อนุโมทนาด้วยนะครับ คุณ Sakkaphan สติ ปัญญาดีอยู่แล้ว ได้เติมสมาธิเข้าไป ก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ปัญญาแก่กล้า สิ้นทุกข์ได้ในชาตินี้นะครับsakkaphan เขียน:ผมเพิ่งไปหลักสูตรวิปัสสนา 10 วัน ที่กาญจนบุรีมา หลังจากที่คุณพี่ได้แนะนำแล้ว ผมก็ไปทันทีเลยtanoppan เขียน:พี่ๆคิดว่าผมควรต้องทำทุกวันมั้ยครับ? หรือมีหลักสูตรหรือค่ายปฎิบัติธรรมที่ไหนแนะนำมั้ยครับ
น่าจะไป "โกเอ็นก้า" ค่ะ
http://www.thaidhamma.net/
เป็นความรู้สึกขอบคุณที่สุดในชีวิต เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ผมไม่คิดเลยว่า ผมจะได้เริ่มเดินบนหนทางสายเอก ทางแห่งความจริงแท้ ได้เร็วถึงเพียงนี้ ผมพบเจอพี่ๆหลายคนที่ไปปฏิบัติด้วยเค้าบอกว่า ใครที่ได้มาปฏิบัติวิธีนี้ เป็นบุญวาสนาเก่าโดยแท้ พี่ๆหลายคนปฏิบัติสายอื่นอยู่นาน เดินวนไปมาหาทางไปไม่เจอ
ผมปฏิบัติด้วยตนเองและพบเห็นด้วยตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ ประกอบกับความเป็นคนเรียนรู้เร็วซึ่งก็เป็นความขอบคุณในความโชคดีของตัวเองอย่างล้นเหลือนี้ ไม่รู้ว่าเคยไปทำบุญอะไรไว้แต่ชาติปางไหน ผมพบด้วยตนเองจริงๆว่า กิเลสของผมมันค่อยๆตายไปแล้ว ความชั่วร้ายในตัวผมสลายออกไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเวลามีสิ่งมากระทบ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้ตัวความมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญทางทรัพย์สินเงินทองลาภยศสมบัติสรรเสริญ เริ่มหมดค่าไปเรื่อยๆ ทางสายเอกแห่งชีวิต ทางที่จะเดินจากนี้ไปไม่ว่าจะถึงหรือไม่ในชาตินี้หรือภพชาติอื่นๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังอีกยาวไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น ผมเริ่มเดินไปบนทางโดยมีเป้าหมายเพื่อการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เพื่อการหยั่งรู้ถึงสรรพสิ่งอย่างแท้จริงนี้แล้ว
ผมอยากเชิญชวนเพื่อนๆพี่ๆทุกคน ให้ลองมาปฏิบัติวิธีนี้ดู ไม่ว่าท่านจะเคยปฏิบัติด้วยวิธีไหนมาก่อนก็ตาม หากใครที่รู้สึกว่าปฏิบัติแล้วไม่เห็นผลชัดเจน กิเลสไม่ได้เบาบางลงไป สังขารความปรุงแต่งไม่ได้ลดไป อยากให้ลองมาปฏิบัติดู ผมยอมรับว่า ผมเพิ่งเริ่มปฏิบัติ และไม่เคยปฏิบัติวิธีอื่นใดอย่างจริงๆจังๆมาก่อน เป็นแค่เด็กหัดเดิน ดังนั้นผมไม่อาจจะบอกได้เลยว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีสุด เพียงแต่ผลที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองนั้น ทำให้ผมอดไม่ได้จริงๆที่จะเชิญชวนทุกๆคน ให้มาลองดู
หากมีโอกาส ไว้ผมจะเขียนในกระทู้คราวหน้า ถึงคอนเซปต์แนวทางการปฏิบัติวิธีนี้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่อื่นไกลเลย คือ สติปัฏฐาน 4 นั่นเอง เพียงแต่อาจจะมีรูปแบบเทคนิค ที่แตกต่างกันออกไป
ขอขอบคุณท่าน tanoppan อีกครั้ง ขอให้ผลบุญนี้ ส่งผลให้ท่านมีแต่ความเจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป และเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 571
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 572
ขอบคุณมากครับ ขอให้พี่picatosก้าวหน้าในธรรม บรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ในเร็วพลันเช่นกันครับpicatos เขียน:อนุโมทนาด้วยนะครับ คุณ Sakkaphan สติ ปัญญาดีอยู่แล้ว ได้เติมสมาธิเข้าไป ก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ปัญญาแก่กล้า สิ้นทุกข์ได้ในชาตินี้นะครับsakkaphan เขียน:ผมเพิ่งไปหลักสูตรวิปัสสนา 10 วัน ที่กาญจนบุรีมา หลังจากที่คุณพี่ได้แนะนำแล้ว ผมก็ไปทันทีเลยtanoppan เขียน:พี่ๆคิดว่าผมควรต้องทำทุกวันมั้ยครับ? หรือมีหลักสูตรหรือค่ายปฎิบัติธรรมที่ไหนแนะนำมั้ยครับ
น่าจะไป "โกเอ็นก้า" ค่ะ
http://www.thaidhamma.net/
เป็นความรู้สึกขอบคุณที่สุดในชีวิต เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต ผมไม่คิดเลยว่า ผมจะได้เริ่มเดินบนหนทางสายเอก ทางแห่งความจริงแท้ ได้เร็วถึงเพียงนี้ ผมพบเจอพี่ๆหลายคนที่ไปปฏิบัติด้วยเค้าบอกว่า ใครที่ได้มาปฏิบัติวิธีนี้ เป็นบุญวาสนาเก่าโดยแท้ พี่ๆหลายคนปฏิบัติสายอื่นอยู่นาน เดินวนไปมาหาทางไปไม่เจอ
ผมปฏิบัติด้วยตนเองและพบเห็นด้วยตนเองอย่างไม่น่าเชื่อ ประกอบกับความเป็นคนเรียนรู้เร็วซึ่งก็เป็นความขอบคุณในความโชคดีของตัวเองอย่างล้นเหลือนี้ ไม่รู้ว่าเคยไปทำบุญอะไรไว้แต่ชาติปางไหน ผมพบด้วยตนเองจริงๆว่า กิเลสของผมมันค่อยๆตายไปแล้ว ความชั่วร้ายในตัวผมสลายออกไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเวลามีสิ่งมากระทบ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้ตัวความมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญทางทรัพย์สินเงินทองลาภยศสมบัติสรรเสริญ เริ่มหมดค่าไปเรื่อยๆ ทางสายเอกแห่งชีวิต ทางที่จะเดินจากนี้ไปไม่ว่าจะถึงหรือไม่ในชาตินี้หรือภพชาติอื่นๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แม้จะยังอีกยาวไกลแค่ไหนก็ไม่หวั่น ผมเริ่มเดินไปบนทางโดยมีเป้าหมายเพื่อการบรรลุธรรมขั้นสูงสุด เพื่อการหยั่งรู้ถึงสรรพสิ่งอย่างแท้จริงนี้แล้ว
ผมอยากเชิญชวนเพื่อนๆพี่ๆทุกคน ให้ลองมาปฏิบัติวิธีนี้ดู ไม่ว่าท่านจะเคยปฏิบัติด้วยวิธีไหนมาก่อนก็ตาม หากใครที่รู้สึกว่าปฏิบัติแล้วไม่เห็นผลชัดเจน กิเลสไม่ได้เบาบางลงไป สังขารความปรุงแต่งไม่ได้ลดไป อยากให้ลองมาปฏิบัติดู ผมยอมรับว่า ผมเพิ่งเริ่มปฏิบัติ และไม่เคยปฏิบัติวิธีอื่นใดอย่างจริงๆจังๆมาก่อน เป็นแค่เด็กหัดเดิน ดังนั้นผมไม่อาจจะบอกได้เลยว่า วิธีนี้เป็นวิธีที่ดีสุด เพียงแต่ผลที่เกิดขึ้นกับตัวผมเองนั้น ทำให้ผมอดไม่ได้จริงๆที่จะเชิญชวนทุกๆคน ให้มาลองดู
หากมีโอกาส ไว้ผมจะเขียนในกระทู้คราวหน้า ถึงคอนเซปต์แนวทางการปฏิบัติวิธีนี้ ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่อื่นไกลเลย คือ สติปัฏฐาน 4 นั่นเอง เพียงแต่อาจจะมีรูปแบบเทคนิค ที่แตกต่างกันออกไป
ขอขอบคุณท่าน tanoppan อีกครั้ง ขอให้ผลบุญนี้ ส่งผลให้ท่านมีแต่ความเจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป และเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 573
ผมมักเกิดอารมณ์แบบนี้บ่อยๆเหมือนกันครับ ตอนที่จิตไม่ห่างจากการภาวนาsakkaphan เขียน: ผมพบด้วยตนเองจริงๆว่า กิเลสของผมมันค่อยๆตายไปแล้ว ความชั่วร้ายในตัวผมสลายออกไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเวลามีสิ่งมากระทบ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้ตัวความมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญทางทรัพย์สินเงินทองลาภยศสมบัติสรรเสริญ เริ่มหมดค่าไปเรื่อยๆ
บางครั้งจนเพลอคิดว่าตัวเองเป็นพระอนาคามีไปแล้วหรือเปล่าหนอ
เพราะมองไปทางไหนก็ปล่อยวาง มองไปทางไหนก็ใจเบา จิตรวมลงจนคิดว่าไม่ยึดมั่นแล้วในกายนี้
พอคิดว่า"เป็น" จนจิตเริ่มละเลยจากการสำรวมและห่างจากภาวนา
ก็จะกลับมาเป็นคน ที่ยังหลงโลกอีกเช่นเดิม วกกลับไปมาแบบนั้น
ที่พูดมาไม่ได้มีเจตนาว่ากล่าวนะครับ แต่เล่าอาการเมื่อห่างจากภาวนาให้ฟัง
เพราะเมื่อไม่ห่างจากภาวนาจิตจะรวมง่าย แต่เมื่อไหร่ที่เพลอหรือหลุดออกมา
ก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณาดูจิตอีกครั้ง (สำหรับผมนะครับ)
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1111
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 574
ขอบคุณที่เตือนสติครับtum_H เขียน:ผมมักเกิดอารมณ์แบบนี้บ่อยๆเหมือนกันครับ ตอนที่จิตไม่ห่างจากการภาวนาsakkaphan เขียน: ผมพบด้วยตนเองจริงๆว่า กิเลสของผมมันค่อยๆตายไปแล้ว ความชั่วร้ายในตัวผมสลายออกไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเวลามีสิ่งมากระทบ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้ตัวความมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญทางทรัพย์สินเงินทองลาภยศสมบัติสรรเสริญ เริ่มหมดค่าไปเรื่อยๆ
บางครั้งจนเพลอคิดว่าตัวเองเป็นพระอนาคามีไปแล้วหรือเปล่าหนอ
เพราะมองไปทางไหนก็ปล่อยวาง มองไปทางไหนก็ใจเบา จิตรวมลงจนคิดว่าไม่ยึดมั่นแล้วในกายนี้
พอคิดว่า"เป็น" จนจิตเริ่มละเลยจากการสำรวมและห่างจากภาวนา
ก็จะกลับมาเป็นคน ที่ยังหลงโลกอีกเช่นเดิม วกกลับไปมาแบบนั้น
ที่พูดมาไม่ได้มีเจตนาว่ากล่าวนะครับ แต่เล่าอาการเมื่อห่างจากภาวนาให้ฟัง
เพราะเมื่อไม่ห่างจากภาวนาจิตจะรวมง่าย แต่เมื่อไหร่ที่เพลอหรือหลุดออกมา
ก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณาดูจิตอีกครั้ง (สำหรับผมนะครับ)
ความยากจนในจิตใจ คือความยากจนที่แท้จริง
-
- Verified User
- โพสต์: 135
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 575
sakkaphan wrote:
ขอขอบคุณท่าน tanoppan อีกครั้ง ขอให้ผลบุญนี้ ส่งผลให้ท่านมีแต่ความเจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป และเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขออนุโมทนา คุณ sakkaphan ด้วยค่ะ
ขอขอบคุณท่าน tanoppan อีกครั้ง ขอให้ผลบุญนี้ ส่งผลให้ท่านมีแต่ความเจริญในทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป และเข้าถึงความพ้นทุกข์ได้ในที่สุด
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ขออนุโมทนา คุณ sakkaphan ด้วยค่ะ
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 576
ผมคิดว่า... จริงๆ แล้วจิตที่ปราศจากนิวรณ์ จิตที่ใกล้ฌาน จิตที่มีกำลังสมาธิ โดยสภาพ โดยลักษณะแล้วก็จะมีรสชาติ อารมณ์ แบบเดียวกับที่พระอนาคามีเป็น จึงอาจเรียกได้ว่า ผู้ที่เคยปฏิบัติธรรมจนถึงสภาวะแบบนี้ ได้ลิ้มรส อารมณ์ของพระอนาคามี แต่ประเด็น คือ พอจิตห่างจากสมาธิ กิเลสมันก็ทำงานของมันเหมือนเดิม เพราะ กิเลสที่สงบลงนั้นเป็นผลของสมาธิที่กดข่มกิเลสเอาไว้ เรียกว่า วิกขัมภนประหาร หรือ ละกิเลสด้วยการข่มเอาไว้tum_H เขียน:ผมมักเกิดอารมณ์แบบนี้บ่อยๆเหมือนกันครับ ตอนที่จิตไม่ห่างจากการภาวนาsakkaphan เขียน: ผมพบด้วยตนเองจริงๆว่า กิเลสของผมมันค่อยๆตายไปแล้ว ความชั่วร้ายในตัวผมสลายออกไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่งที่เกิดขึ้นเวลามีสิ่งมากระทบ น้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความรู้ตัวความมีสติปัญญาเข้ามาแทนที่ขึ้นเรื่อยๆ ความสำคัญทางทรัพย์สินเงินทองลาภยศสมบัติสรรเสริญ เริ่มหมดค่าไปเรื่อยๆ
บางครั้งจนเพลอคิดว่าตัวเองเป็นพระอนาคามีไปแล้วหรือเปล่าหนอ
เพราะมองไปทางไหนก็ปล่อยวาง มองไปทางไหนก็ใจเบา จิตรวมลงจนคิดว่าไม่ยึดมั่นแล้วในกายนี้
พอคิดว่า"เป็น" จนจิตเริ่มละเลยจากการสำรวมและห่างจากภาวนา
ก็จะกลับมาเป็นคน ที่ยังหลงโลกอีกเช่นเดิม วกกลับไปมาแบบนั้น
ที่พูดมาไม่ได้มีเจตนาว่ากล่าวนะครับ แต่เล่าอาการเมื่อห่างจากภาวนาให้ฟัง
เพราะเมื่อไม่ห่างจากภาวนาจิตจะรวมง่าย แต่เมื่อไหร่ที่เพลอหรือหลุดออกมา
ก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณาดูจิตอีกครั้ง (สำหรับผมนะครับ)
อย่างไรก็ตามถ้าหากเราพยายามรักษาความสามารถของจิตแบบนี้ให้ทรงตัวอยู่ตลอดเวลาได้นานระดับหนึ่ง (ในสติปัฎฐานสูตรพระพุทธองค์ว่าเอาไว้ว่าไม่เกิน 7 ปี) คุณสมบัตินี้ก็จะกลายเป็นอาจินกรรม เป็นนิสัย สันดานของเราไป เราจึงมีคุณสมบัตินี้ติดตัว โดยกระบวนการแล้ว ความพยายามที่เรารักษาจิตที่ซัดซ่ายไปจากสมาธิเพราะกิเลสต่างๆ ทำให้เราฝึกฝนที่จะสำรวมระวัง เพียรรักษาจิตของเราไม่ให้เป็นไปกับอกุศล
และในสติปัฎฐาน 4 หากไปศึกษาดูดีๆ คือ ทุกๆ ขณะ ไม่ว่าจะเดิน ยืน นั่ง นอน ทุกๆ กิริยาอาการ คือ ช่วงเวลาในการฝึกเจริญสติ และสติที่เจริญขึ้นก็จะค่อยๆ พัฒนาจากการศึกษาของหยาบ ที่ศึกษาได้ง่าย อย่างกายก่อน เมื่อมีประสบการณ์ระดับหนึ่งจึงจะเห็นเวทนาได้ชัดเจนมากขึ้น (อย่างที่ 3 วันแรกของโกเอ็นก้าให้เริ่มต้นจากการดูกาย แล้ววันที่ 4 ค่อยมาดูเวทนา) เมื่อเห็นเวทนาจึงเห็นจิต และจะต้องเห็นจิตอย่างจนเชี่ยวชาญจึงจะเห็นธรรมได้มาก
ดังนั้นหากมีความเพียรที่จะรักษาสติได้อย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปี การที่จะเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์ในสมาธิก็ไม่ใช่เรื่องยาก และหากเราเป็นผู้ที่มีความสมบูรณ์ในสมาธิ แม้ว่าจะเป็นสมาธิในระดับที่ต่ำที่สุด ก็มีกำลังเพียงพอที่จะระวังไม่ให้นิวรณ์ธรรมเกิดขึ้นในใจของเราได้อีกเลย
แต่ประเด็น คือ ศรัทธา วิริยะ ตลอดจนเหตุปัจจัยของผู้ปฏิบัติโดยทั่วไป ยังไม่สามารถที่จะประคับประคองรักษาได้อย่างต่อเนื่องในระยะเวลาที่นานเพียงพอ จึงไม่อาจที่จะสร้างคุณสมบัติเหล่านี้ให้กลายเป็นธรรมชาติใหม่ของจิตได้ จุดหลักๆ สำคัญๆ ที่ผู้ปฏิบัติส่วนใหญ่ล้มเหลว คือ แรงบันดาลใจที่จะออกจากกาม ออกจากโลก อันน่าพึงปรารถนา มีไม่มากพอ อย่างบางคนปฏิบัติถูกทาง ได้ธรรมะขนาดหนึ่ง จัดการกับทุกข์ได้ระดับหนึ่ง แล้วก็รีบวิ่งออกไปเสพกามต่อ ออกไปสู้โลก กลับออกไปแบกภาระที่ยังคั่งค้างอยู่
บางคนได้ธรรมที่มากอีกระดับ แต่ก็หลงไปกับการเผยแพร่ธรรมะ ช่วยงานธรรมะ ปรารถนาชาติภพ สะสมบุญ กะว่าจะเอาไปใช้ในชาติหน้า ชาติต่อๆ ไป ค่อยตั้งใจทำให้ถึงที่สุดอีกที... นับว่าหาได้ยากที่จะมีคนที่มีเหตุปัจจัยที่เหมาะสม และมีเป้าหมายที่ไกลมากเพียงพอ ที่จะสามารถทำได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ
อันที่จริงสำหรับนักลงทุนแนววีไอ ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุน จนมีอิสระภาพทางการเงินระดับหนึ่งแล้ว เป็นผู้ที่อยู่ในวิสัยที่แบ่งเวลามาเจริญสติปัฎฐาน 4 ในระดับเข้มข้นได้ ยิ่งหากไม่มีครอบครัว ไม่มีลูก ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าทดลองอย่างยิ่ง ว่าหากทำตามที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเอาไว้อย่างเต็มที่ตลอด 7 ปี เราจะได้ผลลัพธ์ตามที่ท่านว่าเอาไว้ไหม?
ที่แน่ๆ ถึงแม้จะทำไม่ได้นานขนาดนั้น ถึงแม้จะไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ท่านว่า ถึงแม้จะไม่ได้มีเป้าที่สูงขนาดนั้น แต่การที่มีสติที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จะนำมาซึ่งความสุข ขจัดปัดเป่าความทุกข์ต่างๆ ให้เบาคลายลงอย่างแน่นอน
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 577
คุณ picatos กล่าวได้ถูกต้องแล้ว ขออนุโมทนาครับpicatos เขียน: อย่างบางคนปฏิบัติถูกทาง ได้ธรรมะขนาดหนึ่ง จัดการกับทุกข์ได้ระดับหนึ่ง แล้วก็รีบวิ่งออกไปเสพกามต่อ ออกไปสู้โลก กลับออกไปแบกภาระที่ยังคั่งค้างอยู่
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 135
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 578
ได้อ่านใน
https://www.facebook.com/ศิษย์เก่า-อโกเ ... /timeline/
บทสัมภาษณ์ท่านโกเอนก้า ที่เมืองอิกัตปุรี
" เคยมีหลายคนมาบอกผมว่าคำสอนของพระพุทธองค์ดีอย่างโน้นอย่างนี้ ตอนนั้นผมเบื่อเต็มที
จนกระทั่งได้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองจึงพบว่า
นี่คือคำสอนอันที่มีค่าอย่างยิ่ง ผมเคยเป็นคนขี้โมโห แต่ความโกรธทั้งหมดก็สลายไป
เคยเต็มไปด้วยอัตตาตัวตน แต่อัตตาก็สลายไป
เคยเต็มไปด้วยความกิเลสตัณหา แต่กิเลสตัณหาก็สลายไป
นี่คือเหตุผลที่ผมยอมรับคำสอนนี้อย่างเต็มใจ
ผมเที่ยวบอกใครๆ ให้มาทดลองด้วยตนเอง เพื่อจะพบว่า
นี่คือวิธีการที่มีค่าทั้งต่อตัวคุณและผู้อื่น
แต่ที่สำคัญคือคุณต้องปฏิบัติและพบกับประสบการณ์ทั้งหลายด้วยตนเอง
ลองมาเข้าคอร์ส 10 วันดู
แต่อย่ามาด้วยศรัทธางมงาย จงมาด้วยจิตใจอย่างนักวิทยาศาสตร์
มาเผชิญหน้ากับความจริงของธรรมชาติ
แล้วคอยดูกันว่าผลการทดลองเป็นอย่างไร
ธรรมะอันงดงามจะเปิดเผยออกมาตามธรรมขาติ "
https://www.facebook.com/ศิษย์เก่า-อโกเ ... /timeline/
บทสัมภาษณ์ท่านโกเอนก้า ที่เมืองอิกัตปุรี
" เคยมีหลายคนมาบอกผมว่าคำสอนของพระพุทธองค์ดีอย่างโน้นอย่างนี้ ตอนนั้นผมเบื่อเต็มที
จนกระทั่งได้ทดลองปฏิบัติด้วยตนเองจึงพบว่า
นี่คือคำสอนอันที่มีค่าอย่างยิ่ง ผมเคยเป็นคนขี้โมโห แต่ความโกรธทั้งหมดก็สลายไป
เคยเต็มไปด้วยอัตตาตัวตน แต่อัตตาก็สลายไป
เคยเต็มไปด้วยความกิเลสตัณหา แต่กิเลสตัณหาก็สลายไป
นี่คือเหตุผลที่ผมยอมรับคำสอนนี้อย่างเต็มใจ
ผมเที่ยวบอกใครๆ ให้มาทดลองด้วยตนเอง เพื่อจะพบว่า
นี่คือวิธีการที่มีค่าทั้งต่อตัวคุณและผู้อื่น
แต่ที่สำคัญคือคุณต้องปฏิบัติและพบกับประสบการณ์ทั้งหลายด้วยตนเอง
ลองมาเข้าคอร์ส 10 วันดู
แต่อย่ามาด้วยศรัทธางมงาย จงมาด้วยจิตใจอย่างนักวิทยาศาสตร์
มาเผชิญหน้ากับความจริงของธรรมชาติ
แล้วคอยดูกันว่าผลการทดลองเป็นอย่างไร
ธรรมะอันงดงามจะเปิดเผยออกมาตามธรรมขาติ "
-
- Verified User
- โพสต์: 135
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 579
ได้อ่านใน
https://www.facebook.com/ศิษย์เก่า-อโกเ ... /timeline/
ขอแก้ไข เป็น
ได้อ่านใน facebook/ศิษย์เก่า-อโกเอ็นก้า
ค่ะ
https://www.facebook.com/ศิษย์เก่า-อโกเ ... /timeline/
ขอแก้ไข เป็น
ได้อ่านใน facebook/ศิษย์เก่า-อโกเอ็นก้า
ค่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 53
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 582
เป็นลูกศิษย์ของ หลวงพ่อปราโมทย์ สวนสันติธรรม ศรีราชา ทาง internet ค่ะ
ผู้ที่สนใจ ลอง download MP3 ที่หลวงพ่อได้เทศน์ ณ สวนสันติธรรม เมื่อวันที่ 14 มิย.58 ( 580614.mp3) มาฟังดูนะคะ สรุปเรื่องการเจริญปัญญา ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเข้าไปที่ dhammada.net เลือกสถานที่แสดงธรรม และ เลือก File เพื่อ download หรือเปิดฟัง
ผู้ที่สนใจ ลอง download MP3 ที่หลวงพ่อได้เทศน์ ณ สวนสันติธรรม เมื่อวันที่ 14 มิย.58 ( 580614.mp3) มาฟังดูนะคะ สรุปเรื่องการเจริญปัญญา ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเข้าไปที่ dhammada.net เลือกสถานที่แสดงธรรม และ เลือก File เพื่อ download หรือเปิดฟัง
-
- Verified User
- โพสต์: 135
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 584
เมื่อวานได้อ่านใน
https://web.facebook.com/s.n.goenka/
ชอมมากค่ะ จึงอดที่จะpost ให้เพื่อนๆค่ะ
"หากเราปฏิบัติภาวนาโดยปราศจาก “สัมปชัญญะ” หรือ ไม่ตระหนักรู้ถึงการเกิดดับของเวทนาด้วยประสบการณ์ของตัวเราเอง ก็เท่ากับเรามิได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ หากแต่เป็นการปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์สมัยก่อนพระพุทธเจ้า หรือในสมัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้ถึง “อนิจจัง” ในระดับของ “เวทนา” คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับกาย เราก็จะไม่เกิด “สัมปชัญญะ” และถ้าไม่มี “สัมปชัญญะ” ก็จะไม่มีการหลุดพ้น...
ธรรมบรรยายของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ณ ธรรมสถาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๓
https://web.facebook.com/s.n.goenka/
ชอมมากค่ะ จึงอดที่จะpost ให้เพื่อนๆค่ะ
"หากเราปฏิบัติภาวนาโดยปราศจาก “สัมปชัญญะ” หรือ ไม่ตระหนักรู้ถึงการเกิดดับของเวทนาด้วยประสบการณ์ของตัวเราเอง ก็เท่ากับเรามิได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ หากแต่เป็นการปฏิบัติตามคำสอนของครูบาอาจารย์สมัยก่อนพระพุทธเจ้า หรือในสมัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้ถึง “อนิจจัง” ในระดับของ “เวทนา” คือ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับกาย เราก็จะไม่เกิด “สัมปชัญญะ” และถ้าไม่มี “สัมปชัญญะ” ก็จะไม่มีการหลุดพ้น...
ธรรมบรรยายของท่านอาจารย์โกเอ็นก้า ณ ธรรมสถาน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๓
-
- Verified User
- โพสต์: 135
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 585
อโรคยา ปรมาลาภา
สมัยพุทธกาล
พราหมณ์ผู้หนึ่งเอามือลูบกายตน ซึ่งเป็นกายที่มีอนามัยจึงมีความแข็งแรง ไม่รู้สึกว่าเป็นโรคอะไร ว่านี่แหละคือ นิพพาน
ก็คือหมายเอาความที่ไม่มีโรคทางกายปรากฏ กายจึงแข็งแรง พราหมณ์ก็ถือว่านี่แหละคือนิพพาน
ฝ่ายพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเป็นพระพุทธภาษิตไว้ว่า อโรคยะ ปรมาลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง
แต่ว่าทรงมุ่งหมายเอาถึงโรค คือกิเลส
เป็นต้นว่าความดิ้นรนทะยานอยากของจิตใจ
สิ้นกิเลสจึงจะเป็น อโรคยะ คือความไม่มีโรค
ก็คือจิตว่างกิเลส ที่เรียกว่าจิตว่าง อันความว่างกิเลสนี้ได้มีพระพุทธภาษิต" นิพพานัง ปรมัง สุญญัง" นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง ก็หมายถึงความว่างกิเลส
และได้มีศัพท์ธรรมะอีกคำหนึ่งเรียกว่า "สุญญตา" คือความว่าง
พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสรับรองว่า เมื่อก่อนนี้ก็ดี ในบัดนี้ก็ดี พระองค์คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ได้ทรงอยู่โดยมากด้วยสุญญตาวิหาร ธรรมะเป็นเครื่องอยู่คือสุญญตาความว่าง ต่อจากนั้นก็ได้ตรัสแสดงถึงการปฏิบัติธรรมสุญญตาคือความว่างไปโดยลำดับ ตั้งแต่ในเบื้องต้นเป็นข้อๆ ไปโดยลำดับ
พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา ๑
https://sites.google.com/site/smartdham ... y-suy-y-ta
พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา ๒-๖
http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... sd-002.htm
โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
สมัยพุทธกาล
พราหมณ์ผู้หนึ่งเอามือลูบกายตน ซึ่งเป็นกายที่มีอนามัยจึงมีความแข็งแรง ไม่รู้สึกว่าเป็นโรคอะไร ว่านี่แหละคือ นิพพาน
ก็คือหมายเอาความที่ไม่มีโรคทางกายปรากฏ กายจึงแข็งแรง พราหมณ์ก็ถือว่านี่แหละคือนิพพาน
ฝ่ายพระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเป็นพระพุทธภาษิตไว้ว่า อโรคยะ ปรมาลาภา ความไม่มีโรค เป็นลาภอย่างยิ่ง
แต่ว่าทรงมุ่งหมายเอาถึงโรค คือกิเลส
เป็นต้นว่าความดิ้นรนทะยานอยากของจิตใจ
สิ้นกิเลสจึงจะเป็น อโรคยะ คือความไม่มีโรค
ก็คือจิตว่างกิเลส ที่เรียกว่าจิตว่าง อันความว่างกิเลสนี้ได้มีพระพุทธภาษิต" นิพพานัง ปรมัง สุญญัง" นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง ก็หมายถึงความว่างกิเลส
และได้มีศัพท์ธรรมะอีกคำหนึ่งเรียกว่า "สุญญตา" คือความว่าง
พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสรับรองว่า เมื่อก่อนนี้ก็ดี ในบัดนี้ก็ดี พระองค์คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ได้ทรงอยู่โดยมากด้วยสุญญตาวิหาร ธรรมะเป็นเครื่องอยู่คือสุญญตาความว่าง ต่อจากนั้นก็ได้ตรัสแสดงถึงการปฏิบัติธรรมสุญญตาคือความว่างไปโดยลำดับ ตั้งแต่ในเบื้องต้นเป็นข้อๆ ไปโดยลำดับ
พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา ๑
https://sites.google.com/site/smartdham ... y-suy-y-ta
พระสูตรที่ว่าด้วยสุญญตา ๒-๖
http://www.dharma-gateway.com/monk/prea ... sd-002.htm
โดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก วัดบวรนิเวศวิหาร
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 586
ผมว่าการเจริญสติปัฏฐาน ๔ ทำแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง บรรพใดบรรพหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
เพราะเมื่อดูอย่างใดอย่างหนึ่ง จนเด่นชัด เห็นชัดแล้ว
ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงไป ความทนอยู่ไม่ได้ ความบังคับควบคุมอะไรไม่ได้ของมัน
เช่น ตามดูตามรู้ลมหายใจอยู่ก็เห็นว่า ลมหายใจบางทีมันสั้นบาง ยาวบ้าง หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง
หนักบ้าง เบาบ้าง แคบบ้าง ลึกบ้าง กว้างบ้าง บางบ้าง
เห็นว่าบางทีเหมือนจะควบคุมลมเข้าออกได้ บางครั้งก็คุมไม่ได้
เห็นว่าบางครั้งก็รู้ว่าหายใจอยู่ บางครั้งก็ไม่รู้ว่าหายใจอยู่
เห็นมันเกิดๆ ดับๆ หายใจเข้าเกิด หายใจออกดับ
หายใจเข้าเกิดดับไปพร้อมหายใจออกดับเกิด เกิดๆดับๆ เห็นมันหลากหลายแบบ
เห็นจนเห็นชัดว่ามันเปลี่ยนไปของมันเอง มันทนไม่ได้เอง กายนี้ต้องหายใจเข้าๆออกๆอยู่ตลอด
จะควบคุมบังคับอะไรมันไม่ได้เลย ถ้าลมนี่ยังทรงอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ก็ยังมีอยู่ ธาตุก็ไหลเข้าออกอยู่ อารมณ์ทุกข์สุขก็รู้อยู่
ก็ยังมีผู้รู้อยู่ มีจิตรู้อยู่ อาการรู้ไปในตัวรู้ของอารมณ์ก็ยังมีอยู่ ยังมีจิตรู้ในตัวรู้ของอารมณ์รู้ของจิตอยู่
การดูลมหายใจไปอย่างเดียวก็ทำให้รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ไปพร้อมๆ กัน
เมื่อเห็นบ่อยๆ รู้บ่อยๆ จนเบื่อหน่าย ก็เบื่อการเกิดดับ เบื่อแล้วก็ยังดูต่อไป
ก็เห็นชัดว่ามันเป็นเช่นนี้เอง ยอมรับได้ ไม่สงสัยอีก ธรรมชาติก็คือธรรม จบ
เพราะเมื่อดูอย่างใดอย่างหนึ่ง จนเด่นชัด เห็นชัดแล้ว
ก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงไป ความทนอยู่ไม่ได้ ความบังคับควบคุมอะไรไม่ได้ของมัน
เช่น ตามดูตามรู้ลมหายใจอยู่ก็เห็นว่า ลมหายใจบางทีมันสั้นบาง ยาวบ้าง หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง
หนักบ้าง เบาบ้าง แคบบ้าง ลึกบ้าง กว้างบ้าง บางบ้าง
เห็นว่าบางทีเหมือนจะควบคุมลมเข้าออกได้ บางครั้งก็คุมไม่ได้
เห็นว่าบางครั้งก็รู้ว่าหายใจอยู่ บางครั้งก็ไม่รู้ว่าหายใจอยู่
เห็นมันเกิดๆ ดับๆ หายใจเข้าเกิด หายใจออกดับ
หายใจเข้าเกิดดับไปพร้อมหายใจออกดับเกิด เกิดๆดับๆ เห็นมันหลากหลายแบบ
เห็นจนเห็นชัดว่ามันเปลี่ยนไปของมันเอง มันทนไม่ได้เอง กายนี้ต้องหายใจเข้าๆออกๆอยู่ตลอด
จะควบคุมบังคับอะไรมันไม่ได้เลย ถ้าลมนี่ยังทรงอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ก็ยังมีอยู่ ธาตุก็ไหลเข้าออกอยู่ อารมณ์ทุกข์สุขก็รู้อยู่
ก็ยังมีผู้รู้อยู่ มีจิตรู้อยู่ อาการรู้ไปในตัวรู้ของอารมณ์ก็ยังมีอยู่ ยังมีจิตรู้ในตัวรู้ของอารมณ์รู้ของจิตอยู่
การดูลมหายใจไปอย่างเดียวก็ทำให้รู้ กาย เวทนา จิต ธรรม ไปพร้อมๆ กัน
เมื่อเห็นบ่อยๆ รู้บ่อยๆ จนเบื่อหน่าย ก็เบื่อการเกิดดับ เบื่อแล้วก็ยังดูต่อไป
ก็เห็นชัดว่ามันเป็นเช่นนี้เอง ยอมรับได้ ไม่สงสัยอีก ธรรมชาติก็คือธรรม จบ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 587
ขอบพระคุณน้องเดชอย่างสูงครับ
ศิษย์โง่อย่างพี่ยังต้องฝึกอีกเยอะ
ศิษย์โง่อย่างพี่ยังต้องฝึกอีกเยอะ
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 588
ได้ทราบว่าคุณ sakkaphan จะไปบวช และคุณ sakkaphan ก็เคยได้ประกาศเอาไว้ว่า ตั้งเป้า ตั้งความปรารถนา ที่จะบรรลุธรรมขั้นสูงสุด
ในชีวิตผม ผมพึ่งจะได้เจอคนที่ตั้งเป้าหมายชีวิตในระดับนี้เป็นคนแรก และคนๆ นั้นก็พยายามที่จะทำมันให้สำเร็จ ซึ่งผมก็หวังและก็อยากที่จะให้คุณ sakkaphan ทำเป้าหมายที่ให้สำเร็จเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ช่วงสิ้นปี เพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง ได้ลาออกจากงาน เพื่อมาปฏิบัติธรรม ทั้งๆ ที่ชีวิตก็ยังไม่ได้มีอิสรภาพทางการเงิน แต่เค้าบอกว่า ชีวิตนี้มันสั้นนัก หากจะรอจนกว่าถึงเวลาที่พร้อมจริงๆ โอกาสอาจจะผ่านไป และหายไปแล้ว ดังนั้นเค้าจึงตัดสินใจออกจากงานมารอดูสัก 2 ปี ทุ่มเทเวลากับการปฏิบัติธรรม
เขาเหล่านี้ แม้ว่าในสายตาคนปกติทั่วไปแล้วอาจจะเป็นคนแปลก เป็นคนผิดปกติ แต่ถ้าลองได้ย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่คุณ sakkaphan เขียนเกี่ยวกับสุขกับทุกข์ ตลอดจนวงจรสุขและทุกข์ ผมเชื่อว่า ในบางครั้ง ในบางจังหวะ ในบางช่วงของชีวิตตัวเราเองก็พอที่จะเห็นวงจรอันไม่จบไม่สิ้นของสุขที่นำไปสู่ทุกข์ใหม่ๆ ของตัวเราเองได้เช่นกัน จนบางครั้งตัวเราเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการตามล่าความสุขอย่างไม่จบไม่สิ้น จนต้องถามตัวเองว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร
และเราก็อาจจะมีความคิดที่อย่างจะสลัดให้หลุดจากโลกอันเต็มไปด้วยความวุ่นวาย สลัดให้หลุดจากความสุขจอมปลอม ที่ปรากฎขึ้นเพียงขณะหนึ่ง แล้วก็มลายหายไป ราวกับพยับแดด เพื่อแสวงหาความสุขที่แท้จริงอันเกิดจากภายใน โดยไม่จำเป็นต้องพุ่งออกไปแสวงหาจากภายนอก
แต่แล้วความกลัวที่จะออกไปเผชิญกับสิ่งใหม่ สถานการณ์ใหม่ๆ กลับฉุดรั้งตัวเราเอาไว้ไม่ได้เดินก้าวออกไป สุดท้ายเราจึงได้แต่คิด และไม่ได้ทำสักที แต่แล้วก็มีคนบางคนที่มีความกล้าหาญมากเพียงพอที่จะก้าวเดินเต็มเส้นทางที่พระพุทธเจ้าได้ให้แนวทางเอาไว้ มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะสลัดความสุขทางโลก เข้าสู่ทางธรรม
สำหรับผมแล้ว การได้เห็นเพื่อนๆ 2 คนนี้มีความกล้าหาญที่จะตัดสินใจทำสิ่งที่เด็ดเดี่ยวเหล่านี้ เป็นน้ำทิพย์จากฟากฟ้าที่ใสเย็นนำความชุ่มชื่นมาสู่จิตใจผมเป็นอย่างมาก จึงอยากขอเป็นกำลังใจให้กับคนทั้ง 2 ตลอดจนผู้กล้าทั้งหลายที่กำลังทำความเพียรเพื่อเผากิเลสของตน
ผมขออ้างถึงบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้เคยทำมา ทั้งทาน ศีล ภาวนา จนเป็นเหตุปัจจัย ให้ทุกๆ ท่านที่กำลังเพียรเผากิเลส ได้มีความเข้มแข็ง มีความกล้าหาญ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์พร้อมด้วยพละ 5 และ โพชฌงค์ 7 สามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี ได้เห็นธรรมอันละเอียดลึกซึ้ง จนได้บรรลุเป้าหมายที่แต่ละคนได้ตั้งเอาไว้ด้วยเทอญ
ในชีวิตผม ผมพึ่งจะได้เจอคนที่ตั้งเป้าหมายชีวิตในระดับนี้เป็นคนแรก และคนๆ นั้นก็พยายามที่จะทำมันให้สำเร็จ ซึ่งผมก็หวังและก็อยากที่จะให้คุณ sakkaphan ทำเป้าหมายที่ให้สำเร็จเป็นอย่างยิ่ง
ก่อนหน้านี้ช่วงสิ้นปี เพื่อนสนิทผมคนหนึ่ง ได้ลาออกจากงาน เพื่อมาปฏิบัติธรรม ทั้งๆ ที่ชีวิตก็ยังไม่ได้มีอิสรภาพทางการเงิน แต่เค้าบอกว่า ชีวิตนี้มันสั้นนัก หากจะรอจนกว่าถึงเวลาที่พร้อมจริงๆ โอกาสอาจจะผ่านไป และหายไปแล้ว ดังนั้นเค้าจึงตัดสินใจออกจากงานมารอดูสัก 2 ปี ทุ่มเทเวลากับการปฏิบัติธรรม
เขาเหล่านี้ แม้ว่าในสายตาคนปกติทั่วไปแล้วอาจจะเป็นคนแปลก เป็นคนผิดปกติ แต่ถ้าลองได้ย้อนกลับไปอ่านสิ่งที่คุณ sakkaphan เขียนเกี่ยวกับสุขกับทุกข์ ตลอดจนวงจรสุขและทุกข์ ผมเชื่อว่า ในบางครั้ง ในบางจังหวะ ในบางช่วงของชีวิตตัวเราเองก็พอที่จะเห็นวงจรอันไม่จบไม่สิ้นของสุขที่นำไปสู่ทุกข์ใหม่ๆ ของตัวเราเองได้เช่นกัน จนบางครั้งตัวเราเองก็รู้สึกเบื่อหน่ายกับการตามล่าความสุขอย่างไม่จบไม่สิ้น จนต้องถามตัวเองว่าความสุขที่แท้จริงคืออะไร
และเราก็อาจจะมีความคิดที่อย่างจะสลัดให้หลุดจากโลกอันเต็มไปด้วยความวุ่นวาย สลัดให้หลุดจากความสุขจอมปลอม ที่ปรากฎขึ้นเพียงขณะหนึ่ง แล้วก็มลายหายไป ราวกับพยับแดด เพื่อแสวงหาความสุขที่แท้จริงอันเกิดจากภายใน โดยไม่จำเป็นต้องพุ่งออกไปแสวงหาจากภายนอก
แต่แล้วความกลัวที่จะออกไปเผชิญกับสิ่งใหม่ สถานการณ์ใหม่ๆ กลับฉุดรั้งตัวเราเอาไว้ไม่ได้เดินก้าวออกไป สุดท้ายเราจึงได้แต่คิด และไม่ได้ทำสักที แต่แล้วก็มีคนบางคนที่มีความกล้าหาญมากเพียงพอที่จะก้าวเดินเต็มเส้นทางที่พระพุทธเจ้าได้ให้แนวทางเอาไว้ มุ่งมั่น ตั้งใจที่จะสลัดความสุขทางโลก เข้าสู่ทางธรรม
สำหรับผมแล้ว การได้เห็นเพื่อนๆ 2 คนนี้มีความกล้าหาญที่จะตัดสินใจทำสิ่งที่เด็ดเดี่ยวเหล่านี้ เป็นน้ำทิพย์จากฟากฟ้าที่ใสเย็นนำความชุ่มชื่นมาสู่จิตใจผมเป็นอย่างมาก จึงอยากขอเป็นกำลังใจให้กับคนทั้ง 2 ตลอดจนผู้กล้าทั้งหลายที่กำลังทำความเพียรเพื่อเผากิเลสของตน
ผมขออ้างถึงบุญกุศลทั้งหมดทั้งมวลที่ผมได้เคยทำมา ทั้งทาน ศีล ภาวนา จนเป็นเหตุปัจจัย ให้ทุกๆ ท่านที่กำลังเพียรเผากิเลส ได้มีความเข้มแข็ง มีความกล้าหาญ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์พร้อมด้วยพละ 5 และ โพชฌงค์ 7 สามารถก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ด้วยดี ได้เห็นธรรมอันละเอียดลึกซึ้ง จนได้บรรลุเป้าหมายที่แต่ละคนได้ตั้งเอาไว้ด้วยเทอญ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 589
ขออนุโมทนาบุญกับทั้ง 2 ท่านที่คุณ picatos กล่าวมาด้วยนะครับ
ถึงแม้จะไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ตาม เพราะอริยทรัพย์นั้นประเสริฐที่สุดแล้ว
ส่วนตัวผมเองก็ตั้งใจว่าจะเกษียณ(ตัวเอง)ภายในกลางปีนี้เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอิสรภาพทางการเงินอย่างเต็มตัวก็ตาม แต่ก็พอมั่นใจว่าจะประคับประคองตัวเองและครอบครัวได้
ตอนแรกแจ้งหัวหน้างานไป ก็พากันตกอก ตกใจเหมือนกัน แต่พอบอกว่าจะออกไปปฏิบัติธรรม
ผลกลับกลายเป็นว่าทุกคนต่างอนุโมทนาและสาธุการในเจตนานั้นของผม
เพราะทุกคนรู้ว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในความเป็นมนุษย์
ผมคงยังไม่บวชในเร็ววัน เพราะจากการฝึกตนมาพอทำให้รู้สภาวะจิตของตน
ว่าเป็นคนที่มีจริตแบบไหน เลยจะออกไปค่อยๆฝึก ค่อยๆปฏิบัติที่บ้านบ้าง ที่วัดบ้าง
ตามสภาพความเหมาะสม จนเมื่อถึงเวลาที่พร้อมแล้วก็ค่อยนำมาพิจารณาว่าสมควรแก่การทำอย่างไรต่อไป
ปลายเดือนที่แล้ว ได้มีโอกาสไปทำบุญที่อุดร ในหลายๆวัด ได้ไปทำบุญกับหลวงปู่ลี วัดป่าภูผาแดง
หลวงพ่อจันทร์เรียน วัดถ้าสหาย ฟังท่านเทศน์เรื่องการทำสมาธิ
ได้สนทนาธรรมและวิธีการแก้จิต จากท่านพระอาจารย์วันชัย วัดภูสังโฆ ได้เล่าเรื่องชีวิตให้ท่านฟัง
และท่านอธิบายสภาวะจิตที่เสื่อมของผมนั้นเกิดจากสิ่งใด
ซึ่งได้ฟังแล้วรู้สึกเหมือนจิตที่เคยมืดบอดกลับสว่างไสว มีกำลังขึ้นมาอีกครั้ง เพราะได้รู้ถึงสาเหตุของจิตที่ติดขัด
ได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์สิน วัดภูจ้อก้อ ที่เพื่อนแนะนำว่า
ท่านเป็นผู้ที่จบหลักสูตรอนุบาลแล้วอย่างถึงพริกถึงขิง จนถึงขนาดลืมเวลาไปเลย
จนท่านว่า “นี่แหละคืออาการเบื่อโลก” เหมือนที่ท่านเคยเป็นมาก่อนออกบวช
ที่ได้ยกตัวอย่างการเข้าหาครูอาจารย์ เพราะท่านเหล่านี้คือผู้ได้รับการฝึกตนมา
ตามลับดับขั้นอย่างดีแล้ว ผมเองเมื่อได้รับฟังครูอาจารย์แนะนำในสิ่งที่ติดขัด
และในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ก็ได้พบว่าครูอาจารย์นี้เอง คือผู้ที่ทรงคุณอันยิ่งใหญ่
สมควรแก่การเคารพ นบนอบ เป็นอย่างยิ่ง จึงไม่สงสัยเลยว่า
เหตุใดในวงพระกรรมฐาน พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถึงได้เทิดทูนครูอาจารย์ของท่านอย่างสุดหัวใจ
ถึงแม้จะไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวก็ตาม เพราะอริยทรัพย์นั้นประเสริฐที่สุดแล้ว
ส่วนตัวผมเองก็ตั้งใจว่าจะเกษียณ(ตัวเอง)ภายในกลางปีนี้เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีอิสรภาพทางการเงินอย่างเต็มตัวก็ตาม แต่ก็พอมั่นใจว่าจะประคับประคองตัวเองและครอบครัวได้
ตอนแรกแจ้งหัวหน้างานไป ก็พากันตกอก ตกใจเหมือนกัน แต่พอบอกว่าจะออกไปปฏิบัติธรรม
ผลกลับกลายเป็นว่าทุกคนต่างอนุโมทนาและสาธุการในเจตนานั้นของผม
เพราะทุกคนรู้ว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในความเป็นมนุษย์
ผมคงยังไม่บวชในเร็ววัน เพราะจากการฝึกตนมาพอทำให้รู้สภาวะจิตของตน
ว่าเป็นคนที่มีจริตแบบไหน เลยจะออกไปค่อยๆฝึก ค่อยๆปฏิบัติที่บ้านบ้าง ที่วัดบ้าง
ตามสภาพความเหมาะสม จนเมื่อถึงเวลาที่พร้อมแล้วก็ค่อยนำมาพิจารณาว่าสมควรแก่การทำอย่างไรต่อไป
ปลายเดือนที่แล้ว ได้มีโอกาสไปทำบุญที่อุดร ในหลายๆวัด ได้ไปทำบุญกับหลวงปู่ลี วัดป่าภูผาแดง
หลวงพ่อจันทร์เรียน วัดถ้าสหาย ฟังท่านเทศน์เรื่องการทำสมาธิ
ได้สนทนาธรรมและวิธีการแก้จิต จากท่านพระอาจารย์วันชัย วัดภูสังโฆ ได้เล่าเรื่องชีวิตให้ท่านฟัง
และท่านอธิบายสภาวะจิตที่เสื่อมของผมนั้นเกิดจากสิ่งใด
ซึ่งได้ฟังแล้วรู้สึกเหมือนจิตที่เคยมืดบอดกลับสว่างไสว มีกำลังขึ้นมาอีกครั้ง เพราะได้รู้ถึงสาเหตุของจิตที่ติดขัด
ได้สนทนาธรรมกับพระอาจารย์สิน วัดภูจ้อก้อ ที่เพื่อนแนะนำว่า
ท่านเป็นผู้ที่จบหลักสูตรอนุบาลแล้วอย่างถึงพริกถึงขิง จนถึงขนาดลืมเวลาไปเลย
จนท่านว่า “นี่แหละคืออาการเบื่อโลก” เหมือนที่ท่านเคยเป็นมาก่อนออกบวช
ที่ได้ยกตัวอย่างการเข้าหาครูอาจารย์ เพราะท่านเหล่านี้คือผู้ได้รับการฝึกตนมา
ตามลับดับขั้นอย่างดีแล้ว ผมเองเมื่อได้รับฟังครูอาจารย์แนะนำในสิ่งที่ติดขัด
และในสิ่งที่ไม่เคยรู้ ก็ได้พบว่าครูอาจารย์นี้เอง คือผู้ที่ทรงคุณอันยิ่งใหญ่
สมควรแก่การเคารพ นบนอบ เป็นอย่างยิ่ง จึงไม่สงสัยเลยว่า
เหตุใดในวงพระกรรมฐาน พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถึงได้เทิดทูนครูอาจารย์ของท่านอย่างสุดหัวใจ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 590
ขอแสดงความยินดีกับพี่ tum_H ด้วยนะครับ ที่ตั้งจิตปรารถนาที่จะทำกุศลในระดับนี้ได้ เพื่อนของผมที่ผมเล่ามาก่อนหน้า ก็ทำคล้ายๆ พี่ tum_H เหมือนกันครับ คือ ออกมาทำในสถานะของฆราวาส โดยก่อนหน้านี้ 2-3 ปีภรรยาของเขาซึ่งประสบความสำเร็จในอาชีพทางการงานอย่างมาก ลาออกมาก่อนจากการไม่เห็นสาระของการแสวงหาทางโลก
พี่ tum_H มีครอบครัวแล้วเหรอครับ? ถ้ามี มีลูกด้วยหรือเปล่าครับ? ไม่ทราบว่าครอบครัวของพี่มีความเห็นต่อแผนการของพี่อย่างไรบ้างครับ?
พี่ tum_H มีครอบครัวแล้วเหรอครับ? ถ้ามี มีลูกด้วยหรือเปล่าครับ? ไม่ทราบว่าครอบครัวของพี่มีความเห็นต่อแผนการของพี่อย่างไรบ้างครับ?
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 591
คุณ picatos กับผมรุ่นราวคราวเดียวกัน ขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกพี่นะครับ 555picatos เขียน:พี่ tum_H มีครอบครัวแล้วเหรอครับ? ถ้ามี มีลูกด้วยหรือเปล่าครับ? ไม่ทราบว่าครอบครัวของพี่มีความเห็นต่อแผนการของพี่อย่างไรบ้างครับ?
ผมยังไม่มีครอบครัวครับ ยังไม่แต่งงาน ไม่มีลูก
ไม่มีบ้าน มีแค่รถยนต์รุ่นเก่า และไม่มีภาระหนี้ใดๆ นอกจากหนี้บุญคุณของบิดามารดา
ปัจจุบันทำงานก็เช่าอพาร์ตเมนต์อยู่มา 13 ปีล่ะ หากลาออกไป ก็กลับไปอยู่บ้านกับพ่อแม่
มีที่ดินนิดหน่อย มีสวนพอจะปลูกเรือนหลังเล็ก แล้วไปปฏิบัติธรรมหาความวิเวกให้ตน
ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่หาไว้ ก็เผื่อเอาไว้สำหรับท่านในยามบั้นปลาย
มักมีหลายคนชอบบอกว่า ตัวผมก็ตัวคนเดียว ภาระก็ไม่มี จะมามีทุกข์เหมือนคนอื่นเหรอ
แต่ที่จริง ผมไม่ได้มีตัวคนเดียว มีครอบครัวคือพ่อแม่ ผู้ให้กำเนิด ผู้มีคุณสูงที่สุด
ดังนั้นบางคนชอบพูดว่า หาเงินมาทำไมมากมายไม่ใช้ ตัวก็ตัวคนเดียว ตายไปก็ไม่ได้ใช้
แต่มีน้อยคนนักที่นึกถึงพ่อแม่ การที่เราจะออกแสวงหาสัจจธรรมแห่งชีวิต
สำหรับผมผู้มีคุณคือพ่อแม่ ก็ต้องไม่ลำบาก ไม่มีห่วง ผมเองก็หมดห่วงเช่นกัน
ผมเป็นคนสันโดษมาแต่เด็กจนปัจจุบัน ก็ไม่ค่อยชอบยุ่งวุ่นวายกับใคร
คงเป็นเพราะบุพกรรมความตั้งใจแต่หนหลังที่ทำมา หากถามถึงความตั้งใจสูงสุด
ก็คือ การไม่กลับมา ไปพักอยู่ที่พรหม และไปนิพพานเลย หรือหากความเพียรถึงขีดสุด ก็คงไม่มีความหลงผิดอีกต่อไป
เมื่อก่อนพ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง ก็ไม่ค่อยเห็นด้วย แต่หลังๆพอเห็นผม ทำบุญ ให้ทาน รักษาศีล
ท่านเหล่านั้นได้เห็นถึงความแตกต่างที่เกิดขึ้น จนทำให้จิตของท่านคล้อยตาม
จนถึงบัดนี้ ท่านเองก็ได้มีโอกาสปฏิบัติธรรมบ้าง จิตเริ่มรู้ถึงกุศล และน้อมใจเข้าไปได้ระดับหนึ่ง
และท่านคงเห็นผลของการให้ทานอันปราณีต ที่ผมได้ทำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลให้ผมดูเหมือนคนที่เปี่ยมสุข
จากผลของการตั้งมั่นในการพยายามที่จะลด ละ เลิก ในอบายทั้งปวงครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 592
คุณ tum_H ไม่มีภรรยา หรือ บุตร อย่างนี้ เป้าหมายที่หวังเอาไว้ก็คงจะได้ไม่ยาก หากไม่ละความเพียร ก็ขออวยพรให้คุณ tum_H ได้ถึงเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้โดยเร็ววันนะครับ
ผมเห็นคุณ tum_H เขียน motto เอาไว้ข้างล่างเกี่ยวกับการหยุดโทสะและกามราคะ อันเป็นเหตุให้ถึงเป้าหมายขั้นต้นที่คุณ tum_H ได้วางเอาไว้ เลยอยากจะทราบแนวคิด กลยุทธ์ และวิธีการในการให้เข้าถึงความดับสนิทของโทสะและกามราคะ ที่คุณ tum_H ใช้อยู่ หรือวางแผนที่จะทำในอนาคตหน่อยได้ไหมครับ? เผื่อว่าผมจะได้ปรับเอาวิธีการของคุณ tum_H มาใช้บ้าง
โดยธรรมชาติของผม หลักๆ แล้วโทสะของผมมักจะเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ การยึดมั่นถือมั่นในความคิดและอุดมคติ กับ การมีคนรักของตัวเองเป็นอัตตา ส่วนกามราคะของผมมักจะแฝงมาจากความพยายามปรนนิบัติเอาอกเอาใจภรรยา สิ่งที่ผมพยายามฝึกฝนขัดเกลานอกจากการปลีกวิเวกจากทางโลกไปปฏิบัติธรรมแล้ว ในชีวิตประจำวันช่วงที่กลับมาอยู่กับทางโลกก็พยายามสังเกตการปรุงแต่งของกิเลสเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งก็พบว่ามันก็เบาบางลง แต่ก็ยังมีอีกเยอะเหลือเกินที่ต้องขัดเกลาอีก
ผมเห็นคุณ tum_H เขียน motto เอาไว้ข้างล่างเกี่ยวกับการหยุดโทสะและกามราคะ อันเป็นเหตุให้ถึงเป้าหมายขั้นต้นที่คุณ tum_H ได้วางเอาไว้ เลยอยากจะทราบแนวคิด กลยุทธ์ และวิธีการในการให้เข้าถึงความดับสนิทของโทสะและกามราคะ ที่คุณ tum_H ใช้อยู่ หรือวางแผนที่จะทำในอนาคตหน่อยได้ไหมครับ? เผื่อว่าผมจะได้ปรับเอาวิธีการของคุณ tum_H มาใช้บ้าง
โดยธรรมชาติของผม หลักๆ แล้วโทสะของผมมักจะเกิดจาก 2 สาเหตุ คือ การยึดมั่นถือมั่นในความคิดและอุดมคติ กับ การมีคนรักของตัวเองเป็นอัตตา ส่วนกามราคะของผมมักจะแฝงมาจากความพยายามปรนนิบัติเอาอกเอาใจภรรยา สิ่งที่ผมพยายามฝึกฝนขัดเกลานอกจากการปลีกวิเวกจากทางโลกไปปฏิบัติธรรมแล้ว ในชีวิตประจำวันช่วงที่กลับมาอยู่กับทางโลกก็พยายามสังเกตการปรุงแต่งของกิเลสเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งก็พบว่ามันก็เบาบางลง แต่ก็ยังมีอีกเยอะเหลือเกินที่ต้องขัดเกลาอีก
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 593
อนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยนะครับ
ทุกครั้งที่เข้ามาอ่าน
ได้เห็นความตั้งใจของทุกคน
เห็นพัฒนาการที่น่าชึ่นชม
ก็ทำให้ตัวเองมีกำลังใจในการเดินในเส้นทางนี้มากขึ้นครับ
ทุกครั้งที่เข้ามาอ่าน
ได้เห็นความตั้งใจของทุกคน
เห็นพัฒนาการที่น่าชึ่นชม
ก็ทำให้ตัวเองมีกำลังใจในการเดินในเส้นทางนี้มากขึ้นครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 594
ก่อนอื่นก็ต้องขอออกตัวก่อนนะครับว่า ผมก็ยังลุ่มๆดอนๆอยู่ อาศัยอ่านจากที่คุณ picatos เขียนไว้ก็มากpicatos เขียน:ผมเห็นคุณ tum_H เขียน motto เอาไว้ข้างล่างเกี่ยวกับการหยุดโทสะและกามราคะ อันเป็นเหตุให้ถึงเป้าหมายขั้นต้นที่คุณ tum_H ได้วางเอาไว้ เลยอยากจะทราบแนวคิด กลยุทธ์ และวิธีการในการให้เข้าถึงความดับสนิทของโทสะและกามราคะ
หลักใดใช้กับตัวเองและเหมาะกับจริต ก็จะนำมาใช้อบรมตนและจิต
ขออนุโมทนาในธรรมทานของคุณ picatos ด้วยเช่นกันครับ
ในส่วนของกามราคะและโทสะนั้น เมื่อก่อนผมนั้นติดและหลงกับมันมาก
คงเป็นเพราะธรรมชาติของจิตที่เคยเกิดขึ้นมาหลายกัป จนส่งผลถึงปัจจุบันชาติ
พอเริ่มมาเอาจริงเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาเลยพอได้อุบายธรรมเป็นเครื่องระลึกรู้
ตอนต้นในการฝึกผมไม่ได้อบรมกายและจิต ด้วยการให้ทาน รักษาศีล เจริญภานาอย่างประณีตเท่าที่ควร
กล่าวคือทำแบบหยาบๆ ผ่านๆไป ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ได้มีโอกาสได้ลิ้มรสของฌาน
ว่าจริงๆแล้วสมาธิในแบบของพระตถาคตเจ้า ที่พระองค์ทรงสอนไว้นั้นเป็นจริงตามพระบาลี
เหมือนคนที่พึ่งได้ในสิ่งที่พึงปรารถนามานานแม้เพียงแค่เศษเสี้ยวของเวลา
ย่อมรู้สึกติดในรสนั้นเหมือนมีพันธนาการผูกรัดให้ยึดติดแน่นไปอีก จนในที่สุดจิตก็เสื่อม
ไม่สามารถกลับไปจุดเดิมได้อีก ความกระวนกระวายย่อมบังเกิดจนนำมาซึ่งการถอดใจ
แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดพร้อมขึ้นมาคือ ปัญญา กล่าวคือเกิดการพิจารณาว่าเหตุใดหนอจึงเป็นเช่นนั้น
แม้ยังไม่สามารถรู้ถึงสาเหตุ แต่การติดตึงและยึดมั่นในความคิด
เริ่มค่อยๆเบาลงเปลี่ยนเป็นการหาอุบายอื่นมาเกลากิเลสแทน
หลวงตามหาบัวท่านรจนาหนังสือชื่อ ปัญญาอบรมสมาธิ
หลวงพ่อพุธท่านนำหลักการนี้มาสอน กล่าวคือ จริตของคนบางคนเริ่มจากสมาธิและไปเจริญปัญญา
แต่บางคนทำสมาธิไม่ได้ล่ะ ก็ต้องถอยหลังกลับคือ เจริญปัญญาก่อนแล้วสมาธิจะเกิดเอง
ด้วยหลักการนี้ ผมพิจารณาตนแล้วว่า ด้วย ทาน ศีล และภาวนาของผมนั้นยังลุ่มๆดอนๆ
ดังนั้นเราจักทำให้ประณีตยิ่งขึ้น โดยเริ่มจากทานก่อน ค่อยๆเป็นลำดับขึ้นไป
โดยทำทานให้มีบารมีเต็มนั้น ได้อาศัยหลักของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ว่า
เมื่อบารียังไม่เต็มก็ให้เลือกทำ ทำเฉพาะสิ่งที่ทำให้กำลังใจเต็ม คือทำเฉพาะที่อยากทำ
ทำแล้วให้ถึงพร้อมทั้ง 3 ให้ เมื่อบารีเต็ม การให้ทานจะไม่มีลิมิตของมันเองโดยอัตโนมัติ
จึงเกิดปรากฏการที่ผมมุ่งทำทานกับพระอริยะเป็นหลัก เพราะอาศัยจริตข้อนี้
ผลที่ได้คือ เวลาทำทานแล้วจิตจะเปลี่ยมสุข ตัวเบาหวิว เหมือนล่องลอยในอากาศ
เป็นสุขที่ยากจะมีหรือไม่เคยประสบพบเจอกับชีวิตตนมาก่อนเลยก็ว่าได้
บางครั้งทั้งวันนั้นจิตจะทรงอยู่ในสุขด้วยผลแห่งทานนั้น
เมื่อการยึดมั่นถือมั่นลด ศีลก็เริ่มเป็นปรกติ (แต่ตอนนี้ยังชอบพูดมาก เลยยังติดในขั้นนี้อยู่)
เมื่อทาน ศีล มา ปัญญาก็บังเกิด โดยอาศัยหลักของหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ว่า
พึงกล่าวโทษโจษตนเอง อย่าไปกล่าวโทษโจษคนอื่น เมื่อคนอื่นทำให้เราไม่พอใจ
อารมณ์จะพุ่งขึ้นแต่ปัญญาจะเกิดขึ้นตามแก้ว่า โอหนอเราก็เคยเป็นแบบนี้ หากเราว่าเขา
ก็จะรู้สึกระอายเพราะไม่ต่างอะไรจากอดีตของตน ที่เคยเป็นผู้หลงอยู่
โทสะที่มีจะค่อยเบาบางลง จนถึงตอนนี้เกิดได้ไม่เกิน 1 วันก็หาย และในความโกรธนั้นจะไม่มีความพยาบาท เครียดแค้น
แต่จะเป็นการเวทนาและพยายามหลีกหนีจากคนประเภทนั้น โดยไม่ไปหาเรื่องหาราวกับเขาถึงแม้เขาจะยังทำกับเราก็ตาม
ความยึดมั่นที่มีจะเริ่มเบาลง บางทีเรามีตำแหน่ง เราก็ยึดติด ไม่มีก็อยากได้
อุบายธรรมที่เกิดขึ้นโดยอาศัยพระศาสดาที่เป็นถึงบุตรพระมหากษัตริย์
ยังทรงสละจากผู้ที่มี กลายเป็นผู้ขอแทน น้อมเข้ามาเกลาจิต ทำให้จิตระลึกรู้ว่า
โอหนอ จริงๆเราไม่มีอะไรที่ต้องห่วง เพราะผู้ที่สมควรห่วง พระองค์ยังไม่ห่วงเลย
ปัญญาจึงอบรมจิตโดยปริยาย ความยึดมั่น ถือมั่นลด พรหมวิหารสี่เกิด โทสะก็บรรเทาลง
หรือเมื่อเกิดขึ้นปัญญาคือเครื่องแก้ก็จะเกิดตามมาอันเป็นของคู่กันครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 595
เมื่อก่อนผมเป็นผู้ที่ยังหลงหนักมาก ตอนนี้ก็ยังหลงอยู่
พระอรหัน ที่มีจิตเหนือสังขาร ไม่มีอารมณ์รำคาญ ไม่หลงไม่ลืม มีเพียงพระองค์เดียวคือ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระบาลีกล่าวว่า
ด้วยผลของกรรมเก่าทำให้ท่านพระอัสสชิเถระ ป่วยได้รับทุกขเวทนาอย่างหนัก
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมจึงทูลถามพระพุทธเจ้าว่า คุณความดีของข้าพระพุทธเจ้าเสื่อมแล้วหรือ
เหตุใดถึงได้รับเวทนาแสนสาหัสจนระงับไม่ได้ พระองค์ตรัสถามว่า
เธอยังเห็นว่าเธอมีในกาย กายนี้เป็นของเธออยู่หรือไม่ ,
ไม่ พระเจ้าข้า พระอัสสชิเถระตอบ หากเธอยังมีสติระลึกอยู่อย่างนี้ คุณความดีของเธอไม่มีทางเสื่อม
พระศาสดาทรงรับรองก่อนที่พระอัสสชิเถระจะนิพพานในคราวนั้น
กามราคะ ก็เช่นกัน ล้วนถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากสังขารนี้
หลวงปู่มั่นท่านว่า เมื่อตาแลไปเห็นกาย ทำให้จิตใจกำเริบ ใจก็สั่งให้กายทำตามความต้องการ อันเป็นกามราคะ คือความปรารถนาที่ไม่รู้จักพอ
หลวงพ่อพุธท่านกล่าวว่า คนเรานี่แปลก ถ้าไม่มีกาย ก็คิดไม่เป็น
กามราคะ จึงเป็นหนึ่งในส่วนที่สุดใน 2 อย่างที่พระศาสดาตรัสว่า
เป็นสิ่งบรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนตัวผมเอง สติเริ่มมีพัฒนาการเรื่องนี้เมื่อประมาณปีกว่าๆ ที่ผ่านมานี้เอง
อาจเป็นเพราะว่าได้ประสบพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดเวทนากับจิตขึ้นมากับตัว
(ผมเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาทุกคน จะได้เจอกับเวทนานั้นกับตัวเอง)
ผมพบว่ากายนี้เป็นของสกปรกน่ารังเกียจ ผู้คนรอบข้างถูกห่อหุ้มด้วยความสกปรกน่ารังเกียจเหล่านั้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าเรารังเกียจนะครับ แต่เป็นเวทนาที่เกิดขึ้น
คนไม่สวยก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ คนสวยก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ
คนรวยก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ คนจนก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ
เหตุใดจึงเกิดอารมณ์นั้น นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่เราได้เจอสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดและไม่มีที่ติ กลับมีที่ติ
อารมณ์ของเราจะน้อมให้เกิดปัญญาว่า มีแต่ความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ ทั้งเราและเขา อสุภจะเกิดขึ้นกับจิต
เห็นภาพของการเสื่อมไปของร่างกาย เมื่อไม่ทำความสะอาด ก็สกปรก ถึงแม้เมื่อสะอาดดีแล้ว
แต่ถ้าอาการ 32 หลุดร่วงไปในอาหารก็รังเกียจ สกปรก เททิ้ง กินไม่ได้
แม้ตายไปก็เน่าเหม็น ต้องหามเอาไปทิ้ง อยู่ด้วยกันไม่ได้และเป็นทุกข์
ลามไปจนถึงอาหารที่เรากิน จิตจะตามไประลึกรู้ถึงต้นกำเนิดของอาหารนั้น
ที่ทุกอย่างล้วนมาจากรากเหง้าแห่งความสกปรก แต่เราผู้มองด้วยตานอก ว่าเป็นของสะอาด น่ากิน
เวทนาที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เรารังเกียจคนที่เรารัก แต่ปัญญานั้นทำให้เราเห็นทุกข์ของการเกิด
เมื่อเห็นทุกข์ ความยึดมั่นถือมั่นในกายก็ลดลง การกำเริบของราคะก็เบาบางลง
เพราะว่าได้เห็นและรู้ตามสภาพความเป็นจริงแล้ว
สรุปก็คือผมได้ในสิ่งที่ดีที่สุดที่คนจำนวนมากคิดและปรารถนา แต่เมื่อได้มา มันกลับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ทั้งๆที่ไม่มีอะไรดีกว่าสิ่งที่เราได้มาในครั้งนั้นแล้ว อาการกำเริบของราคะ จึงพอระงับได้ด้วยปัญญานี้ครับ
พระอรหัน ที่มีจิตเหนือสังขาร ไม่มีอารมณ์รำคาญ ไม่หลงไม่ลืม มีเพียงพระองค์เดียวคือ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระบาลีกล่าวว่า
ด้วยผลของกรรมเก่าทำให้ท่านพระอัสสชิเถระ ป่วยได้รับทุกขเวทนาอย่างหนัก
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปเยี่ยมจึงทูลถามพระพุทธเจ้าว่า คุณความดีของข้าพระพุทธเจ้าเสื่อมแล้วหรือ
เหตุใดถึงได้รับเวทนาแสนสาหัสจนระงับไม่ได้ พระองค์ตรัสถามว่า
เธอยังเห็นว่าเธอมีในกาย กายนี้เป็นของเธออยู่หรือไม่ ,
ไม่ พระเจ้าข้า พระอัสสชิเถระตอบ หากเธอยังมีสติระลึกอยู่อย่างนี้ คุณความดีของเธอไม่มีทางเสื่อม
พระศาสดาทรงรับรองก่อนที่พระอัสสชิเถระจะนิพพานในคราวนั้น
กามราคะ ก็เช่นกัน ล้วนถูกปรุงแต่งขึ้นมาจากสังขารนี้
หลวงปู่มั่นท่านว่า เมื่อตาแลไปเห็นกาย ทำให้จิตใจกำเริบ ใจก็สั่งให้กายทำตามความต้องการ อันเป็นกามราคะ คือความปรารถนาที่ไม่รู้จักพอ
หลวงพ่อพุธท่านกล่าวว่า คนเรานี่แปลก ถ้าไม่มีกาย ก็คิดไม่เป็น
กามราคะ จึงเป็นหนึ่งในส่วนที่สุดใน 2 อย่างที่พระศาสดาตรัสว่า
เป็นสิ่งบรรพชิตไม่ควรเสพ ส่วนตัวผมเอง สติเริ่มมีพัฒนาการเรื่องนี้เมื่อประมาณปีกว่าๆ ที่ผ่านมานี้เอง
อาจเป็นเพราะว่าได้ประสบพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดเวทนากับจิตขึ้นมากับตัว
(ผมเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาทุกคน จะได้เจอกับเวทนานั้นกับตัวเอง)
ผมพบว่ากายนี้เป็นของสกปรกน่ารังเกียจ ผู้คนรอบข้างถูกห่อหุ้มด้วยความสกปรกน่ารังเกียจเหล่านั้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าเรารังเกียจนะครับ แต่เป็นเวทนาที่เกิดขึ้น
คนไม่สวยก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ คนสวยก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ
คนรวยก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ คนจนก็มีความสกปรกน่ารังเกียจ
เหตุใดจึงเกิดอารมณ์นั้น นั่นเป็นเพราะว่า เมื่อใดก็ตามที่เราได้เจอสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดและไม่มีที่ติ กลับมีที่ติ
อารมณ์ของเราจะน้อมให้เกิดปัญญาว่า มีแต่ความไม่เที่ยงและเป็นทุกข์ ทั้งเราและเขา อสุภจะเกิดขึ้นกับจิต
เห็นภาพของการเสื่อมไปของร่างกาย เมื่อไม่ทำความสะอาด ก็สกปรก ถึงแม้เมื่อสะอาดดีแล้ว
แต่ถ้าอาการ 32 หลุดร่วงไปในอาหารก็รังเกียจ สกปรก เททิ้ง กินไม่ได้
แม้ตายไปก็เน่าเหม็น ต้องหามเอาไปทิ้ง อยู่ด้วยกันไม่ได้และเป็นทุกข์
ลามไปจนถึงอาหารที่เรากิน จิตจะตามไประลึกรู้ถึงต้นกำเนิดของอาหารนั้น
ที่ทุกอย่างล้วนมาจากรากเหง้าแห่งความสกปรก แต่เราผู้มองด้วยตานอก ว่าเป็นของสะอาด น่ากิน
เวทนาที่เกิดขึ้น ไม่ได้ทำให้เรารังเกียจคนที่เรารัก แต่ปัญญานั้นทำให้เราเห็นทุกข์ของการเกิด
เมื่อเห็นทุกข์ ความยึดมั่นถือมั่นในกายก็ลดลง การกำเริบของราคะก็เบาบางลง
เพราะว่าได้เห็นและรู้ตามสภาพความเป็นจริงแล้ว
สรุปก็คือผมได้ในสิ่งที่ดีที่สุดที่คนจำนวนมากคิดและปรารถนา แต่เมื่อได้มา มันกลับไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด ทั้งๆที่ไม่มีอะไรดีกว่าสิ่งที่เราได้มาในครั้งนั้นแล้ว อาการกำเริบของราคะ จึงพอระงับได้ด้วยปัญญานี้ครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 596
ขออนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยนะครับ ได้อ่านแล้วทำให้ผมเกิดกำลังใจในการเจริญสติมาก การได้เจอได้คุยกับผู้ที่สนใจปฏิบัติภาวนาบ่อยๆช่วยให้เราขยัน เจริญขึ้น (ถ้าเจอ ได้คุยกับพวกที่เหลวไหลบ่อยๆก็ทำให้เราขี้เกียจออกนอกลู่นอกทางได้เช่นกัน ครูบาอาจารย์ท่านถึงกล่าวว่าคบเพื่อนดีก็จะดีตาม คบเพื่อนชั่วก็ทำให้ชั่วตาม)
พูดถึงเรื่องกามราคะแล้วน่าสนใจ อยากจะคุยด้วย
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้ายังไม่เห็นโทษของมันก็ไม่อยากละ ถ้าอยากจะละมันฆ่ามันก็ต้องเห็นโทษเสียก่อน
เมื่อปีที่แล้วผมได้ไปกราบหลวงพ่อท่านนึง เล่าให้ท่านฟังว่าเมื่อก่อนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น อยากอะไรก็เสพย์อันนั้น พอหายรำคาญ แก้ทุกข์เป็นคราวๆไป แต่ตอนหลังเห็นทุกข์ที่เกิดจากกาม แต่ก็ละไม่ได้เป็นทุกข์เวทนาทางใจเหลือเกิน เวลาเกิดเป็นทุกข์รู้อยู่เห็นอยู่ว่ามันทรมาน ไม่สบายใจ แต่ก็ละไม่ได้
ท่านตอบว่า เหมือนวัวนั่นแหละ เวลาเลี้ยงมัน ให้หญ้าให้น้ำมันก็เชื่องดี พอเราจะเอามันไปฆ่ามันก็ดิ้นก็ถีบเรา กามมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ
ผมถามต่อว่า แล้วหลวงพ่อทำอย่างไรเวลากามตีขึ้น พิจารณาอสุภะ? ท่านตอบว่า แก้ที่ความหลง
ท่านเล่าอีกว่า ตอนบวชใหม่ๆไปอยู่ที่หนองกอง(หลวงปู่เพียร) ไปเจอสาวๆมาบวชเนกขัม พอเห็นเข้ากามก็ปรุงขึ้นมา ทนแทบไม่ไหว เเทบจะสึกเลย แต่โชคดีที่ตอนนั้นหลวงตาไปหลบโยมที่วัดบ่อยๆ พอเจอท่านกามมันหายไปเองเฉยๆ ท่านว่าบุญจริงๆไม่งั้นได้สึกไปมีลูกเมียแล้ว
คราวนั้นผมได้ถามอะไรท่านเยอะมากๆ (หนึ่งในหัวข้อที่สนทนากันก็คือเรื่องภูมิธรรมอนาคามี) ท่านก็เล่าให้ฟังเยอะเช่นกัน ท่าเมตตากล่าวว่า ถ้าติดขัดตรงไหน มาถามได้ เราผ่านมาหมดเเล้ว
ได้ฟังท่านพูดเเล้วมันมีกำลังใจ ท่านยังผ่านมาได้ เราก็ต้องพยามยามให้ได้เช่นกัน
ถามหลวงพ่อด้วยว่าท่านใช้ความเพียรขนาดไหน
ท่านบอกว่าปีกว่าๆ
หลวงพ่อทำอย่างไร ใช้คำบริกรรม พุทโธๆ ถ้านั่งก็ดูลมหายใจ
เรื่องนี้จริงๆไม่ใช่เรื่องใหม่ ครูบาอาจารย์ใช้วิธีนี้กันแทบทั้งสิ้น
ผมเองหลังๆสองสามปีมานี้ก็ใช้คำบริกรรมเช่นกัน บริกรรมจนได้ที่แล้วมาดูผมขนเล็บฟันหนัง ตับไตใส่พุง อาหารใหม่เก่า ดูแว้บเดียวร่างกายทุบุทะลวงหายไปหมด เสร็จแล้วก็มาพิจารณาที่จิต ตอนที่เริ่มต้นก็ไล่อาการตามลำดับ แต่พอจิตเข้าวิปัสนามันจะเข้าไปพิจารณาของมันเองพ้นการคาดหมายการคิดทั้งสิ้น แม้แต่ตอนเดินปัญญาในจิตมันก็ทำของมันเองพ้นจากการจงใจ แว้บๆ แป้บๆ ต่อจากนั้นจิตจะทำฌาณ พลิกไปมาระหว่างสมถะเเละวิปัสนา อย่างอัตโนมัติ
พูดถึงครูบาอาจารย์นี่สำคัญมากอย่าที่คุณ TumHกล่าวไว้จริงๆ ผมได้ประจักษ์มาแล้ว ว่าถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีทางเดินไปได้ด้วยตัวเอง (ถ้าทำได้เราคงมีภูมิเท่าพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกฯ)
ครูบาอาจารย์แต่ละท่านสำนวนการพูดแตกต่างกัน แต่หลักใหญ่ใจความนั้นไม่แตกต่างกัน
ครั้งนึงเมื่อปี2555เดือนตค.ได้ฟังเทศน์ ถึงตอนนึงท่านว่าร่างกายคนเราประกอบด้วยดินน้ำลมไฟ ระหว่างที่ฟังนั้นจิตเป็นกลางพอดี จิตได้สะเทือน สะบัด ส่าย อย่างรุนแรง
ผมเก็บไว้ไม้ถามใครอยู่เกือบปี เฝ้าดู เฝ้าสังเกตุอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหว(นิสัยผมมันเป็นอย่างนี้ ชอบเอาไปถาม ที่ถามไม่ได้สงสัยในอาการนั้นหรอกครับ แต่สงสัยว่าแล้วมันจะเป็นยังไงต่อ สุดท้ายได้เอาไปถามครูบาอาจารย์ท่านนึง(ท่านอยู่ที่ชลบุรี)ท่านบอกว่าให้ดูร่างกายเเสดงว่าเราชอบการพิจารณากาย
หลังจากนั้นอีกเกือบปี เอาไปถามหลวงพ่อที่ราชบุรี ท่านหัวเรา แอล้วบอกว่า "เราก็เคยเป็น" พอท่านพูดอย่างนี้จะถามต่อก็ไม่กล้า จริงๆอยากจะถามต่อว่า แล้วหลวงพ่อเป็นอีกไหม เป็นกี่ครั้งฯลฯ ที่ไม่ถามเพราะกลัวท่านดุ คราวก่อนเคยโดนดุมาทีนึง ดันไปถามถึงจิตตอนเกิดอริยมรรค ครั้งนั้นท่านดุเราเสียหนักเลย ท่านบอกว่าตามธรรมเนียมวัดป่าเรื่อง แบบนี้เค้าไม่ถามกันภาวนาไปเรื่อยๆเดี๋ยวรู้เอง
ครั้งนี้เลยไปกล้าถามมาก
เมือปี2557เอาไปถามหลวงปู่ที่สกลนคร ท่านกลับบอกว่า"ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว" จบเลยครับ ไม่กล้าถามต่อ
ครูบาอาจารย์แต่ละท่านตอบไม่เหมือนกันเลย เห็นไหมครับ
พิมพ์เพลินเลย ปกติผมไม่ค่อยชอบพิมพ์อะไรยาวๆ ครั้งนี้ถือว่าได้มาคุยกันเล่นๆนะครับ คุณ tumH และอาจารย์ Picatos ^_^
พูดถึงเรื่องกามราคะแล้วน่าสนใจ อยากจะคุยด้วย
ครูบาอาจารย์ท่านกล่าวว่า ถ้ายังไม่เห็นโทษของมันก็ไม่อยากละ ถ้าอยากจะละมันฆ่ามันก็ต้องเห็นโทษเสียก่อน
เมื่อปีที่แล้วผมได้ไปกราบหลวงพ่อท่านนึง เล่าให้ท่านฟังว่าเมื่อก่อนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น อยากอะไรก็เสพย์อันนั้น พอหายรำคาญ แก้ทุกข์เป็นคราวๆไป แต่ตอนหลังเห็นทุกข์ที่เกิดจากกาม แต่ก็ละไม่ได้เป็นทุกข์เวทนาทางใจเหลือเกิน เวลาเกิดเป็นทุกข์รู้อยู่เห็นอยู่ว่ามันทรมาน ไม่สบายใจ แต่ก็ละไม่ได้
ท่านตอบว่า เหมือนวัวนั่นแหละ เวลาเลี้ยงมัน ให้หญ้าให้น้ำมันก็เชื่องดี พอเราจะเอามันไปฆ่ามันก็ดิ้นก็ถีบเรา กามมันก็เป็นอย่างนั้นแหละ
ผมถามต่อว่า แล้วหลวงพ่อทำอย่างไรเวลากามตีขึ้น พิจารณาอสุภะ? ท่านตอบว่า แก้ที่ความหลง
ท่านเล่าอีกว่า ตอนบวชใหม่ๆไปอยู่ที่หนองกอง(หลวงปู่เพียร) ไปเจอสาวๆมาบวชเนกขัม พอเห็นเข้ากามก็ปรุงขึ้นมา ทนแทบไม่ไหว เเทบจะสึกเลย แต่โชคดีที่ตอนนั้นหลวงตาไปหลบโยมที่วัดบ่อยๆ พอเจอท่านกามมันหายไปเองเฉยๆ ท่านว่าบุญจริงๆไม่งั้นได้สึกไปมีลูกเมียแล้ว
คราวนั้นผมได้ถามอะไรท่านเยอะมากๆ (หนึ่งในหัวข้อที่สนทนากันก็คือเรื่องภูมิธรรมอนาคามี) ท่านก็เล่าให้ฟังเยอะเช่นกัน ท่าเมตตากล่าวว่า ถ้าติดขัดตรงไหน มาถามได้ เราผ่านมาหมดเเล้ว
ได้ฟังท่านพูดเเล้วมันมีกำลังใจ ท่านยังผ่านมาได้ เราก็ต้องพยามยามให้ได้เช่นกัน
ถามหลวงพ่อด้วยว่าท่านใช้ความเพียรขนาดไหน
ท่านบอกว่าปีกว่าๆ
หลวงพ่อทำอย่างไร ใช้คำบริกรรม พุทโธๆ ถ้านั่งก็ดูลมหายใจ
เรื่องนี้จริงๆไม่ใช่เรื่องใหม่ ครูบาอาจารย์ใช้วิธีนี้กันแทบทั้งสิ้น
ผมเองหลังๆสองสามปีมานี้ก็ใช้คำบริกรรมเช่นกัน บริกรรมจนได้ที่แล้วมาดูผมขนเล็บฟันหนัง ตับไตใส่พุง อาหารใหม่เก่า ดูแว้บเดียวร่างกายทุบุทะลวงหายไปหมด เสร็จแล้วก็มาพิจารณาที่จิต ตอนที่เริ่มต้นก็ไล่อาการตามลำดับ แต่พอจิตเข้าวิปัสนามันจะเข้าไปพิจารณาของมันเองพ้นการคาดหมายการคิดทั้งสิ้น แม้แต่ตอนเดินปัญญาในจิตมันก็ทำของมันเองพ้นจากการจงใจ แว้บๆ แป้บๆ ต่อจากนั้นจิตจะทำฌาณ พลิกไปมาระหว่างสมถะเเละวิปัสนา อย่างอัตโนมัติ
พูดถึงครูบาอาจารย์นี่สำคัญมากอย่าที่คุณ TumHกล่าวไว้จริงๆ ผมได้ประจักษ์มาแล้ว ว่าถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ไม่มีทางเดินไปได้ด้วยตัวเอง (ถ้าทำได้เราคงมีภูมิเท่าพระพุทธเจ้าหรือพระปัจเจกฯ)
ครูบาอาจารย์แต่ละท่านสำนวนการพูดแตกต่างกัน แต่หลักใหญ่ใจความนั้นไม่แตกต่างกัน
ครั้งนึงเมื่อปี2555เดือนตค.ได้ฟังเทศน์ ถึงตอนนึงท่านว่าร่างกายคนเราประกอบด้วยดินน้ำลมไฟ ระหว่างที่ฟังนั้นจิตเป็นกลางพอดี จิตได้สะเทือน สะบัด ส่าย อย่างรุนแรง
ผมเก็บไว้ไม้ถามใครอยู่เกือบปี เฝ้าดู เฝ้าสังเกตุอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหว(นิสัยผมมันเป็นอย่างนี้ ชอบเอาไปถาม ที่ถามไม่ได้สงสัยในอาการนั้นหรอกครับ แต่สงสัยว่าแล้วมันจะเป็นยังไงต่อ สุดท้ายได้เอาไปถามครูบาอาจารย์ท่านนึง(ท่านอยู่ที่ชลบุรี)ท่านบอกว่าให้ดูร่างกายเเสดงว่าเราชอบการพิจารณากาย
หลังจากนั้นอีกเกือบปี เอาไปถามหลวงพ่อที่ราชบุรี ท่านหัวเรา แอล้วบอกว่า "เราก็เคยเป็น" พอท่านพูดอย่างนี้จะถามต่อก็ไม่กล้า จริงๆอยากจะถามต่อว่า แล้วหลวงพ่อเป็นอีกไหม เป็นกี่ครั้งฯลฯ ที่ไม่ถามเพราะกลัวท่านดุ คราวก่อนเคยโดนดุมาทีนึง ดันไปถามถึงจิตตอนเกิดอริยมรรค ครั้งนั้นท่านดุเราเสียหนักเลย ท่านบอกว่าตามธรรมเนียมวัดป่าเรื่อง แบบนี้เค้าไม่ถามกันภาวนาไปเรื่อยๆเดี๋ยวรู้เอง
ครั้งนี้เลยไปกล้าถามมาก
เมือปี2557เอาไปถามหลวงปู่ที่สกลนคร ท่านกลับบอกว่า"ไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว" จบเลยครับ ไม่กล้าถามต่อ
ครูบาอาจารย์แต่ละท่านตอบไม่เหมือนกันเลย เห็นไหมครับ
พิมพ์เพลินเลย ปกติผมไม่ค่อยชอบพิมพ์อะไรยาวๆ ครั้งนี้ถือว่าได้มาคุยกันเล่นๆนะครับ คุณ tumH และอาจารย์ Picatos ^_^
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 597
คุณtumH เล่ามา ดูๆไปก็คล้ายๆชีวิตผม(คือยังไม่มีอิสรภาพทางการเงิน ^^')แต่ใจรัก ไม่สนใจเรื่องเงินเท่าไร มีเท่าไรเอาไปทำบุญหมด เหลือไว้ใช้นิดหน่อย เมื่อก่อนเอาไปเที่ยว หลังๆมานี้ไม่ค่อยได้เที่ยวเเล้ว มันเบื่อมั้งครับ ไปแล้วก็งั้นๆ กลับมาไม่นานเดี๋ยวก็ลืม
ปีนี้ผมอายุ40แล้ว (ใกล้เข้าโลงไปทุกที) ถ้าเรามัวเพลิดเพลินมันก็เสียเวลาเปล่าๆ หมดวันๆไม่เห็นได้อะไร ทำซ้ำๆ เพลินแต่ของซ้ำๆ เมื่อวานก็เหมือนวันนี้ อีกสิบก็ไม่คงต่างจากเดิม สุขสบายอยู่ไม่กี่ปีอย่างมากก็80ปี ดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าเทียบเวลาในสังสารวัฏแล้วมันจิ้ดเดียว
ปีนี้และปีต่อๆตั้งใจว่าจะใช้เวลาในการปฏิบัติมากกว่าเดิม อยากทดสอบดูว่าร่างกายเราจะไหวเหมือนตอนหนุ่มๆไหม ปีนี้ตั้งใจว่าจะไปอยู่วัดให้ได้8เดือน (ไม่รู้จะมีอุปสรรคอะไรไหม) เดือนที่แล้วไปอยู่กับหลวงปู่ก็มีอาการปวดหลัง ทรมานมากๆ อุปสรรคในการปฏิบัติจริงๆ ตอนปวดมันทรมานมากเดินแทบไม่ไหว จะให้พระนวดให้ก็ไม่ใช่ที่ ฮา ถ้าหายปวดหลังเมื่อไรก็จะบวชทันที (อีกเรื่องก็คือ จะขายที่ดิน และทรัพย์สินทั้งหมดแต่ตอนนี้ยังขายไม่ได้ ^^' ติดอยู่แค่สองเรื่อง)
ถ้ายังมีอาการปวดหลังเวลาบวชจะไปหาหมอมันลำบากไม่เหมือนฆราวาส เวลาพระท่านอื่นทำงานกันเรามานอนปวด มันเกรงใจคนอื่นเขา บางคนไม่รู้ก็จะว่าเราขี้เกียจ อู้งานฯลฯ
ส่วนเรื่องทรัพย์สิน ผมมีแค่แม่คนเดียว ถ้าทิ้งไว้จะกลายเป็นภาระให้แม่ อยากให้แม่ไปอยู่วัดปฏิบัติด้วยกัน ไม่อยากให้มากังวล
คุณ tumHไปกราบครูบาอาจารย์ท่านเดียวกับผมเลย ไม่รู้ว่าเคยเจอผ่านๆตามาบ้างหรือป่าว ถ้าเจอก็มาทักทักทายได้นะครับ
ตอนนี้ผมอยู่ไร่ ทำงานในไร่ อาทิตย์หน้าจะกลับไปอยู่กับหลวงปู่ที่สกลนครแล้ว จริงๆก็ไม่ได้คิดว่าจะไปอยู่กับหลวงปู่หรอกครับ แต่หลวงปู่ท่านพูดให้เราคิด (ขอเล่า)
ปีที่แล้ว ไปกราบท่านแล้วเลยไปอยู่กับหลวงพ่อที่อุดรเพราะที่วัดหลวงปู่คนเยอะ ผมไม่ค่อยชอบ ที่พักก็ไม่ค่อยเป็นส่วนตัว ผมชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไปอยู่สักพักก็กลับ ตอนกลับก็แวะกราบหลวงปู่ ท่านก็ถามว่าไปอยู่ที่โน่นหลายวัน มาอยู่นี่แค่คืนเดียวน่าจะอยู่สักสองวันน๊า ผมตอบว่าที่นี่คนเยอะผมไม่ค่อยชอบครับ ตอบเสร็จไม่รู้คิดอย่างไงดันไปถามเรื่องการปฏิบัติ
ผมถามว่าหลวงปู่ครับ มีอยู่ครั้งนึงผมได้พิจารณาความตายแว๊บเดียวจิตพลิกเข้าไปเห็นทั่งทั้งสามโลกธาตุเป็นดินน้ำลมไฟราบไปหมด มาดูที่ตัวเราก็เป็นดินน้ำลมไฟราบเสมอกัน ราบไปหมด แต่จิตเหลืออยู่ ไปพิจารณาที่จิตว่าจิตเกิดมาได้อย่างไร อะไรทำให้เกิด มันหมุนอยู่ที่จิต ไม่ทันรู้ก็ถอยออกมาก่อน(หมายถึงตอนเกิดสภาวะนั้น มันเกิดในฌาณ) .....
พอถอยออกจากฌาณ จะกลับเข้าไปพิจารณาต่อก็ไม่ได้เเล้ว เพราะถ้าพิจารณาเองมันจะเป็นสังขารการปรุงแต่ง ไม่ได้เกิดจากจิตเข้าไปเห็นจริงๆ
*การเดินปัญญาแท้ๆที่เรียกว่าวิปัสนานั้นจะพ้นจากการจงใจ เป็นการเห็นอัตโนมัติ เเละเกิดในฌาณนะครับ
หลวงปู่มองผมสักพักแล้วพูดเสียงดังลั่นศาลาเลยว่า
ไปอยู่วัดโน้นทำไมไม่ไปถามครูบาอาจารย์ที่โน่นล่ะ มาถามเราทำไม
ผมตอบแบบไม่ทันคิด(พลาด)ว่า หลวงพ่อwไม่สบายครับ หลวงปู่สวนกลับมาว่า "อ้อ หลวงน้านี่สบายดี(ท่านชี้มาที่ต้วท่าน)" ผมสะอึกเลยครับ ไม่คิดว่าจะเจอเเบนี้ รีบตอบกลับไปว่า ผมไม่กล้าถามหลวงปู่ จะถามๆแต่ก็ไม่กล้าครับ ตอบเเบบจริงๆ เพราะผมไม่กล้าถามหลวงปู่จริงๆ จะถามตั้งนานแล้วไม่กล้า ฮา
หลังจากนั้นหลวงปู่ก็จัดหนัก ท่านเทศน์ลั่นศาลาเลย เทศน์ทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องจิต เทศน์นานจนหลวงปู่หอบ ผมคิดในใจว่ากูไม่น่าถามเลย หลวงปู่เหนื่อยขนาดนี้ คราวก่อนท่านก็เทศน์จัดหนักแต่ไม่เหนื่อยเท่านี้
หลวงปู่ท่านเมตตามากๆ ท่านจะไม่ตอบก็ได้ เห็นประโยชน์เลยยอมเหนื่อยเพื่อเรา บุญของผมจริงๆ
ท่านพูดเสร็จก็ดุผมว่า ไปวัดโน้นวัดนี้ ถามหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้ถ้าองค์นี้ว่ายังงี้ องค์โน้นว่าอย่างโน้นแล้วเราจะเชื่อใคร เราภาวนาเป็นอย่างไรไม่รู้ตัวเองเลยเหรอ?
ท่านพูดบอกอีกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้อีกมันไม่ได้เรื่องจะได้ก็ไม่ได้(ท่านพูดจริงจังมาก หมายถึงจะได้ธรรมะก็ไม่ได้เพราะความเหลวไหลแบบนี้)
พูดเสร็จก็ยิ้ม (เมื่อกี้หลวงปู่เพิ่งดุผมไปหยกๆ )
ตั้งแต่ท่านพูดคราวนั้นผมเลยไม่กล้าไปอยู่วัดอื่น
ไม่รู้ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราไปถามครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ
คำถามนี้ผมก็เคยไปถามครูบาอาจารย์ท่านอื่นเหมือนกัน แต่ละท่านก็ตอบไม่เหมือนกันจริงๆ
ผมเล่ามากเกินไปแล้วครับ ขอพอแค่นี้ดีกว่า พิมพ์นานๆเหนื่อยมาก
เล่าไปก็ไม่รู้ว่าคนอ่านจะเข้าใจหรือป่าว
ปีนี้ผมอายุ40แล้ว (ใกล้เข้าโลงไปทุกที) ถ้าเรามัวเพลิดเพลินมันก็เสียเวลาเปล่าๆ หมดวันๆไม่เห็นได้อะไร ทำซ้ำๆ เพลินแต่ของซ้ำๆ เมื่อวานก็เหมือนวันนี้ อีกสิบก็ไม่คงต่างจากเดิม สุขสบายอยู่ไม่กี่ปีอย่างมากก็80ปี ดูเหมือนเยอะ แต่ถ้าเทียบเวลาในสังสารวัฏแล้วมันจิ้ดเดียว
ปีนี้และปีต่อๆตั้งใจว่าจะใช้เวลาในการปฏิบัติมากกว่าเดิม อยากทดสอบดูว่าร่างกายเราจะไหวเหมือนตอนหนุ่มๆไหม ปีนี้ตั้งใจว่าจะไปอยู่วัดให้ได้8เดือน (ไม่รู้จะมีอุปสรรคอะไรไหม) เดือนที่แล้วไปอยู่กับหลวงปู่ก็มีอาการปวดหลัง ทรมานมากๆ อุปสรรคในการปฏิบัติจริงๆ ตอนปวดมันทรมานมากเดินแทบไม่ไหว จะให้พระนวดให้ก็ไม่ใช่ที่ ฮา ถ้าหายปวดหลังเมื่อไรก็จะบวชทันที (อีกเรื่องก็คือ จะขายที่ดิน และทรัพย์สินทั้งหมดแต่ตอนนี้ยังขายไม่ได้ ^^' ติดอยู่แค่สองเรื่อง)
ถ้ายังมีอาการปวดหลังเวลาบวชจะไปหาหมอมันลำบากไม่เหมือนฆราวาส เวลาพระท่านอื่นทำงานกันเรามานอนปวด มันเกรงใจคนอื่นเขา บางคนไม่รู้ก็จะว่าเราขี้เกียจ อู้งานฯลฯ
ส่วนเรื่องทรัพย์สิน ผมมีแค่แม่คนเดียว ถ้าทิ้งไว้จะกลายเป็นภาระให้แม่ อยากให้แม่ไปอยู่วัดปฏิบัติด้วยกัน ไม่อยากให้มากังวล
คุณ tumHไปกราบครูบาอาจารย์ท่านเดียวกับผมเลย ไม่รู้ว่าเคยเจอผ่านๆตามาบ้างหรือป่าว ถ้าเจอก็มาทักทักทายได้นะครับ
ตอนนี้ผมอยู่ไร่ ทำงานในไร่ อาทิตย์หน้าจะกลับไปอยู่กับหลวงปู่ที่สกลนครแล้ว จริงๆก็ไม่ได้คิดว่าจะไปอยู่กับหลวงปู่หรอกครับ แต่หลวงปู่ท่านพูดให้เราคิด (ขอเล่า)
ปีที่แล้ว ไปกราบท่านแล้วเลยไปอยู่กับหลวงพ่อที่อุดรเพราะที่วัดหลวงปู่คนเยอะ ผมไม่ค่อยชอบ ที่พักก็ไม่ค่อยเป็นส่วนตัว ผมชอบอยู่คนเดียวเงียบๆ ไปอยู่สักพักก็กลับ ตอนกลับก็แวะกราบหลวงปู่ ท่านก็ถามว่าไปอยู่ที่โน่นหลายวัน มาอยู่นี่แค่คืนเดียวน่าจะอยู่สักสองวันน๊า ผมตอบว่าที่นี่คนเยอะผมไม่ค่อยชอบครับ ตอบเสร็จไม่รู้คิดอย่างไงดันไปถามเรื่องการปฏิบัติ
ผมถามว่าหลวงปู่ครับ มีอยู่ครั้งนึงผมได้พิจารณาความตายแว๊บเดียวจิตพลิกเข้าไปเห็นทั่งทั้งสามโลกธาตุเป็นดินน้ำลมไฟราบไปหมด มาดูที่ตัวเราก็เป็นดินน้ำลมไฟราบเสมอกัน ราบไปหมด แต่จิตเหลืออยู่ ไปพิจารณาที่จิตว่าจิตเกิดมาได้อย่างไร อะไรทำให้เกิด มันหมุนอยู่ที่จิต ไม่ทันรู้ก็ถอยออกมาก่อน(หมายถึงตอนเกิดสภาวะนั้น มันเกิดในฌาณ) .....
พอถอยออกจากฌาณ จะกลับเข้าไปพิจารณาต่อก็ไม่ได้เเล้ว เพราะถ้าพิจารณาเองมันจะเป็นสังขารการปรุงแต่ง ไม่ได้เกิดจากจิตเข้าไปเห็นจริงๆ
*การเดินปัญญาแท้ๆที่เรียกว่าวิปัสนานั้นจะพ้นจากการจงใจ เป็นการเห็นอัตโนมัติ เเละเกิดในฌาณนะครับ
หลวงปู่มองผมสักพักแล้วพูดเสียงดังลั่นศาลาเลยว่า
ไปอยู่วัดโน้นทำไมไม่ไปถามครูบาอาจารย์ที่โน่นล่ะ มาถามเราทำไม
ผมตอบแบบไม่ทันคิด(พลาด)ว่า หลวงพ่อwไม่สบายครับ หลวงปู่สวนกลับมาว่า "อ้อ หลวงน้านี่สบายดี(ท่านชี้มาที่ต้วท่าน)" ผมสะอึกเลยครับ ไม่คิดว่าจะเจอเเบนี้ รีบตอบกลับไปว่า ผมไม่กล้าถามหลวงปู่ จะถามๆแต่ก็ไม่กล้าครับ ตอบเเบบจริงๆ เพราะผมไม่กล้าถามหลวงปู่จริงๆ จะถามตั้งนานแล้วไม่กล้า ฮา
หลังจากนั้นหลวงปู่ก็จัดหนัก ท่านเทศน์ลั่นศาลาเลย เทศน์ทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องจิต เทศน์นานจนหลวงปู่หอบ ผมคิดในใจว่ากูไม่น่าถามเลย หลวงปู่เหนื่อยขนาดนี้ คราวก่อนท่านก็เทศน์จัดหนักแต่ไม่เหนื่อยเท่านี้
หลวงปู่ท่านเมตตามากๆ ท่านจะไม่ตอบก็ได้ เห็นประโยชน์เลยยอมเหนื่อยเพื่อเรา บุญของผมจริงๆ
ท่านพูดเสร็จก็ดุผมว่า ไปวัดโน้นวัดนี้ ถามหลวงพ่อองค์นั้นองค์นี้ถ้าองค์นี้ว่ายังงี้ องค์โน้นว่าอย่างโน้นแล้วเราจะเชื่อใคร เราภาวนาเป็นอย่างไรไม่รู้ตัวเองเลยเหรอ?
ท่านพูดบอกอีกว่า ถ้าเป็นอย่างนี้อีกมันไม่ได้เรื่องจะได้ก็ไม่ได้(ท่านพูดจริงจังมาก หมายถึงจะได้ธรรมะก็ไม่ได้เพราะความเหลวไหลแบบนี้)
พูดเสร็จก็ยิ้ม (เมื่อกี้หลวงปู่เพิ่งดุผมไปหยกๆ )
ตั้งแต่ท่านพูดคราวนั้นผมเลยไม่กล้าไปอยู่วัดอื่น
ไม่รู้ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเราไปถามครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ
คำถามนี้ผมก็เคยไปถามครูบาอาจารย์ท่านอื่นเหมือนกัน แต่ละท่านก็ตอบไม่เหมือนกันจริงๆ
ผมเล่ามากเกินไปแล้วครับ ขอพอแค่นี้ดีกว่า พิมพ์นานๆเหนื่อยมาก
เล่าไปก็ไม่รู้ว่าคนอ่านจะเข้าใจหรือป่าว
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 598
สวัดีครับพี่ cobain_vi ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับcobain_vi เขียน:คุณ tumHไปกราบครูบาอาจารย์ท่านเดียวกับผมเลย ไม่รู้ว่าเคยเจอผ่านๆตามาบ้างหรือป่าว ถ้าเจอก็มาทักทักทายได้นะครับ
ตอนนี้ผมอยู่ไร่
ผมอ่านเรื่องการฝึกของพี่ทีไร ทำให้ผมต้องหันกลับมามองดูตัวเองว่า
โอหนอ เราเองก็ต้องพยายามเอาดีให้ได้ เหมือนอย่างพี่เขาสักวัน
เรื่องนี้ไปเล่าให้พระอาจารย์ฟังเกี่ยวกับการฝึกปฏิบัติ ท่านว่า เมื่อได้ปฏิบัติแล้ว พอได้เห็น
ก็จะเกิดอาการอยากเล่า อยากคุย เราก็เป็นเหมือนกัน ผมนี้ตัวชา นั่งเกร็งเลยครับ
เพราะมันคือเรื่องจริง ท่านว่า เรื่องแบบนี้คุยกับคนที่ยังไม่ปฏิบัติไม่ได้หรอก เพราะไปคนละทาง พูดกันไม่รู้เรื่อง
(ถึงแม้จะยังลุ่มๆดอนๆ ก็อยากเล่า เพราะมันได้ประสบกับตัวเอง เล่าให้น้องๆที่อ๊อฟฟิต ฟัง ทุกคนนั่งเงียบกริบ)
ก่อนจะได้ไปพบพระอาจารย์เมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อนผมที่ขอนแก่นเป็นคนแนะนำ เพราะชอบแนวทางนี้เหมือนกัน
แค่คุยกันในไลน์ เพื่อนนำมาเล่านี่ ขนลุกซู่เลย เพราะเพื่อนบอกว่า ความเจ็บปวด ทรมานในกาย ขณะปฏิบัติ มันเป็นแค่ความรู้สึก เราแค่จินตนาการไปเอง ท่านว่า
อืม ดูท่านผู้ฝึกตนดีแล้วสิครับ ท่านก้าวข้ามจนกลายเป็นแค่ความรู้สึกไปล่ะ
ผมเองมีอาการแบบเดียวกับพี่ คือไม่กล้าถาม เพราะกลัวเหมือนกัน
เพราะพระอริยะท่านภูมิธรรมและอุปนิสัยแตกต่างกันไปจริงๆครับ ผมเลยถามจากท่านที่ทรงภูมิในระดับอนุบาลก่อน
ระดับประถม มัธยม จนถึงมหาลัย เนี่ย แค่ไปทำบุญและกราบนมัสการ ฟังธรรม หากติดแบบหลายๆปีแก้ไม่ตก จึงจะกล้าถาม
ส่วนหนึ่งรู้สึกระอายด้วยล่ะครับ เพราะปริยัติก็พอรู้ แต่ปฏิบัติยังไม่ไปไหน ท่านพูดเรื่องอะไรมาก็เข้าใจ
แต่ติดที่ยังทำไม่ได้ ไปถามก็อายท่าน เพราะยังไม่ฝึกตน มีแต่ถาม เหมือนใบลานเปล่า
เดือนที่แล้วที่ได้ขึ้นไปทำบุญที่อุดร ขอนแก่น ถือว่ามีบุญมาก เพราะเป็นโอกาสในการเปิดโลกธรรมให้กับใจตน
ได้กราบนมัสการ ครูอาจารย์ที่ท่านเป็นผู้ฝึกตนดีแล้ว ส่วนใหญ่พระปฏิบัติดีมีไม่น้อยเลยนะครับ
แต่ท่านไม่เปิดตัว ตัวเราไม่รู้ โลกของเราจึงแคบ
นี่ขนาดเพื่อนบอกว่า ท่านอาจารย์ผู้นี้สำเร็จระดับอนุบาลแล้ว แม้เพียงได้เห็นกิริยาอาการ อันสงบสำรวม
และการนุ่งห่มผ้าก่อนการเทศนาอย่างเต็มยศ แค่ได้เห็นเพียงแค่นี้ หัวใจแทบหยุดเต้นเลยครับ
เพราะก่อนการแสดงธรรม ท่านได้เตรียมทุกอย่างให้เหมาะสม สมกับธรรมที่เป็นของสูง
เวลาก่อนเทศนาก็ยังงดงามขนาดนี้
และเวลาแสดงธรรม เหมือนจะรู้ว่าเราจะมุ่งไปทางไหน ท่านก็เน้นไปที่จุดนั้นเลย นั่งฟังไปหน้าแดงไป จิตใจฮึกเหิมขึ้นมาเป็นกอง คิดในใจ นี่แหละหนอ ศิษย์ของพระตถาคตเจ้า ผู้ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นแบบนี้นี่เอง
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 599
ได้เห็นท่านอาจารย์โพสรูปใน face book เกี่ยวกับการเตือนสติเรื่องกายคตานุสติ และ มรณานุสติเด็กใหม่ไฟแรง เขียน:อนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยนะครับ
ทุกครั้งที่เข้ามาอ่าน
ได้เห็นความตั้งใจของทุกคน
เห็นพัฒนาการที่น่าชึ่นชม
ก็ทำให้ตัวเองมีกำลังใจในการเดินในเส้นทางนี้มากขึ้นครับ
แล้วทำให้นึกถึง พระบาลีเกี่ยวกับนางวิสาขา
นางวิสาขาผู้ทำบุญแต่หนหลังมาเป็นอันมาก พร้อมทั้งขอพรให้มีรูปสวยไปตลอดชีวิต
พรนั้นได้มาบังเกิดผลในพุทธสมัยของพระสมณะโคดมพุทธเจ้าของเรานี่เอง
นางวิสาขามีลูก หลาน เหลน เยอะมาก ล้วนมีรูปร่างหน้าตาสวยงามทั้งนั้น
ด้วยพรนั้น นางวิสาขาแม้จะมีอายุมากแล้ว แต่ก็ยังสวยงามเหมือนวัยรุ่น กล่าวคือความสวยไม่เปลี่ยนแปลงเลย
ครั้งหนึ่งพระเจ้าพิมพิสาร(ถ้าจำไม่ผิด) อยากรู้ว่านางวิสาขานั่งอยู่ตรงไหนของโบสถ์
เพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่วัยรุ่น ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามเต็มไปหมด(ลูกหลานนางวิสาขา)
เลยทูลถามพระพุทธองค์ สมเด็จพระผู้พิชิตมารทรงแย้มพระโอษฐ์
แล้วทรงบอกให้พระเจ้าพิมพิสารคอยดูตอนที่ทุกคนกำลังจะกลับบ้าน
เมื่อพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเสร็จ บรรดาคนเหล่านั้นที่นั่งอยู่ในโบสถ์ ก็พากันลุกขึ้นเตรียมตัวกลับ
ยกเว้นนางวิสาขา เพียงคนเดียวที่ต้องให้ลูกหลาน ช่วยคอยพยุงให้ลุกขึ้น
เพราะไม่สามารถลุกขึ้นด้วยตนเอง เพราะความชรานั้น
อย่างที่ท่านอาจารย์พูดไว้ใน face book นั้น ถูกต้องที่สุดเลยครับว่า ไม่มีผู้ใดสามารถฝืนสังขารไปได้เลยครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เส้นทางธรรมกับชีวิตการลงทุนแนววีไอ
โพสต์ที่ 600
ได้อ่านที่ทุกท่านเขียนแล้ว ก็รู้สึกฮึกเหิมในการปฏิบัติมากขึ้น
ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยนะครับ
ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยนะครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์