชนกระจกท่านแตกตรงถนนจรัลแล้วขับหนีไปเลย ถ้าทำใจไม่ได้ ปิดกระจกพับมันเข้าครับ ไม่ต้องให้มันกลางออก
ท่านไม่จำเป็นต้องใช้กระจกมองข้างหรอกขับ เวลารถมันติดอย่างนั้น ถ้าเถียงว่าไม่จริง ก็เอาไว้ดูมอไซค์ไงละ ดูอะไรครับ ดูแล้วมันช่วยอะไรได้ กระจกข้างตรงนั้น น้ำหนักมันลบมากกว่าบวก ทางลบมีไว้ให้พวกผมรอชนต่างหาก
ละครับ ขับตรงนั้นให้เป้น คิดถึงมุมมองอื่นๆ บ้่าง ไอ้ที่ว่าอินเวิด ผมอินเวิดทางความคิดมานาน บางอย่างมันคิดไม่พอ ต้องลองไปทำดูจริงๆ ถึงมองกันออก
หุ้นก็เหมือนกัน ในตลาดมีทั้งคนขาย/ คนซื้อ เวลาอยากซื้อ ก็มองหน่อยว่า ไอ้คนขายทำไมมันถึงขาย ทำไมเราถึงมองออกว่าหุ้นตัวนี้มันดี ทำไมคนอื่นถึงมองว่าไม่ดี เวลาขายก็มองกลับกัน นั่นละครับ หลักการของอินเวิด
เอาใจคนอื่นมาใส่ใจเรา ประโยคนี้จบเลย
ใช้ได้ครอบจักรวาลจริงไหมครับ
สุดยอดของเซียนแล้ว ไม่ว่าเซียนวงการไหน
ใจของคู่ต่อสู้ก็คือใจของเรา ตัวเราเป็นเพียงกระจกสะท้อนทุกสิ่งเท่านั้น
แล้วกระจกมันไม่มีเอาอะไรเป็นของตัวเองด้วยนะครับ
มันแค่สะท้อนสิ่งต่างๆ เท่านั้น ไม่เคยมีอะไรติดในกระจกถาวรเลย
เข้าใจแล้วใช่ไหมครับ
เวลาลงทุน ก็แยกอารมณ์ต่างๆ ให้ออกจากตัวของท่าน
มันไม่เคยเป้นของท่านหรอกครับ ท่านคิดไปเองทั้งนั้นครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 63
ผมอยากรู้ว่าผมตายที่ไหน ผมจะได้ไม่ไปที่นั่น
ประโยคนี้ ชาลีมังเกอร์พูด ประโยคนี้จึงดูเฉียบคม
แต่สำหรับผมแล้ว เป็นประโยคที่ไร้สาระ
คนพูดไม่เข้าใจ ในอิทัปปัจจยตา
ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่า สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้คนเราตาย
ไม่ได้เกิดจาก ตำแหน่งใดๆในโลกนี้ หรือในเอกภพนี้
คนเราตายได้ทุกที่ถ้ามีเหตุเพียงพอที่ทำให้เราตาย
เมื่อคิดว่าชาลี ฉลาด เราก็เลยคิดว่าสิ่งที่ ชาลีพูดถูกต้อง และยึดเป็นคำภีร์ไปด้วย
อินเวอท คำนี้สั้นดี แต่ ต้องทั้งแปล และอธิบายอีกเป็นหลายหน้า
และยังไม่แน่ใจว่า แต่ละคนที่อ่านแล้วจะเข้าใจตรงกัน
เรามีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะแยะ
แต่ อินเวอท คำเดียว อ่านตั้งนาน แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจถูกไม๊
อินเวอท เป็นคำที่ไร้สาระและไม่มีประโยชน์
อ่านหลักคิดของบัฟเฟต และทำความเข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์
อ่านคำแนะนำของ ดร.นิเวศน์ ทำความเข้า อะไรเห็นด้วยก็ทำตาม
ลองคิดดีๆ และหาคำ หรือประโยค ที่ใครๆก็รู้ความหมาย
มาอธิบายเรื่องทั้งหมดน่าจะง่ายกว่า พยายามทำให้คนเข้าใจคำว่าอินเวอท
ในความหมายของชาลีมังเกอร์
ประโยคนี้ ชาลีมังเกอร์พูด ประโยคนี้จึงดูเฉียบคม
แต่สำหรับผมแล้ว เป็นประโยคที่ไร้สาระ
คนพูดไม่เข้าใจ ในอิทัปปัจจยตา
ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่า สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้คนเราตาย
ไม่ได้เกิดจาก ตำแหน่งใดๆในโลกนี้ หรือในเอกภพนี้
คนเราตายได้ทุกที่ถ้ามีเหตุเพียงพอที่ทำให้เราตาย
เมื่อคิดว่าชาลี ฉลาด เราก็เลยคิดว่าสิ่งที่ ชาลีพูดถูกต้อง และยึดเป็นคำภีร์ไปด้วย
อินเวอท คำนี้สั้นดี แต่ ต้องทั้งแปล และอธิบายอีกเป็นหลายหน้า
และยังไม่แน่ใจว่า แต่ละคนที่อ่านแล้วจะเข้าใจตรงกัน
เรามีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะแยะ
แต่ อินเวอท คำเดียว อ่านตั้งนาน แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจถูกไม๊
อินเวอท เป็นคำที่ไร้สาระและไม่มีประโยชน์
อ่านหลักคิดของบัฟเฟต และทำความเข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์
อ่านคำแนะนำของ ดร.นิเวศน์ ทำความเข้า อะไรเห็นด้วยก็ทำตาม
ลองคิดดีๆ และหาคำ หรือประโยค ที่ใครๆก็รู้ความหมาย
มาอธิบายเรื่องทั้งหมดน่าจะง่ายกว่า พยายามทำให้คนเข้าใจคำว่าอินเวอท
ในความหมายของชาลีมังเกอร์
Blueplanet
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 64
@humdrum
p'humdrum kub many thanks for your compliment in the other thread kub, though i dont think i can communicate or express myself well....and its not just me, many ppl in this vi community can utilize english effectively.... many ppl can communicate and express ideas/concepts really well. anyway i definitely feel like i can express and emphasize on certain matters or subjects more by using english....and of course, on certain matters by using thai..... everything has its forte and limitation......and communication is two-way so it doesnt matter how well i can utilize the english language, if the other person doesnt understand, there is no point, this world is all about compatability, all these semantics are only just tools...... and you see, lots of psycho-processes are understood and recognized by humans at a faster pace, way faster than language can keep up with.......i wouldnt be surprised if one day the languages we know become obsolete because they are so limited...... we'll be communicating using much more advanced means..... i guarantee...
as for this thread and this whole internal psychology thing... seeing words of diversed opinions thrown back and forth.... you can see how subjective some people perceive it to be.. though in my opinion i dont think it is subjective at all.........its a pretty definitive process that serves a certain purpose to tweak the potential of our limited human brains...... only a few selected individuals have a deep deeeeep passion for tweaking and abusing their brains....lol.... i know for sure, its not just me..... but like i said... we're still the minority....
i would say people should be more interested in the process than the result itself.......but thats not how it works for the majority.....i can probably sum everything up as "there are thousands of paths to the top of the mountain, but the view is pretty much the same"...........sure, its about what works right? i totally agree....if a totally different process can yield the exact same results, why not? ...... to be honest, i cant be totally sure that 'inverting' in our books are the same or not.. but that doesnt matter.....the point i want to get across is....people dont understand or well.....perceive that there is deeper layer to it...more than just thinking.....for me, psychology (for lack of better wording, i am using the word psychology) is more than just thought process........ since it happens in the mind/brain, we can only call it "thought".....hence, the limitation of language i stated earlier........but just bcoz words cannot define something or something cannot be limited by words.. it doesnt mean they dont exist!!!..... at one point in time before this, i would be able to explain better what those deeper layers are.....as i was still in the 'discovering phase' and most of these processes were still in the raw form of words....well something more tangible i could feed to my brain.. but these days its been refined, ingrained and made autonomous to the point where its the same as how the heart beats.... and in the process, i have become handicapped in explaining certain things.... i really suck at communicating.. though i dont even know for sure if ive ever been good 555+
i encourage people to learn and find out more about themselves and know themselves well inside-out.......i guess if they wanna "discover"...... more about what they really are... know yourself and know your enemy..... but since you yourself is your biggest enemy.. you just need to know yourself pretty much lol ..... the degree of 'curiousity' and 'persistence' would be the key cutpoints.......but before that people would probably have to understand that curiousity and persistence need to be so strong to the point they become 'characters'..... most people would probably find it a waste of time....most people wont even be able to ignite and keep the flames.. keep the process running... most people dont have the ability to break the ice and just go on living the same way........i gotta steal another chinese saying, "i dreamt a thousand new paths, woke up, and walked the same one"........
and one more point..... i applaud you for the attempt in expressing yourself to the fullest to the public....these types of threads are good........we need more of them.......... personally, i find dealing with human beings seriously on these matters... has become too bothersome.. there've been many occasions where i type things up to just delete everything away or wanting to say many things and just completely say nothing... lol..... i just try to do what needs to be done now... and be done with it....spare myself the external communication process... and all the "complexities" i keep to myself............though ideally, i would love to share if it could make humanity better........but yeah... thats another story... i have plenty of time to decide whether i want to share what i know to the fullest or not.....not because i'm petty....i love to help people whenever i can, but because of the lack of psychological compatability...first i am not good at communicating!!...and second its not often that you find someone that really operates on the same frequency as you..(and by the same frequency i dont just mean agreeing on absolutely everything..) to put it frankly, im the one with issues, because my way of processing deviates from the crowd, so again..... what i do is simply proceed "normally".... tryin to keep things as simple as possible and keeping all the complexities to myself...55.......... maybe thats why i love investing, coz in this game.... its just me, myself, and i lol..
ps. i typed this up without much refining so please overlook the mistakes eiei
p'humdrum kub many thanks for your compliment in the other thread kub, though i dont think i can communicate or express myself well....and its not just me, many ppl in this vi community can utilize english effectively.... many ppl can communicate and express ideas/concepts really well. anyway i definitely feel like i can express and emphasize on certain matters or subjects more by using english....and of course, on certain matters by using thai..... everything has its forte and limitation......and communication is two-way so it doesnt matter how well i can utilize the english language, if the other person doesnt understand, there is no point, this world is all about compatability, all these semantics are only just tools...... and you see, lots of psycho-processes are understood and recognized by humans at a faster pace, way faster than language can keep up with.......i wouldnt be surprised if one day the languages we know become obsolete because they are so limited...... we'll be communicating using much more advanced means..... i guarantee...
as for this thread and this whole internal psychology thing... seeing words of diversed opinions thrown back and forth.... you can see how subjective some people perceive it to be.. though in my opinion i dont think it is subjective at all.........its a pretty definitive process that serves a certain purpose to tweak the potential of our limited human brains...... only a few selected individuals have a deep deeeeep passion for tweaking and abusing their brains....lol.... i know for sure, its not just me..... but like i said... we're still the minority....
i would say people should be more interested in the process than the result itself.......but thats not how it works for the majority.....i can probably sum everything up as "there are thousands of paths to the top of the mountain, but the view is pretty much the same"...........sure, its about what works right? i totally agree....if a totally different process can yield the exact same results, why not? ...... to be honest, i cant be totally sure that 'inverting' in our books are the same or not.. but that doesnt matter.....the point i want to get across is....people dont understand or well.....perceive that there is deeper layer to it...more than just thinking.....for me, psychology (for lack of better wording, i am using the word psychology) is more than just thought process........ since it happens in the mind/brain, we can only call it "thought".....hence, the limitation of language i stated earlier........but just bcoz words cannot define something or something cannot be limited by words.. it doesnt mean they dont exist!!!..... at one point in time before this, i would be able to explain better what those deeper layers are.....as i was still in the 'discovering phase' and most of these processes were still in the raw form of words....well something more tangible i could feed to my brain.. but these days its been refined, ingrained and made autonomous to the point where its the same as how the heart beats.... and in the process, i have become handicapped in explaining certain things.... i really suck at communicating.. though i dont even know for sure if ive ever been good 555+
i encourage people to learn and find out more about themselves and know themselves well inside-out.......i guess if they wanna "discover"...... more about what they really are... know yourself and know your enemy..... but since you yourself is your biggest enemy.. you just need to know yourself pretty much lol ..... the degree of 'curiousity' and 'persistence' would be the key cutpoints.......but before that people would probably have to understand that curiousity and persistence need to be so strong to the point they become 'characters'..... most people would probably find it a waste of time....most people wont even be able to ignite and keep the flames.. keep the process running... most people dont have the ability to break the ice and just go on living the same way........i gotta steal another chinese saying, "i dreamt a thousand new paths, woke up, and walked the same one"........
and one more point..... i applaud you for the attempt in expressing yourself to the fullest to the public....these types of threads are good........we need more of them.......... personally, i find dealing with human beings seriously on these matters... has become too bothersome.. there've been many occasions where i type things up to just delete everything away or wanting to say many things and just completely say nothing... lol..... i just try to do what needs to be done now... and be done with it....spare myself the external communication process... and all the "complexities" i keep to myself............though ideally, i would love to share if it could make humanity better........but yeah... thats another story... i have plenty of time to decide whether i want to share what i know to the fullest or not.....not because i'm petty....i love to help people whenever i can, but because of the lack of psychological compatability...first i am not good at communicating!!...and second its not often that you find someone that really operates on the same frequency as you..(and by the same frequency i dont just mean agreeing on absolutely everything..) to put it frankly, im the one with issues, because my way of processing deviates from the crowd, so again..... what i do is simply proceed "normally".... tryin to keep things as simple as possible and keeping all the complexities to myself...55.......... maybe thats why i love investing, coz in this game.... its just me, myself, and i lol..
ps. i typed this up without much refining so please overlook the mistakes eiei
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
A ttitude & Perception
D isclipine
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 65
ถูกครับคุณ blueplanet แต่สิ่งที่คุณกำลังทำคือเปรียบเทียบ การ invert กับสิ่งอื่นที่คุณทำ (ที่ไม่จำเป้นต้องมีการ invert) เพื่อจะบรรลุสิ่งๆนึงและมาบอกว่าการ invert นั้นไม่จำเป็นblueplanet เขียน:ผมอยากรู้ว่าผมตายที่ไหน ผมจะได้ไม่ไปที่นั่น
ประโยคนี้ ชาลีมังเกอร์พูด ประโยคนี้จึงดูเฉียบคม
แต่สำหรับผมแล้ว เป็นประโยคที่ไร้สาระ
คนพูดไม่เข้าใจ ในอิทัปปัจจยตา
ถ้าเข้าใจแล้วจะรู้ว่า สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้คนเราตาย
ไม่ได้เกิดจาก ตำแหน่งใดๆในโลกนี้ หรือในเอกภพนี้
คนเราตายได้ทุกที่ถ้ามีเหตุเพียงพอที่ทำให้เราตาย
เมื่อคิดว่าชาลี ฉลาด เราก็เลยคิดว่าสิ่งที่ ชาลีพูดถูกต้อง และยึดเป็นคำภีร์ไปด้วย
อินเวอท คำนี้สั้นดี แต่ ต้องทั้งแปล และอธิบายอีกเป็นหลายหน้า
และยังไม่แน่ใจว่า แต่ละคนที่อ่านแล้วจะเข้าใจตรงกัน
เรามีเรื่องที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะแยะ
แต่ อินเวอท คำเดียว อ่านตั้งนาน แล้วยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจถูกไม๊
อินเวอท เป็นคำที่ไร้สาระและไม่มีประโยชน์
อ่านหลักคิดของบัฟเฟต และทำความเข้าใจ และนำไปใช้ประโยชน์
อ่านคำแนะนำของ ดร.นิเวศน์ ทำความเข้า อะไรเห็นด้วยก็ทำตาม
ลองคิดดีๆ และหาคำ หรือประโยค ที่ใครๆก็รู้ความหมาย
มาอธิบายเรื่องทั้งหมดน่าจะง่ายกว่า พยายามทำให้คนเข้าใจคำว่าอินเวอท
ในความหมายของชาลีมังเกอร์
ถ้าเข้าใจสมองมนุษย์จริงจะรู้ว่า มันไม่ใช่เรื่องผิดถูก ไม่ใช่เรื่องวิธีไหนดีกว่าแย่กว่า
มันคือเครื่องมือ
เครื่องมือคือเครื่องมือ
ผู้ใช้เครื่องมือต่างหากที่เป็นประเด็น
หากถ้าจะวัด effectiveness จริงผมแนะนำให้ดูบนมิติของเวลาซึ่งสำหรับผู้ที่ใช้เครื่องมือที่ชื่อว่า invert เป็นและเชี่ยวชาญ การ invert ใช้เวลาไม่ถึงเสี้ยววิครับ
ผมพูดตรงๆครับ หลายๆครั้งที่คุณคิดอะไรแล้วเกิด thinking stream block... ผมค่อนข้างมั่นใจว่าคุณต้องได้เคยทำการ invert ถึงผ่านไปจุดต่อไปได้ เพียงแค่คุณเองนั้นอาจไม่รู้ตัวเลยว่าจริงๆคุณนั้นได้ invert ไปแล้ว
คุณไม่จำเป็นต้องเข้าใจมันหรอกครับ ถูกแล้ว ไม่ต้องรู้ว่ามันมีตัวตนอยู่ตัวก็ไม่เป็นไร ถึงแม้การหยั่งรู้ได้จะดีกว่า
สิ่งที่คุณจะได้เพิ่มจากการเข้าใจมัน คือการที่สมองรับรู้ว่าคุณกำลัง invert อยู่ (ซึ่งอาจเกิดปฏิกิริยาในสมองที่รู้สึกได้) และคุณอาจจะดึงมันออกมาใช้ได้ดีกว่า
สิ่งที่คุณและหลายๆคนคงเป็นหรือมีก็มีศัพท์ครับ
เรียกว่า latent quality หรือ ability คือมันมีอยู่แต่ใช้ได้แบบไม่รู้ตัว
แต่ถ้าคุณหยิบออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ สำหรับผม ผมมองว่าดีกว่าครับ เพราะหลายๆที latent ability ก้ไม่ได้ถูก fully utilized ในภาวะที่ควร
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
A ttitude & Perception
D isclipine
-
- Verified User
- โพสต์: 2141
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 66
.....................
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
M aterial catalyst
A ttitude & Perception
D isclipine
A ttitude & Perception
D isclipine
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 67
ผมพอเข้าใจในแนวคิดนี้ และคิดว่า ตนเองก็ใช้แนวคิดนี้อยู่หลายๆครั้งด้วย แต่ผมแค่ไม่ได้เรียกว่า invert ผมแค่เรียกง่ายๆว่า "คิดต่าง"
ผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ในการนำไปใช้ในการลงทุน เพราะมันอาจจะทำให้คุณเห็น ในขณะที่คนอื่น ยังมองไม่เห็น
แต่แน่นอน ว่าบางอย่าง มันเอาไปใช้ไม่ได้หรอก เช่น เงินเป็นสิ่งจำเป็น
คุณจะอินเวอต บอกว่า เงินไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต..... งั้นคุณจะมาเล่นเว็บthaiviอยู่ทำไม??ทำไมไม่เข้าป่าไปล่าสัตว์ประทังชีวิตล่ะ
เพราะฉะนั้น อย่าไปซีเรียสกับแนวคิดนี้มากเลยครับ มันก็แค่"เครื่องมือทางความคิด"อย่างนึงอย่างที่คุณmultipleceilingบอก
ใครเลือกคิดอย่างไหน จะinvert backward forward ยังไง คิดแบบไหนแล้วทำให้มีความสุข ก็คิดไปเถอะครับ
ผมเห็นด้วยกับแนวคิดนี้ในการนำไปใช้ในการลงทุน เพราะมันอาจจะทำให้คุณเห็น ในขณะที่คนอื่น ยังมองไม่เห็น
แต่แน่นอน ว่าบางอย่าง มันเอาไปใช้ไม่ได้หรอก เช่น เงินเป็นสิ่งจำเป็น
คุณจะอินเวอต บอกว่า เงินไม่ใช่สิ่งจำเป็นในชีวิต..... งั้นคุณจะมาเล่นเว็บthaiviอยู่ทำไม??ทำไมไม่เข้าป่าไปล่าสัตว์ประทังชีวิตล่ะ
เพราะฉะนั้น อย่าไปซีเรียสกับแนวคิดนี้มากเลยครับ มันก็แค่"เครื่องมือทางความคิด"อย่างนึงอย่างที่คุณmultipleceilingบอก
ใครเลือกคิดอย่างไหน จะinvert backward forward ยังไง คิดแบบไหนแล้วทำให้มีความสุข ก็คิดไปเถอะครับ
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 68
To multipleceilings : ขอบคุณมากครับ ภาษาของท่านมัลไท ผมอ่านแล้วยิ้มไป ภาษาท่านเหมือนฝรั่งมาเขียนให้อ่านเลยครับ เป็นจริงอย่างที่ท่านมัลไทเขียนครับ เรื่องอีโก้ของคน เรื่องนี้แตะจับไมได้เลย พูดถึงเมื่อใดเป็นเรื่องยาวไม่จบข่าวสักที เรื่องนี้ คนส่วนใไหญ่เข้าใจยากจริงๆ นะครับ โซรอสก็คงเซ็งเป็ดเขียนเท่าใดก็ไม่มีใครเข้าใจ หาเงินกับพวกเขาเลยดีกว่า 5555555
To blueplanet : ขอบคุณมากครับ สมัยปีสอง ผมกระโดดข้ามไปเรียน Econ ของเด็กโท แล้วได้สอนเด็ก MBA ช่วงหลังเลิกเรียน เขาเหมือนท่าน blue มากครับ เขาแย้งผมมากที่สุด และเข้าใจ Econ ได้ยากว่าใคร สร้างความรำคาญอย่างมาก แต่ฝรั่งท่านนี้ยิ่งแย้งยิ่งเก่ง ยิ่งถามปัญหาที่ผมไม่เคยมองครับ ไปไปมา เขาเก่งเรื่อง Econ ที่สุดในห้อง MBA แล้วเปลี่ยนไปสอบข้ามไปเรียนโท Econ โดยได้ทุนของ Harvard
คุณ Blue กำลังสนใจเรื่องเป็นพิเศษ มากกว่าคนอื่นทั้งหมด การที่ท่านแย้งอย่างนี้ ท่านเดินไปไหน ท่านก็เอาไปคิด เห็นท่านแย้งอย่างนี้แล้ว ท่านละสนใจมากกว่าคนอื่น และอาจเข้าใจเรื่องนี้มากกว่าใคร มากกว่าผมซะอีกครับ
To sakkaphan : ขอบคุณมากครับ มีตรงไหนที่ท่านจะติผมก้ได้นะครับ ผมชอบคำติ และ คำแย้งมากกว่าคำชมซะอีก คำติมันเป้นครูได้ดีกว่าคำชมครับ
To blueplanet : ขอบคุณมากครับ สมัยปีสอง ผมกระโดดข้ามไปเรียน Econ ของเด็กโท แล้วได้สอนเด็ก MBA ช่วงหลังเลิกเรียน เขาเหมือนท่าน blue มากครับ เขาแย้งผมมากที่สุด และเข้าใจ Econ ได้ยากว่าใคร สร้างความรำคาญอย่างมาก แต่ฝรั่งท่านนี้ยิ่งแย้งยิ่งเก่ง ยิ่งถามปัญหาที่ผมไม่เคยมองครับ ไปไปมา เขาเก่งเรื่อง Econ ที่สุดในห้อง MBA แล้วเปลี่ยนไปสอบข้ามไปเรียนโท Econ โดยได้ทุนของ Harvard
คุณ Blue กำลังสนใจเรื่องเป็นพิเศษ มากกว่าคนอื่นทั้งหมด การที่ท่านแย้งอย่างนี้ ท่านเดินไปไหน ท่านก็เอาไปคิด เห็นท่านแย้งอย่างนี้แล้ว ท่านละสนใจมากกว่าคนอื่น และอาจเข้าใจเรื่องนี้มากกว่าใคร มากกว่าผมซะอีกครับ
To sakkaphan : ขอบคุณมากครับ มีตรงไหนที่ท่านจะติผมก้ได้นะครับ ผมชอบคำติ และ คำแย้งมากกว่าคำชมซะอีก คำติมันเป้นครูได้ดีกว่าคำชมครับ
- Tibular
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 522
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 69
จริงๆ ก็เข้าใจไม่ยากนะคับ แต่ต้องปฏิบัติคับ เรื่องการ Invert
และเป็นประโยชน์ในการประยุกต์ใช้ในเรื่องต่างๆในการดำเนินชีวิต
ปกติคนเรา ไม่ทันคับ ไม่รู้จักกับอารมณ์ความรู้สึก ความคิด ของตัวเอง
ยกเว้นคนที่เคยฝึก (จะวิธีไหนก็แล้วแต่) กับคนที่พิเศษจริงๆที่เป็นส่วนน้อย
เรานึกว่าเรารู้ เราคิด ถ้าเราไม่รู้ เราไม่คิด แล้วใครคิด ยิ่งถามยิ่งงง 555
เคยไหมคับ นั่งๆอยู่ คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆนาๆ แล้วรู้สึกตัววูบขึ้นมา
นั่งใจลอยน่ะคับ นั่งใจลอยละ นั่นคือเราไม่รู้สึกตัวแล้ว หลงไปกับความคิดแล้ว
แต่เราก็ชินกับมัน เห็นเป็นเรื่องปกติ ก็ผ่านมากี่ปีแล้วละคับ ตั้งแต่เด็กๆ
อารมณ์อีกอย่าง เราไม่ทันเลย เวลาโกรธ หรือจี๊ดๆ ไม่พอใจอะไร ก็ไม่รู้หรอก
ความชอบ ความรัก ไม่เห็นไม่ทัน พฤติกรรมแบบนี้ สังเกตผู้หญิงจะเห็นชัดสุด
(ไม่ได้หมายความว่ามันดีหรือไม่ดีนะคับ เพราะโดยธรรมชาติ ผู้หญิงเค้าจะแสดงอารมณ์เก่ง
เวลาไม่พอใจนี่หน้างอแล้ว เวลาดีใจก็พูดไม่หยุด อารมณ์ดีๆก็มาอย่างหวาน ตาเป็นประกาย
แต่งตัวเก่ง เซ็กซี่ ดูไปดูมาเพลิน ผู้ชายก็หลงหัวปักหัวปำ 555 ทุกอย่างมีที่มาคับ ก็ลองไปศึกษาค้นคว้าเอาเอง)
การ Invert (หรือวิธีไหนก็แล้วแต่) ทำให้เรารู้เมื่อคิด รู้ว่าหลงคิด รู้ว่าหลงอารมณ์
เป็นสิ่งที่จำเป็นนะผมว่า สำหรับการตัดสินใจเรื่องต่างๆที่ไม่แน่นอน เพราะจะทำให้เรา
เห็นอะไรตามที่มันเป็นจริง ตามเหตุผลอยู่แล้ว นักลงทุน เทรดเดอร์ หรือผู้ที่มีอาชีพ
เกี่ยวกับความไม่แน่นอน ความเสี่ยง ควรที่จะฝึกไว้ (วิธีไหนก็แล้วแต่)
ถ้าเอาเรื่องสมองเข้ามาจับ มันก็เป็นเรื่องของสมองสามชั้น
สมองยุคแรก (Core brain) หรือ เรปทิเลียนเบรน (Reptilian brain) มีหน้าที่ ขั้นพื้นฐาน ที่ง่ายที่สุดเกี่ยวกับ การเต้นของหัวใจ การหายใจ ทําหน้าที่ เกี่ยวกับ ประสาทสัมผัส และสั่งงานให้ กล้ามเนื้อ มีการเคลื่อนไหว สมอง ส่วนนี้ยังรับ และเก็บข้อมูล เกี่ยวกับ การเรียนรู้ จาก สมอง หรือ ระบบประสาท ส่วนถัดไป และทําให้เกิดเป็น ระบบตอบโต้อัตโนมัติ ขึ้นทําให้เรามี ปฏิกิริยาอย่างง่ายๆ ปราศจาก อารมณ์ ปราศจาก เหตุผล เช่น สัญชาตญาณ การมีชีวิตอยู่เพื่อ ความอยู่รอด ความต้องการอาหาร ที่พักอาศัย
สมองส่วนที่สองเรียกว่า ลิมบิกเบรน (Limbic brain) หรือ โอลด์แมมมาเลียนเบรน (Old Mammalian brain) คือ สมอง ของ สัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม สมัยเก่า ก็คือ สมอง ส่วน ฮิปโปแคมปัส เทมโพราลโลบ และบางส่วนของ ฟรอนทอลโลบ ซึ่งมีหน้าที่ เกี่ยวกับ ความจำ การเรียนรู้ พฤติกรรม ความสุข อารมณ์ขั้นพื้นฐาน ความรู้สึก เช่น ชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี โกรธ หรือ มีความสุข เศร้า หรือ สนุกสนาน รัก หรือเกลียด สมอง ส่วนลิมบิก จะทําให้คนเราปรับตัวได้ดีขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น และสามารถเรียนรู้โลกได้ กว้างขึ้น เป็นสมอง ส่วนที่สลับซับซ้อน มากขึ้น ทําให้คนเรา มีความสามารถใน การปรับตัว ปรับ พฤติกรรมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น ถ้าหากมี สิ่งกระตุ้น ที่ไม่ดีเข้ามา สมอง ส่วนนี้จะ แปลข้อมูล ออกมาเป็น ความเครียด หรือไม่มีความสุข
สมองส่วนที่สามเรียกว่า นิวแมมมาเลียนเบรน (New Mammalian brain) หรือสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยใหม่ คือสมองใหญ่ ทั้งหมด โดยเฉพาะบริเวณพื้นผิวของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ สติสัมปชัญญะ และรายละเอียดที่สลับซับซ้อน มีขนาดใหญ่ กว่าสมองอีก 2 ส่วนถึง 5 เท่าด้วยกัน สมองส่วนนี้เป็นศูนย์รวมเกี่ยวกับ ความฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ การคํานวณ ความรู้สึก เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความรักความเสน่หา เป็นสมองส่วนที่ทำให้มนษุย์รู้จูกคิด หาหนทางเอาชนะธรรมชาติ หรือควบคุมสิ่งแวดล้อมในโลกนี้
นี่ก็เป็นข้อมูลจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา (อาจไม่ใช่ก็ได้มั้ง ถ้ามีการค้นพบใหม่ๆมาอีก)
แต่ก็นั่นแหละคับ ดูจะสมเหตุสมผลที่สุดในขณะนี้
การ Invert (หรือวิธีไหนก็แล้วแต่เพราะมันเป็นชื่อสมมุติทั้งน้านอย่าไปยึดติด)
เป็นการค้นหาลึกเข้าไป หรือรู้เข้าไปให้ถึงที่สุดต้นตอในตัวเอง เรียกว่าเป็นการเข้าใจตัวเองอย่างถึงที่สุด
นี่เป็นความสามารถของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ปาฏิหารย์มากๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้
ธรรมชาติสอนให้เราใช้ทรัพยากรที่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสมอ
ถ้ามองในร่างกายตัวเอง จะเห็นอวัยะใหญ่น้อยทั้งหลายวางเรียงรายยัดเยียด
ในตำแหน่งต่างๆ อย่างไม่น่าเชื่อลองคิดถึงการเกิดของมันซิคับ
อย่างสมอง ต้องแออัดอยู่ในกะโหลกแคบๆของเรา แต่วิธีที่มันพัฒนาซิคับ
ทำยังไงให้สามารถมีเซลล์มากขึ้นได้ มีเนื้อสมองมากขึ้นได้ พัฒนาขึ้นได้ในพื้นที่จำกัด
ก็ขดซิ เป็นหยักๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้สมอง สมองเราถึงได้เป็นหยักๆ
การปรับตัวนี่แหละคับ ทำให้เราพัฒนาได้ แม้มีทรัพยากรจำกัด
นี่เป็นความสามารถของสิ่งมีชีวิตต่างๆอยู่แล้ว และมนุษย์เราดูเหมือน
มีความสามารถแบบนี้สูง เป็นการปรับตัวของตัวเรากับสิ่งแวดล้อม
ในเมื่อตัวเราก็เปลี่ยนแปลง ในเมื่อสิ่งแวดล้อมก็เปลี่ยนแปลง
เกิดการสะท้อนกลับไปกลับมา เรียกว่าอะไรต่างเปลี่ยนแปลงก็ส่งผลกระทบต่อกันและกัน
ผลกระทบต่อกันและกันที่เกิดขึ้น ก็เกิดการสะท้อนกลับมาทำให้เปลี่ยนแปลงไปอีก
ดูเหมือนมันเป็นพื้นฐานของธรรมชาติที่เราอาศัยอยู่ในตอนนี้นะคับ
การ Invert (หรือวิธีไหนก็แล้วแต่) ที่ทำให้เราสามารถตระหนักถึงเรี่องนี้
ย่อมทำให้เราไม่ประมาท สามารถแยกแยะ สืบสาวเหตุปัจจัยต่างๆได้
อย่างมีเหตุผล เมื่อนั้นก็เกิดประโยชน์จากการนำไปใช้ในเรื่องต่างๆ
ทำให้เราประสบผลสำเร็จได้ตามความมุ่งหมายคับ
(ปล. ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวคับ อาจถูกหรือผิดได้ ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสมอ)
และเป็นประโยชน์ในการประยุกต์ใช้ในเรื่องต่างๆในการดำเนินชีวิต
ปกติคนเรา ไม่ทันคับ ไม่รู้จักกับอารมณ์ความรู้สึก ความคิด ของตัวเอง
ยกเว้นคนที่เคยฝึก (จะวิธีไหนก็แล้วแต่) กับคนที่พิเศษจริงๆที่เป็นส่วนน้อย
เรานึกว่าเรารู้ เราคิด ถ้าเราไม่รู้ เราไม่คิด แล้วใครคิด ยิ่งถามยิ่งงง 555
เคยไหมคับ นั่งๆอยู่ คิดนั่นคิดนี่ไปต่างๆนาๆ แล้วรู้สึกตัววูบขึ้นมา
นั่งใจลอยน่ะคับ นั่งใจลอยละ นั่นคือเราไม่รู้สึกตัวแล้ว หลงไปกับความคิดแล้ว
แต่เราก็ชินกับมัน เห็นเป็นเรื่องปกติ ก็ผ่านมากี่ปีแล้วละคับ ตั้งแต่เด็กๆ
อารมณ์อีกอย่าง เราไม่ทันเลย เวลาโกรธ หรือจี๊ดๆ ไม่พอใจอะไร ก็ไม่รู้หรอก
ความชอบ ความรัก ไม่เห็นไม่ทัน พฤติกรรมแบบนี้ สังเกตผู้หญิงจะเห็นชัดสุด
(ไม่ได้หมายความว่ามันดีหรือไม่ดีนะคับ เพราะโดยธรรมชาติ ผู้หญิงเค้าจะแสดงอารมณ์เก่ง
เวลาไม่พอใจนี่หน้างอแล้ว เวลาดีใจก็พูดไม่หยุด อารมณ์ดีๆก็มาอย่างหวาน ตาเป็นประกาย
แต่งตัวเก่ง เซ็กซี่ ดูไปดูมาเพลิน ผู้ชายก็หลงหัวปักหัวปำ 555 ทุกอย่างมีที่มาคับ ก็ลองไปศึกษาค้นคว้าเอาเอง)
การ Invert (หรือวิธีไหนก็แล้วแต่) ทำให้เรารู้เมื่อคิด รู้ว่าหลงคิด รู้ว่าหลงอารมณ์
เป็นสิ่งที่จำเป็นนะผมว่า สำหรับการตัดสินใจเรื่องต่างๆที่ไม่แน่นอน เพราะจะทำให้เรา
เห็นอะไรตามที่มันเป็นจริง ตามเหตุผลอยู่แล้ว นักลงทุน เทรดเดอร์ หรือผู้ที่มีอาชีพ
เกี่ยวกับความไม่แน่นอน ความเสี่ยง ควรที่จะฝึกไว้ (วิธีไหนก็แล้วแต่)
ถ้าเอาเรื่องสมองเข้ามาจับ มันก็เป็นเรื่องของสมองสามชั้น
สมองยุคแรก (Core brain) หรือ เรปทิเลียนเบรน (Reptilian brain) มีหน้าที่ ขั้นพื้นฐาน ที่ง่ายที่สุดเกี่ยวกับ การเต้นของหัวใจ การหายใจ ทําหน้าที่ เกี่ยวกับ ประสาทสัมผัส และสั่งงานให้ กล้ามเนื้อ มีการเคลื่อนไหว สมอง ส่วนนี้ยังรับ และเก็บข้อมูล เกี่ยวกับ การเรียนรู้ จาก สมอง หรือ ระบบประสาท ส่วนถัดไป และทําให้เกิดเป็น ระบบตอบโต้อัตโนมัติ ขึ้นทําให้เรามี ปฏิกิริยาอย่างง่ายๆ ปราศจาก อารมณ์ ปราศจาก เหตุผล เช่น สัญชาตญาณ การมีชีวิตอยู่เพื่อ ความอยู่รอด ความต้องการอาหาร ที่พักอาศัย
สมองส่วนที่สองเรียกว่า ลิมบิกเบรน (Limbic brain) หรือ โอลด์แมมมาเลียนเบรน (Old Mammalian brain) คือ สมอง ของ สัตว์เลี้ยงลูก ด้วยนม สมัยเก่า ก็คือ สมอง ส่วน ฮิปโปแคมปัส เทมโพราลโลบ และบางส่วนของ ฟรอนทอลโลบ ซึ่งมีหน้าที่ เกี่ยวกับ ความจำ การเรียนรู้ พฤติกรรม ความสุข อารมณ์ขั้นพื้นฐาน ความรู้สึก เช่น ชอบ ไม่ชอบ ดี ไม่ดี โกรธ หรือ มีความสุข เศร้า หรือ สนุกสนาน รัก หรือเกลียด สมอง ส่วนลิมบิก จะทําให้คนเราปรับตัวได้ดีขึ้น มีความฉลาดมากขึ้น และสามารถเรียนรู้โลกได้ กว้างขึ้น เป็นสมอง ส่วนที่สลับซับซ้อน มากขึ้น ทําให้คนเรา มีความสามารถใน การปรับตัว ปรับ พฤติกรรมให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้น ถ้าหากมี สิ่งกระตุ้น ที่ไม่ดีเข้ามา สมอง ส่วนนี้จะ แปลข้อมูล ออกมาเป็น ความเครียด หรือไม่มีความสุข
สมองส่วนที่สามเรียกว่า นิวแมมมาเลียนเบรน (New Mammalian brain) หรือสมองของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยใหม่ คือสมองใหญ่ ทั้งหมด โดยเฉพาะบริเวณพื้นผิวของสมองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับ ความรู้สึกนึกคิด การเรียนรู้ สติสัมปชัญญะ และรายละเอียดที่สลับซับซ้อน มีขนาดใหญ่ กว่าสมองอีก 2 ส่วนถึง 5 เท่าด้วยกัน สมองส่วนนี้เป็นศูนย์รวมเกี่ยวกับ ความฉลาด ความคิดสร้างสรรค์ การคํานวณ ความรู้สึก เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ความรักความเสน่หา เป็นสมองส่วนที่ทำให้มนษุย์รู้จูกคิด หาหนทางเอาชนะธรรมชาติ หรือควบคุมสิ่งแวดล้อมในโลกนี้
นี่ก็เป็นข้อมูลจากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ผ่านมา (อาจไม่ใช่ก็ได้มั้ง ถ้ามีการค้นพบใหม่ๆมาอีก)
แต่ก็นั่นแหละคับ ดูจะสมเหตุสมผลที่สุดในขณะนี้
การ Invert (หรือวิธีไหนก็แล้วแต่เพราะมันเป็นชื่อสมมุติทั้งน้านอย่าไปยึดติด)
เป็นการค้นหาลึกเข้าไป หรือรู้เข้าไปให้ถึงที่สุดต้นตอในตัวเอง เรียกว่าเป็นการเข้าใจตัวเองอย่างถึงที่สุด
นี่เป็นความสามารถของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ปาฏิหารย์มากๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้
ธรรมชาติสอนให้เราใช้ทรัพยากรที่จำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุดเสมอ
ถ้ามองในร่างกายตัวเอง จะเห็นอวัยะใหญ่น้อยทั้งหลายวางเรียงรายยัดเยียด
ในตำแหน่งต่างๆ อย่างไม่น่าเชื่อลองคิดถึงการเกิดของมันซิคับ
อย่างสมอง ต้องแออัดอยู่ในกะโหลกแคบๆของเรา แต่วิธีที่มันพัฒนาซิคับ
ทำยังไงให้สามารถมีเซลล์มากขึ้นได้ มีเนื้อสมองมากขึ้นได้ พัฒนาขึ้นได้ในพื้นที่จำกัด
ก็ขดซิ เป็นหยักๆ เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้สมอง สมองเราถึงได้เป็นหยักๆ
การปรับตัวนี่แหละคับ ทำให้เราพัฒนาได้ แม้มีทรัพยากรจำกัด
นี่เป็นความสามารถของสิ่งมีชีวิตต่างๆอยู่แล้ว และมนุษย์เราดูเหมือน
มีความสามารถแบบนี้สูง เป็นการปรับตัวของตัวเรากับสิ่งแวดล้อม
ในเมื่อตัวเราก็เปลี่ยนแปลง ในเมื่อสิ่งแวดล้อมก็เปลี่ยนแปลง
เกิดการสะท้อนกลับไปกลับมา เรียกว่าอะไรต่างเปลี่ยนแปลงก็ส่งผลกระทบต่อกันและกัน
ผลกระทบต่อกันและกันที่เกิดขึ้น ก็เกิดการสะท้อนกลับมาทำให้เปลี่ยนแปลงไปอีก
ดูเหมือนมันเป็นพื้นฐานของธรรมชาติที่เราอาศัยอยู่ในตอนนี้นะคับ
การ Invert (หรือวิธีไหนก็แล้วแต่) ที่ทำให้เราสามารถตระหนักถึงเรี่องนี้
ย่อมทำให้เราไม่ประมาท สามารถแยกแยะ สืบสาวเหตุปัจจัยต่างๆได้
อย่างมีเหตุผล เมื่อนั้นก็เกิดประโยชน์จากการนำไปใช้ในเรื่องต่างๆ
ทำให้เราประสบผลสำเร็จได้ตามความมุ่งหมายคับ
(ปล. ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวคับ อาจถูกหรือผิดได้ ขอให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสมอ)
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 70
แหล่งข้อมูลอัดเข้ามาหน่อยก็แจ่มขึ้นเยอะนะครับ
สำหรับผมเรื่องสมองนี้รู้ไปก็ไม่เป้นปัญญาเลยครับ
สำหรับบางวิชาชีพ เขาทราบว่ายาตัวใดมีผลต่อสมองส่วนไหน
เพื่อนเทรดเดอร์หลายท่านฮึดยาบางตัว จากเป็นคนกลัวความเสี่ยง
เปลี่ยนหน้ามื่อเป็นหลังเท้า พอทราบว่าผมเคยเรียนการบินมาก่อน
พี่ท่านชวนผมไปโดดบันนี่จั้มถี่ยิก บางท่านเกิดมากล้าที่จะเสี่ยงกับเรื่องนี้เป็นธรรมชาติ
สมัยเรียนการบิน ผมสอบไม่ผ่านถึงสามครั้งตอนดับเครื่อง
พอดับแล้ว เครื่องจะดิ่งทิ้งพสุธาหัวปลักลงอย่างรวดเร็วครับ
ผมสลบไปถึงสามครั้ง และโดนไทร์ออกมา
แฟนสาวเป้ฯคนไต้หวัน เรียนด้วยกันกลับหัวเราะเหมือ่นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ครูบอกว่า แฟนผม She is born to be a great pilot.
อาชีพการลงทุน ฝรั่งนักจิตวิทยาการลงทุนที่เก่งที่สุดชื่อ Ari Kiev บอกว่า
บางท่านเกิดมา born to be a great trader
บางท่านพยายามแค่ไหนเป้นแค่ amateur trader เท่านั้น
แต่จากประสบการณ์การลงทุนนั้น ผมเชื่อว่า สัดส่วนการเปลี่ยนแปลงภายในตนเองนั้น
เป็นสัดส่วนตามการเปลี่ยนแปลงภายนอก
พูดอีกอย่าง ความสำเร็จของนักลงทุนภายนอกที่จับต้องได้
ขึ้นอยู๋กับการเปลี่ยนแปลงของการตะหนักรู็ตนเองจากภายในที่จับต้องไม่ได้
พูดภาษาคนก็ เอ็งทันอารมณ์ตัวเองมากเท่าใด เอ็งก็นรวยมากเท่านั้น
แต่คำว่ารวยนั้นน่ากลัวไม่ใช่เล่นครับ เพราะผมใกล้เคียงกับคำว่า ซวย ซะเหลือเกิน
พี่ Tibular เติมข้อมูลอย่างเฉียบคม เหลือคำถามว่า
มันเอาไปใช้กับการลงทุนได้อย่างไร
โดยเฉพาะยาบางตัวที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนครับ
ผมจัดไป zertake ห้ามทานนาน
ผมอัพไปซะหลายเดือนติดต่อกัน
ความจำระยะสั้นผม หายไปหมดเลย
แต่ visual imagination กลับเพิ่มขึ้น
ทุกอย่างมันมีข้อเสียในข้อเสียดีจริงๆ ครับ
ถ้ามัวแต่หาความหมาย invert
ผมเสียดายเวลาไปนั่งคิดทำไม
ตัวผมเองยังไม่เคยคิดถึงมันเลย
อย่างรถชนท้าย ผมก็ลงไปขอบคุณเขา
แล้วถามว่าเขาเป็นอะไรมากไหม
ไม่เคยมานั่งคิดว่าจะ invert คืออะไร
มันคือ การเอาชนะตัวเองไงครับ เอาใจคนอื่นมาใส่ใจเรา
ทำยากใช่ไหมครับ
เพราะท่านยังมี ตัวกรู อยู่ไงครับ 555555
สำหรับผมเรื่องสมองนี้รู้ไปก็ไม่เป้นปัญญาเลยครับ
สำหรับบางวิชาชีพ เขาทราบว่ายาตัวใดมีผลต่อสมองส่วนไหน
เพื่อนเทรดเดอร์หลายท่านฮึดยาบางตัว จากเป็นคนกลัวความเสี่ยง
เปลี่ยนหน้ามื่อเป็นหลังเท้า พอทราบว่าผมเคยเรียนการบินมาก่อน
พี่ท่านชวนผมไปโดดบันนี่จั้มถี่ยิก บางท่านเกิดมากล้าที่จะเสี่ยงกับเรื่องนี้เป็นธรรมชาติ
สมัยเรียนการบิน ผมสอบไม่ผ่านถึงสามครั้งตอนดับเครื่อง
พอดับแล้ว เครื่องจะดิ่งทิ้งพสุธาหัวปลักลงอย่างรวดเร็วครับ
ผมสลบไปถึงสามครั้ง และโดนไทร์ออกมา
แฟนสาวเป้ฯคนไต้หวัน เรียนด้วยกันกลับหัวเราะเหมือ่นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ครูบอกว่า แฟนผม She is born to be a great pilot.
อาชีพการลงทุน ฝรั่งนักจิตวิทยาการลงทุนที่เก่งที่สุดชื่อ Ari Kiev บอกว่า
บางท่านเกิดมา born to be a great trader
บางท่านพยายามแค่ไหนเป้นแค่ amateur trader เท่านั้น
แต่จากประสบการณ์การลงทุนนั้น ผมเชื่อว่า สัดส่วนการเปลี่ยนแปลงภายในตนเองนั้น
เป็นสัดส่วนตามการเปลี่ยนแปลงภายนอก
พูดอีกอย่าง ความสำเร็จของนักลงทุนภายนอกที่จับต้องได้
ขึ้นอยู๋กับการเปลี่ยนแปลงของการตะหนักรู็ตนเองจากภายในที่จับต้องไม่ได้
พูดภาษาคนก็ เอ็งทันอารมณ์ตัวเองมากเท่าใด เอ็งก็นรวยมากเท่านั้น
แต่คำว่ารวยนั้นน่ากลัวไม่ใช่เล่นครับ เพราะผมใกล้เคียงกับคำว่า ซวย ซะเหลือเกิน
พี่ Tibular เติมข้อมูลอย่างเฉียบคม เหลือคำถามว่า
มันเอาไปใช้กับการลงทุนได้อย่างไร
โดยเฉพาะยาบางตัวที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนครับ
ผมจัดไป zertake ห้ามทานนาน
ผมอัพไปซะหลายเดือนติดต่อกัน
ความจำระยะสั้นผม หายไปหมดเลย
แต่ visual imagination กลับเพิ่มขึ้น
ทุกอย่างมันมีข้อเสียในข้อเสียดีจริงๆ ครับ
ถ้ามัวแต่หาความหมาย invert
ผมเสียดายเวลาไปนั่งคิดทำไม
ตัวผมเองยังไม่เคยคิดถึงมันเลย
อย่างรถชนท้าย ผมก็ลงไปขอบคุณเขา
แล้วถามว่าเขาเป็นอะไรมากไหม
ไม่เคยมานั่งคิดว่าจะ invert คืออะไร
มันคือ การเอาชนะตัวเองไงครับ เอาใจคนอื่นมาใส่ใจเรา
ทำยากใช่ไหมครับ
เพราะท่านยังมี ตัวกรู อยู่ไงครับ 555555
-
- Verified User
- โพสต์: 1961
- ผู้ติดตาม: 0
Re: "วันนี้เป้นวันดีที่ผมจะขาดทุน"
โพสต์ที่ 71
ช่วงบ่ายๆ ผมปิดร้านขายหมูทอดพันโล
มานั่งคิดว่าจะป้อนข้อมูลบันทึกอะไรบ้าง
ร้านนี้เปิดแปดโมงเช้า ประมาณ เที่ยงกว่า ก็ขายหมดแล้วครับ
เด็กในร้านถามผมว่า ทำไมไม่ลงหมูเพิ่มกว่านี้
ผมตอบว่า ขายทำไมให้มาก ยิ่งขายมาก ผมยิ่งขาดทุน
ตอบประมาณนั้น ไม่ทราบว่าเข้าใจไหม
ผมขายข้าว + หมูทอด + ไข่เป็ดต้ม+ผักสด = เพียง 25 เท่านั้นเองครับ
"ยิ่งขายมาก ยิ่งขาดทุนซิครับ"
ผมตอบไปอย่างนั้น คนมากินน้อยๆ ผมกลับดีใจ
แต่ยิ่งยากให้กินกันน้อย คนกลับมากินกันเยอะขึ้น
นั่นละเคล้ดลับของผมครับ
ผมไม่บอกหมดว่า ผม invert ทุกอย่างจนเคยชินและยากกว่าที่คนอื่นจะเข้าใจได้
สำหรับผมแล้ว ยากให้ขาดทุน แต่กลับกำไร
สำหรับคนอื่นแล้ว ยิ่งยากกำไร แต่ต้องขาดทุน
ผมเปิดร้านแบบ invert ไม่มีเขียนในตำราแต่อย่างใด
หลักการ VI นั้นบางบริษัทใช้การ invert ทำตัวเองให้เป็ฯบริษัท VI
เพื่อให้นักลงทุน VI มาซื้อหุ้นของเขา
ผมไมได้เปิดร้านแบบ Vi ผมเปิดแบบ Iv ต่างหากครับ
................
ความจำระยะสั้นผมมีปัญหาอย่างมาก
วางพวงกุญแจบ้าน รถ ร้าน หายไป ไม่ทราบ วางตรงไหน
วางอะไรไว้ตรงไหน ก็จำไม่ได้ มีปัญหามาก ๆ ครับ
ก็ได้เวลาไอวีละครับ ผมก็ไอวีตัวเอง ถามตัวเองว่า อะไรที่วางแล้วผมจำได้มากที่สุด
อะไรที่วางตรงไหน ผมก็จะหาเจอ
คำตอบคือ กางเกงในของลูกสาวหกขวบครับ
เขาถอดวางตรงไหน ผมก็สะดุดตาเป็นพิเศษ
ผมก็จะบ่นทุกครั้ง บางทีไปใส่ในตู้เย็น
เหตุผลคือ เขาชอบแย่ให้ผมโกรธ
เพราะผมบอกว่า ถ้าทำให้พ่อโกรธได้ พ่อจะให้ตังค์
แค่บ่นก็จะเสียตังให้เขาแล้วครับ
เขาทราบว่าผมแพ้ทางกางเกงในของเขา
ผมก็ invert โดยการเอากางเกงในของลูกสาวมาทำพวงกุญแจครับ
คราวนี้ได้ผม ไม่วางวางกุญแจตรงไหน ผมก็หาเจอครับ
การไอวีอีโก้ของตัวผมเองนั้นมีประโยชน์ในชีวิตกับผมอย่างมาก
ผมไม่ทราบว่าท่านอื่นจะเข้าใจไหม
มันคุ้มๆ มากครับ ขนาดที่ว่าผมอยากตื่นขึ้นมาทุกวัน
เพื่อมาเปิดร้านขายหมูทอดพันโลให้กับคนรายได้น้อยๆ ได้กินกันครับ
ความสุขผมคือการให้คืนกับสังคม
พี่มนกับพี่โจเคยช่วยผมยามยากลำบาก
พระคุณทั้งสองยิ่งใหญ่จริงๆครับ
ขอบคุณครับพี่ที่สอนผมให้รู็จักการให้ครับ
มานั่งคิดว่าจะป้อนข้อมูลบันทึกอะไรบ้าง
ร้านนี้เปิดแปดโมงเช้า ประมาณ เที่ยงกว่า ก็ขายหมดแล้วครับ
เด็กในร้านถามผมว่า ทำไมไม่ลงหมูเพิ่มกว่านี้
ผมตอบว่า ขายทำไมให้มาก ยิ่งขายมาก ผมยิ่งขาดทุน
ตอบประมาณนั้น ไม่ทราบว่าเข้าใจไหม
ผมขายข้าว + หมูทอด + ไข่เป็ดต้ม+ผักสด = เพียง 25 เท่านั้นเองครับ
"ยิ่งขายมาก ยิ่งขาดทุนซิครับ"
ผมตอบไปอย่างนั้น คนมากินน้อยๆ ผมกลับดีใจ
แต่ยิ่งยากให้กินกันน้อย คนกลับมากินกันเยอะขึ้น
นั่นละเคล้ดลับของผมครับ
ผมไม่บอกหมดว่า ผม invert ทุกอย่างจนเคยชินและยากกว่าที่คนอื่นจะเข้าใจได้
สำหรับผมแล้ว ยากให้ขาดทุน แต่กลับกำไร
สำหรับคนอื่นแล้ว ยิ่งยากกำไร แต่ต้องขาดทุน
ผมเปิดร้านแบบ invert ไม่มีเขียนในตำราแต่อย่างใด
หลักการ VI นั้นบางบริษัทใช้การ invert ทำตัวเองให้เป็ฯบริษัท VI
เพื่อให้นักลงทุน VI มาซื้อหุ้นของเขา
ผมไมได้เปิดร้านแบบ Vi ผมเปิดแบบ Iv ต่างหากครับ
................
ความจำระยะสั้นผมมีปัญหาอย่างมาก
วางพวงกุญแจบ้าน รถ ร้าน หายไป ไม่ทราบ วางตรงไหน
วางอะไรไว้ตรงไหน ก็จำไม่ได้ มีปัญหามาก ๆ ครับ
ก็ได้เวลาไอวีละครับ ผมก็ไอวีตัวเอง ถามตัวเองว่า อะไรที่วางแล้วผมจำได้มากที่สุด
อะไรที่วางตรงไหน ผมก็จะหาเจอ
คำตอบคือ กางเกงในของลูกสาวหกขวบครับ
เขาถอดวางตรงไหน ผมก็สะดุดตาเป็นพิเศษ
ผมก็จะบ่นทุกครั้ง บางทีไปใส่ในตู้เย็น
เหตุผลคือ เขาชอบแย่ให้ผมโกรธ
เพราะผมบอกว่า ถ้าทำให้พ่อโกรธได้ พ่อจะให้ตังค์
แค่บ่นก็จะเสียตังให้เขาแล้วครับ
เขาทราบว่าผมแพ้ทางกางเกงในของเขา
ผมก็ invert โดยการเอากางเกงในของลูกสาวมาทำพวงกุญแจครับ
คราวนี้ได้ผม ไม่วางวางกุญแจตรงไหน ผมก็หาเจอครับ
การไอวีอีโก้ของตัวผมเองนั้นมีประโยชน์ในชีวิตกับผมอย่างมาก
ผมไม่ทราบว่าท่านอื่นจะเข้าใจไหม
มันคุ้มๆ มากครับ ขนาดที่ว่าผมอยากตื่นขึ้นมาทุกวัน
เพื่อมาเปิดร้านขายหมูทอดพันโลให้กับคนรายได้น้อยๆ ได้กินกันครับ
ความสุขผมคือการให้คืนกับสังคม
พี่มนกับพี่โจเคยช่วยผมยามยากลำบาก
พระคุณทั้งสองยิ่งใหญ่จริงๆครับ
ขอบคุณครับพี่ที่สอนผมให้รู็จักการให้ครับ