อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/07/07

โพสต์ที่ 61

โพสต์

แบงก์ล็อกต้นทุน"ดบ.ต่ำ" แห่ออกผลิตภัณฑ์เงินฝาก

แบงก์ฉวยโอกาสช่วงดอกเบี้ยต่ำ แห่ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากล็อกต้นทุน แบงก์ใหญ่คลอดตั๋วบี/อีระยะสั้นตีกันลูกค้ารายใหญ่ที่ครบดีลเงินฝากพิเศษไม่ให้ย้ายหนีไปแบงก์อื่น ด้านแบงก์เล็กใช้เงินฝากออมทรัพย์เข้าล่อรายย่อยหวังเก็บไว้ขายผลิตภัณฑ์อื่น "กสิกรไทย" ชี้ล็อกต้นทุนต้องดูจังหวะ เพราะอาจสร้างภาระแบงก์ในอนาคต

พอหมดฤดูกาลลดยอดเงินฝาก เพื่อลดภาระการนำส่งเงินสมทบกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน (FIDF) ก็ได้เห็นธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งขนผลิตภัณฑ์เงินฝากออกมา นำเสนอลูกค้าอย่างต่อเนื่อง แม้สภาพคล่องเงินฝากของธนาคารพาณิชย์โดยรวมจัดว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับการอัตราการขยายตัวของสินเชื่อ

นายตรรก บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า การออกผลิตภัณฑ์เงินฝากและตั๋วแลกเงิน (บี/อี) ของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งในระยะนี้มาจากการมองไปถึงระยะครึ่งปีหลังว่าเป็นช่วงดอกเบี้ยถึงระดับต่ำสุดแล้ว จึงล็อกต้นทุนไว้ตั้งแต่ตอนนี้เพื่อลดภาระหากดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้นในปีหน้า

ส่วนธนาคารบางแห่งที่ออกตั๋วบี/อี อาจมาจากเงินฝากประจำพิเศษที่ออกตั้งแต่ปีที่แล้วเริ่มครบดีล (ครบอายุ) จึงต้องออกผลิตภัณฑ์รองรับเพื่อรักษาฐานลูกค้ารายใหญ่ไว้

"ที่ได้เห็นว่าช่วงนี้ออกตั๋วบี/อี กันมามากก็เพราะว่าพอเจ้าหนึ่งออกแล้ว เจ้าอื่นก็ต้องออกตาม เพื่อรักษาฐานลูกค้าตัวเองไว้ ซึ่งหากมองสภาพคล่องโดยรวม ตอนนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก และตลอดไตรมาส 3 นี้ก็ไม่น่าลดลงมาก เพราะสินเชื่ออาจขยายไม่มากในไตรมาสนี้"

นายตรรกกล่าวว่า ส่วนธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กที่ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ อาจต้องการลดฐานเงินฝากประจำ พร้อมกับขยายฐานลูกค้าเงินฝากออมทรัพย์เพื่อลดต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย และขยายฐานลูกค้าไว้เพื่อรองรับฐานลูกค้าไว้รองรับการขายผลิตภัณฑ์อื่น

ส่วนของธนาคารกรุงศรีอยุธยาขณะนี้ได้ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างต่อเนื่อง และมีการเตรียมผลิตภัณฑ์เพื่อระดมเงินไว้เช่นกัน แต่ยังไม่ได้เสนอลูกค้า เพราะยังไม่ได้มีความจำเป็นเพื่อเพิ่มสภาพคล่องในตอนนี้

แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งกล่าวว่า ส่วนที่ธนาคารทหารไทยปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวมองได้สองแง่ ส่วนหนึ่งเพื่อดึงเงินเข้าธนาคาร เพราะ 1-2 เดือนที่ผ่านมาเกิดการไหลออกของเงินฝากค่อนข้างมาก ส่วนอีกแง่หนึ่งอาจมาจากเล็งแล้วว่าดอกเบี้ยระดับนี้ถึงระดับต่ำสุดเลยรีบล็อกต้นทุนไว้แต่ตอนนี้

ทั้งนี้ ในรายงาน ธ.พ. 1.1 ประจำเดือน พ.ค. 2550 ปรากฏว่า มีธนาคาร 3 แห่งที่เงินฝากลดลง คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ลดลง 1,697 ล้านบาท หรือ -0.2% ธนาคารนครหลวงไทย ลดลง 20,127 ล้านบาท หรือ -5.0% และธนาคารทหารไทย ลดลง 10,466 ล้านบาท หรือ -2.0%

นายจงรัก บุญชยานุรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารเงิน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ที่ธนาคารกสิกรไทย ออกขายตั๋วบี/อี อายุ 3-6 เดือน ส่วนหนึ่งเพื่อหาผลิตภัณฑ์รองรับลูกค้ารายใหญ่ที่เพิ่งครบกำหนดเงินฝากพิเศษ นอกจากนั้นยังเป็นการบริหารสภาพคล่องให้สอดคล้องกับความต้องการในแต่ละช่วง

สำหรับกรณีที่มีธนาคารบางแห่งเริ่มขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อล็อกต้นทุนแล้ว ธนาคารก็ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมกับพิจารณาความจำเป็นในการดึงสภาพคล่องเข้าธนาคารต้องหาจังหวะที่เหมาะสม เพราะหากเลือกล็อกต้นทุนด้วยการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากผิดจังหวะ ได้สภาพคล่องเข้ามาจำนวนมากแต่ปล่อยสินเชื่อได้ไม่มาก ก็เป็นการเพิ่มภาระดอกเบี้ยจ่ายได้

"การจะขึ้นดอกเบี้ยก็ต้องขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและดอกเบี้ยด้วย บางแบงก์อาจมองว่าดอกเบี้ยขณะนี้ต่ำสุด บางแห่งก็มองว่าลดลงได้อีกประมาณ 0.25% ซึ่งตอนนี้คาดการณ์ทิศทางดอกเบี้ยค่อนข้างยาก เพราะแม้ปัจจัยภายในของเรา เช่น เงินเฟ้อที่ต่ำเศรษฐกิจชะลอตัวจะเอื้อให้ลดดอกเบี้ยได้ แต่หากมองต่างประเทศขณะนี้ดอกเบี้ยก็เป็นขาขึ้น ดังนั้นการตัดสินใจล็อกต้นทุนไว้ตั้งแต่ตอนนี้ จึงต้องดูให้ดีเพื่อไม่ให้เป็นภาระในอนาคต" นายจงรักกล่าว

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้เก็บข้อมูลการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากของธนาคารแต่ละแห่ง นับแต่ต้นเดือน ก.ค.เป็นต้นมา ธนาคารยูโอบี ออกตั๋วบี/อี เพื่อเสนอขายแก่ลูกค้าบุคคลทั่วไป นิติบุคคล และนักลงทุนสถาบัน ซึ่งอายุตั๋วบี/อี ที่ออก มีอายุ 7,14 วัน 1, 2,3,6,12,24 และ 36 เดือน และจะออกอีกหลายช่วงอายุตามมา ผลตอบแทนตั้งแต่ 2.25-3% ต่อปี ตามอายุตั๋ว โดยบุคคลทั่วไปสามารถซื้อลงทุนได้ในวงเงินตั้งแต่ 5 แสนบาทขึ้นไป ส่วนนิติบุคคลและนักลงทุนสถาบันลงทุนตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป

ตามมาด้วย ธนาคารกรุงไทยออก 2 ผลิตภัณฑ์ควบ คือ ตั๋วบี/อี "KTB- B/E" อายุ 6 เดือน 2.8% ต่อปี วงเงินลงทุนขั้นต่ำตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป และเงินฝากประจำ 5 เดือน ดอกเบี้ย 2.35% รับฝากวงเงินตั้งแต่ 1 หมื่นบาทขึ้นไป

ขณะที่ ธนาคารธนชาตได้ออกผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำ 15 เดือน ดอกเบี้ย 3% ต่อปี ซึ่งถือว่าเป็นดอกเบี้ยที่สูงกว่าเงินฝากประจำ 24 เดือนของธนาคารบางแห่ง และเงินฝากประจำ 9 เดือน ดอกเบี้ย 2.75% ต่อปี สูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนของบางแห่งเช่นกัน ซึ่งทั้ง 2 แบบ ธนาคารรับฝากวงเงินตั้งแต่ 1 แสนบาทขึ้นไป

ส่วนธนาคารทหารไทยออก "เงินฝากประจำสบายใจ" อายุ 12-24 เดือน ให้อัตราดอกเบี้ย 2.75- 3.0% ตามแต่ละประเภทลูกค้า อายุ 36-48-60 เดือน ดอกเบี้ย 3.0-3.25% ตามแต่ละประเภทลูกค้า

ธนาคารกสิกรไทย ออกตั๋วบี/อี "K-B/E Investment" อายุ 6-9 เดือน จ่ายดอกเบี้ยเท่ากันทั้ง 2 อายุ คือ วงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2.75% ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ดอกเบี้ย 3%

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ธนาคารเกียรตินาคิน ได้เสนอเงินฝากประจำอายุ 6-24 เดือน ดอกเบี้ย 2.50 - 3.625% ต่อปี วงเงินฝากขึ้นต่ำตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้น ไป พร้อมกับเสนอขายตั๋วบี/อี วงเงินขึ้นต่ำ 1 ล้านบาท ดอกเบี้ย 2.75-4.25% ต่อปี

ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) เสนอบัญชีเงินฝากออมทรัพย์เพย์โรลพลัส (Payroll Plus) จ่ายดอกเบี้ย 2% จากปกติที่ธนาคารเสนอให้ปัจจุบัน 0.5 - 1% ซึ่งจะรับฝากเฉพาะลูกค้าที่มีเงินเดือนประจำประมาณเดือนละ 1.5 หมื่นบาท โดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ที่รับเงินเดือนผ่านธนาคาร

ด้านธนาคารไทยธนาคาร ออกเงินฝากออมทรัพย์ "Working Professional" วงเงินฝากขั้นต้น 500 บาท รับดอกเบี้ยสูงกว่าดอกเบี้ยออมทรัพย์ปกติที่ธนาคารจ่ายอยู่ปัจจุบัน 0.25% และหากเปิดบัญชีภายใน 30 ก.ย.นี้ จะได้รับความคุ้มครองการประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลฟรี วงเงิน 50,000 บาท เป็นเวลา 6 เดือน
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/07/07

โพสต์ที่ 62

โพสต์

เปิดทางขนเงินออกนอกลดบาทแข็ง
ธปท.เปิดทางผู้ส่งออก-ประชาชน ถือครองเงินเหรียญสหรัฐไม่มีกำหนด ลงทุนนอกสะดวกขึ้น โฆสิตยันไม่เห็น 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐแน่

นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวภายหลังหารือข้อสรุปมาตรการการดูแลเงินบาทแข็งค่าร่วมกับ
นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกฯ และ รมว.อุตสาหกรรม และนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ว่า ที่ประชุม จะมีมาตรการผ่อนคลายมากขึ้น 8 มาตรการเพื่อลดผลกระทบการแข็งค่าของเงินบาท
สำหรับมาตรการทางการเงินระยะสั้นที่ ธปท.เสนอให้ผ่อนคลายประกอบด้วย การเปิดให้ผู้ประกอบการส่งออกสามารถถือครองเงินตราต่างประเทศได้ไม่จำกัดระยะเวลา จากเกณฑ์เดิมกำหนดให้ต้องแลกเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาทภายใน 15 วัน
นอกจากนี้ จะอนุญาตให้เปิดบัญชีเงินฝากเป็นเงินตราต่างประเทศในประเทศได้ โดยบุคคลธรรมดาให้ฝากได้สูงสุดไม่เกิน 1 แสนเหรียญสหรัฐ ส่วนกรณีนิติบุคคลหรือกรณีอื่นๆ ยังไม่ได้สรุปชัดเจนว่าจะจำกัดไว้ที่ระดับใด
นางธาริษา กล่าวว่า ในระยะต่อไปจะไปหารือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมถึงโบรกเกอร์หรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ เพื่อเปิดเงื่อนไขที่มีอยู่ในปัจจุบันเพิ่มขึ้น ให้สามารถนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศได้สะดวกและมีวงเงินที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม มาตรการที่ ธปท.เสนอทั้งหมด 8 ข้อ จะทำได้หรือไม่ ต้องรอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน ซึ่งในบางเรื่องต้องรอผ่านความเห็นชอบของ ครม.ด้วย
มาตรการเหล่านี้ต้องการเน้นเพิ่มดีมานด์เงินเหรียญสหรัฐ เปิดให้เงินไปลงทุนในต่างประเทศได้ง่ายขึ้น สร้างสมดุลให้เงินเข้าและออก จะได้ลดแรงกดดันบาทแข็งค่า
นางธาริษา กล่าวว่า การดูแลค่า เงินบาทคงบอกไม่ได้ว่าจะดันให้ค่าเงินอยู่ระดับปัจจุบันนี้ หรือจะให้อ่อนลงกว่านี้ เพราะการดูแล ธปท.จะเน้นให้เงินบาทมีเสถียรภาพ ไม่ฝืนตลาด จะไม่ให้สุดโต่ง และไม่ตกขอบ
นายโฆสิต กล่าวว่า มาตรการต่างๆ ที่ออกมาดูแลค่าเงินบาท น่าจะทำให้ ผู้ประกอบการส่งออกสบายใจและมั่นใจขึ้นได้ว่า ทิศทางค่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าไปถึง 30 บาท เพราะส่วนตัวเชื่อว่าค่าเงินบาทคงไม่แข็งค่าไปถึงขนาดนั้นเหมือนที่ท่านนายกรัฐมนตรีเคยบอกไว้
อย่างไรก็ตาม เงินบาทแข็งค่าเกิดจากเงินทุนไหลเข้ามาจำนวนมาก ตามการเปิดเสรี แต่ในภาวะที่การลงทุนชะลอ การนำเข้ามีน้อย ทำให้ความต้องการใช้เงินเหรียญสหรัฐมีน้อย ไม่เป็นไปตามที่อยากจะให้เป็น
ดังนั้น มาตรการที่ออกมาจะเน้นเพิ่มความต้องการใช้เงินเหรียญสหรัฐเพื่อสร้างสมดุลในตลาดเงินมากขึ้น และเพื่อผ่อนคลายให้กับผู้ประกอบการส่งออกเป็นสำคัญ ซึ่งการแก้ไขปัญหาคงไม่สามารถทำได้ทีเดียวจบเหมือนกินยาแก้ไขให้หายทันทีไม่ได้ เพราะเกิดจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่มีอยู่ทุกวินาที
นายฉลองภพ กล่าวว่า มาตรการที่จะนำมาใช้ดูแลค่าเงินบาท ส่วนใหญ่เป็นมาตรการที่ต้องการปล่อยให้คนถือครองเหรียญสหรัฐ หรือสามารถนำเงินออกนอกประเทศได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะนำรายละเอียดเสนอ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอีกครั้ง
สำหรับมาตรการที่จะควบคุมเงินทุนไหลเข้าประเทศนั้น ช่วงที่ผ่านมา ธปท.สามารถดูแลได้ค่อนข้างดี ทำให้ค่าเงินมีเสถียรภาพ ซึ่งในบางช่วงค่า เงินบาทได้อ่อนค่าลงบ้า
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 833&ch=222
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/07/07

โพสต์ที่ 63

โพสต์

แบงก์กรุงศรีฯกันสำรองหนักทำบักโกรก8.8พันล้าน
โพสต์ทูเดย์ แบงก์แห่กันสำรองไตรมาส 2 ทำกำไรหดทั่วหน้า กรุงศรีฯ หนักสุด ขาดทุน 8.8 พันล้านบาท


นายตัน คอง คูน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปี 2550 ธนาคารมีผลขาดทุนสุทธิ 8.81 พันล้านบาท ขณะที่ในงวดครึ่งปีแรกมีกำไรก่อนหักสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 3.9 พันล้านบาท แต่หลังหักเงิน ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวม 1.15 หมื่นล้านบาท ทำให้ขาดทุนสุทธิ 7.6 พันล้านบาท

นายตัน คอง คูน กล่าวว่า ธนาคารจะมีการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสัปดาห์หน้า

รายงานข่าวจากธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2550 เท่ากับ 528 ล้านบาท ลดลง 3,880 ล้านบาท หรือลดลง 88.02% จากไตรมาส 1/2550 เนื่องจากตั้งค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มเติมจากค่าใช้จ่ายหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญที่ธนาคารตั้งเป็นปกติอีกจำนวน 6 พันล้านบาท

สินเชื่อด้อยคุณภาพ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2550 มี 1.016 แสนล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจำนวน 7 พันล้านบาท จากไตรมาส 1/2550 ทำให้สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 10.17% จากไตรมาส 1/2550 อยู่ที่ 9.82% สาเหตุหลักจากสินเชื่อที่ให้แก่ลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งได้รับผลกระทบจากแนวโน้มราคาสินค้าในตลาดโลก

ธนาคารกรุงเทพ รายงานผลประกอบการสำหรับไตรมาส 2 ของปี 2550 มีกำไรสุทธิ 5,324 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,033 ล้านบาท หรือ 24.1% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนกำไรก่อนหักสำรองและภาษีมีจำนวน 9,364 ล้านบาท

ธนาคารไทยธนาคาร มีผลประกอบการตามงบการเงินรวม (Consolidated) ในงวด เม.ย.-มิ.ย. 2550 มีขาดทุนสุทธิรวม 68 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่างวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีผลขาดทุนจำนวน 1,389 ล้านบาท

สำหรับรายการพิเศษที่มีผลกระทบต่องบการเงินของธนาคาร คือการตั้งสำรองสำหรับลูกหนี้กลุ่มเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง กรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ และมีวงเงินกับธนาคารในประเทศและต่างประเทศ 9 แห่ง รวม 1.2 หมื่นล้านบาท ลูกหนี้กลุ่มนี้มีภาระหนี้กับธนาคาร ณ 30 มิ.ย. 2550 รวม 1,760 ล้านบาท ปัจจุบันลูกหนี้เริ่มค้างชำระ 1 เดือน กลุ่มธนาคารได้ว่าจ้างบริษัท เคพีเอ็มจี ภูมิชัย ที่ปรึกษาธุรกิจ เข้าตรวจสอบสินทรัพย์ และได้ข้อสรุปว่าธนาคารอาจจะไม่ได้รับชำระหนี้ครบถ้วน และขณะนี้ธนาคารได้ทำการยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แล้ว นอกเหนือจากนี้ได้ยื่นฟ้องคดีเช็คต่อศาลและฟ้องร้องในทางแพ่งประกอบกันไป

ธนาคารธนชาต ไตรมาส 2/2550 มีกำไรสุทธิ 164.43 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 143.12 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.10 บาท

รายงานข่าวจากธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.125% โดยลูกค้ารายใหญ่ ชั้นดี (เอ็มแอลอาร์) จาก 7% เป็น 6.875%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180058
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/07/07

โพสต์ที่ 64

โพสต์

ทุ่มสู้บาทแข็งแสนล้าน
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ทุ่มทุนกว่า 1 แสนล้านบาท เข้าแทรกแซงบาทให้นิ่งในช่วง 14 วัน ใช้สัปดาห์ละ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ


ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศ สิ้นสุดวันที่ 13 ก.ค. อยู่ที่ 7.21 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ทรงตัวเมื่อเทียบกับวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา
ขณะที่ฐานะการซื้อขายเงินตราต่างประเทศสุทธิ (Forward) ซึ่งเป็นดัชนีชี้วัดการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทในตลาดเงินให้แข็งค่าขึ้นมานั้นพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 1.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ จากสัปดาห์ก่อนที่มีภาระในตลาดเงิน 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นสุทธิ 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 5.03 หมื่นล้านบาท หากคิดอัตราแลกเปลี่ยนเฉลี่ยที่ 33.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
แหล่งข่าวจากฝ่ายบริหารเงินธนาคารต่างประเทศ เปิดเผยว่า เมื่อตรวจสอบการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็วกว่า 3.8% นั้น จะพบว่าช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ค. นั้น ธปท.มีการแทรกแซงค่าเงินบาทค่อนข้างมากหลังจากที่เงินบาททะลักเข้ามาสัปดาห์ละ 1-1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ กล่าวคือ วันที่ 29 มิ.ย. ฐานะฟอร์เวิร์ดสุทธิของ ธปท. อยู่ที่ 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่วันที่ 6 ก.ค. เพิ่มเป็น 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ระยะเวลา 14 วัน ทางการใช้เงินในการแทรกแซงไม่ให้เงินบาทแข็งค่าสูงถึง 1 แสนล้านบาท เมื่อคิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ปิดในแต่ละสัปดาห์
ทั้งนี้ รายงานข้อมูลการซื้อขายเงินบาทในตลาดล่าสุด วันที่ 20 ก.ค. ปิดตลาดที่ 33.62-33.64 บาทต่อเหรียญสหรัฐ อ่อนค่าลง 0.12 บาท หรืออ่อนค่าลง 0.35% จากที่เปิดตลาด 33.50-33.52 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ตามการเข้าแทรกแซงของ ธปท. และการชะลอเทขายเงินเหรียญสหรัฐของผู้ส่งออก
ดีลเลอร์ค้าเงินธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด กล่าวว่า ในเบื้องต้นคาดว่า ธปท.น่าจะขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนมากพอสมควร เพราะทิศทางค่าเงินบาทยังแข็งค่าต่อเนื่อง เพิ่งชะลอตัวและอ่อนค่าลงในช่วงปลายสัปดาห์นี้เท่านั้น
ทั้งนี้ มูลค่าความเสียหายจากการเข้าดูแลค่าเงินบาทของ ธปท. ไม่ได้มีเฉพาะการทำฟอร์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว แต่มีการซื้อขายทันทีในตลาดสปอต (Spot) หรือการซื้อขายเงินและส่งมอบในวันรุ่งขึ้น ดังนั้น การกล่าวหาว่า ธปท. ไม่พยายามเข้าดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าคงไม่ถูกต้องนัก
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง กล่าวว่า ค่าเงินบาทมีความผันผวนน้อยลงและมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นไปตามที่ได้ยืนยันมาตลอดว่าค่าเงินบาทต้องไม่แข็งค่าหรืออ่อนค่าเร็วเกินไป ต้องขึ้นและลงได้ ไม่ได้ไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งทางเดียว ขณะที่เงินทุนไหลเข้าเริ่มชะลอ ดัชนีตลาดหุ้นเริ่มทรงตัว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180057
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/07/07

โพสต์ที่ 65

โพสต์

แบงก์เด่นเกินคาด
โพสต์ทูเดย์ ตลาดหุ้นได้อานิสงส์กำไรแบงก์ใหญ่ดีเกินคาด หุ้นเมืองนอกบวก พลิกดัชนีขาลงมาเป็นบวก


ตลาดหุ้นวันที่ 20 ก.ค. สดใสตามตลาดต่างประเทศ และได้หุ้นธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่บวกแรงนำตลาด ส่งผลให้ดัชนีขึ้นสูงสุดเกือบ 9 จุด ก่อนมีแรงขายหุ้นพลังงานออกมา ส่งผลให้ตลาดอ่อนตัวปิดที่ระดับ 850.54 จุด เพิ่มขึ้น 3.28 จุด หรือ 0.39% มูลค่าการซื้อขาย 21,127.48 ล้านบาท

ด้านนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อที่ 59 ล้านบาท สถาบันซื้อ 18 ล้านบาท ขณะที่รายย่อยขาย 77 ล้านบาท

สำหรับหุ้นกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 85.40 บาท เพิ่มขึ้น 4.91% ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ปิดที่ 131 บาท เพิ่มขึ้น 3.97% และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) ปิดที่ 82.50 บาท เพิ่มขึ้น 3.12%

เจ้าหน้าที่การตลาดหรือมาร์เก็ตติง กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เป็นตัวจุดพลุให้ตลาดหุ้นขึ้นแรง เพราะประกาศผลกำไรไตรมาส 2 ออกมาสูง กว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยไม่ได้แย่อย่างที่กังวลกัน

นอกจากนั้น ยังได้รับอานิสงส์จากตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวขึ้นมาก นำโดยดัชนีดาวโจนส์ ที่ปิดสูงกว่า 14,000 จุด เป็นครั้งแรก

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า กำไรของกลุ่มธนาคารที่ออกมาแสดงความแข็งแกร่งอย่างชัดเจน แม้ จะเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาลง และมีการตั้งสำรองหนี้สูญต่อเนื่องก็ตาม แต่ธนาคารยังคงรักษาอัตรากำไรไว้ได้ ทำให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารและหนุนให้ดัชนียืนในแดนบวกได้

นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง แนะนำให้ซื้อหุ้น KBANK และ BBL โดยเฉพาะ แบงก์กรุงเทพเห็นว่าราคาหุ้นที่ซื้อขายสัดส่วนราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชีเพียง 1.5 เท่า นั้นถูกเกินไป และมีโอกาสปรับเป้าหมายใหม่ที่ 146 บาท

บล.โกลเบล็ก ยังเพิ่มน้ำหนักลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยมองว่า KBANK และ BBL กำไรดีกว่าคาด ไว้มาก

ขณะที่ธนาคารทหารไทย (TMB) ถือว่าผิดคาด จากเดิมคิดว่าจะมีกำไรสุทธิเล็กน้อยในไตรมาส 2 จากการ ตั้งสำรองหนี้สูญบางส่วน และไม่ได้คาดถึงหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาอีกมาก จึงยังคงให้ขายหุ้นออกไปก่อน
นายจุมพล สายมาลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ในระยะ 1-2 สัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยอาจจะมีการปรับฐาน เนื่องจากการขายทำกำไรของนักลงทุนต่างชาติ หลังจากตลาดปรับเพิ่มขึ้นมาแล้ว 28-29% นับตั้งแต่ต้นปี ประกอบกับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอาวุโส บล.ธนชาต กล่าว ว่า การที่จีนประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.27% เพื่อลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจหลังไตรมาส 2 จีดีพีโตกว่า 11.92% ว่า ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกใจ เพราะจีนมีแผนที่จะดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อดูแลเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่คิดว่ามีผลกระทบหรือผลักดันให้เงินทุนไหลออกไป แม้ว่าก่อนหน้าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเพิ่งลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% ลงมาอยู่ที่ 3.25% ก็ตาม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180062
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/07/07

โพสต์ที่ 66

โพสต์

แบงก์ทำกำไรปริวรรตครึ่งปีแรกฉิว+อานิสงส์ค่าเงินผันผวน-ส่งออกโต-ธุรกรรมซื้อขาย FXเพิ่ม ขณะที่ผลประกอบ  
โดย ฐานเศรษฐกิจ วัน อาทิตย์ ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 04:49 น.
แบงก์รับอานิสงส์ค่าเงินผันผวน รายได้จากการปริวรรต 6 เดือนแรกเพิ่ม ประสาร เผยแนวโน้มการเติบโตของกำไรจากการปริวรรตยังเป็นโอกาสสร้างรายได้ให้ธนาคาร โดยเฉพาะความต้องการของลูกค้าส่งออกและความต้องการซื้อประกันความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลประกอบการแบงก์พาณิชย์ทั้งระบบ ไตรมาส 2 และครึ่งปีแรกยังมีกำไรดี ยกเว้น กรุงศรีอยุธยา แจงขาดทุน 6 เดือนแรก 7,600 ล้านบาท เพราะตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS39 เช่นเดียวกับแบงก์ทหารไทยแบกขาดทุนไตรมาสที่ 2 ทั้งสิ้น 6,141 ล้านบาท

ธนาคารพาณิชย์ไทยในระบบรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 โดยรวมมีกำไรสุทธิ
เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยกเว้นธนาคารทหารไทยที่มีผลขาดทุน เพราะธนาคารมีภาระตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจำนวนรวม 8,196 ล้านบาท ในครึ่งแรกของปี 2550 ตามเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อรองรับมาตรฐานการบัญชีสากล IAS39 ส่วนธนาคารกรุงศรีอยุธยา มีผลประกอบการงวด 6 เดือนขาดทุน 7,600 ล้านบาท จากการตั้งสำรองตามเกณฑ์ IAS 39 เช่นกัน

นอกจากนี้ยังเป็นที่สังเกตว่า ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ และ 6 เดือนแรกของปี กำไรจากการปริวรรตเงินของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งเพิ่มขึ้น เช่น ธนาคารกสิกรไทย กำไรปริวรรตเพิ่ม 50.8 % ธนาคารไทยพาณิชย์ 23.4 % ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 65 % เป็นต้น ซึ่งมีเหตุผลจากลูกค้าผู้ส่งออกหันมาทำประกันความเสี่ยงเพิ่มขึ้น และธุรกิจส่งออกขยายตัวขึ้นตามการเติบโตของการส่งออกของประเทศ

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของกำไรจากการปริวรรต ยังเป็นโอกาสสร้างรายได้ให้แก่ธนาคาร ซึ่งนอกจากจะเป็นผลต่อเนื่องจากการค้าระหว่างประเทศและการส่งออกที่เติบโตแล้ว ผู้ประกอบการยังเห็นความสำคัญมากขึ้นในการทำประกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังคงอยู่ โดยกำไรจากการปริวรรตของธนาคารในไตรมาสที่ 2ของธนาคารอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสแรก และกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากความต้องการของลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มทั้งการส่งออกและการป้องกันความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ทำให้ธนาคารมีลูกค้าและรายได้เพิ่มขึ้น

นาย ตัน คอง คูน กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า รายได้จากการปริวรรตเงินในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 65% โดยปีนี้มีกำไรปริวรรต 560 จากปีก่อน 340 ล้านบาท เพราะมีลูกค้าภาคส่งออกที่ซื้อป้องกันความเสี่ยงมากขึ้น ทั้งฟอร์เวิร์ดและออปชั่น โดยปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าภาคส่งออกในสัดส่วน 20 % ทำให้มีรายได้จากส่วนนี้เพิ่ม

สำหรับผลการดำเนินงานของธนาคารในงวดครึ่งปีแรก ธนาคารมีกำไรก่อนหักสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ จำนวน 3,900 ล้านบาท ทั้งนี้ ธนาคารได้ตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญรวม 11,500 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินสำรองฯ ที่ต้องตั้ง ตามเกณฑ์ IAS39 จึงส่งผลให้ผลประกอบการของธนาคารในรอบ 6 เดือนแรกของปี 2550 มีผลขาดทุนสุทธิ 7,600 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปีนี้ธนาคารจะกลับมามีกำไร
ปีนี้เป็น ปีที่ธนาคารมีเป้าหมายที่จะเร่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อพร้อมรองรับการเติบโต ในอนาคต โดยเป้าหมายนี้รวมถึงการจัดการเรื่องหนี้ด้อยคุณภาพและการทำให้งบดุลของธนาคารเข้มแข็งขึ้น เพื่อให้ธนาคารสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน จึงตัดสินใจตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญให้ครบทั้งจำนวนตามเกณฑ์ IAS 39 เลยทันทีก่อนจะถึงเวลาที่กำหนด และนอกจากเรื่องนี้แล้ว ธนาคารก็ได้ลงทุนเพิ่มในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพิ่มการฝึกอบรมพนักงาน ลดขั้นตอนการปฏิบัติงานให้กระชับเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล

ในส่วนของธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) มีกำไรจากการปริวรรตไตรมาสที่ 2 ปีนี้ที่ 251 ล้านบาท โดยงวด 6 เดือนมีกำไรจากการปริวรรตจำนวน 584 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 197 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 51 % ซึ่งธนาคารแจ้งว่าเกิดจากธุรกรรมการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น และการขยายศูนย์แลกเปลี่ยนเงินตรา อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กลับปรากฏว่าในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ ธนาคารมีกำไรจากการปริวรรตอยู่ที่ 628 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 335 ล้านบาท หรือลดลง 34.79 % ทำให้งวดแรก (6เดือน)ของปีนี้ ธนาคารมีกำไรจากการปริวรรตสุทธิ 1,735 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียง 9 ล้านบาทเท่านั้น

นางกรรณิการ์ ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลประกอบการของธนาคารในไตรมาสที่ 2 มีกำไรสุทธิ 4,311 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 จำนวน 611 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 16.5 % ซึ่งผลกำไรที่ดีขึ้นมาจากรายได้ดอกเบี้ย รายได้ค่าธรรมเนียม และรายได้จากการบริการต่างๆของธนาคารและบริษัทในกลุ่มที่ยังคงเติบโตดีต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว โดยในครึ่งแรกของปีนี้ ธนาคารมีกำไรสุทธิ 8,010 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.6% หรือ 384 ล้านบาท เป็นผลจากการที่ธนาคารจ่ายภาษีเงินได้มากขึ้น และการตั้งสำรองเพิ่มเพื่อรองรับสภาวะทางธุรกิจที่ยังไม่มีความแน่นอน

จุดเด่นของการดำเนินงานในครึ่งปีแรกมาจาก การขยายตัวของสินเชื่อซึ่งเติบโตในอัตรา 5.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ไปได้ดีในสินเชื่อเอสเอ็มอีและเช่าซื้อรถยนต์ ประกอบกับการบริหารต้นทุนเงินฝากที่ได้ผลทำให้รายได้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิสูงขึ้นเป็น 3.6 % นอกจากนี้ ยังมีการขยายตัวต่อเนื่องจากธุรกิจจัดการกองทุนรวม ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะดอกเบี้ยขาลงที่ผู้ฝากจะแสวงหาตราสารซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก และธนาคารยังคงเป็นอันดับหนึ่งในธุรกิจดังกล่าวด้วยส่วนแบ่งตลาด 22 % กรรณิการ์กล่าว

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการ โดยภาพรวมมีการขยายตัวดีทั้งด้านสินทรัพย์และกำไรที่สูงขึ้น โดยไตรมาสที่ 2 มีกำไรสุทธิ จำนวน 5,324 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,033 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 24.1 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรก่อนหักสำรองและภาษีมีจำนวน 9,364 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34.6 % โดยไตรมาสที่ 2 ธนาคารมีรายได้สุทธิ 11,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,018 ล้านบาท หรือ 9.6 % เนื่องจากมีเงินกู้ที่ครบกำหนดบางส่วน เป็นผลให้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมลดลง 339 ล้านบาท และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาสนี้ เพิ่มขึ้นจาก 2.95 % ในปีที่แล้ว เป็น 3.15 %
http://news.sanook.com/economic/economic_159624.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/07/07

โพสต์ที่ 67

โพสต์

หั่นR/Pเหลือ3.25%ฟื้นศก.ครึ่งหลัง+กนง.จี้แบงก์พาณิชย์เร่งลดตาม แบงก์ใหญ่ขานรับลงดบ.กู้0.125%แต่ลงดบ.  

โดย ฐานเศรษฐกิจ วัน อาทิตย์ ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 04:49 น.
กนง. เดินหน้านโยบายลดอัตราดอกเบี้ยแบบค่อยเป็นค่อยไป ส่งสัญญาณลงอาร์พีอีก 0.25 % จาก 3.50% เหลือ 3.25 % ห่วงความเชื่อมั่นภาคเอกชนไม่ฟื้น ขณะที่ แนวโน้มการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวแบบเปราะบาง คาดช่วยเร่งกระตุ้นให้แบงก์พาณิชย์ลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตาม ขณะที่อาร์พีลงแล้วตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน 1.75% แต่ MLR เพิ่งลง 0.50% ด้านแบงก์กรุงเทพนำร่องขยับดอกเบี้ยเงินกู้ตามไม่ถึง 0.125% ส่งผล MLR อยู่ที่ 6.875 %

ประเด็นความขัดแย้งทางแนวคิดเกี่ยวกับการดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ย ซึ่งก่อนหน้านี้ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกรัฐมนตรี มีข้อเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงทีเดียว 1.00-1.50 % เพื่อสกัดค่าเงินบาทที่แข็งค่า สวนทางกับความเห็นของดร. ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เห็นว่านโยบายดอกเบี้ยไม่ใช่ยาวิเศษ และอัตราดอกเบี้ยใกล้อยู่ในระดับต่ำที่สุดแล้ว ในขณะที่ผลการประชุมกนง. เมื่อวันที่ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชุมมีมติให้ลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (อาร์พี) จาก 3.50% เหลือ 3.25 %
. นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึง เหตุผลที่กนง. มีมติให้ลดอาร์พีลง0.25 % ว่า เนื่องจากในไตรมาส 1 ปี 2550 อุปสงค์ภายในประเทศชะลอตัวมากกว่าที่คาด แม้ว่าดัชนีด้านการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนจะเริ่มมีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นในเดือนเมษายนและเดือนพฤษภาคม 2550 แต่เป็นสัญญาณการปรับตัวที่เปราะบาง เพราะความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
อยู่ในระดับต่ำ (ดูตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจได้จากตารางนประกอบ)

การดำเนินนโยบายการเงินยังสามารถผ่อนคลายเพิ่มเติมได้ เพื่อเอื้อต่อการปรับตัวของภาคธุรกิจ และสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยไม่สร้างแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อ เพราะอัตราเงินเฟ้อครึ่งแรกของปีนี้ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.8 % และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ 1.9% ซึ่งจากการคาดการณ์เห็นว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังสามารถอยู่ในกรอบเป้าหมายได้ตลอด 8 ไตรมาสข้างหน้า แม้ว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผลของค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าขึ้น

ได้ช่วยบรรเทาต้นทุนของการนำเข้า

นางสุชาดา กล่าวถึง การใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเพื่อดูแลค่าเงินว่า นโยบายอัตราดอกเบี้ยไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่ม ลด ป้องกัน หรือสนับสนุนค่าเงิน แต่การดูแลค่าเงินให้มีเสถียรภาพ จะต้องมีการพิจารณาในหลายๆด้าน รวมทั้งแพ็กเกจที่ธปท. กำลังนำเสนอต่อกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณา อย่างไรก็ตาม ผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในครั้งนี้ จะมีส่วนช่วยดูแลค่าเงินที่ปรับแข็งค่าขึ้นได้พอควร หากภาคเอกชน รัฐบาล รวมทั้งรัฐวิสาหกิจหันมาหาแหล่งเงินทุนภายในประเทศมากขึ้นด้วยการะดมทุนเพื่อนำไปชำระคืนหนี้ต่างประเทศ การรีไฟแนนซ์เงินกู้ ซึ่งหากทุกอย่างเป็นไปตามกลไกจะช่วยลดแรงกดันค่าเงินบาทที่แข็งค่าอยู่ในขณะนี้

ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยอาร์พีซึ่งปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3.25 % นั้น ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงในส่วนของเงินฝากอยู่ที่ 0.23 % และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ที่ 5.00 % อย่างไรก็ตามหลังจากที่ กนง.ส่งสัญญาณลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างต่อเนื่องแล้ว น่าจะมีผลให้ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงตาม เพราะที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์ตอบรับเฉพาะการลงอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เพราะต้องการลดต้นทุนทางบัญชีที่เกิดขึ้นจากการคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะ 3-6 ปี โดยขณะนี้ต้นทุนการรับฝากดังกล่าวเริ่มลดลงแล้ว ผู้ช่วยผู้ว่าการธปท. กล่าวถึงข้อเสนอของ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีต รองนายกรัฐมนตรี ที่เสนอให้กนง.ลดอัตราดอกเบี้ย 1.00-1.50%ว่า ที่ประชุมกนง มีการหยิบยกประเด็นดังกล่าวขึ้นหารือ แต่ไม่ได้เป็นประเด็นหลักที่มีการหารือกันโดยตรง เพราะคณะกรรมการฯ พิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน ซึ่ง ในการประชุมครั้งนี้ (18 ก.ค.) มีทั้งส่วนที่เห็นด้วยว่าให้คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 3.50 % เสนอให้ปรับลดลง 0.50 % และเสนอให้ปรับลดลง 0.25% แต่สาเหตุที่มติกนง.มีมติให้ปรับลดลง 0.25% เพราะเห็นว่าเป็นระดับที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมาได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้วรวม 1.50% (ไม่นับรวมครั้งปัจจุบัน) ตั้งแต่ต้นปี 2550 เป็นต้นมา โดยหากปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอัตราที่แรงเกินไป อาจมีผลให้การปรับตัวทางเศรษฐกิจชะงัก จากผลของการคาดการณ์ของตลาดที่มีต่อนโยบายการเงิน ประกอบกับนโยบายการเงินที่ดีควรเป็นการส่งสัญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ภาคเอกชนและภาคธุรกิจได้มีการปรับตัว

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2550 เป็นต้นมา กนง.ได้ปรับลดอาร์พีลงแล้ว 1.75% (รวม 5 ครั้ง) ขณะที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.50% โดยหลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกนง. ครั้งล่าสุดเมื่อ 18 ก.ค.ที่ผ่านมา มีธนาคารพาณิชย์ที่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงตาม ทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ได้แก่
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภทลง 0.125 % มีผลตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ปรับลดจาก 7.00 % เหลือ 6.875 % อัตราดอกเบี้ย สำหรับลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเบิกเกินบัญชี (MOR) ปรับลดจาก 7.25 % เป็น 7.125 % และอัตราดอกเบี้ยสำหรับลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) ปรับจาก 7.50 % เป็น 7.375 %
ในส่วนของเงินฝากนั้น ธนาคารได้พิจารณาปรับลดและปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก โดยเงินฝากประจำ 3 เดือน 6 เดือน วงเงินฝากตั้งแต่ 1 ล้านบาท " น้อยกว่า 5 ล้านบาท คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.25 % วงเงินฝากตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 2.50 % เหลือ 2.25 % เงินฝากประจำ 12 เดือน วงเงินฝากตั้งแต่ 1 ล้าน "น้อยกว่า 5 ล้านบาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.125 % จาก 2.25 % เป็น 2.375 % วงเงินฝากตั้งแต่ 5 ล้านบาท ขึ้นไป จาก 2.50 %เหลือ 2.375 % เงินฝากประจำ 24 เดือน และ 36 เดือน ทุกวงเงิน คงอัตราดอกเบี้ยเดิมที่ 2.50 %

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 0.25% มีผล 20 ก.ค.นี้ ทำให้เงินฝากประจำ 3 เดือนและ 6 เดือน อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.00-2.25% จาก 2.25-2.50 % เงินฝากประจำ 12 เดือนอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.25% จาก 2.25-2.50% และ เงินฝากประจำ 24 เดือนและ 36 เดือน คงอัตราดอกเบี้ยที่ 2.50%
http://news.sanook.com/economic/economic_159625.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/07/07

โพสต์ที่ 68

โพสต์

โบรกเกอร์ผลงานไตรมาส2ทรุด พิษตลาดหุ้นซบ-ซีมิโก้วูบ120%

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 22 กรกฎาคม 2550 11:58 น.
      โบรกเกอร์ผลงานไตรมาส 2/50 ทรุด รับผลพวงตลาดหุ้นซบ ฉดรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหุ้นลดฮวบ นำโดยบล.ซีมิโก้ พลิกสถานการณ์จากกำไรเป็นขาดทุนสุทธิกว่า 10 ล้านบาท ลดจากปีก่อนกว่า 120% ขณะที่บล.ภัทร กำไรสุทธิลดเหลือ 119 ล้านบาท จากปีก่อนกำไรสุทธิเกือบ 250 ล้านบาท หรือลดลง 52%
     
      นางดวงรัตน์ วัฒนพงศ์ชาติ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ ZMICO เปิดเผยถึง ผลประกอบการประจำไตรมาส 2/50 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2550 ว่า บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิรวม 10.15 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.013 บาท ขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 61.28 ล้านบาท หรือ 119.85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 51.13 ล้านบาท      
      ทั้งนี้ สืบเนื่องจากบริษัทมีผลดำเนินงานลดลง 61 ล้านบาท โดยรายได้รวมลดลงกว่า 90 ล้าน ประกอบด้วย รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 26 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการจากธุรกิจที่ปรึกษาทางการเงินลดลง 21 ล้านบาท และกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 48 ล้านบาท
     
      ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยไตรมาสนี้มีค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างบริษัท 29 ล้านบาท จากการปิดสาขา ยุบหน่วยงานเซียนไลน์ และลดพื้นที่เช่าสำนักงานบางส่วน อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานจำนวน 23 ล้านบาท เนื่องจากการลดลงของจำนวนพนักงานและการลดลงของค่าตอบแทนพนักงานการตลาดตามปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์
     
      สำหรับผลการดำเนินงานสะสมงวด 6 เดือน ปี 2550 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 9.69 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.012 บาท ขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 130.73 ล้านบาท หรือคิดเป็น 108% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่กำไรสุทธิ 121.04 ล้านบาท เนื่องจากผลการดำเนินงานที่ลดลง 131 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 159 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการลดลง 24 ล้านบาท ผลตอบแทนจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง 89 ล้านบาท และรายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผลลดลง 9 ล้านบาท ขณะที่ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 69 ล้านบาท
     
      ด้านนายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA กล่าวว่า ไตรมาส 2/50 บริษัทมีกำไรสุทธิ 119.51 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.56 บาท เทียบกับปีก่อนที่กำไรสุทธิ 249.68 ล้านบาท หรือกำไรสุทธิลดลง 130.17 ล้านบาท คิดเป็น 52.14 %      
      โดยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 381.31 ล้านบาท ลดลง 259.62 ล้านบาท หรือ 40.51% จากไตมาส 2/49ที่มีรายได้รวม 640.92 ล้านบาท แบ่งออกเป็นรายได้จากค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 266.33 ล้านบาท รายได้จากค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 4.74 ล้านบาท รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการ 56.77 ล้านบาท กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 12.15 ล้านบาท และรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผล 37.88 ล้านบาท
     
      ส่วนค่าใช้จ่ายในไตรมาส 2 บริษัทมีค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 225.31 ล้านบาท ลดลง 83.67 ล้านบาท หรือ 27.08% จากไตรมาส 2/49 ที่มีค่าใช้จ่ายรวมจำนวน 308.98 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจำนวน 178.21 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายจากการกู้ยืม 1.36 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายจากค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย 45.75 ล้านบาท
     
      สำหรับผลงานสะสมงวด 6 เดือน บริษัทมีผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 223.04 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.04 บาท ลดลง 207.72 ล้านบาท หรือ 48.22% จากงวดเดียวกันของปี 2549 ที่ผลกำไรสุทธิ 430.76 ล้านบาท โดยบริษัทมีรายได้รวมเท่ากับ 706.87 ล้านบาท ลดลง 430.22 ล้านบาท หรือ 37.83% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,137.09 ล้านบาท
     
      โดยบริษัทมีรายได้มาจากค่านายหน้าเท่ากับ 476.34 ล้านบาท รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 7.79 ล้านบาท รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ 74.10 ล้านบาท รายได้จากผลกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ 59.31 ล้านบาท รายได้จากดอกเบี้ยและเงินปันผล 83.17 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 6.18 ล้านบาท
     
      ด้านค่าใช้จ่ายนั้นบริษัทมีค่าใช้จ่ายรวม 6 เดือนแรกของปี 2550 เท่ากับ 412.03 ล้านบาท ลดลง 155.85 ล้านบาท หรือ 27.44% จากปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายรวม 567.88 ล้านบาท แบ่งออกเป็นค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมเงินจำนวน 3.27 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่าย 90.10 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการ 318.66 ล้านบาท
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000084982
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/07/07

โพสต์ที่ 69

โพสต์

ธปท.เผยเอ็นพีแอลสถาบันการเงินไตรมาส2 เพิ่มขึ้น1.4หมื่นล.

24 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 14:52:00
ธปท.เผยเอ็นพีแอลสถาบันการเงินไตรมาส 2 มีจำนวน 2.54 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 4.41% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้น 1.4 หมื่นล้านบาทเมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปีนี้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2/50 สถาบันการเงินทั้งระบบ มียอดหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) รวมทั้งสิ้น ที่ 2.54 แสนล้านบาท หรือ 4.41% เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1/50 ที่สถาบันการเงินมี NPL รวม 2.4 แสนล้านบาท หรือ 4.18% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นราว 1.4 หมื่นล้านบาท

สำหรับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/50 เป็นการเพิ่มขึ้นมากจากธนาคารพาณิชย์ในประเทศ โดยมียอด NPL ในไตรมาส 2/50 ที่ 2.49 แสนล้านบาท หรือ 4.8% ของสินเชื่อรวม จากที่ 2.35 แสนล้านบาท หรือ 4.57% ของสินเชื่อรวม ในไตรมาส 1/50

ขณะที่สาขาธนาคารต่างประเทศ มียอด NPL ในไตรมาส 2/50 ที่ 2.88 พันล้านบาท หรือ 0.53% ของสินเชื่อรวม ซึ่งลดลงจากที่ 2.96 พันล้านบาท หรือ 0.52% ของสินเชื่อรวม ในไตรมาส 1/50
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/2 ... wsid=85823
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news25/07/07

โพสต์ที่ 70

โพสต์

อนุมัติทุนนอก กู้บาทในไทย ปิดช่องปั่นเงิน

โพสต์ทูเดย์ ยักษ์ใหญ่เก็งกำไรค้าเงินยอมศิโรราบขอกู้ในประเทศโปะบาท
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในระยะต่อไปเมื่อมีการเปิดให้ย้ายการซื้อเงินบาทในตลาดต่างประเทศ (ออฟชอร์) มาซื้อเงินบาทในตลาดในประเทศ (ออนชอร์) ได้มากขึ้นจะช่วยให้ค่าเงินใน 2 ตลาดแคบลง และค่อยหายไปในที่สุด

ขณะนี้ ธปท.ได้อนุญาตให้รายใหญ่รายหนึ่งทำได้แล้ว ในระยะต่อไปเมื่อมาตรการต่างๆ มีผลจะช่วยให้ความต้องการเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้นลดแรงกดดันเงินบาทแข็งค่าลงได้

ทั้งนี้ มีรายงานข่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศรายใหญ่ที่เป็นผู้นำด้านสินเชื่อบุคคลรายย่อยเป็น 1 ใน 2 สถาบันการเงินที่ขอย้ายการซื้อขายบาทจากออฟชอร์มาเป็นออนชอร์ นอกเหนือจากวาณิชธนกิจชื่อดังสัญชาติอเมริกัน
รายงานข้อมูลการซื้อขายเงินบาทปิดที่ระดับ 33.62-33.64 บาท/เหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากช่วงเปิดตลาด 33.69-33.71 บาท/เหรียญสหรัฐ

นายสุชาติ สักการโกศล ผู้ อำนวยการฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อ สายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า ขณะนี้ ธปท.ได้อนุญาตให้ผู้ที่มีถิ่นฐานต่างประเทศ (non-resident :NR) รายใหญ่รายหนึ่ง ในวงเงินที่สูงพอสมควรเข้ามาซื้อเงินบาทในตลาดในประเทศหรือออนชอร์ได้ เพื่อนำเงินบาทไปปิดสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศและทำประกันความเสี่ยง (hedging) ในตลาดออฟชอร์ได้ ตามมาตรการส่งเสริมให้ค่าเงินบาทของ 2 ตลาดแคบเข้าหากัน http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180789
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news25/07/07

โพสต์ที่ 71

โพสต์

คลังหนุนธปท.สั่งสำรอง
โพสต์ทูเดย์ ธปท.แจงคลังสั่งแบงก์ทหารไทยกันสำรองแคปปิตอลโอเค 50% หวั่นเป็นหนี้เอ็นพีแอล


นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า ลูกหนี้รายใหญ่ 4 ราย ประกอบด้วย บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง บริษัท คิง เพาเวอร์ บริษัท แคปปิตอล โอเค และบริษัท ชินแซทเทลไลท์ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สั่งให้ธนาคารพาณิชย์ดำเนินการจัดชั้นหนี้ด้อยคุณภาพของลูกหนี้ตามความเป็นจริง เป็นลูกหนี้ของธนาคารทหารไทย ซึ่งได้ปล่อยกู้ร่วมกับอีกหลายธนาคาร
ทั้งนี้ ธปท.ได้ส่งหนังสือแจ้งถึง การเข้าตรวจสอบหนี้ของธนาคาร ทหารไทยให้แก่กระทรวงการคลัง รับทราบ ในฐานะที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคาร โดย สคร.จะนำผลการตรวจสอบดังกล่าวเสนอนายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง ต่อไป

แหล่งข่าวจากธนาคารทหารไทยเปิดเผยว่า บริษัท แคปปิตอล โอเค ยังเป็นลูกค้าปกติของธนาคาร และมีการชำระหนี้คืนตามปกติ ซึ่งเรื่องนี้ธนาคารได้โต้แย้งไปยัง ธปท. ให้ทราบถึงสถานะของลูกหนี้แล้ว เนื่องจากธนาคารถูกสั่งให้เพิ่มเกณฑ์การกันสำรองจากระดับปกติที่จะต้องสำรอง 1% ของวงเงินสินเชื่อ เป็นระดับจัดชั้นต่ำกว่ามาตรฐานซึ่งต้องกันสำรอง 50% ของวงเงินสินเชื่อ ให้ได้ภายในสิ้นปี 2550
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นคำสั่งจาก ธปท.เพราะธนาคารก็ต้องปฏิบัติตามด้วยการกันสำรอง 50% ของวงเงินให้สินเชื่อ
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สำหรับกรณีนี้ ธปท.ได้แจ้งไปยังธนาคารเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้ให้กับบริษัท แคปปิตอล โอเค ทุกราย ทำให้ต้องปฏิบัติเหมือนกันหมด

ยืนยันว่าแบงก์ทหารไทยไม่ใช่เจ้าหนี้รายใหญ่ และลูกหนี้รายนี้ก็ชำระหนี้คืนเกือบหมด เป็นเงินหมุนเวียนธรรมดา แหล่งข่าวเปิดเผย
ทั้งนี้ บริษัท แคปปิตอล โอเค เป็นลูกหนี้ธนาคารมาประมาณ 3 ปี และไม่มีการขอกู้เพิ่ม

โดยงบการเงินสิ้นสุดวันที่ 31 ธ.ค. 2549 บริษัท แคปปิตอล โอเค มีสินเชื่อคงค้าง 1,917 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ 2,009 ล้านบาท และมีเงินฝาก 2 ล้านบาท
ด้านผู้บริหารบริษัท แคปปิตอล โอเค ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียด โดยให้เหตุผลเนื่องจากบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาหาผู้ร่วมทุน
แคปปิตอล โอเค เปิดเมื่อปี 2547 มี บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือชินคอร์ป ถือหุ้น 60% และธนาคารดีบีเอส สิงคโปร์ ถือหุ้น 40% ต่อมาปลายปี2548 กลุ่มเทมาเซก จากสิงคโปร์ เข้ามาถือหุ้นใหญ่ในชินคอร์ป แทน ตระกูลชินวัตร
ขณะที่เดือน ต.ค. 2549 ธนาคารดีบีเอส ขายหุ้นแคปปิตอล โอเค ที่ถืออยู่ทั้งหมด 24.69% ให้กับชินคอร์ป คิดเป็นเงิน 665 ล้านบาท โดยมีกระแสข่าวมาตลอดว่าเทมาเซกและชินคอร์ปก็เตรียมจะขายหุ้นออกไปเช่นเดียวกัน ส่วนหนึ่งเนื่องจากธุรกิจสินเชื่อบุคคลไม่ถือเป็นธุรกิจหลักของกลุ่มชินคอร์ป

บริษัท แคปปิตอล โอเค ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล มีลูกค้าประมาณ 7 แสนราย วงเงินปล่อยสินเชื่อ 8 พันล้านบาท
ในไตรมาสแรกปีนี้ บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนจำนวน 1,106 ล้านบาท ต่อเนื่องจากปี 2549 ที่ขาดทุนจำนวน 1,516 ล้านบาท และปี 2548 ขาดทุนจำนวน 289 ล้านบาท ทำให้ธนาคารทหารไทยได้เริ่มจับตาสินเชื่อที่ปล่อยให้แก่บริษัท
แหล่งข่าวจาก ธปท.เปิดเผยว่า กรณีที่ ธปท.สั่งให้ธนาคารพาณิชย์จัดชั้นสินเชื่อเป็นหนี้ด้อยคุณภาพในงวดสิ้นเดือน มิ.ย. จำนวน 4 บริษัท เป็นหนี้ด้อยคุณภาพ เนื่องจากเริ่มมีความน่าเป็นห่วงในเรื่องฐานะการเงินและสภาพคล่อง โดยไม่ได้เป็นคำสั่งโดยตรงของ ธปท. แต่เป็นความเห็นร่วมกันของ ธปท.และธนาคารพาณิชย์ เจ้าหนี้ ที่ต้องการจับตาหนี้เหล่านี้เป็นพิเศษ พร้อมๆ กับบริษัทอีกจำนวนหนึ่งที่เริ่มมีปัญหาเช่นกันด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=180792
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/07/07

โพสต์ที่ 72

โพสต์

นครหลวงไทยขายทิ้งหุ้นบลจ.ให้กบข.40%
โพสต์ทูเดย์ นครหลวงไทย อ้าแขนรับ กบข.เป็นพันธมิตรใหม่ ขายหุ้น บลจ.นครหลวงไทยให้ 40%


นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย กล่าวว่า คณะกรรมการธนาคารนครหลวงไทยมีมติอนุมัติให้ธนาคารจำหน่ายหุ้น 40% ที่ธนาคารถืออยู่ 100% ในบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย ให้ กับกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เข้าเป็นผู้ร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ และอนุมัติให้ธนาคารลงทุนเพิ่มใน บลจ.นครหลวงไทย จำนวน 1 ล้านหุ้น หุ้นละ 10 บาท คิดเป็นมูลค่า 10 ล้านบาท ตามโครงสร้างการถือหุ้นใหม่ ทั้งนี้ ต้องได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทยก่อน

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า การขาย หุ้นครั้งนี้จะทำให้ธนาคารถือหุ้นใน บลจ.นครหลวงไทย 60% และจะทำให้ บลจ.นครหลวงไทย มีทุนจดทะเบียนเพิ่มจาก 170 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท

สำหรับประโยชน์ที่จะได้ในการ เป็นพันธมิตรกันนั้นเห็นว่า กบข.จะช่วยเพิ่มศักยภาพทางธุรกิจ มาพร้อมกับองค์ความรู้และฐานลูกค้ากองทุน เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับ บลจ.นครหลวงไทยได้เป็นอย่างดี ขณะ ที่ธนาคารจะให้บริการแก่บริษัทใน เครือทุกแห่งของธนาคารอย่างเต็มที่ อยู่แล้ว

กลยุทธ์ของธนาคารเปลี่ยนแปลงไปแล้ว และธนาคารไม่จำเป็นต้อง ถือหุ้นบริษัทในเครือ 100% เพราะ เห็นว่าการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ กับ กบข.จะได้ประโยชน์ กบข.จะ ส่งกองทุนต่างๆ ภายใต้การบริหาร ของ กบข.มาให้ บลจ.นครหลวงไทย และ กบข.จะส่งคนมาเป็นกรรมการ ได้ตามสัดส่วนหุ้น นายชัยวัฒ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=181252
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/07/07

โพสต์ที่ 73

โพสต์

กสิกรไทยรับฝากเงินตปท.

โพสต์ทูเดย์ กสิกรไทย สวมบทเสือปืนไว ประกาศรับฝากเงินตราสกุลต่างประเทศ ให้ดอกเบี้ยฝากเหรียญสหรัฐออมทรัพย์อยู่ที่ 3.4%

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้เปิดรับฝากเงินตรา สกุลต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit) ประเภทออมทรัพย์ ให้แก่ลูกค้าบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล โดยอัตราดอกเบี้ยของเงินแต่ละสกุลจะไม่เท่ากัน เช่น หากฝากเงินเหรียญสหรัฐประเภทออมทรัพย์จะอยู่ที่ 3.4% ฝากประจำ 1 ปีอยู่ที่ 4% ขณะที่ดอกเบี้ยเงินยูโรประเภทออมทรัพย์อยู่ที่ 1.6% ฝากประจำ 1 ปี อยู่ที่ 2.7% โดยธนาคารจะรับฝากเงินต่างประเทศ 9 สกุล
ทั้งนี้ ลูกค้าที่มีรายได้จากต่างประเทศสามารถเปิดบัญชีได้ 2 แบบ คือ
แบบแรก บัญชีแสดงภาระ โดยในวันที่ฝากเงินลูกค้าต้องแสดงหลักฐานภาระหนี้เงินตราต่างประเทศที่ต้องการชำระภายใน 12 เดือนนับจากวันฝาก และฝากได้ไม่เกินจำนวนภาระหนี้ที่แสดง ซึ่งยอดเงินคงเหลือสูงสุดต่อรายบุคคลธรรมดาไม่เกิน 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า และนิติบุคคลไม่เกิน 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า
แบบที่สอง บัญชีไม่แสดงภาระในวันที่ฝากเงินลูกค้า ไม่ต้องแสดงหลักฐานภาระหนี้เงินตราต่างประเทศที่ต้องชำระในอนาคต โดยยอดเงินคงเหลือสูงสุดต่อราย ประเภทบุคคลธรรมดา ไม่เกิน 1 แสนเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า และนิติบุคคล ไม่เกิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า
สำหรับลูกค้าที่ไม่มีรายได้จากต่างประเทศ กรณีนำเงินบาทซื้อ หรือแลกเปลี่ยนเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ หรือกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินภายในประเทศไทย แล้วนำฝากสามารถเปิดบัญชีได้ 2 แบบ คือ แบบแรก บัญชีแสดงภาระ โดยในวันที่ฝากเงิน ลูกค้าต้องแสดงหลักฐานภาระหนี้เงินตราต่างประเทศที่ต้องชำระภายใน 12 เดือน นับจากวันฝาก และฝากได้ไม่เกินจำนวนภาระหนี้ที่แสดงซึ่งยอดเงินคงเหลือสูงสุดต่อราย ประเภทบุคคลธรรมดาไม่เกิน 5 แสนเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า นิติบุคคล ไม่เกิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า
แบบที่สอง บัญชีไม่แสดงภาระ ในวันที่ฝากเงิน ลูกค้าไม่ต้องแสดงหลักฐานภาระหนี้สินเงินตราต่างประเทศที่ต้องชำระในอนาคต ยอดเงินคงเหลือสูงสุดต่อรายสำหรับบัญชีประเภทนี้ บุคคลธรรมดา ไม่เกิน 5 หมื่นเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า และ นิติบุคคลไม่เกิน 2 แสนเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่า
ทั้งนี้ ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่เปิดให้บริการรับฝากเงินตราสกุลต่างประเทศอยู่แล้ว แต่เป็นที่รับรู้ในวงแคบ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้ากลุ่มผู้ส่งออก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=181255
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/07/07

โพสต์ที่ 74

โพสต์

แนะทางเลือกฝากเงินสกุลต่างประเทศ  

โดย เดลินิวส์ วัน ศุกร์ ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 11:53 น.

น.ส.นิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า มาตรการการให้บุคคลธรรมดาที่มีเงินตราต่างประเทศ มีแหล่งที่มาจากในประเทศที่ไม่มีภาระผูกพัน สามารถนำไปฝากไว้กับสถาบันการเงินในประเทศได้ ยอดคงค้างรวมไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ และสำหรับนิติบุคคล 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นช่องทางให้ผู้ฝากเงินสามารถฝากเงินสกุลอื่นกับสถาบันการเงิน เพื่อให้ได้ผลตอบแทนดีกว่าการฝากเงินบาทได้ เพราะหากเงินสกุลดังกล่าวให้ดอกเบี้ยสูงกว่าของไทย ธนาคารพาณิชย์ที่รับฝากก็ควรจะให้อัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของไทยด้วย
ถ้าฝากประจำกับธนาคารพาณิชย์ได้ดอกเบี้ยประมาณ 2% ต่ำกว่าดอกเบี้ยของเงินหลายสกุล ถ้าเราไปฝากเงินสกุลที่ดอกเบี้ยสูงกว่าของไทย กับธนาคารพาณิชย์ อาจได้ดอกเบี้ยสูงกว่า เพราะถ้าธนาคารพาณิชย์เสนออัตราดอกเบี้ย ก็ควรเสนอสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก เงินบาท คือ 2% ถ้าไม่ให้สูงกว่า ก็คงต้องเชิญมาถามว่าเป็นเพราะอะไร

ทั้งนี้เชื่อว่าธนาคารพาณิชย์ที่จะรับฝากเงินสกุลต่างประเทศ จะเสนออัตราดอกเบี้ยที่อิงกับดอกเบี้ยของค่าเงินสกุลนั้น ๆ อยู่แล้ว เพราะแต่ละแห่งต้องแข่งขันกันให้บริการ คงไม่กล้ากดราคามากนัก อย่างไรก็ตามเชื่อว่าประชาชนคงไม่แห่ไปฝากเงินสกุลต่างประเทศกันหมด เพราะคนที่ฝากเป็นผู้รับความเสี่ยง ธนาคารพาณิชย์ไม่ได้รับความเสี่ยงด้วย ดังนั้นคนที่ฝาก จะต้องมีความรู้เรื่องดี ไม่ใช่ฝากตามแฟชั่น

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ธนาคารได้เปิดให้บริการบัญชีเงินฝากเงินตราสกุลต่างประเทศ ประเภทออมทรัพย์ ให้แก่ลูกค้าบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ของ ธปท. และลดผลกระทบการแข็งค่าของเงินบาท ที่มีผลตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา.
http://news.sanook.com/economic/economic_162142.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/07/07

โพสต์ที่ 75

โพสต์

แบงก์คาดบาทสิ้นปีแข็งแตะ32บ.

โดย เดลินิวส์ วัน ศุกร์ ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 08:53 น.  
เงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้นต่อเนื่อง
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากนี้ไปจนถึงสิ้นปี มองว่ามีโอกาสสูงที่เงินบาทจะปรับตัวแข็งค่าไปแตะระดับ 32.00-32.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 2 ประการ คือ ดุลบัญชีเดินสะพัดยังเกินดุลอย่าง ต่อเนื่อง และสิ้นปีนี้อาจจะเกินดุลถึง 12,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากที่การส่งออกยังขยายได้ดีอยู่ เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าขยายตัวในระดับสูง และเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะราคาหุ้นไทยยังต่ำ เมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคซึ่งเฉลี่ยเกินกว่า 15 เท่า พร้อมทั้งคาดว่าค่าพีอีไทยปีนี้อยู่ที่ 12.45 เท่า และจะลดลงเป็น 11.82 เท่าในปี 51

ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทยังส่งผลให้ระดับทุนสำรองระหว่างประเทศเร่งตัวขึ้น โดยทุนสำรองฯ ที่เพิ่มขึ้นทุก 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น 0.19 บาท ปัจจุบันระดับทุนสำรองฯ อยู่ที่ 84,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเพิ่มขึ้นเป็น 93,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในสิ้นปีนี้

นอกจากนี้ เห็นว่าธนาคารแห่งประเทศ ไทย น่าจะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย (อาร์พี) ได้อีก 0.25% ในปีนี้ และจะยืนที่ระดับ 3.% ไปจนถึงสิ้นปี จากปัจจุบันที่ 3.25% เนื่องจากถ้าลดลงมาก จะทำให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยในและต่างประเทศกว้างมากขึ้น ซึ่งจะมีปัญหาตามมาในอนาคต หาก ธปท. ยกเลิกมาตรการกันสำรองเงินทุนระยะสั้น 30% เงินทุนก็จะไหลออก และเงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่าอย่างรุนแรง ขณะที่ภาวะเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นและเศรษฐกิจก็จะตกต่ำ ซึ่งการแก้ไขจะยากลำบากมากขึ้น

ส่วนการอนุญาตให้เปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ ไม่น่าจะได้รับความนิยมมากนัก เนื่องจากธุรกิจต้องใช้เงินหมุนเวียน แต่ควรหามาตรการที่ทำให้ผู้ส่งออกไม่เร่งขายดอลลาร์ เพื่อช่วยชะลอการแข็งค่าของเงินบาทที่แข็งค่าวันละ 0.20-0.30 บาท แต่ตราบใดที่ไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินไหลเข้าบาทก็จะยังแข็งค่าต่อไป สำหรับมาตรการการเก็บภาษีเงินทุนไหลเข้านั้น เห็นว่าไม่จำเป็น แต่ควรจะทำนโยบายกลับด้าน มากกว่า คือให้สิทธิคนไทยด้านภาษีไปลงทุนต่างประเทศ เช่น ขยายโรงงานจะดีกว่า.
http://news.sanook.com/economic/economic_162035.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/07/07

โพสต์ที่ 76

โพสต์

ธปท.-คลังลุย ดูดสภาพคล่อง กู้สั้น5แสนล้าน
โพสต์ทูเดย์ ธปท.-คลัง แห่ดูดสภาพคล่องกว่า 5 แสนล้านบาท


รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้ดำเนินการออกพันธบัตร ธปท.ประจำเดือน ก.ค.-ส.ค. 2550 สูงถึง 15 งวด คิดเป็นเงินถึง 4.54 แสนล้านบาท โดยพันธบัตรส่วนใหญ่มีระยะสั้นประมาณ 7-14 วัน โดยมีเพียง 3 รุ่นเท่านั้นที่เป็นพันธบัตรระยะยาว 364 วัน
การออกพันธบัตรระยะสั้นจำนวนมากดังกล่าว สะท้อนถึงการเข้าไปดูดซับสภาพคล่องในระบบที่มีมาก โดยเฉพาะในช่วงที่เงินทุนจากต่างประเทศไหลทะลักเข้า และ ธปท.ต้องใช้เงินจำนวนมากเข้าไปแทรกแซงเพื่อพยุงค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่าเร็วจนเกินไป รวมถึงเข้าไปแทรกแซงในตลาดล่วงหน้า

ทั้งนี้ ยอดเงินกู้ระยะสั้นในเดือน ก.ค. มีเกือบ 4 แสนล้านบาท และเดือน ส.ค. ประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท

นายสันติ กีระนันทน์ ผู้จัดการตลาดตราสารหนี้ (Bond Electronic Exchange หรือ BEX) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้รับตั๋วเงินคลัง 15 งวด งวดละ 4 พันล้านบาท มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท เข้าซื้อขายใน BEX ระหว่างวันที่ 31 ก.ค.-27 ส.ค. นี้

การเข้าจดทะเบียนของตราสารหนี้ภาครัฐครั้งนี้ ทำให้มูลค่าตราสารหนี้ที่ออกโดยภาครัฐที่จดทะเบียนใน BEX เพิ่มขึ้นเป็น 3.183 ล้านล้านบาท หรือ 90.02% ส่งผลให้มูลค่าคงค้างรวม 3.53 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อรวมมูลค่าของพันธบัตร ธปท. และตั๋วเงินคลังที่ออกมาในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. แล้วรวมสิ้น 5.14 แสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=181505
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/07/07

โพสต์ที่ 77

โพสต์

เตือนดูแลบาทดอลล์อ่อน2ปี จี้เอกชนปรับตัว
โพสต์ทูเดย์ นักวิชาการแนะออกมาตรการดูแลเงินบาทเพิ่มเติม ขณะที่เอกชนชี้เงินสหรัฐอ่อนค่าอีก 2 ปี


นายสมชาย ภคภาสวิวัฒน์ อาจารย์พิเศษคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนา เจาะลึกวิกฤตเศรษฐกิจ หุ้นไทยในภาวะค่าเงินบาทแข็ง ว่า เงินบาทที่แข็งขึ้นมาจากปัจจัยทั้งภายในและนอกประเทศ ที่สำคัญเป็นความจงใจของสหรัฐที่ต้องการให้เงินอ่อนค่าลง เพื่อแก้ปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ดังนั้น ผู้ประกอบการของไทยจะต้องรับมือแนวโน้มการอ่อนตัวของค่าเงินสหรัฐ ที่สำคัญควรดูแลค่าเงินบาททั้งในและต่างประเทศให้ใกล้กันที่สุด

ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่เช่นนั้นพิษเงินบาทแข็งค่าจะค่อยกัดเซาะปัญหาเศรษฐกิจและนำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจรอบ 2 เหมือนฝรั่งเศส ตอนนี้มาตรการดูแลค่าเงินบาทของรัฐบาลควรมีการปรับปรุงเพิ่มเติม แม้จะมาถูกทางแล้ว เพื่อให้เกิดความคล่องตัว

ด้านนายธนิต โสรัตน์ รองเลขาธิการสายงานเศรษฐกิจ ส.อ.ท. กล่าวว่า 6 มาตรการแก้ไขปัญหาเงินบาทของรัฐบาลถือว่าสอดคล้องข้อเสนอภาคเอกชน แต่ควรผ่อนผันการถือครองเงินตราต่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มปริมาณผู้ถือเงินเหรียญสหรัฐในประเทศมากขึ้น ทำให้กองทุนต่างชาติมีความลำบากในการเข้ามาเก็งกำไรและโจมตีค่าเงินบาท เนื่องจากต้องเล่นกับคนกลุ่มใหญ่

ขณะนี้กองทุนต่างชาติรู้ว่าต่อสู้เงินบาทกับ ธปท.เพียงผู้เดียว จึงรู้ที่มาที่ไปของ ธปท.

นายธนิต กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐ เงินเหรียญสหรัฐยังมีโอกาสอ่อนลงอย่างต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า แต่การส่งออกยังจะขยายตัวได้ถึง 18% และยังไม่มีสัญญาณบ่งบอกว่าการขยายตัวของการส่งออกจะลดลงมากนัก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=181549
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/07/07

โพสต์ที่ 78

โพสต์

ศก.พ่นพิษ-กฎเหล็กสำรองหนี้ดันNPLพุ่งกำไรหด

พิษเศรษฐกิจชะลอ ดันเอ็นพีแอล Q 2 ขยับต่อ แบงก์อ่วมสำรองหนี้เสียตามเกณฑ์ IAS 39 พุ่ง กรุงไทยคาดต้องตั้งสำรองพิเศษเพิ่มอีก ด้านทหารไทยอาการหนักไตรมาสเดียวขาดทุนกว่า 6 พันล้าน จีอีหืดขึ้นคอ กรุงศรีฯสำรองทีเดียว 1 หมื่นล้าน ฉุดครึ่งปีแรกขาดทุน 7.6 พันล้าน ชี้การกันสำรองในครั้งนี้คาดว่าจะรองรับได้ถึงสิ้นปี

จากรายงานผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2/2550 พบว่าเกือบทุกแห่งมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก ทั้งในส่วนที่เป็น NPL ก่อนหักสำรอง (NPL gross) และ NPL สุทธิ (net NPL) มีเพียงธนาคารกสิกรไทยเท่านั้นที่มียอด NPL ทั้ง 2 ประเภทลดลง (ดูตารางประกอบ) ทั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากการใช้มาตรฐานบัญชีใหม่ IAS 39 ได้ส่งผลให้ธนาคารที่มี NPL ต้องตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มขึ้นเป็นส่วนใหญ่
นางเจนิส แวด เอ็กเคอเรน ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า NPL ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ เป็นผลจากการจัดชั้นหนี้ใหม่ เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน IAS 39 ทำให้ธนาคารมี NPL เพิ่มขึ้นมาอีก 1.43 หมื่นล้านบาท ขณะนี้ธนาคารได้มีการตั้งสำรองหนี้ครบถ้วนแล้ว คาดว่าธนาคารคงจะไม่ต้องตั้งสำรองหนี้เป็นจำนวนมากอีกต่อไปจนถึงสิ้นปี หลังจากนี้ต่อไปธนาคารจะต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหา NPL เพิ่มมากขึ้น โดยอาศัยทีมงานที่มีประสบการณ์จากกลุ่มจีอีเข้ามาช่วยเหลือ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้จะต้องลดสัดส่วน NPL ให้อยู่ในระดับที่เท่ากับหรือต่ำกว่าปีก่อน จาก NPL ที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ ทำให้ธนาคารต้องกันสำรองหนี้เพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านบาท และส่งผลให้ธนาคารมีผลขาดทุน 7,600 ล้านบาท

นายตัน คอง คูน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า ในจำนวน NPL ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ 1.43 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นภาคอุตฯการผลิต ส่วนลูกค้าที่เป็นผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทมีเพียง 20% ของพอร์ตสินเชื่อรวมเท่านั้น ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ แต่ก็ให้เจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลใกล้ชิดขึ้น จากเดิมที่มีการพบปะลูกค้าเดือนละครั้งได้เพิ่มเป็นสัปดาห์ละครั้ง ทั้งนี้รวมไปถึง SMEs ที่อยู่ในสายการผลิต (supply chain) ของผู้ส่งออกด้วย แต่อย่างไรก็ตามธนาคารยังไม่มีนโยบายที่จะลดการให้สินเชื่อกับลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะในการอนุมัติสินเชื่อต้องพิจารณาความสามารถของลูกค้าเป็นรายกรณี

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า จากการที่ธนาคารพาณิชย์มีหนี้เสียเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 คงจะตอบได้ยากว่าเป็นระดับที่สูงที่สุดแล้วหรือยัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาพรวมของเศรษฐกิจด้วย ซึ่งปกติ NPL จะเพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของสินเชื่อ และที่ผ่านมาธนาคารจะมีทีมงานที่คอยดูแลลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะลูกค้า SMEs ที่มีสัดส่วนถึง 40% ของสินเชื่อรวม อย่างกรณีของบริษัทไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต ก็เป็นลูกหนี้ของธนาคารด้วยเช่นกัน ทางธนาคารพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือลูกหนี้ในการวางแผนปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจ

จากการรวบรวมข้อมูลการสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2/2550 ที่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ พบว่าธนาคารกรุงเทพมี NPL ก่อนหักสำรองทั้งสิ้น 90,333 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 9.1% ของสินเชื่อรวม ทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่มเติมอีก 1,427 ล้านบาท รวมแล้วยอดสำรองหนี้สะสมอยู่ที่ 71,108 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 78.7% ของสินเชื่อด้อยคุณภาพ

ส่วนธนาคารกรุงไทย พบว่าในไตรมาสนี้มีสัดส่วน NPL อยู่ที่ 10.17% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 1 เล็กน้อย สาเหตุเกิดจากการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งที่ประสบปัญหาในการทำธุรกิจจนกลายเป็น NPL และอีกส่วนหนึ่งเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้ลูกหนี้ที่ผ่านการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วกลับมาเป็น NPL อีก ทำให้ธนาคารมีค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญเพิ่มจากปกติ 6,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมีการตั้งสำรองพิเศษเพิ่มขึ้นอีกตาม IAS 39 ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ธนาคารมีกำไรสุทธิเหลือเพียง 527.85 ล้านบาท

ด้านธนาคารไทยพาณิชย์มียอด NPL ก่อนหักสำรองหนี้มีอยู่ 56,996 ล้านบาท ทำให้ไตรมาสนี้ธนาคารมีภาระที่จะต้องตั้งสำรองหนี้อีก 47,904 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามนโยบายของธนาคารและมีบางส่วนมีการตัดหนี้สูญออกไป

ส่วนธนาคารทหารไทย พบว่าในไตรมาสนี้ธนาคารและบริษัทย่อยได้มีการตั้งสำรองหนี้เพิ่มและมีบางส่วนขาดทุนจากการปรับโครงสร้างหนี้รวมแล้วประมาณ 6,984 ล้านบาท ทำให้ธนาคารต้องตั้งสำรองหนี้เพิ่ม เพื่อรองรับการปรับชั้นสินเชื่อจากสินเชื่อปกติเป็นสินเชื่อที่ด้อยคุณภาพเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 11,000 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสนี้มีผลขาดทุนทั้งสิ้น 6,129.40 ล้านบาท
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/07/07

โพสต์ที่ 79

โพสต์

เช็กสุขภาพแบงก์ข้ามชอตปีหน้า "ธนาคารใหญ่พ้นบ่วง"

ผ่านไปแล้วสำหรับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2550 ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งส่วนใหญ่ผลการดำเนินงานดีเกินคาด แต่หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ลองมาฟังความคิดเห็นของนักวิเคราะห์จากสำนักต่างๆ

เคจีไอมอง ศก.ฟื้น "บัวหลวง" โต

โดย นายวรวัฒน์ สายสุพัฒน์ผล นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ วิเคราะห์ตัวธนาคารกรุงเทพว่า กำไรสุทธิไตรมาส 2 ที่เกิดขึ้น 5.3 พันล้านบาท หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า หรือ QoQ เพิ่มขึ้น 15.3% เป็นผลจากกำไรจากการขายส่วนลงทุนและตราสารหนี้ที่สูงเกินคาด ขณะสินเชื่อขยายตัวดีเพิ่มขึ้น 2.6% ฉะนั้นหากปี 2551 เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น ธนาคารกรุงเทพจะเป็นหนึ่งในธนาคารที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจากการฟื้นตัวของความต้องการสินเชื่อ และแม้ว่าธนาคารจะเพิ่งปรับดอกเบี้ยเงินกู้ครั้งล่าสุดไป 0.125% แต่ดอกเบี้ยฝากประจำลดลง ส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ครึ่งปีหลังจึงยังดีขึ้นต่อเนื่อง นอกจากนี้ ธนาคารมีกันชนที่ดีจากผลกำไรจากการลงทุนในปีนี้ที่ต้องลดส่วนการลงทุนในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักให้เหลือน้อยกว่า 10% ตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย

บล.กรุงศรีฯแนะซื้อ SCB เมื่อราคาอ่อนตัว

ด้าน บล.กรุงศรีอยุธยา มองธนาคารไทยพาณิชย์ที่ไตรมาส 2 มีกำไรสุทธิ 4.3 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการบริหารต้นทุนดอกเบี้ย และการขยายฐานรายได้ทั้งปล่อยสินเชื่อและขายข้ามผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้มีรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิ QoQ เพิ่ม 5% และรายได้มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่ม 6% โดยสินเชื่อ SMEs และเช่าซื้อ ที่ให้ผลตอบแทนดียังขยายตัวต่อเนื่อง 8.5% และ 7.0% ตามลำดับ ขณะฐานเงินฝากลดลง 3.2% ทำให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝาก (L/D ratio) ปรับเพิ่มเป็น 100% อย่างไรก็ตาม ธนาคารเน้นบริหารสภาพคล่องด้วยการออกหุ้นกู้ระยะสั้น พร้อมลดดอกเบี้ย ประกอบกับการครบกำหนดของเงินฝากพิเศษดอกเบี้ยสูง จึงหนุนให้ NIM ปรับเพิ่ม 0.07% เป็น 3.49%

"จากนโยบายเชิงรุกขยายสินเชื่อต่อเนื่อง และเร่งสำรองหนี้ตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชี IAS 39 ที่เข้มงวด ทำให้แนวโน้มค่าใช้จ่ายกันสำรองหนี้ปี 2550 เข้าสู่ระดับปกติ เหลือ 4.5 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันที่ 84.50 บาท สะท้อนความสามารถในการแข่งขันมากกว่าหุ้นตัวอื่น และมีข้อได้เปรียบคู่แข่งเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว จึงแนะนำซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว" นักวิเคราะห์ บล.กรุงศรีอยุธยาระบุ

กิมเอ็งชี้ "กสิกรไทย" ครึ่งปีหลังสดใส

ด้าน นางสาวสุกัญญา อุดมวรนันท์ นักวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง มองกำไรสุทธิของธนาคารกสิกรไทยที่ 4,088 ล้านบาท หรือ QoQ เพิ่มขึ้น 5.4% เป็นผลจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย เพิ่มขึ้น 13% ซึ่งรับรู้กำไรจากตราสารหนี้และการขายหุ้น บริษัท ภัทร เรียลเอสเตท 109 ล้านบาท ขณะรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 14% และผลจาก NIM ที่ทรงตัว 4.04% เพิ่มจากไตรมาสแรกที่ 3.98%

"ปัจจัยบวกด้านเศรษฐกิจและการเมือง ประกอบกับผลของฤดูกาลที่ปกติแล้วสินเชื่อจะขยายตัวดีในช่วงครึ่งปีหลัง ส่งผลให้แนวโน้มสินเชื่อครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งแรก และส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิมีแนวโน้มดีขึ้นเช่นกัน เนื่องจากการทยอยรับรู้ต้นทุนการเงินที่ลดลง และหากสัดส่วนต้นทุนต่อรายได้ต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ข้างต้นจริง จะทำให้มี upside จากประมาณการเดิมของเรา และ ต้องปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2550 เพิ่มขึ้นภายหลัง"

NPL กดดัน "ทหารไทย" กันสำรองสูง

ส่วนธนาคารทหารไทย นางสาวสุกัญญากล่าวว่า ผลขาดทุนสุทธิ 6.13 พันล้านบาท มีสาเหตุจากการกันสำรองตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีใหม่ 7 พันล้านบาท ซึ่งจากภาระการกันสำรองสูงในไตรมาส 2 จะส่งผลต่อเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (CAR) ลดลงจาก 10.6% ในไตรมาสแรก เหลือ 9% ในไตรมาส 2 และหาก NPL มีแนวโน้มสูงขึ้นอีก จะทำให้ทหารไทยต้องกันสำรองสูงขึ้นกว่าที่ประมาณการไว้ที่ 1 หมื่นล้านบาท ทำให้ CAR ลดลงเหลือ 8-9% ซึ่งเป็นระดับที่น่ากังวลมาก และการล่าช้าของแผนเพิ่มทุนยังสร้างข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจ เพราะสัดส่วนเงินกองทุนที่ต่ำ ทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ กระทบโดยตรงต่อผลประกอบการ และมีโอกาสที่จะถูกลดประมาณการผลประกอบการปี 2550-2551

IAS39 ยังกดดันกำไรนครหลวงไทย

ด้านธนาคารนครหลวงไทย นางสาวสุกัญญามองว่า ไตรมาส 2 ที่กำไรสุทธิ 354 ล้านบาท หากเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน ถือว่าลดลง 52% สาเหตุหลักมาจากการกันสำรองตามเกณฑ์ IAS 39 ที่สูงถึง 1.2 พันล้านบาท รวมถึงการจัดชั้นหนี้เชิงคุณภาพ และถึงแม้ว่าจะมีการปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ NPL ไตรมาส 2 ลดลง 8 พันล้านบาทแล้ว แต่แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของ NPL ในระยะต่อไปยังเป็นประเด็นที่น่ากังวล ซึ่งคาดว่าปี 2550 จะมีตัวเลขกันสำรองทั้งสิ้น 4 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกสำรองไปแล้ว 2.9 พันล้านบาท ส่วนปี 2551 คาดว่าจะต้องกันสำรองอีก 1.5 พันล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิมมองไว้แค่ 1 พันล้านบาท ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิในปี 2550 ลดลง 25% และปี 2551 ลดลง 9%

แนะนำลงทุน "กรุงไทย-กรุงศรีฯ"

ฟากธนาคารกรุงไทย นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย มองว่า การที่ NPL ไตรมาส 2 ของกรุงไทยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 10.17% และสร้างภาระกันสำรองกว่า 7 พันล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับสัดส่วนสินทรัพย์ของธนาคารแล้วถือว่าไม่ได้อยู่ในระดับที่น่ากังวล ในส่วนการปล่อยสินเชื่อก็ต้องยอมรับว่ากรุงไทยมีสัดส่วนสินเชื่อภาครัฐจำนวนมาก ซึ่งอาจมีความล่าช้าในเรื่องการเบิกใช้

"การกันสำรองมากได้ลดความน่าสนใจในการลงทุนของกรุงไทยไป แต่หากวิเคราะห์ถึงการดำเนินงานโดยรวมที่ดีขึ้น สัดส่วนดอกเบี้ยรับดีขึ้น แม้ NIM ไตรมาสนี้จะเท่ากับไตรมาสแรกที่ 3.7% แต่ไตรมาส 2 ไม่มีปันผลวายุภักษ์ จึงแสดงถึงแนวโน้มที่ดีขึ้น"

นายกวีวิเคราะห์ต่อว่า ครึ่งปีหลังกรุงไทยยังมีปัจจัยบวกจากปันผลกองทุนวายุภักษ์เข้ามาช่วยอีก ขณะที่ภาระกันสำรองก้อนใหญ่ได้หมดไปในครึ่งปีแรก ประกอบกับเศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัวในครึ่งหลัง จึงเป็นปัจจัยบวกต่อกรุงไทยทั้งแง่รายได้ดอกเบี้ยรับที่ดี และกำไรสุทธิที่ดีกว่าครึ่งปีแรก จึงเป็นหุ้นที่ยังซื้อลงทุนได้

สำหรับธนาคารกรุงศรีอยุธยา นายกวีแนะนำให้ซื้อลงทุนเช่นกัน โดยให้น้ำหนักการลงทุนมากกว่ากรุงไทย แม้ครึ่งปีแรกจะขาดทุนสุทธิ 7.6 พันล้านบาท แต่เนื่องมาจากนโยบายเชิงรุกของจีอีที่ต้องการให้ธนาคารมีความชัดเจนว่าไม่ต้องมีภาระกันสำรองหนี้เพิ่มอีกแล้ว โดยไตรมาส 2 ได้สำรองไปถึง 1 หมื่นล้านบาท นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จึงมองเป็นการเคลื่อนไหวในแง่บวก ผลที่จะตามมาชัดเจนคือการเพิ่มขึ้นอย่างมากของกำไรในปี 2551

"ปัจจัยบวกที่จะมีต่อแบงก์กรุงศรีฯค่อนข้างคล้ายกับกรุงไทย คือ ภาระหนักได้หมดไปแล้วในครึ่งปีแรก และครึ่งปีหลังจะดีขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจมีการลงทุนมาก ประเด็นสำคัญขึ้นอยู่กับการเมืองและราคาน้ำมันที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นของเอกชนและผู้บริโภค" นาย กวีกล่าว
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news30/07/07

โพสต์ที่ 80

โพสต์

แบงก์เมินช่วยผู้ส่งออกคาดบาทแข็งต่อ  

โดย เดลินิวส์
วัน จันทร์ ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 02:48 น.

นายสุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลให้ผู้ประกอบการส่งออกได้รับผลกระทบอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในส่วนลูกค้าของธนาคารเองก็ได้แนะนำให้ลูกค้าป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น แต่สิ่งสำคัญที่ลูกค้าต้องการคือ ต้องการความชัดเจนจากทางการ ว่าค่าเงินบาทจะอยู่ในระดับใด เพื่อจะได้เตรียมตัว หรือปรับตัวได้ทัน ซึ่งที่ผ่านมานั้นทางการไม่ได้ส่งสัญญาณเพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมตัวและตั้งรับกับสถานการณ์ดังกล่าวได้อย่างทันท่วงทีแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี ระยะสั้นนั้น ธนาคารก็ได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจส่งออก ซึ่งมีสัดส่วนถึง 8-10% หรือคิดเป็นมูลค่า 40,000 ล้านบาทเศษ ของสัดส่วนสินเชื่อโดยรวมทั้งหมดที่มีกว่า 500,000 ล้านบาท และอีกส่วนหนึ่งคือกลุ่มอุตสาหกรรมโดยรวมอีก 32% ซึ่งธนาคารแนะนำลูกค้าให้ซื้ออัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (ฟอร์เวิร์ด) แต่ก็เป็นการป้องกันได้ระดับหนึ่ง และธนาคารเองก็ช่วยได้เพียงส่วนเดียวเท่านั้น โดยในส่วนตัวของนักธุรกิจเองก็ต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะปรับปรุงกระบวนการผลิต ใช้พลังงานอย่างประหยัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องคำนึงถึงอยู่แล้ว

สำหรับมาตรการต่าง ๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมา เพื่อช่วยดูแลค่าเงินบาทนั้น มองว่าเป็นมาตรการที่ดี แต่ทั้งนี้เห็นว่าก็ยังขาดความมั่นใจอยู่บ้าง เนื่องจากมองว่าธปท.จะต้านทานการแข็งค่าของเงินบาทได้นานเท่าไร และโดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่าเงินบาทยังมีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นไปอีก

ในช่วงครึ่งปีหลังนี้การบริโภคอาจจะยังไม่ดีขึ้น เพราะภาครัฐก็ยังไม่ได้ใส่เงินเข้ามาเต็มที่ โครงการเมกะโปรเจคท์ต่าง ๆ น่าจะเกิดขึ้นในช่วงปีหน้า ซึ่งเชื่อว่ากว่าความเชื่อมั่นจะกลับคืนมาเต็มที่ ก็คงเป็นช่วงหลังการเลือกตั้งมีรัฐบาลใหม่แล้วเพราะจะมีนโยบายออกมา ถึงเวลานั้นเงินบาทก็จะดีดกลับมาอ่อนค่าลง.
http://news.sanook.com/economic/economic_162845.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news30/07/07

โพสต์ที่ 81

โพสต์

ธปท.วิตกหนี้เสียรง.น้ำตาล +แบงก์รับลูกเร่งปรับโครงสร้างลูกหนี้/บัวหลวงเจรจา 2 กลุ่มบ้านโป่ง-เริ่มอุดมมูลหนี้กว่าหมื่นล้าน  
ธปท.ห่วงคุณภาพลูกหนี้กลุ่มน้ำตาล แบงก์เร่งเจรจาปรับโครงสร้างลูกหนี้โรงงานน้ำตาลและธุรกิจส่งออกพร้อมกันสำรองป้องความเสี่ยง แบงก์กรุงเทพเจรจา 2กลุ่มโรงงานน้ำตาลทั้งกลุ่มบ้านโป่งและโรงงานน้ำตาลเริ่มอุดมมูลหนี้รวมกว่าหมื่นล้าน คาดเสร็จปลายปีนี้ ขณะที่ค่ายกสิกรไทยประเมินไม่มีปัญหาหนี้โรงงานน้ำตาลเพิ่ม ส่วนนครหลวงไทยให้ทีมบริหารชุดเก่ารื้อหนี้วังขนาย

ต่อกรณีสถานการณ์ราคาน้ำมันโลกที่ตกต่ำต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงงานน้ำตาล และแผนชำระหนี้เงินกู้ที่โรงงานต้องชำระให้สถาบันการเงิน ประกอบกับก่อนหน้านี้ คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย(กอน.) ได้ร่วมหารือกับธนาคารพาณิชย์ 6 แห่ง เพื่อพิจารณาถึงแนวทางการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกหนี้ในกลุ่มอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายอย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย เคยแสดงความเป็นห่วงสถานะลูกหนี้โรงงานน้ำตาลในปัจจุบัน

ต่อกรณีดังกล่าว นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน)เปิดเผยว่า จากการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เข้าตรวจสอบคุณภาพสินเชื่อของธนาคารกรุงเทพมาตั้งแต่สิ้นปี 2549 ทราบว่าทางธปท.มีความเป็นห่วงในเรื่องของหนี้โรงงานน้ำตาลซึ่งเป็นปัญหาหนี้ที่ร่วมกันแก้ไขมาเป็นเวลานานแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารได้ติดตามดูแลและแก้ไขปัญหาหนี้ในกลุ่มดังกล่าวอย่างใกล้ชิด ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหาเพิ่มเติมมากกว่าที่เป็นอยู่

นายสุวรรณ แทนสถิตย์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันธนาคารอยู่ระหว่างฟื้นฟูกิจการหนี้กลุ่มโรงงานน้ำตาล 2กลุ่มคือ กลุ่มบ้านโป่งซึ่งมีโรงงานน้ำตาลนครเพชรรวมอยู่ด้วยเป็นมูลหนี้ 6,000ล้านบาท คาดว่าจะฟื้นฟูกิจการแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2550 ส่วนปี 2551 จะมีอีก 1กลุ่มคือ โรงงานน้ำตาลเริ่มอุดม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นคำร้องเพื่อขอฟื้นฟูกิจการมูลหนี้ 6,000ล้านบาท

ธนาคารพยายามที่จะให้ความช่วยเหลือลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง เช่น การอนุมัติวงเงินหมุนเวียนหรือยืดระยะเวลาในการชำระหนี้

นอกจากนี้ ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ธนาคารยังเป็นห่วงว่าลูกค้ากลุ่มผู้ส่งออก เช่น กลุ่มอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่เริ่มส่งสัญญาณมีปัญหาการผ่อนชำระหนี้บ้าง ทำให้ธนาคารพยายามดูแบลูกค้าใกล้ชิดเพื่อช่วยกันแก้ไขปัญหาก่อนจะกลายเป็นหนี้เอ็นพีแอล ขณะเดียวกันธนาคารได้กันสำรองหนี้ครบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)กำหนด
นายอติภัฒน์ อัศวจินดา ผู้บริหารฝ่ายบริหารคุณภาพสินทรัพย์ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างหนี้โรงงานน้ำตาล 2กลุ่มคือ กลุ่มไทยเอกลักษณ์ และกลุ่มนครเพชรมูลหนี้รวม 2,000ล้านบาทเศษ ซึ่งโดยรวมธนาคารมีสินเชื่อกลุ่มโรงงานน้ำตาลอยู่ 3โรง โดยหนี้อีกกลุ่มหนึ่งนั้นไม่ได้เป็นหนี้ที่มีปัญหาแต่อย่างใด

สำหรับ 2กลุ่มโรงงานน้ำตาลที่อยู่ระหว่างปรับโครงสร้างนั้น ธนาคารเน้นให้วงเงินหมุนเวียนช่วยธุรกิจลูกหนี้ให้เดินต่อไปได้ เพราะปัจจุบันนอกจากปัญหาในเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่าแล้ว การคาดการว่าแนวโน้มของราคาน้ำตาลตลาดโลกจะตกต่ำทำให้กลุ่มโรงงานน้ำตาลกังวลกับรายได้ที่อาจจะต่ำกว่าประมาณการขั้นต้น แต่ในความเป็นจริงปริมาณอ้อยและน้ำตาลทุกโรงมีผลผลิตและคุณภาพดีขึ้นทำให้มีรายได้ที่ดี เชื่อว่าส่วนนี้จะชดเชยปัญหาได้บางส่วน

ก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวจากธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับกลุ่มบริษัทมหาวัง (กลุ่มวังขนาย) ซึ่งมีมูลหนี้อยู่กับธนาคารเกือบ 4,000 ล้านบาท หลังจากที่ธนาคารรับซื้อหนี้ดังกล่าวในราคาส่วนลดที่ 3,800 ล้านบาทมาจากธนาคารทหารไทย เมื่อปลายปี 2547 โดยมีทีมผู้บริหารชุดเก่าของธนาคารที่ทราบข้อมูลเกี่ยวกับหนี้ในกลุ่มนี้ช่วยดูแลอยู่ ขณะที่ปัจจุบันลูกหนี้กลุ่มโรงงานน้ำตาลที่เป็นหนี้กับธนาคารมีอยู่ประมาณ 6-7 โรง แต่อยู่ใน 2-3 กลุ่ม
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์รายหนึ่ง กล่าวว่า ปัญหาหนี้ของกลุ่มโรงงานน้ำตาลนั้น ที่ผ่านมาเกี่ยวเนื่องกับผลผลิตที่มีคุณภาพและปริมาณต่ำ แต่ปีที่ผ่านมาทั้งปริมาณและคุณภาพดีทุกโรงตามที่ธนาคารกสิกรไทยให้ข้อมูล ยกเว้น กลุ่มวังขนายที่ยังตกลงกับเจ้าหนี้ไม่ได้ นอกจากนี้สิ่งที่ธนาคารพาณิชย์กังวลก็เป็นเพียงการคาดการณ์เหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้น โดยธนาคารเกรงว่าราคาอ้อยขั้นสุดท้ายจะต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้น โดยปกติเดือนตุลาคมของทุกปี คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (กอน.) จะสรุปราคาอ้อยขั้นสุดท้ายแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง(ครม.) ทั้งนี้หากราคาอ้อยขั้นสุดท้ายต่ำกว่าราคาอ้อยขั้นต้น ซึ่งก่อนหน้าทางกอน.กำหนดไว้ที่ราคา 800บาท/ตัน เท่ากับส่วนต่างนั้นต้องจ่ายคืนโรงงานที่ได้มีการจ่ายเงินค่าอ้อยขั้นต้นไปก่อนหน้าแล้ว

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่าธปท.มีหนังสือให้สถาบันการเงินทุกแห่งควรมีการจัดชั้นสินเชื่อเข้มงวดขึ้น แม้สินเชื่อจะยังคงชำระดอกเบี้ยให้ธนาคารต่อเนื่อง โดยประกอบด้วย 4กลุ่มธุรกิจคือ 1.กลุ่มบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด และบริษัทใ นเครือชื่อ บริษัท เพรซิเดนท์ เกรน ไซโล จำกัดดำเนินธุรกิจอบข้าวเปลือกและไซโล 2.กลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัดโดยมีบริษัทในเครือคือ บริษัท คิง เพาเวอร์สุวรรณภูมิ จำกัด บริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บริษัท คิง เพาเวอร์ แท๊กซ์ฟรีและบริษัทคิง เพาเวอร์ 3.กลุ่มบริษัท แคปปิตอลโอเค จำกัดธุรกิจบริการสินเชื่อบุคคลถือหุ้นโดย ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)อยู่ระหว่างการขายกิจการและ4.กลุ่มบริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด(มหาชน)ธุรกิจดาวเทียมสื่อสารและให้ใช้วงจรดาวเทียม-โทรคมนาคม http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2238
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news30/07/07

โพสต์ที่ 82

โพสต์

แบงก์แจงเหตุลงดบ.กู้แค่0.125% +อ้างรักษาส่วนต่าง ออกแคมเปญฝากประจำพิเศษเพื่อบริหารต้นทุนเงินฝาก  
แบงก์ใหญ่แจงที่มาของการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงแค่ 0.125 -0.15% อ้างรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย แจงช่วงอาร์พีขาขึ้นแบงก์ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ไม่เท่าดอกเบี้ยเงินฝาก ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยกู้ต่ำสุดขึ้นกับอาร์พี ล่าสุดหันออกเงินฝากประจำพิเศษจับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ธนชาตเผยหลังออกแคมเปญเงินฝากประจำ 9 เดือน 15 เดือน เงินไหลเข้า 1 หมื่นล้านบาทแล้ว จากเป้าหมาย 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่กสิกรไทยเปิดรับฝากประจำ 4 เดือน ดอกเบี้ย 2.55% ระดม 2 หมื่นล้าน

ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2550 เป็นต้นมา อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน) จะปรับลดลงแล้วถึง 1.75% แต่สถาบันการเงินกลับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเพียง 0.50-0.65 %
เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่ลดจาก 7.50-7.75% ตอนต้นปี มาอยู่ที่ 6.85-7.25 % ในขณะนี้ ขณะที่ล่าสุด ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ซึ่งนำโดยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ประกาศลงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท 0.125% ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ที่ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.15% มีผลตั้งแต่

23 ก.ค. ทำให้อัตราดอกเบี้ย MLRของธนาคารกสิกรไทยอยู่ในระดับต่ำที่สุดในระบบขณะนี้ที่ 6.85 % MOR อยู่ที่ 7.10% และ MRR อยู่ที่ 7.35 %

การปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.125% หรือ 0.15% ซึ่งไม่ถึง 1 สลึงนั้น เป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรอบหลายปีที่ผ่านมา

ต่อกรณีดังกล่าว ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงสาเหตุที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเพียง 0.125-0.15 % เพราะในช่วงต้นปี 2549 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ตามน้อยกว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ดังนั้นในปีนี้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง ธนาคารจึงต้องพิจารณาลงอัตราดอกเบี้ยอย่างสมเหตุสมผล เพราะธนาคารจำเป็นต้องรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไว้ โดยมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำส่วนหนึ่ง แต่ไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์

ส่วนแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จะต่ำกว่านี้อีกหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเป็นครั้งๆไป

นักบริหารเงินของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์เลือกแนวทางที่จะรักษากำไร และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย โดยผลักภาระให้แก่ผู้บริโภค เห็นได้จากในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยพร้อมกันทั้ง 2 ขา แต่ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยขาลง ธนาคารพาณิชย์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากนับรวมตั้งแต่ต้นปีเฉลี่ยประมาณ 2 % เห็นได้จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือน จาก 3.25-4.00% ในช่วงต้นปี ลดลงมาเหลือ 2.25 % หรืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำที่ลดงจาก 3.50-4.25% เหลือ 2.25% เป็นต้น ในขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่งขณะนี้ยังอยู่ในระดับเกินกว่า 3 % ขึ้นไป และสามารถนำเงินไปปล่อยกู้ในตลาดกู้ยืมเงินระยะสั้นที่ 3.25 %

"แม้การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ สถาบันการเงินจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยทั้ง 2 ขา แต่จากข้อเท็จจริงในปัจจุบันว่าการส่งสัญญาณลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท.นั้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ธนาคารในระบบลดอัตราดอกเบี้ยตาม "
นายตรรก บุนนาค ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันธนาคารได้ปรับลดต้นทุนดอกเบี้ยเงินฝากลงในอัตราสอดคลอ้งกับตลาดเงินระดับหนึ่งแล้ว โดยพยายามปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาว ซึ่งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น ยังต้องขึ้นอยู่กับสภาพคล่องในระบบ และสัญญาณของธปท. โดยขณะนี้สภาพคล่องในระบบยังสูง แต่ไม่มีสัญญาณจากปัจจัยแวดล้อมในการใช้เงินกู้ ไม่ว่าจะเป็นการปล่อยกู้ของภาคเอกชน หรือการลงทุนภาครัฐ ซึ่งหากภาวะแวดล้อมมีการใช้เงินมากขึ้น ก็มีโอกาสที่จะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลดต่ำกว่าระดับปัจจุบันได้อีก
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์เอเชียพลัส จำกัด ให้ความเห็นว่า การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ที่ 0.125% หรือ 0.15% นั้น เป็นเพราะโดยความเป็นจริงแล้วธนาคารพาณิชย์ไม่มีความจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อ นอกจากนี้ยังอาจจะเป็นว่าแนวโน้มการปรับลดอาร์พีนั้นเป็นเรื่องของการบริหารค่าเงินมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในส่วนของการระดมเงินฝากนั้น ปัจจุบันธนาคารพาณิชย์หลายแห่งได้เสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากใหม่เพื่อเป็นทางเลือกแก่ลูกค้าเงินฝากในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดต่ำสุด และเป็นการบริหารต้นทุนของธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง เช่น ธนาคารธนชาต เปิดรับฝากประจำพิเศษ ระยะ 9 เดือน และ 15 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.75% และ 3.00 % ตามลำดับ (ล่าสุด ธนาคารได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำพิเศษระยะ 9 เดือนและ 15 เดือนลงเหลือ 2.50% และ 2.75 % ตามลำดับ มีผลตั้งแต่ 23 ก.ค.ที่ผ่านมา ) ธนาคารกสิกรไทย ออกบริการเงินฝากประจำคล่องตัว 4 เดือน อัตราดอกเบี้ย 2.55%
นายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธนาคารมีเป้าหมายระดมเงินฝากจากแคมเปญเงินฝากประจำ 9 เดือนและ 15 เดือน รวม 20,000 ล้านบาท โดยหลังจากที่ให้บริการมาตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมจนถึงขณะนี้มีเม็ดเงินฝากที่ไหลเข้ามาแล้ว
กว่า 10,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ล่าสุด ธนาคารได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของแคมเปญดังกล่าวลง 0.25% ตามการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของกนง. และขณะนี้ธนาคารยังอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หรือไม่
นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดอยู่ใกล้จะต่ำสุด การฝากเงินในระยะยาวเกินไปอาจทำให้ผู้ฝากเงินเสียผลประโยชน์ในกรณีที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้น ดังนั้นการฝากประจำ 4 เดือนน่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับลูกค้า ซึ่งบริการเงินฝากประจำพิเศษ 4 เดือนของธนาคาร จะมีความยืดหยุ่นและจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าเงินฝากประจำทั่วไป ซึ่งลูกค้าที่ฝากเงินครบ 4 เดือน จะได้รับดอกเบี้ยทุกเดือน ในอัตรา 2.55% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่ฝากเงินมาแล้ว แต่ไม่ถึง 3 เดือนจะได้รับดอกเบี้ย 0.75% ต่อปี ส่วนลูกค้าที่ฝากเงินตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 4 เดือน จะได้รับดอกเบี้ย 2.00% ต่อปี ทั้งนี้ ธนาคารจะโอนดอกเบี้ยที่ได้รับเข้าบัญชีเงินฝากให้ทุกเดือน และจะโอนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยงวดสุดท้ายเข้าบัญชีออมทรัพย์หรือกระแสรายวันที่ผูกกับบัญชีเงินฝากประจำคล่องตัว 4 เดือนให้อัตโนมัติ

ทั้งนี้ จากข้อมูลผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 พบว่าการลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ค่าใช้จ่ายด้านดอกเบี้ยของธนาคารลดลง และส่งผลให้รายได้และเงินปันผลของธนาคารเพิ่มขึ้น เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์ มีค่าใช้จ่ายจากอัตราดอกเบี้ยลดลง 11.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีรายได้จากอัตราดอกเบี้ยและเงินปันผลเพิ่ม 9.8 % ธนาคารทหารไทย มีค่าใช้จ่ายจากอัตราดอกเบี้ยลดลง 20.1 % ขณะที่รายได้อัตราดอกเบี้ยและเงินปันผลเพิ่มขึ้น 9.8% ธนาคารนครหลวงไทย มีค่าใช้จ่ายจากอัตราดอกเบี้ยลดลง 10.6 % ขณะที่รายได้จากอัตราดอกเบี้ยและ เงินปันผลเพิ่ม 7.7%
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2238
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news30/07/07

โพสต์ที่ 83

โพสต์

โฆสิต วิตกบาทอ่อน-หาจุดสมดุลไม่เจอ กำชับ ธปท.จับตาทุกชั่วโมง

โดย ผู้จัดการออนไลน์
30 กรกฎาคม 2550 16:17 น.
 
โฆสิต สายด่วนข้ามโลก กำชับ ธปท. ดูแลและบริหารเงินบาททุกชั่วโมง เผยสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนโลกยังผันผวน ชี้ไม่จำเป็นที่ดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงทุกวัน พร้อมระบุ เงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง และกำลังอยู่ระหว่างปรับตัวเพื่อหาจุดสมดุล
     
      วันนี้(30 ก.ค.) นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในระหว่างการเดินทางเยือนนักลงทุนยุโรป โดยระบุว่า เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงเล็กน้อย หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออก 6 มาตรการดูแล โดยขณะนี้กลไกตลาดทำงานได้ดีขึ้น เงินบาทอยู่ระหว่างกระบวนการปรับตัว หลังจากที่มีการปรับระบบการดูแลค่าเงินบาทใหม่ โดยมีการประสานงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนมากขึ้น ไม่ได้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ธปท. เพียงหน่วยงานเดียวเหมือนกับอดีตที่ผ่านมา ขณะเดียวกันแนวทางการแก้ปัญหาก็เปิดรับฟังข้อคิดเห็นจากคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ซึ่งมีการแก้ไขกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคต่างๆ ซึ่งก็ช่วยให้ระบบการดูแลเงินบาทมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น
     
      อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่มีการหมุนเวียนของเงินทุนไปทั่วโลก และสถานการณ์การเงินโลกยังมีความผันผวน ธปท.ก็ต้องดูแลและบริหารเงินบาททุกชั่วโมง ทุกวัน เพราะไม่จำเป็นที่เงินดอลลาร์สหรัฐจะต้องอ่อนค่าลงทุกวัน เหมือนกับที่มีการคาดการณ์กัน ดังนั้นการติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนของโลกจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น เราจึงไม่สามารถกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนว่าจะอยู่ที่ระดับใดได้ แต่แนวโน้มในระยะยาว เงินบาทจะต้องเคลื่อนไหวเกาะกลุ่มไปกับสกุลเงินต่าง ๆ ทั้งดอลลาร์สหรัฐ ยูโร เยน และเงินสกุลเอเชีย ไม่แตกฝูง
     
      วันนี้ที่ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลเรื่องค่าเงินบาท ก็จะต้องบริหารจัดการไม่ให้มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงมากเกินไป ต้องอยู่ในแถวเดียวกับเงินสกุลเพื่อนบ้าน นายโฆสิต กล่าว
     
      ส่วนที่มีคนเป็นห่วงว่าจะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นอีกรอบนั้น นายโฆสิต กล่าวว่า จะต้องดูว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นเป็นวิกฤติของทั่วโลก หรือเกิดขึ้นเฉพาะประเทศไทย หากเป็นวิกฤติของไทยก็ต้องต่อสู้ ป้องกัน และดูแลตัวเอง แต่หากเป็นวิกฤติของโลก เราคงไม่สามารถต่อสู้หรือแบกโลกได้ เพราะว่าเป็นสงครามที่ใหญ่เกินไป
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000088902
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news30/07/07

โพสต์ที่ 84

โพสต์

แห่ฝากเงินดอลลาร์คึกคัก "ธ.พาณิชย์" ตีปีกเร่งเสริมทีมเปิดบัญชีใหม่  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
29 กรกฎาคม 2550 15:08 น.

 ประชาชน-ภาคธุรกิจ แห่เปิดบัญชีเงินฝากสกุลตปท.คึกคัก หลังครม.อนุมัติ 8 มาตรการ แก้ไขปัญหาเงินบาทแข็ง นายแบงก์หลายแห่งพร้อมปรับทีมรับธุรกรรมใหม่ ปปง.เตือน ธุรกรรมเกิน 2 ล้านบาท ยังต้องรายงานเหมือนเดิม
     
      ภายหลังมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่เพิ่งผ่านคณะรัฐมนตรี(ครม.) เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยครม.มีมติผ่อนคลายระเบียบการฝากเงินและการโอนเงินตราต่างประเทศ โดยหนึ่งในมาตรการดังกล่าว คือ ให้บุคคลไทยทั้งที่เป็นนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา มีความคล่องตัวในการฝากเงินที่เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศไว้กับสถาบันการเงินในประเทศมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ธนาคารพาณิชย์เริ่มเปิดให้บริการบัญชีเงินฝากเงินตราสกุลต่างประเทศ (Foreign Currency Deposit) แล้วหลายแห่ง ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ส่วนธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ,ธนาคารทหารไทย จำกัด(มหาชน) และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เตรียมเปิดให้บริการ
     
      แหล่งข่าวจาก ธ.กสิกรไทย หรือ KBANK กล่าวว่า ภายหลังจากที่ ครม.มีมติให้มีการผ่อนปรนการถือครองค่าเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ธนาคารก็เปิดบริการลูกค้าให้สามารถเปิดบัญชีประเภท Foreign Currency Deposit หรือ FCD ตั้งแต่ช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยให้ลูกค้าที่เป็นบุคคลธรรมดาสามรถฝากเงินได้ไม่เกิน 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ
     
      สำหรับนิติบุคคลที่ฝากได้ไม่เกิน 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ และจะมีการออกสมุดเงินฝาก โดยมีการนำสมุดเงินฝากธรรมดา นำมาปรับในส่วนของค่าเงินในช่องต่อท้าย และประกาศอิงอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารกลางสหรัฐ(FED) ในอัตราดอกเบี้ย 3.40 %
     
      "เราถือเป็นธนาคารพาณิชย์รายแรกที่ปรับตัวสอนงตอบต่อนโยบายของรัฐบาล ที่ต้องการแก้ปัญหาในส่วนของค่าเงินบาทที่แข็งตัว โดยลูกค้าเก่าที่มีบัญชีอยู่เดิม สามารถเข้ามาใช้บริการได้เลย ส่วนลูกค้าที่เปิดบัญชีใหม่ เราก็ได้เตรียมพร้อมจัดทีมไว้รองรับบริการนี้แล้ว ซึ่งช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา มีลูกค้าสอบถาม และเข้ามาใช้บริการใหม่อย่างคึกคัก"
     
      ด้านแหล่งข่าวจาก ธ.ทหารไทย หรือ TMB กล่าวว่า ธนาคารเตรียมเปิดให้บริการบัญชีเงินฝากเงินตราสกุลต่างประเทศได้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งขณะนี้ เราอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมของระบบเพื่อรองรับ คาดจะใช้เวลาไม่นานนัก เพราะก่อนหน้านี้ เราก็เคยมีการให้บริการแก่นิติบุคคลอยู่แล้ว
     
      "ในส่วนของบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศสำหรับรายย่อย หรือลูกค้าบุคคลนั้น เราถือว่าเป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าเงินฝากและสภาพคล่อง โดยเชื่อว่าจะเป็นตลาดใหญ่ในอนาคต นอกจากช่วยให้บุคคลออมเงินในรูปแบบของสกุลเงินที่หลากหลายขึ้น และมีผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ยสูงแล้ว ยังช่วยขยายเวลาการถือครองสกุลเงินต่างประเทศจากเดิมที่กำหนดเพียง 2 สัปดาห์ หรือ 14 วันเท่านั้น"
     
      ธ.ทหารไทย เชื่อว่าการเปิดเสรีในการออมเงินจะทำให้เกิดสภาพคล่องที่มีเงินไหลเข้า-ออกและช่วยลดความผันผวนของค่าเงินให้น้อยลงด้วย เพราะบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศสำหรับลูกค้ารายย่อย นอกจากเป็นทางเลือกให้ผู้ฝากเงินได้ออมเงินแล้ว ยังเก็บเป็นเงินฝากใส่บัญชีส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ หรือถ้าอยู่ต่างประเทศก็ส่งเงินฝากเก็บไว้ในบัญชีเพื่อซื้อสินทรัพย์ก็ได้ เพราะถือครองเงินได้ยาวขึ้น ส่วนแบงก์เองยังมีช่องทางสร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม
     
      แหล่งข่าวจาก ธ.ไทยพาณิชย์ หรือ SCB กล่าวว่า ธนาคารยังไม่ปรับในส่วนของบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ ที่ปกติจะมีฝากเฉพาะทูตต่างประเทศเท่านั้น ยังไม่ได้มีการเปิดสำหรับบุคคลธรรมดา อย่างไรก็ตามการเปิดบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศ โดยเฉพาะการปรับบัญชีให้มีเพดานการฝากเงินเฉพาะสกุลเงินดอลล์ฯ ตามมติครม.เมื่อวันที่ 24 น่าจะมีการพิจารณาอีกครั้งในอนาคต โดยเฉพาะเงื่อนไขต่างๆ และการกำหนดอัตราดอกเบี้ย ที่จะต้องเข้าทื่ประชุมของผู้บริหาร เพราะก่อนหน้านี้ ธนาคารเองไม่มีบัญชีประเภทนี้สำหรับบุคคคลธรรมดา จึงต้องมีการพิจารณาใหม่ทั้งหมด
     
      ขณะที่แหล่งข่าวจาก ธ.กรุงเทพ หรือ BBL กล่าวว่า ตอนนี้ ธนาคารกำลังศึกษารูปแบบของการให้บริการบัญชีเงินฝากสกุลเงินต่างประเทศอยู่ โดยต้องปรับปรุงระบบจากปัจจุบันที่ธนาคารให้บริการเงินฝากดังกล่าวสำหรับลูกค้าประเภทนิติบุคคลอยู่แล้ว คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์กว่าๆ เพื่อเตรียมระบบภายในและการให้บริการสำหรับลูกค้ารายย่อย อีกทั้งยังต้องศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการค่าธรรมเนียมในการฝากเงินว่าควรจะอยู่ที่อัตราเท่าไร
     
      ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ระบุว่า ถึงแม้ว่าสถาบันการเงินจะเปิดให้บริการบัญชีเงินฝากเงินตราสกุลต่างประเทศ แต่ก็ยังต้องรายงานข้อมูลให้ ปปง.ทราบ ในกรณีที่มีธุรกรรมเงินสดเกินกว่า 2 ล้านบาท
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000088489
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news01/08/07

โพสต์ที่ 85

โพสต์

กู้เงินสดจุกอกยอดค้างหนี้พุ่ง ตั้งการ์ดรับมือ
โพสต์ทูเดย์ หนี้เสียเงินกู้ส่วนบุคคลคุกคามหนัก


นายนิวัตต์ จิตตาลาน ประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย หรือเคทีซี กล่าวว่า ปัจจุบันอัตราการค้างชำระหนี้ในส่วนของสินเชื่อบุคคลนั้นอยู่ที่ระดับ 7% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 6% ทำให้บริษัทเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยมีอัตราการอนุมัติเพียง 30% จากยอดที่ขอกู้เงินเท่านั้น โดยแทบจะไม่อนุมัติให้กับผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่า 1 หมื่นบาท เนื่องจากมีความเสี่ยงค่อนข้างสูง รวมถึงพิจารณาปล่อยกู้อย่างรัดกุมกับผู้ที่ประกอบอาชีพบางกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงด้วย

แหล่งข่าวจากบริษัท อีซี่บาย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีบริษัทได้เพิ่มความเข้มงวดและคัดเลือกลูกค้าอย่างเข้มข้น ส่งผลให้อัตราการปฏิเสธลูกค้าที่สมัครสินเชื่อใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 40% จากเดิมที่มีแค่ 20%
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าหนี้เสียจะยังยืนอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งสูงสุดน่าจะตกประมาณ 4.5%

ด้านนายมาซาโอะ มิซูโน กรรมการผู้จัดการ บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์ (ไทยแลนด์) ชี้แจงว่า บริษัทมีกำไรประมาณ 12% มีการออกบัตรเครดิตรวมทั้งสิ้น 1.58 ล้านบัตร และออกบัตรสมาชิกรวม 2.58 ล้านบัตร ยอดรวมของการให้สินเชื่อใหม่กว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ยอดการให้สินเชื่อแบ่งออกเป็น บัตรเครดิต 44% ธุรกิจเช่าซื้อ 18% และเงินกู้ 37%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182217
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news01/08/07

โพสต์ที่ 86

โพสต์

ธนาคารตีปีกรายได้เพิ่ม กฎหมายหนุนคัสโตเดียน
โพสต์ทูเดย์ แบงก์ตีปีก กฎหมายทรัสต์จะช่วยสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมให้ธนาคารมากขึ้น


นายสมบัติ บูรณกิจสิน ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ธุรกิจบริการหลักทรัพย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า หลังจาก พ.ร.บ.ทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุนผ่านความเห็นชอบจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว กฎหมายฉบับนี้จะมีประโยชน์มากต่อธุรกิจธนาคารพาณิชย์ที่ทำธุรกิจคัสโตเดียน หรือรับฝากหลักทรัพย์ โดยทำหน้าที่เป็น ทรัสตีหรือผู้ดูแลผลประโยชน์ในธุรกิจกองทุนรวม

ในอนาคตธุรกิจกองทุนรวมจะมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีมูลค่าสูงขึ้นมาก ซึ่งธนาคารที่ทำธุรกิจนี้จะได้ประโยชน์มากในเรื่องค่าธรรมเนียมการรับฝากหลักทรัพย์ นายสมบัติ กล่าว

ขณะนี้ธนาคารไทยพาณิชย์ครองส่วนแบ่งตลาดอันดับหนึ่งในธุรกิจนี้ ในส่วนของกองทุนที่ลงทุนในประเทศ โดยดูแลบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กว่า 10 แห่ง และมีกองทุนในความดูแลกว่า 100 กองทุน รวมมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านบาท

นายสมบัติ กล่าวว่า การแข่งขันในธุรกิจคัสโตเดียนมีสูงไม่แพ้ธุรกิจบัตรเครดิต โดยมีการตัดราคากันโดยปราศจากการพูดถึงคุณภาพ ขณะนี้ธนาคารพูดถึงคำว่ายูนิเวอร์แซลแบงกิง และทุกธนาคารจะพยายามทำเหมือนๆ กันหมด ซึ่งคัสโตเดียนเป็นธุรกิจที่ดึงดูดลูกค้าให้มาใช้ธุรกิจด้านอื่นๆ ได้หมดทั้งธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน และธุรกิจบริการบริหารเงินสด การแข่งขันตัดราคาไม่ผิด เพราะผู้ซื้อได้ประโยชน์

แต่ถ้าตัดราคากันจนเฉือนเลือดเฉือนเนื้อ ก็จะพากันลงเหว เพราะการลงทุนของแต่ละแบงก์ต่างกัน แต่ผลงานที่ออกมาไม่ได้สะท้อนถึงคุณภาพที่แท้จริง นักลงทุนต้องเป็นผู้เลือกผู้ให้บริการที่มีมาตรฐาน จะได้ไม่เกิดการตัดราคากัน นายสมบัติ กล่าว

อย่างไรก็ดี รายได้จากธุรกิจนี้ในต่างประเทศจะคิดค่าธรรมเนียม เป็นรายธุรกรรม แต่ของไทยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของเอ็นเอวี ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 0.04-0.05% เท่านั้น ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยยังอยู่ที่ 30% ที่เหลือเป็นรายได้จากดอกเบี้ย

อย่างไรก็ดี ในต่างประเทศรายได้ส่วนใหญ่เริ่มเอนมาที่ค่าธรรมเนียม บางแบงก์รายได้ดอกเบี้ยลดเหลือ 30-40% เท่านั้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182154
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news01/08/07

โพสต์ที่ 87

โพสต์

กำไรดอกเบี้ยยังหอมหวานแบงก์ฟาดส่วนต่าง3-4%
โพสต์ทูเดย์ ธนาคารพาณิชย์ยังกินส่วนต่างดอกเบี้ยอยู่อื้อซ่าเฉลี่ย 3-4%


บริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคิน ได้รายงานการเคลื่อนไหวของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่เปรียบเทียบตั้งแต่ปี 2547 พบว่า ทุกธนาคารมีส่วนต่างดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น ธนาคารกรุงเทพมีส่วนต่างดอกเบี้ยในปี 2547 อยู่ที่ 2.34% ปรับขึ้นเป็น 2.92% ในปี 2548 และ 3.16% ในปี 2549 ตามลำดับ คาดว่าในปี 2550 จะอยู่ที่ระดับ 3.11% และในปี 2551 จะอยู่ที่ 3.13%

ขณะที่ธนาคารกรุงไทยนั้น ในปี 2547 มีส่วนต่างดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.91% และปรับเพิ่มเป็น 3.45% ในปี 2548 ปี 2549 เขยิบขึ้นเป็น 4.04% และในปีนี้เชื่อว่าจะปรับเพิ่มเป็น 3.96%

ธนาคารไทยพาณิชย์นั้นในปี 2547 มีส่วนต่างดอกเบี้ยเพียง 2.8% และขยับขึ้นมาเป็น 3.32% ในปี 2548 และเพิ่มเป็น 3.59% ในปี 2549 ส่วนปี 2550 และ 2551 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.6% และ 3.62% ตามลำดับ

สำหรับธนาคารกสิกรไทย ส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับเช่นกัน จากปี 2547 ที่มีส่วนต่างแค่ 3.03% ในปี 2548 เพิ่มเป็น 3.77% ในปี 2549 เพิ่มขึ้นถึง 4.05% แต่คาดว่าในปี 2550 จะลดลงเล็กน้อยแต่ก็อยู่ระดับต้นๆ ของระบบ คือ 3.92%

ขณะที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาปี 2547 ส่วนต่างดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.56% ก่อนปรับเพิ่มเป็น 2.83% ในปี 2548 และขยับขึ้นเป็น 2.97% เมื่อปี 2549 และคาดว่าในปี 2550 จะอยู่ที่ 2.98%

ด้านสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานเศรษฐกิจว่า การปรับลดดอกเบี้ยเงินฝากโดยเฉพาะเงินฝากระยะยาวมากกว่าดอกเบี้ยเงินกู้ ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยที่ได้รับจริง (effective spread) ของธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้นจาก 2.86% ในไตรมาสสุดท้ายปี 2549 เป็น 3.32% ในไตรมาส 1/2550 และมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น

บล.เคจีไอ ระบุว่า ธนาคารกรุงเทพมีส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) เพิ่มขึ้นเป็น 3.13% หรือเพิ่มขึ้น 0.35 จุดเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

ธนาคารกสิกรไทยนั้น NIM ปรับตัวกลับมายืนเหนือ 4% ที่ 4.04% ในไตรมาส 2 หลังลดลงเหลือ 3.98% ในไตรมาสก่อนหน้า ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์รายงานการเพิ่มขึ้นของ NIM เช่นกันมาอยู่ที่ 3.52% จาก 3.45% ในไตรมาสแรก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182226
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news01/08/07

โพสต์ที่ 88

โพสต์

แบงก์ใหญ่รวยกำไรปีหน้า

โบรกพร้อมใจเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นกลุ่มแบงก์  หลังสินเชื่อไตรมาส 2/2550ไปได้สวย และส่วนต่างโตดีกว่าคาด  โดยเฉพาะแบงก์ใหญ่ ขณะที่ต้นทุนการเงินลดลง  เชื่อปีหน้ากำไรเติบโตก้าวกระโดดเพราะกลับมาตั้งสำรองตามปกติ  ส่วนรายได้ค่าธรรมเนียมพุ่งต่อเนื่อง   ยกBBL,KBANK,KTB และBAY เป็นหุ้นเด่นในกลุ่ม
บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย)เพิ่มน้ำหนักการลงทุนหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยหุ้นเด่นในกลุ่ม ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด(มหาชน) KBANK ให้ราคาพื้นฐาน 94 บาท อิงกับ PBV ปี 2551 เท่ากับ 2.0 เท่า) , ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) BBL ให้ราคาพื้นฐาน 154 บาท อิงกับ PBV ปี 2551 เท่ากับ 1.65 เท่า) และธนาคารกรุงไทย จำกัด(มหาชน) KTB ให้ราคาพื้นฐาน 16.50 บาท อิงกับ PBV ปี 2551 เท่ากับ 1.70 เท่า
ทั้งนี้ธนาคารพาณิชย์  7 แห่ง  ได้แก่ BAY, BBL, KBANK, KTB, SCB, SCIB และ TISCO มีกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2550 เท่ากับ 6.25 พันล้านบาท ลดลงแรง 67%จากช่วงเดียวกันปีก่อน และ 66%จากไตรมาสก่อน  โดยหลักมาจากการตั้งสำรองค่าเผื่อฯที่สูงมากของ KTB และ BAY อย่างไรก็ตาม BBL, KBANK และ TISCO ยังมีกำไรสุทธิที่ขยายตัวได้ทั้งจากช่วงเดียวกันปีก่อน และไตรมาสก่อน
    สำหรับสินเชื่อในไตรมาส 2/2550 โตดีกว่าคาด  โดยสินเชื่อขยายตัว 5.8%เมือเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และ 2.0%จากไตรมาสก่อน นำโดยการเติบโตของสินเชื่อแบงก์ใหญ่ เช่น BBL, KBANK, SCB และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็น 3.40% จาก 3.34% ในไตรมาส 1/2550 เนื่องจากต้นทุนการเงินลดลงมากกว่า Yield จากการปล่อยกู้ แสดงให้เห็นว่าธนาคารพาณิชย์มีการบริหารรายได้และต้นทุนทางการเงินที่ดี
          อย่างไรก็ตาม คาดว่าทั้งปี2550 กำไรสุทธิของกลุ่มจะลดลง 7%จากช่วงเดียวกันปีก่อน (จากเดิมที่คาดว่าจะโต 5.3%เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน)เพราะสำรองค่าเผื่อฯที่สูงของ KTB และ BAY เป็นตัวฉุด อย่างไรก็ตาม ในปี2551 กลุ่มธนาคารจะมีงบดุลที่แข็งแกร่งขึ้นและมีการเติบโตของกำไรสุทธิก้าวกระโดด 51%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน  หลังจากกลับไปตั้งสำรองค่าเผื่อฯในระดับปกติ, ส่วนต่างดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมยังขยายตัวสูง
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาพาณิชย์  โดยให้BBL และBAY เป็นหุ้นที่โดดเด่นในกลุ่ม    ซึ่งBAY แม้จะมี NPL ในไตรมาส 2/2550 สูงแต่เป็นเพราะการจัดชั้นให้เข้มตามมาตรฐาน GE และณ สิ้นไตรมาส 2/2550 BAY มีเงินกองทุนสูงถึง 19.18% (14.59% เป็น Tier1) ส่วน BBL สามารถจัดการ NPL ค่อนข้างดี เห็นได้จากยอดNPLสุทธิ ณ สิ้น มิ.ย.ที่ 9.08% ลดลงจากสิ้นไตรมาส 1/2550 ที่ 9.23% นอกจากนี้ยังมีข่าวดีจาก NPL ที่จะลดลง 6 พันล้านบาทในครึ่งปีหลัง2550 เหลือ 7-8% สิ้นปีนี้ และอีก 6 พันล้านบาทปีหน้าจากลูกหนี้กลุ่มน้ำตาล
ทั้งนี้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง ทำให้ยอดNPLสุทธิของธนาคารทั้ง 10 แห่งที่ประเมินไว้เพิ่มขึ้น 3 หมื่นล้านบาท หรือ 7%จากไตรมาสก่อนเป็น 4.36 แสนล้านบาท (คิดเป็น 8.94% ของสินเชื่อรวม) โดย NPL ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากลูกหนี้ที่เคยปรับโครงสร้างหนี้แล้วกลับมาเป็น NPLอีก  โดย 3 ธนาคารที่เผชิญปัญหา NPL เพิ่มขึ้นหลักๆ มาจาก BAY TMB และ KTB ที่ 1.07 หมื่นล้านบาท ,1.01 หมื่นล้านบาท และ 6.95 พันล้านบาทตามลำดับ  แต่มีเพียง KBANK และSCIB เท่านั้นที่ NPL ลดลง 1.49 พันล้านบาท และ 863 ล้านบาทตามลำดับ
http://www.thunhoon.com/home/default.asp
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/08/07

โพสต์ที่ 89

โพสต์

หวั่นทุนไหลเข้าโฆสิตนัดหารือ ยันคุมบาทอยู่

โพสต์ทูเดย์ โฆสิต นัดคุยเงินทุนไหลเข้าออก ดูแลค่าเงินบาท

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.อุตสาห กรรม กล่าวว่า ในวันที่ 6 ส.ค.นี้ จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจส่วนรวม โดยหารือและตรวจสอบมาตรการดูแลค่าเงินบาททั้ง 6 มาตรการ ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติอนุมัติเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รวมทั้งจะมีการหารือถึงแนวทางการจัดระบบการไหลเข้าและออกของเงินทุน และการลงทุนของคนไทยใน ต่างประเทศ ร่วมกับนายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์

นายโฆสิต ระบุว่า มาตรการดูแลค่าเงินบาทในขณะนี้มีความเหมาะสมแล้ว แต่นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

โดยส่วนตัวแล้วเชื่อว่า ขณะนี้ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการดูแลค่าเงินบาทเพิ่มเติมด้วย อย่างไรก็ตาม เรื่องของค่าเงินนั้น มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเราต้องตั้งรับให้ดี แม้แต่ ในขณะนี้ก็ยังนิ่งนอนใจไม่ได้ รองนายกฯ กล่าว

ในวันศุกร์นี้ จะเข้าไปรายงานสถานการณ์ค่าเงินให้นายกฯ ทราบ

นางธาริษา กล่าวว่า ขณะนี้ได้อนุญาตให้มีการชำระค่าสินค้าเป็นเงินตราต่างประเทศได้เฉพาะค่าระวางเรือ หรือค่า Freight เพิ่มเติมให้กับบริษัทที่เป็นคนไทยเท่านั้น ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ราย แต่จะต้องมีการขออนุญาตเป็นรายๆ ไป ส่วนสินค้าประเภทรายการอื่นๆ ยังไม่มีการอนุญาตให้เปิด ชำระเงินเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศได้ เนื่องจากระบบการชำระเงินยัง ไม่สามารถรองรับได้
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182428
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/08/07

โพสต์ที่ 90

โพสต์

ตลาดบี/อีสนุกแบงก์แย่งลูกค้าฝากสั้น-จ่ายสูง
โพสต์ทูเดย์ ตั๋วเงินระยะสั้นสนั่นทุ่ง 6-9 เดือน กสิกรให้ 2.6-2.8%


นายอำพล โพธิ์โลหะกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า ธนาคารได้เปิดขายตั๋วแลกเงินกสิกรไทย K-B/E Investment รุ่นใหม่ อายุการฝาก 6 เดือน และ 9 เดือน

ตั๋วแลกเงินดังกล่าวจะจ่ายดอกเบี้ยเมื่อครบกำหนดในอัตราเท่ากันคือ วงเงินฝากตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ย 2.60% ส่วนวงเงินตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จ่ายดอกเบี้ย 2.80%

นายอำพล กล่าวว่า ตั๋วเงินกสิกรไทย จะเป็นทางเลือกในการออมเงินและลงทุนของลูกค้า ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำระยะเดียวกันที่จ่าย 2.0-2.25%

ก่อนหน้านี้กสิกรไทยได้ขายตั๋วแลกเงินอายุ 6-9 เดือน มาแล้วครั้งหนึ่งในเดือน ก่อนหน้า วงเงินฝากตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 10 ล้านบาท จ่ายดอกเบี้ย 2.75% แต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป จ่ายดอกเบี้ย 3%

ขณะที่กรุงไทยได้ออกตั๋วแลกเงิน KTB-B/E อายุ 6 เดือน ให้อัตราผลตอบแทน 2.8% ห้ามเปลี่ยนมือ ส่วนเกียรตินาคินนั้นออกตั๋วบี/อี อายุ 6-24 เดือน เช่นกัน จ่ายดอกเบี้ย 2.75 4.250% และเป็นที่น่าสังเกตว่า ธนาคารพาณิชย์แต่ละแห่ง จะหันมาออกตั๋วเงินระยะสั้นกัน มากขึ้น และมีแนวโน้มจะสูงขึ้นในปลายปี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=182454