มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
jek ae
Verified User
โพสต์: 899
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3991

โพสต์

Paul VI เขียน:
ช่วงนี้งบออกหลายบริษัทเลย

ไม่ทราบเพื่อนๆมีประทับใจตัวไหน หรือผิดหวังตัวไหนเป็นพิเศษครับ

มาบอกกันเพื่อความรู้ครับ :D

ประทับใจ KTC ที่สุดครับ(negative) :wall: ผมยกให้เป็นหุ้นที่ทำร้ายจิตใจผถห. ตัวพ่อเลย ตอนปี 52 ก็กลับลำไม่จ่ายปันผลเพราะโดนคว่ำมติเพิ่มทุน พอหลังจากนั้นก็ตกแต่งงบปีโดยการตั้งสำรองเป็นว่าเล่น หุ้นตัวนี้ชอบทำให้ติดกับดักของการลงทุนหุ้นก้นบุหรี่ แต่ธรรมาภิบาลที่ผู้บริหารมีต่อผถห.ผมว่าไม่แฟร์เท่าไหร่ครับ แต่แปลกดีนะครับผถห.ใหญ่สุดไม่เคยออกมาโวยเลยสักครั้ง :roll:

ส่วนหุ้นที่ผมถืออยู่ งบก็ทยอยออกมากันเกือบจะครบแล้ว ส่วนใหญ่โดนผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังและน้ำท่วมใน q4 ทำให้กำไรออกมาไม่ค่อยหรูสักเท่าไหร่
เหลือขุนเขาแมกไม้ มิต้องวิตกไร้ฟืนไฟ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3992

โพสต์

เคส KTC นี่เป็นอะไรที่เกิดฝันร้ายโดยไม่คาดคิด

ถ้าผมจำไม่ผิด ครั้งหนึ่งเคยจะจ่ายปันผล 1 บาท หลังจากนั้นก็ไม่ผ่านมติปันผล ทำให้ต้องงดการจ่าย แต่มีการ xd ไปแล้ว ราคา dilute มารองรับไปแล้ว ผู้ที่ถือหุ้นเพื่อรองรับตอนนั้นก็เสียหายไปแล้ว ไม่มีการคำนึงถึงประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นแต่ประการใด

ถ้าจำไม่ผิดหลังจากนั้น ก็ Big bath ครั้งใหญ่อีกครั้ง

คราวนี้ก็อีกครั้งที่เหมือนเอาอะไรที่เป็นสิ่งที่บริษัทรอจังหวะ อยู่แล้วออกมาพร้อมกับได้เหตุผลที่ดีคือ น้ำท่วมครั้งใหญ่ จัดการ Big bath อีกรอบ

ผมเองอาจจะเหตุการณืได้ไม่แม่นยำนัก เพราะไม่ได้ตามแบบละเอียด ไม่ได้ถือหุ้น แต่เป็นเจ้าหนี้หุ้นกู้ของเค้า ก็เลยตามเค้าบ้างแบบห่างๆ

หวังว่าเพื่อนๆที่มีหุ้นตัวนี้คงต้องตั้งสติให้ดีๆครับ
torpongpak
Verified User
โพสต์: 2595
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3993

โพสต์

อาจไม่เกี่ยวกับผลประกอบการนะครับ หรืออาจจะเป็นหุ้นที่ไม่มีในport เเต่มีหุ้นมันสอนให้เราเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นเเละสนุกกับการลงทุน
ค้นพบคำที่ทำให้ลงทุนสนุกขึ้นคือคำว่า
"จุดตาย" อันนี้ได้จากการpmคุยกับคุณchaitorn
"Unlock" ได้อ่านจากกระทู้โต้ตอบระหว่างคุณChinเเละคุณฮง รวมถึงเหมือนเคยผ่านตาในข้อเขียนของหมอเเป๊ะ
การหาจุดตายของหุ้นเเละปัจจัยUnlockมูลค่านอกจากการดูประเด็นอื่นๆ ทำให้เพิ่มความท้าทายในการศึกษาหุ้น

-tnpf ตั้งใจดั้นด้นไปดูโรงเเรมเเละshoping arcadeเอง ไปชิมอาหารที่foodie ปิดท้ายด้วยinformationดีๆจากGuest relation เเถมพาขึ้นไปชมห้องด้วย
-Simatประทับใจเพราะเพื่อนๆในห้องสอนให้รู้จักการมองหุ้นเชิงลึก ยด้ตามอ่านblogของคุณkabuเเละมีlinkไปให้อ่านBlogของนักลงทุนเก่งๆท่านอื่นเช่นคุณซุนเซ็ก
-Threทำให้ได้ทดสอบเรื่องเศรฐศาสตร์เเห่งความจริง ได้อ่านการเเลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างคนเก่งๆ ทำให้ได้รู้จักธุรกิจประกันภัยมากขึ้น(เเต่ยอมรับว่าไม่เข้าใจอยู่ดี)
-KTC...write your story จริงๆ :mrgreen:

ถ้าด้านผลกำไรก็ประทับใจCMR
...จากการSwitchหุ้นCMRเเปลงเป็นVibha ตอนนั้นตามอ่านหนังสือชี้ชวนเเละห้องCMR, Vibha ตอนเเรกลังเลอยู่ เเต่คิดว่าน่าจะทำกำไรได้เเน่นอนถ้าเเปลงสำเร็จเพราะราคาvibhaในกระดานสูงกว่าCMRอยู่ราว15% จึงตัดสินใจเอาเงินสดที่เหลือซื้อCMRเเละส่งคำสั่งเเปลงหุ้นทันในวันสุดท้ายพอดีหวุดหวิด...ก็ได้ผลตอบเเทนน่าพอใจ

ส่วนหุ้นที่ถือตอนนี้ ผลประกอบการถูกน้องน้ำถล่มหมดทุกตัวหนักเบาต่างกันไป หนักสุดคือน้องอ้อนเเละตอนนี้
ยังเหลือต้องลุ้นงบอีกสองตัวเเต่ "ทัมใจ" ไว้ล่วงหน้าเเล้วครับ :D
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3994

โพสต์

ผมมีบทความใหม่ของ ดร.นิเวศน์ มาฝาก

เป็นแนวคิดที่น่าเอาไปตรวจการบ้านการลงทุนของเราที่ผ่านมา

อจ. คิดได้เป็น step แบบสไตล์ ของวิศวกร ซึ่งเป็นระบบความคิดที่น่าเลียนแบบ (อันนี้ความเห็นของผมนอกประเด็น)

เพื่อนๆ อ่านเอาแบบ ประโยคชนประโยคเลยนะครับ
โลกในมุมมองของ Value Investor 25 กุมภาพันธ์ 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

การลงทุนในหุ้นนั้น หลาย ๆ คนมักจะรู้สึกเครียดและมีกังวลอยู่ตลอดเวลา เขากลัวว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นไม่ว่าจะเกิดในประเทศไทยหรือในโลกนี้ซึ่งจะทำให้หุ้นตกทั้งตลาดและทำให้หุ้นเขาตกลงไปด้วย เขากังวลว่าหุ้นตัวที่เขาถืออยู่อาจจะมีปัญหาหรือมีเหตุการณ์ไม่ดีซึ่งทำให้หุ้นตกลงมาอย่างหนักและทำให้เขาขาดทุนมากมายอย่าง “ไม่คาดฝัน” การลงทุนในหุ้นดูเหมือนว่าจะมี “ต้นทุน” ที่ไม่ใช่ตัวเงินแฝงอยู่นั่นก็คือ ความกังวลและความไม่สบายใจ และนั่นอาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นบ่อยเพื่อ “ลดความไม่สบายใจ” ในสถานการณ์ที่ “ไม่แน่นอน” แต่นี่มักจะทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราลดลงในระยะยาว คำถามก็คือ จะทำอย่างไรถึงจะทำให้เราสามารถลงทุนอย่างสบายใจได้?
สูตรการลงทุนอย่างสบายใจของผมก็คือ ข้อแรก จงตั้งความหวังผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนในหุ้นให้เหมาะสมนั่นก็คือ ผลตอบแทนทบต้นต่อปีเฉลี่ยประมาณ 10% ถ้าเราคิดว่าเรามีความสามารถสูงมาก ก็อาจจะตั้งความหวังได้สูงขึ้น แต่สูงสุดไม่ควรเกิน 15% ต่อปี โดยคำว่าระยะยาวของผมนั้นจะต้องยาวไม่ต่ำกว่า 10 ปีขึ้นไป การตั้งความหวังที่เหมาะสมนั้นจะทำให้เรามีโอกาสบรรลุผลได้ไม่ยากเกินไปซึ่งจะทำให้เราไม่ต้อง “เร่ง” ผลตอบแทนโดยวิธีการต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ไม่ต้องเล่น “หุ้นร้อน” หรือ ไม่ต้องใช้มาร์จินในการซื้อขายหุ้น เป็นต้น ซึ่งทำให้เราสามารถลงทุนหุ้นได้แบบ “ชิว ๆ”
ข้อสอง เลือกซื้อหุ้นที่เน้นความปลอดภัยของตัวกิจการเป็นหลัก นี่คือหุ้นที่มีการเปลี่ยนแปลงช้าในด้านของธุรกิจ เป็นกิจการที่ไม่ล้ำสมัยแต่ไม่ล้าสมัย เป็นกิจการที่เป็น “ผู้นำ” มีฐานะทางการเงินดี และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็คือ เป็นกิจการที่เราเองมีโอกาสได้พบเห็นหรือได้ใช้บริการเป็นประจำ
ข้อสาม ต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการถือหุ้นอย่างเหมาะสม นั่นก็คือ ถ้ามีเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป ก็ควรต้องมีหุ้นอย่างน้อยประมาณ 5 ตัวโดยที่ตัวใหญ่สุดไม่ควรจะเกิน 30% ของพอร์ต นอกจากนั้น ควรจะถือหุ้นในหลาย ๆ อุตสาหกรรม แต่ถ้ามีเงินลงทุนค่อนข้างมากเช่นเป็น 10 ล้านบาทขึ้นไป หุ้นที่ลงก็อาจจะมากขึ้นไปได้ แต่ก็ต้องไม่มากจนเกินไป เพราะมิฉะนั้นเราก็อาจจะมีหุ้นที่เป็น “เบี้ยหัวแตก” ที่ทำให้เราขาดการเอาใจใส่และทำให้ผลตอบแทนการลงทุนของเราด้อยลงไปได้ โดยทั่วไปแล้ว ผมคิดว่าถ้ามีเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท ก็ไม่ควรถือหุ้นเกิน 10-15 ตัว
ข้อสี่ เราควรพยายามตั้งเป็นกฎคร่าว ๆ ว่าในแต่ละปีเราจะมีการซื้อขายหุ้นไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ตการลงทุน กฎง่าย ๆ ของผมก็คือ ปริมาณการซื้อขายหุ้นของเราในแต่ละปีไม่ควรจะเกิน 2 เท่าของขนาดของพอร์ตของเรา เช่น ถ้าพอร์ตของเราเท่ากับ 1 ล้านบาทในตอนต้นปี เราควรซื้อขายหุ้นในปีนั้นไม่เกิน 2 ล้านบาท นั่นแปลว่า เราจะถือหุ้นแต่ละตัวเป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี โดยเฉลี่ย ถ้าเราซื้อขายหุ้นมากกว่านั้นก็แสดงว่าเราอาจจะถือหุ้นสั้นเกินไปและอาจจะหมายความว่าเราเป็น “นักเก็งกำไร” แทนที่จะเป็น “นักลงทุน” และประเด็นของผมก็คือ การเป็นนักเก็งกำไรนั้น ก่อให้เกิดความตึงเครียดสูงกว่านักลงทุนมาก
ข้อห้า อย่าสนใจการขึ้นหรือลงของหุ้นแต่ละตัวมากนัก พยายามมองภาพรวมของพอร์ตหุ้นว่าเติบโตขึ้นหรือลดลง การไปเน้นดูหุ้นแต่ละตัวก่อให้เกิดความเครียดเพราะเราจะพบหุ้นที่มีราคาตกลงไปมากและอาจจะพยายามไปทำอะไรกับมันที่อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลดี ที่สำคัญก็คือ อย่าไปดูราคาหุ้นทุกตัวทุกวัน วิธีที่ผมแนะนำก็คือ ทุกสัปดาห์หรือทุกเดือน เราก็คำนวณดูว่าพอร์ตการลงทุนของเราเป็นเท่าไรโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งมีอยู่มากมาย โดยการดูเป็นพอร์ตนี้ เราก็จะเห็นว่าความผันผวนมันน้อยลงเมื่อเทียบกับหุ้นแต่ละตัว และนี่ทำให้เราเครียดน้อยลง และถ้าเราลงทุนเลือกหุ้นได้ถูกต้องโดยเฉลี่ย เราก็ควรจะเห็นพอร์ตของเราโตขึ้นอย่างช้า ๆ และมั่นคงเมื่อเวลาผ่านไป
ข้อหก การที่เราจะทำอะไรกับหุ้นแต่ละตัวนั้น ไม่ควรจะเน้นไปที่ด้านของราคาหุ้นรายวัน สิ่งที่เราควรทำก็คือ ทุกไตรมาศ เราต้องติดตามดูว่าผลประกอบการของบริษัทเป็นอย่างไร มันเป็นไปอย่างที่เราคาดไว้ไหม? เช่น ดีขึ้น ดีขึ้นมาก แย่ลง แย่ลงมาก เพราะอะไร? จากนั้นก็สามารถนำมาตัดสินได้ว่าเราจะทำอะไรกับหุ้น โดยปกติถ้าเราลงทุนหุ้นถูกตัวแล้ว ส่วนใหญ่เราก็มักจะไม่ต้องทำอะไร แต่ในบางกรณีที่เราคาดการณ์ผิด เราก็อาจจะขายทิ้งได้ เช่นเดียวกัน บางครั้งเราก็อาจจะซื้อเพิ่ม โดยวิธีนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลเป็นรายวันกับราคาของหุ้นมากนัก
ข้อเจ็ด เมื่อเราได้รับปันผลมา อย่านำเงินไปใช้หรือเอาออกจากพอร์ตถ้าไม่จำเป็น นำปันผลนั้นกลับไปซื้อหุ้นกลับเข้าพอร์ตเพื่อทำพอร์ตให้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ และเป็นหลักการลงทุนแบบทบต้นซึ่งจะทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นแบบทวีคูณ เป้าหมายของเราควรจะตั้งไว้ว่าเราต้องการสร้างพอร์ตนี้เพื่อเป็นเงินเพื่อการเกษียณหรือเป็นเงินมรดกเพื่อลูกหลาน เงินที่เราจะนำไปใช้จ่ายนั้นควรเป็นเงินที่เราทำมาหาได้จากน้ำพักน้ำแรงมากกว่า ถ้าคิดได้แบบนี้ เราก็จะสบายใจว่านี่เป็น “เงินเย็น” ที่จะอยู่กับเราต่อไปอีกนานเราจะเครียดน้อยลง
ข้อแปด ทุกปี เราต้องคำนวณหาผลตอบแทนประจำปีดูว่าเราทำได้เท่าไรเทียบกับผลตอบแทนของตลาดและเทียบกับเป้าหมายระยะยาวของเราซึ่งก็คือ 10-15% ที่เราตั้งไว้ ถ้าเราทำได้ดีกว่าตลาดและดีกว่าเป้า เราก็ควรจะดีใจโดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ถ้าเราทำได้แพ้ตลาดแต่ยังทำได้ตามเป้าเราก็ยังควรจะดีใจเพราะในไม่ช้าเป้าหมายระยะยาวของเราก็ไปได้ถึง แต่ถ้าเราแพ้ทั้งตลาดและก็ไม่ได้ตามเป้าส่วนตัวของเรา เราก็อาจจะเสียใจบ้างแต่ก็ควรจะดูต่อไปว่าปันผลที่ได้รับในปีนั้นของเราเพิ่มขึ้นหรือไม่ ถ้ามันยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน นั่นก็อาจจะเป็นเครื่องปลอบเราว่าที่จริงการลงทุนของเรานั้นไม่ได้ผิดพลาด มันยังก้าวหน้าไป เพียงแต่ในระยะสั้น ๆ ตลาดหุ้นอาจจะไม่เป็นใจทำให้ราคามันลดลง แต่ในอนาคต มันก็คงจะปรับตัวขึ้นไปได้ไม่ยาก ว่าที่จริง ในระยะยาวจริง ๆ แล้ว ปันผลนั้นถือว่าเป็นเครื่องวัดที่สำคัญที่สุดตัวหนึ่งว่า เราลงทุนได้ถูกต้องหรือเปล่า ถ้าปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีในอัตราที่น่าประทับใจ เราก็ไม่มีอะไรต้องวิตกเลย
ทั้งหมดนั้นก็เป็นกลวิธีการลงทุนที่จะทำให้เรามีความสบายใจ ใช้เวลาไม่มาก ไม่เครียด และได้ผลดี โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีงานประจำเต็มเวลา การลงทุนแบบนี้เปรียบไปก็จะคล้าย ๆ กับการปลูกต้นไม้ใหญ่ยืนต้นที่เราเฝ้าดูแลมันเติบโตขึ้นช้า ๆ แต่มั่นคง โดยที่เราไม่ต้องเร่งมัน แต่เมื่อถึงวันหนึ่ง เราก็จะได้อาศัยร่มเงาและผลของมันมากินได้ต่อเนื่องยาวนานและเป็นที่พึ่งของเราได้
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3995

โพสต์

วันนี้ KTC สอนอะไร พวกเราได้บ้างครับ :D
torpongpak
Verified User
โพสต์: 2595
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3996

โพสต์

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าผมยังเป็นมนุษย์ที่อ่อนไหวกับราคาหุ้นอยู่พอสมควร ถึงเเม้ช่วงหลังจะพัฒนามาอ่อนไหวกับพื้นฐานเเละผลประกอบการมากขึ้นเเล้วก็ตาม :B

วันนี้หุ้นตัวนี้สอนผมเรื่อง
1) ตอกย้ำอีกครั้ง ว่าการคาดเดาราคาหุ้นไม่มีประโยชน์ เเละเรามักจะคาดผิด
2) อิทธิพลของการให้ข่าวจากผู้บริหาร มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นมากเหลือเกิน
ผมพบจุดต่างชัดๆข้อเเรกระหว่าCEOคนใหม่กับCEOคนเดิมคือ"การสื่อสาร"ที่มากขึ้น CEOคนใหม่ขยันให้ข่าวทำให้สื่อสารถึงผู้ถือหุ้นได้ง่าย สิ่งที่สำคัญคือส่วนFACTท่านพูดจริง ขาดทุนบอกว่าขาดทุน ส่วนเรื่องผลประกอบการในอนาคตต้องรอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เเต่อย่างไรก็ตามมันสร้าง"ความหวัง"ให้กับนักลงทุน เมื่อมีความหวังมากๆเข้าก้จะเกิดDemand คนต้องการหุ้นKTCก็มีมาก ราคาเลยเป็นอย่างที่เห็น

ผมขอยกตัวอย่างกรณีของผู้บริหารที่"ช่างพูด"ซึ่งมีผลต่อการขึ้นลงของราคาหุ้นที่ผมเคยเจอมา คือ AIM(Y) ผู้บริหารหนุ่มคนเดิมเป็นคนขยันให้ข่าวมาก ราคาหุ้นเเทบจะSwingตามข่าวที่ออกมาเป็นพักๆเเละถึงเเม้ผลประกอบการไม่ดี เเต่ราคาหุ้นถูกพยุงอยู่พักใหญ่ด้วยข่าว จนผลประกอบการไตรมาศถัดไปออกมาตอกย้ำความจริง...ผิดกับผู้บริหารหญิงของน้องAIMYคนปัจจุบันที่เก็บตัวเงียบเชียบ ไม่ให้ข่าว ราคาหุ้นก็เงียบเชียบ...

สุดท้ายเเล้วต้องพัฒนาตัวเองให้เป็นนักลงทุนจริงๆให้ได้...
เวลา + ความมั่งคั่ง เป็นโจทย์แต่ฝนเดินมาไม่ถูกทาง(ลืมบอกฝนเป็นคนชอบอ่านหนังสือมากนะคะ หมกมุ่นกับหนังสือสุดๆ ฮ่า) จนวันนึงเดินสะดุดหนังสือเล่มนึงเข้า นักลงทุนผู้ชาญฉลาด The intelligent investor " หุ้นไม่ใช่ชื่อย่อหรือตัวกระพริบในกระดาน แต่เป็นเจ้าของธุรกิจที่มีมูลค่าและราคา "
ฟังดูก็ตลกดีนะคะ แค่ประโยคเดียวนี้เอง เปลี่ยนชีวิตคนๆนึงเลย
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3997

โพสต์

ขอถามเพื่อนๆนิดนึงว่า ตอนนี้เรายังต้องเก็บ CME credit กันเป็นกิจจะลักษณะกันต่อหรือเปล่าครับ :?:
ภาพประจำตัวสมาชิก
nACrophiles_117
Verified User
โพสต์: 1362
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3998

โพสต์

Paul VI เขียน:ขอถามเพื่อนๆนิดนึงว่า ตอนนี้เรายังต้องเก็บ CME credit กันเป็นกิจจะลักษณะกันต่อหรือเปล่าครับ :?:
เหมือนเคยได้ยินอะไรทำนองนี้เหมือนกันครับ แต่ก็ไม่เห็นมีเพื่อนคนไหนมานั่งเก็บ credit เลย แรกๆ ผมก็เคยเก็บเล่นๆ จากหนังสือ Medical Progress ที่ออกรายเดือน ทำได้ไม่กี่เล่มก็เลิกไป ด้วยความขี้เกียจ :(
labor omnia vincit
gongphop
Verified User
โพสต์: 1009
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 3999

โพสต์

ก็ยังมีให้เก็บกันอยู่ครับ แต่ไม่ต้องเก็บก็ได้ เก็บไปเฉยๆอย่างนั้น เพราะโครงการที่ต้องประเมินเครดิต ก่อนต่อใบประกอบโรคศิลป์ได้ยกเลิกไปแล้ว ตอนนี้ใบประกอบโรคศิลป์ก็ยังเป็นแบบตลอดชีพอยู่ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4000

โพสต์

ขอบคุณสำหรับคำตอบนะครับ ค่อยสบายใจหน่อย

พอดีเกรงว่าจะไม่ได้ update ข้อมูล

ข้อมูลของพวกหมอเรา ก็รู้ๆกันอยู่ อ่านเท่าไหร่ก็ไม่มีวันอ่านหมด

ไหนจะข้อมูลหุ้นอีก เฮ้อ :?
qiwio
Verified User
โพสต์: 63
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4001

โพสต์

ฝากตัวด้วยคนครับ
เป็นint2
กำลังจะtrain gen sur
ลงทุนมา1ปี
1ปีที่ผ่านมา. เล่นแนวแมงเม่า
ตอนนี้จะไปเทรน เลยปรับพอร์ตมาเป็นตัวปันผล
เริ่มเก็บตอน set ลงไปรอบล่าสุด แถวๆ900จุด
ตอนนี้พอร์ต+20%จะเอาเป็น margin of safety.
ไม่รู้ว่าพอไหวหรือเปล่า กลัวpanic sellพรุ่งนี้จริงๆ
ที่หวังระยะยาวจริงๆคือ ปันผล ต้นปี คำนวนได้ 5%
ปัจจุบันยังตัดอารมจากราคาที่ขึ้นลงในแต่ละวันไม่ได้
ตรวจopd. หลังhotxp มี streamming และ efin เปิดตลอด


Planจากนี้ คือ. รักษาพอร์ตไม่ให้น้อยลง ระหว่างไปเรียน4ปี
ปรับพอร์ต ตามแนวห่านทองคำ แบบคุณเทพ
พยายาม ศึกษา งบการเงินและวิเคราะห์บริษัท. <<ณ ตอนนี้ ยากมากๆสำหรับผม
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4002

โพสต์

ยินดีต้อนรับ น้อง qiwio ครับ :welcome:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4003

โพสต์

เอา Youtube สัมภาษณ์ Money Talk

โจ ลูกอิสาน

เรียกว่าหลังๆ เป็นน้องที่คุยกันบ่อยทีเดียว ได้ทั้งแนวคิดการลงทุน และแนวคิดเรื่องชีวิต

อายุน้อยกว่าผม แต่เรียกว่า ประสบการณ์ชีวิตและการลงทุน มากทีเดียว :bow: :bow:


maymekung
Verified User
โพสต์: 217
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4004

โพสต์

ในฐานะแพทย์ ทุกท่านคิดอย่างไรกับหุ้นกลุ่ม โรงพยาบาลในตอนนี้บ้างครับ
Freedom
teatree
Verified User
โพสต์: 18
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4005

โพสต์

เสียดายcmeเหมือนกันนะครับ
ตอนเอาcmeไปผูกกับใบว. หมอๆที่รพ.สุมหัวกันทำข้อสอบแบบจริงจังมาก
แถมแบ่งงานกันทำ ใครเอาjournalไปอ่าน ใครมีหน้าที่เก็บรวบรวมส่ง
เลยได้อ่านบทความทางวิชาการไปในตัว แม้นจะไม่ใช่ฟิลด์ของเรา

ผมว่ามันมีข้อดีอยู่แยะเลย แล้วแต่มุมมองนะ

ไอ้การได้ใบว.แบบpermanentนี่แหละที่ทำให้เราประมาท.

เรื่องหุ้น รพ.
นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ต้องจำไว้อีกเหมือนกัน คิดแล้วไม่ทำ
สัก2-3อาทิตย์ก่อน อ.ปราเสริฐซื้อหุ้น bgh ติดต่อกันหลายlot
ราคาแถวๆ70-71บาท นี่เรียกว่าinsideซื้อเองให้เห็นเลย
ถ้าไม่ไปเปิดงบดูว่า peมันพรวดไปที่20+คงซื้อตามไปแล้ว
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4006

โพสต์

ครบรอบ 1 ปี สึนามิ ญี่ปุ่น วันที่ 11 /3 / 55

ดูสารคดีพิเศษ จากรายการ money channel เลยตามไปหาข้อมูลเพิ่มเติม สัญลักษณ์ของความอยู่รอด ของวิกฤตสึนามิญี่ปุ่น


รูปภาพ



เอเอฟพี - ต้นสนเดียวดายยืนตระหง่านอยู่เพียงลำพังบนชายฝั่งเมืองริคุเซนทากาตะ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกคลื่นสึนามิซัดทำลายราบพนาสูร ต้นไม้ร้อยปีที่เหลือเพียงต้นเดียวนี้ได้กลายเป็นสัญญลักษณ์แห่งความหวัง และการต่อสู้ของชาวญี่ปุ่นผู้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปกับภัยพิบัติทางธรรมชาติที่พรากชีวิตผู้คนไปแล้วมากกว่า 11,000 ราย

สนต้นนี้เป็นหนึ่งประชากรของป่าสนที่มีกว่า 70,000 ต้น ซึ่งทำหน้าที่ปกปักรักษาเมืองริคุเซนทากาตะ จากคลื่นลมทะเลมานานกว่า 300 ปี ทั้งนี้ พื้นที่ในวงกว้างของเมืองกลายสภาพเป็นซากปรักหักพัง เหลือเพียงอาคารคอนกรีตอยู่ไม่กี่หลัง มิหนำซ้ำชาวเมืองกว่า 10 เปอร์เซนต์ได้ตายจาก หรือไม่ก็หายสาบสูญไปพร้อมกับคลื่นยักษ์ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม

ป่าสนทั่วบริเวณดังกล่าวล้วนถูกคลื่นสึนามิถอนรากถอนโคน เหลือเพียงต้นไม้แห่งความหวังยืนอยู่เพียงลำพัง จนกระทั่งชาวเมืองผู้รอดชีวิตทั้งหลายเห็นตรงกันว่า สนต้นนี้คือปาฏิหาริย์ ขณะที่บ้านเรือนของพวกเขาก็ถูกกระแสน้ำพลังมหาศาลทำลายไม่เหลือซาก

“เพราะมันเป็นเพียงสนต้นเดียวที่ไม่ได้รับความเสียหาย มันจึงกลายเป็นสัญญลักษณ์แห่งการฟื้นฟู” เอริ คามาอิชิ สตรีชาวท้องถิ่นวัย 23 ปี กล่าว ขณะยืนอยู่ใต้ร่มเงาของสิ่งที่ชาวเมืองรับรู้กันในขณะนี้ว่า “ต้นสนแห่งความหวัง”

คามาอิชิ ระบุว่า สนต้นนี้เป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่หลงเหลือยู่ เพื่อยืนยันว่าครั้งหนึ่งตรงนี้คือเมืองริคุเซนทากาตะ
http://www.manager.co.th/around/ViewNew ... 0000041726
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4007

โพสต์

teatree เขียน:เสียดายcmeเหมือนกันนะครับ
ตอนเอาcmeไปผูกกับใบว. หมอๆที่รพ.สุมหัวกันทำข้อสอบแบบจริงจังมาก
แถมแบ่งงานกันทำ ใครเอาjournalไปอ่าน ใครมีหน้าที่เก็บรวบรวมส่ง
เลยได้อ่านบทความทางวิชาการไปในตัว แม้นจะไม่ใช่ฟิลด์ของเรา

ผมว่ามันมีข้อดีอยู่แยะเลย แล้วแต่มุมมองนะ

ไอ้การได้ใบว.แบบpermanentนี่แหละที่ทำให้เราประมาท.

เรื่องหุ้น รพ.
นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ต้องจำไว้อีกเหมือนกัน คิดแล้วไม่ทำ
สัก2-3อาทิตย์ก่อน อ.ปราเสริฐซื้อหุ้น bgh ติดต่อกันหลายlot
ราคาแถวๆ70-71บาท นี่เรียกว่าinsideซื้อเองให้เห็นเลย
ถ้าไม่ไปเปิดงบดูว่า peมันพรวดไปที่20+คงซื้อตามไปแล้ว
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ

สำหรับ BGH การโตก็อย่างที่เห็นใช้วิธีการเทค และ m&a เป็นหลัก สิ่งที่ต้องระวังผมว่า น่าจะเป็นกระแสเงินสดมากกว่า

BH ดูจะ conser กว่าเล็กน้อย และได้ KH มาเป็นพวกด้วย ก็ถือว่าเป็นก๊กรอง

ก๊กสาม น่าจะเป็น RAM กับ vibha ที่น่าจะเป็นตัวสอดแทรก ทั้งที่ราม ก็โดน bgh ถือหุ้นไว้ไม่น้อย

นอกนั้นก็เป็น โรงพยาบาลที่มีจุดแข็งที่ท้องถิ่นตัวเอง
torpongpak
Verified User
โพสต์: 2595
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4008

โพสต์

เอาข้อคิดดีๆมาฝากครับ จากพี่ที่ผมนับถือเป็นอาจารย์ของผมท่านหนึ่ง

...พอดีผมมีหุ้นในWatch listอยู่ตัวนึง หลังวันประกาศงบ ราคาหุ้นตัวนั้นก็ตกลงมาอีก(จากปกติราคาก็ตกลงมามากเเล้ว) เเต่ผมไม่มีตังค์ซื้อ ผมจึงตัดสินใจขายหุ้นในportตัวนึงที่ถือมาราวปีครึ่ง หุ้นตัวนี้ปันผลสม่ำเสมอ เเต่Capital gainติดลบเพราะมาตกหลุมอากาศช่วงน้ำท่วมอย่างไรก็ตามพื้นฐานหุ้นตัวนี้ก็ไม่ได้เปลี่ยน เเถมล้างขาดทุนจากช่วงน้ำท่วมหมดเเล้ว....เหตุผลที่ขายเพราะถือมาตั้งนานราคาของหุ้นตัวนี้ไม่ไปไหนเเละUpsideของหุ้นตัวใหม่น่าจะมากกว่า

เลยpmปรึกษาพี่เค้าให้ช่วยเเสดงความเห็นในการตัดสินใจครั้งนี้เพื่อพัฒนาการลงทุนของตัวเองต่อไป ได้คำตอบมาดังนี้ครับ
chaitorn เขียน:ผมเพิ่งได้มีโอกาสอ่านหนังสือของคุณวิบูลย์เล่มล่าสุด ตะแกรงล่อนหุ้นซึ่งเป็นกระทู้ยอดนิยมของthaivi.org

หลักการตัดสินใจซื้อหุ้นที่สำคัญคือ
เราซื้อหุ้นแบบวัวเนื้อ หรือซื้อหุ้นแบบวัวนม

ทุกครั้งที่เราซื้อหุ้นแบบวัวเนื้อ เราจะเน้นซื้อวัวที่หวังว่าจะได้เนื้อวัวมากขึ้นกว่าวันที่เราซื้อ

ซื้อแล้วเราหวังที่จะขายต่อออกไปให้ได้เพื่อหวังกำไรจากการขายเนื้อ
สุดท้ายเราก็ต้องซื้อวัวเนื้อตัวใหม่เพื่อรอการขายต่อออกไปอยู่ตลอดเวลา
เวลาขายก็มีโอกาสกำไรและขาดทุน

แต่หากเราสามารถซื้อวัวนมชั้นดี
เราซื้อวัวนมเพราะหวังว่าวัวจะผลิตน้ำนมจำนวนมากในอนาคต
ยิ่งอยู่กับวัวนมนานเท่าไร วัวก็จะผลิตนมให้กับเจ้าของตลอดเวลา
เราก็จะมีรายได้จากการขายนมวัว

หากเราอยากได้นมวัวเพิ่มขึ้นเราก็สามารถซื้อวัวนมเข้าฟาร์มเราได้ตลอดเวลาจนวัวนมออกลูกออกหลานมากขึ้น เราก็จะได้น้ำนมมากขึ้นๆ ก็จะทำให้เรามีรายได้จากการขายนมวัวเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆโดยไม่จำเป็นต้องไปแล่ขายเนื้อวัว

แต่กำไรจะมาจากการซื้อวัวที่ผลิตนมเพิ่มขึ้น
ปัญหาคือต้องเลือกวัวนมที่ผลิตน้ำนมได้นานปีและเป็นวัวนมที่สามารถผลิตลูกวัวตัวน้อยๆให้ขยายฟาร์มวัวนมให้ใหญ่ขึ้นในอนาคตยิ่งซื้อวัวนมเพิ่มขึ้นยิ่งมั่งคั่งขึ้น

ผมกำลังจัดฟาร์มวัวนมอยู่ครับ เลิกขายวัวเนื้อเพราะมันบาปกรรมเนื่องจากต้องเลี้ยงชีพด้วยการฆ่าผู้มีพระคุณเพื่อให้เราไปหาวัวเนื้อตัวอื่นมาฆ่าต่อเนื่องเพื่อสร้างฟาร์มวัวเนื้อให้ใหญ่ขึ้น5555 ในอดีตผมทำแบบนี้เหมือนกันทำให้ต้องหาวัวเนื้อใหม่ตลอดเวลาปาวัวเนื้อที่เป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคต :D

นี่เป็นวิธีคิดของผมในปัจจุบัน แม้จะโตแบบเต่าแต่จะมีรายได้มั่นคงมากขึ้นในอนาคต

วิธีคิดแบบนี้คือจะทำกำไรได้เมื่อเราซื้อหุ้นที่ถูกต้องและเก็บเกี่ยวให้ยาวนาน ไม่ใช่กำไรที่มาจากต้องขายหุ้นครับ
...พออ่านคำตอบของพี่เค้าเเล้ว ผมรู้สึกได้เลยว่าผมเป็นเเค่"พ่อค้าขายเนื้อวัว" คิดเเต่จะหาวัวมาขุนตั้งเเต่ตัวเล็กๆเเละฆ่ามันเมื่อโตจนได้น้ำหนักที่น่าพอใจ(คิดเเต่เรื่องการทำกำไรจากCapital Gainในอนาคต)ทำให้ผมต้องลำบากเป็นเเมวมองหาวัวตัวใหม่ๆเรื่อยๆ...

บางทีถ้าเราหัดเลี้ยง"วัวนม"มากขึ้น อาจทำให้เรามีอิสระภาพจากการลงทุนมากขึ้นก็ได้
หวังว่าคงเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ :D
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
torpongpak
Verified User
โพสต์: 2595
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4009

โพสต์

ลองมาดูคำถามของคนเลี้ยงวัวนม"ได้เงินต้นคืนจากเงินปันผลของหุ้นตัวไหนกันบ้างครับ?"
เเละคำถามของคนเลี้ยงวัวเนื้อ"คุณเคยได้กำไรสูงสุดกี่เด้ง?"

ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าการเลี้ยงวัวเนื้อเป็นสิ่งที่ผิดนะครับ คนเลี้ยงวัวเนื้อเก่งๆก็มีเยอะไป เเต่ผมเเค่รู้สึกว่าถ้าเราเปลี่ยนมาทำฟาร์มวัวนมรอรีดน้ำนมอย่างเดียว(กินปันผล) น่าจะเหนื่อยเเละเสี่ยงน้อยกว่าการเลี้ยงวัวเนื้อ(หาหุ้นที่Undervalue....รอปัจจัยปลดล๊อคมูลค่า...เเล้วขาย...จากนั้นหาหุ้นUndervalueใหม่) เเต่การเลี้ยงวัวนมต้องอดทนกับการโตของportเเบบ"เต่า"...

บางคนจึงทำฟาร์มเเบบผสมไปเลย :B
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
maymekung
Verified User
โพสต์: 217
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4010

โพสต์

ขอเปน โค(โยตี้) นมหย่ายๆ ครับ :ep:
Freedom
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4011

โพสต์

ไอเดียหมอแป๊กดีครับ

แต่มุมมองอาจเป็นอย่างนี้ก็ได้ครับ เรามีฟาร์มโคนมทั้ง 2 แบบ

แล้วแถมบางที โคนมดันให้เนื้อเยอะซะอีกก็มี

พี่ว่าบางครั้งขึ้นกับอายุ รายได้ และลักษณะของรายได้ และเป้าหมายของ yield ด้วย

หมออย่างพวก้รามีรายได้เข้ามาทุกเดือน หรือบางคนทุกวัน เราลงทุนเพื่อการได้ปันผลเลี้ยงเราเป็น passive income เป็นสิ่งที่น่าทำครับ

การสร้าง portfolio ที่เลี้ยงเราได้ในวัยที่เราต้องการเกษียณทำให้ชีวิตเราเดินทางไปอย่างมั่นคงครับ
torpongpak
Verified User
โพสต์: 2595
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4012

โพสต์

ปัญหาของผมตอนเป็นคนเลี้ยงวัวเนื้อเเล้ว ตอนหั่นขายคิดว่าเป็นเนื้อวัวเเต่ไหง กลายเป็นเนื้อหมูทุกทีหว่า :wall: :wall:

555 เลี้ยงวัวเนื้อ เเต่ตอนขายกลายเป็นสุกรเฉ้ย.....
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
superboy
Verified User
โพสต์: 1049
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4013

โพสต์

ผมก็หมูเหมือนกันครับ. หมอแป็ก

แต่ของพี่หมอมุขสุดยอดครับ.
อย่าหลุดแนวที่ตัวเองถนัด สู้สู้
pla_0072
Verified User
โพสต์: 42
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4014

โพสต์

Paul VI เขียน:
teatree เขียน:เสียดายcmeเหมือนกันนะครับ
ตอนเอาcmeไปผูกกับใบว. หมอๆที่รพ.สุมหัวกันทำข้อสอบแบบจริงจังมาก
แถมแบ่งงานกันทำ ใครเอาjournalไปอ่าน ใครมีหน้าที่เก็บรวบรวมส่ง
เลยได้อ่านบทความทางวิชาการไปในตัว แม้นจะไม่ใช่ฟิลด์ของเรา

ผมว่ามันมีข้อดีอยู่แยะเลย แล้วแต่มุมมองนะ

ไอ้การได้ใบว.แบบpermanentนี่แหละที่ทำให้เราประมาท.

เรื่องหุ้น รพ.
นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ต้องจำไว้อีกเหมือนกัน คิดแล้วไม่ทำ
สัก2-3อาทิตย์ก่อน อ.ปราเสริฐซื้อหุ้น bgh ติดต่อกันหลายlot
ราคาแถวๆ70-71บาท นี่เรียกว่าinsideซื้อเองให้เห็นเลย
ถ้าไม่ไปเปิดงบดูว่า peมันพรวดไปที่20+คงซื้อตามไปแล้ว
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ

สำหรับ BGH การโตก็อย่างที่เห็นใช้วิธีการเทค และ m&a เป็นหลัก สิ่งที่ต้องระวังผมว่า น่าจะเป็นกระแสเงินสดมากกว่า

BH ดูจะ conser กว่าเล็กน้อย และได้ KH มาเป็นพวกด้วย ก็ถือว่าเป็นก๊กรอง

ก๊กสาม น่าจะเป็น RAM กับ vibha ที่น่าจะเป็นตัวสอดแทรก ทั้งที่ราม ก็โดน bgh ถือหุ้นไว้ไม่น้อย

นอกนั้นก็เป็น โรงพยาบาลที่มีจุดแข็งที่ท้องถิ่นตัวเอง

เรื่องกลุ่ม รพ. นี้ระยะยาวคนสูงอายุคงเยอะขึ้นแน่ๆ แต่ที่สงสัยคือเป็นไปได้มั้ยคะ ว่าเราอาจจะเสียลูกค้าต่างชาติให้สิงคโปร์มากกว่า เคยดูๆ นโยบายของสิงคโปร์ เค้าตั้งใจจะเป็น medical hub แม้กระทั่งมาเลเซียเองก็ตาม โดยหลักๆ ลูกค้าของ รพ.เอกชนใหญๆ ในไทยมักเป็นลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะ BH กะ SVH ถ้าเป็นคนไทยก็เป็นคนระดับมีตัง แต่โดยพื้นฐานคนในประเทศเราเป็นคนชั้นกลางกะล่างมากกว่า สิงคโปร์น่ากลัวตรงที่เค้าพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขได้เร็วคะ ส่วนนึงอาจเพราะเค้าไปดึงตัวมาจากประเทศต่างๆ ด้วยมั้งคะ

ถ้ามองระยะยาวแล้ว KH หรือ RAM อาจจะดีกว่ารึป่าวคะ?
navapon
Verified User
โพสต์: 760
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4015

โพสต์

pla_0072 เขียน:
Paul VI เขียน:
teatree เขียน:เสียดายcmeเหมือนกันนะครับ
ตอนเอาcmeไปผูกกับใบว. หมอๆที่รพ.สุมหัวกันทำข้อสอบแบบจริงจังมาก
แถมแบ่งงานกันทำ ใครเอาjournalไปอ่าน ใครมีหน้าที่เก็บรวบรวมส่ง
เลยได้อ่านบทความทางวิชาการไปในตัว แม้นจะไม่ใช่ฟิลด์ของเรา

ผมว่ามันมีข้อดีอยู่แยะเลย แล้วแต่มุมมองนะ

ไอ้การได้ใบว.แบบpermanentนี่แหละที่ทำให้เราประมาท.

เรื่องหุ้น รพ.
นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ต้องจำไว้อีกเหมือนกัน คิดแล้วไม่ทำ
สัก2-3อาทิตย์ก่อน อ.ปราเสริฐซื้อหุ้น bgh ติดต่อกันหลายlot
ราคาแถวๆ70-71บาท นี่เรียกว่าinsideซื้อเองให้เห็นเลย
ถ้าไม่ไปเปิดงบดูว่า peมันพรวดไปที่20+คงซื้อตามไปแล้ว
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ

สำหรับ BGH การโตก็อย่างที่เห็นใช้วิธีการเทค และ m&a เป็นหลัก สิ่งที่ต้องระวังผมว่า น่าจะเป็นกระแสเงินสดมากกว่า

BH ดูจะ conser กว่าเล็กน้อย และได้ KH มาเป็นพวกด้วย ก็ถือว่าเป็นก๊กรอง

ก๊กสาม น่าจะเป็น RAM กับ vibha ที่น่าจะเป็นตัวสอดแทรก ทั้งที่ราม ก็โดน bgh ถือหุ้นไว้ไม่น้อย

นอกนั้นก็เป็น โรงพยาบาลที่มีจุดแข็งที่ท้องถิ่นตัวเอง

เรื่องกลุ่ม รพ. นี้ระยะยาวคนสูงอายุคงเยอะขึ้นแน่ๆ แต่ที่สงสัยคือเป็นไปได้มั้ยคะ ว่าเราอาจจะเสียลูกค้าต่างชาติให้สิงคโปร์มากกว่า เคยดูๆ นโยบายของสิงคโปร์ เค้าตั้งใจจะเป็น medical hub แม้กระทั่งมาเลเซียเองก็ตาม โดยหลักๆ ลูกค้าของ รพ.เอกชนใหญๆ ในไทยมักเป็นลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะ BH กะ SVH ถ้าเป็นคนไทยก็เป็นคนระดับมีตัง แต่โดยพื้นฐานคนในประเทศเราเป็นคนชั้นกลางกะล่างมากกว่า สิงคโปร์น่ากลัวตรงที่เค้าพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขได้เร็วคะ ส่วนนึงอาจเพราะเค้าไปดึงตัวมาจากประเทศต่างๆ ด้วยมั้งคะ

ถ้ามองระยะยาวแล้ว KH หรือ RAM อาจจะดีกว่ารึป่าวคะ?
น่าคิดจริงๆ โรงพยาบาลใหญ่ๆ รายได้มาจากต่างชาติทั้งนั้น สำหรับคนไทยก็มักจะต้องรวยมีประกันชีวิตมากๆซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แต่คนไทยส่วนใหญ่ ฐานะไม่ดีพอที่จะไปรพ.เอกชนระดับสูงๆอย่าง BGH หรือ BH ได้ ผมว่าแนวโน้มสังคมคนแก่ของประเทศไทยไม่ได้ช่วยเพิ่มรายได้ให้รพ.พวกนี้สักเท่าไหร่ รายได้คงต้องพึ่งต่างชาติเหมือนเดิม โดยแรงดึงดูดคนไข้ต่างชาติ คงมาจากทั้งความเก่งของแพทย์ เทคโนโลยี่ และ ราคาค่ารักษาที่ถูกกว่า (เมื่อคิดเป็นดอลล่าห์) หลายอย่างร่วมกัน อย่างไรก็ตามจุดแข็งของไทยก็ยังมีที่ว่า หมอไทยระดับรพ.พวกนี้เก่งมากครับ
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
pla_0072
Verified User
โพสต์: 42
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4016

โพสต์

navapon เขียน:
pla_0072 เขียน:
Paul VI เขียน:
teatree เขียน:เสียดายcmeเหมือนกันนะครับ
ตอนเอาcmeไปผูกกับใบว. หมอๆที่รพ.สุมหัวกันทำข้อสอบแบบจริงจังมาก
แถมแบ่งงานกันทำ ใครเอาjournalไปอ่าน ใครมีหน้าที่เก็บรวบรวมส่ง
เลยได้อ่านบทความทางวิชาการไปในตัว แม้นจะไม่ใช่ฟิลด์ของเรา

ผมว่ามันมีข้อดีอยู่แยะเลย แล้วแต่มุมมองนะ

ไอ้การได้ใบว.แบบpermanentนี่แหละที่ทำให้เราประมาท.

เรื่องหุ้น รพ.
นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ต้องจำไว้อีกเหมือนกัน คิดแล้วไม่ทำ
สัก2-3อาทิตย์ก่อน อ.ปราเสริฐซื้อหุ้น bgh ติดต่อกันหลายlot
ราคาแถวๆ70-71บาท นี่เรียกว่าinsideซื้อเองให้เห็นเลย
ถ้าไม่ไปเปิดงบดูว่า peมันพรวดไปที่20+คงซื้อตามไปแล้ว
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ

สำหรับ BGH การโตก็อย่างที่เห็นใช้วิธีการเทค และ m&a เป็นหลัก สิ่งที่ต้องระวังผมว่า น่าจะเป็นกระแสเงินสดมากกว่า

BH ดูจะ conser กว่าเล็กน้อย และได้ KH มาเป็นพวกด้วย ก็ถือว่าเป็นก๊กรอง

ก๊กสาม น่าจะเป็น RAM กับ vibha ที่น่าจะเป็นตัวสอดแทรก ทั้งที่ราม ก็โดน bgh ถือหุ้นไว้ไม่น้อย

นอกนั้นก็เป็น โรงพยาบาลที่มีจุดแข็งที่ท้องถิ่นตัวเอง

เรื่องกลุ่ม รพ. นี้ระยะยาวคนสูงอายุคงเยอะขึ้นแน่ๆ แต่ที่สงสัยคือเป็นไปได้มั้ยคะ ว่าเราอาจจะเสียลูกค้าต่างชาติให้สิงคโปร์มากกว่า เคยดูๆ นโยบายของสิงคโปร์ เค้าตั้งใจจะเป็น medical hub แม้กระทั่งมาเลเซียเองก็ตาม โดยหลักๆ ลูกค้าของ รพ.เอกชนใหญๆ ในไทยมักเป็นลูกค้าต่างชาติโดยเฉพาะ BH กะ SVH ถ้าเป็นคนไทยก็เป็นคนระดับมีตัง แต่โดยพื้นฐานคนในประเทศเราเป็นคนชั้นกลางกะล่างมากกว่า สิงคโปร์น่ากลัวตรงที่เค้าพัฒนาบุคลากรสาธารณสุขได้เร็วคะ ส่วนนึงอาจเพราะเค้าไปดึงตัวมาจากประเทศต่างๆ ด้วยมั้งคะ

ถ้ามองระยะยาวแล้ว KH หรือ RAM อาจจะดีกว่ารึป่าวคะ?
น่าคิดจริงๆ โรงพยาบาลใหญ่ๆ รายได้มาจากต่างชาติทั้งนั้น สำหรับคนไทยก็มักจะต้องรวยมีประกันชีวิตมากๆซึ่งเป็นคนส่วนน้อย แต่คนไทยส่วนใหญ่ ฐานะไม่ดีพอที่จะไปรพ.เอกชนระดับสูงๆอย่าง BGH หรือ BH ได้ ผมว่าแนวโน้มสังคมคนแก่ของประเทศไทยไม่ได้ช่วยเพิ่มรายได้ให้รพ.พวกนี้สักเท่าไหร่ รายได้คงต้องพึ่งต่างชาติเหมือนเดิม โดยแรงดึงดูดคนไข้ต่างชาติ คงมาจากทั้งความเก่งของแพทย์ เทคโนโลยี่ และ ราคาค่ารักษาที่ถูกกว่า (เมื่อคิดเป็นดอลล่าห์) หลายอย่างร่วมกัน อย่างไรก็ตามจุดแข็งของไทยก็ยังมีที่ว่า หมอไทยระดับรพ.พวกนี้เก่งมากครับ



เห็นด้วยคะหมอ รพ. พวกนี้เก่งมากๆ คะ แต่ใน รพ.รัฐ ที่เก่งๆ ก็เยอะไม่แพ้กันคะ แล้วในหลายๆ ครั้ง ผู้ป่วยต่างชาติก็มักเลือกมารักษาที่ไทย เนื่องจากหมอไทยเก่ง

ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าเป็นเภสัชกรนะคะ แต่ไม่ได้ทำงาน รพ. แล้วคะ (ขอมาแอบมาร่วมแจมบ้างนะคะ :D ) ส่วนตัวแล้วมีความเห็นว่าระบบสาธารณสุขมันแอบอยู่กะที่ ไม่ค่อยไปไหนเท่าไรคะ ขอยกตัวอย่างในวงการของตัวเองนะคะ
สำหรับในประเทศสิงคโปร์เค้าจะเน้นการทำงานเป็นสหวิชาชีพ ซึ่งเค้ามักจะมาเปิดรับเภสัชกรไทยให้ไปเป็นเภสัชที่นั่นเป็นประจำทุกปีคะ ยิ่งถ้าจบ specialist (คล้ายๆ ที่คุณหมอทั้งหลายเรียน) ก็ยิ่งจะอยากรับคะ รวมทั้งเค้าก็มีผลิตของเค้าเองด้วย ซึ่งในประเทศไทยนั้นหาเภสัชกรที่จบ specialist จริงๆ น้อยมากคะ ถ้ามีก็มักไปเป็นอาจารย์มากกว่า (ดังนั้นคุณหมอทั้งหลายไม่ต้องแปลกใจ ที่เวลาถามบางทีพวกเราจะตอบไม่ได้คะ) ทั้งๆ ที่โครงการผลิต specialist มีมาระยะนึงแล้ว แต่ว่าเพิ่งจะเริ่มๆ ผลิตได้ไม่กี่ปีนี่เอง แถมปีหนึ่งๆ ก็รับได้แค่หางอึ่ง แต่สิงคโปร์เค้าไปไหนแล้ว มันเลยแอบรู้สึกว่าเค้าพัฒนาบุคลากรในระยะยาวดีกว่าของไทยคะ รวมทั้งตาม รพ. ต่างๆ เองก็ไม่ได้สร้างความรู้สึกว่าเราอยากจะทำงานใน รพ. ตลอดชีวิตคะ ในเมื่อบุคลากรเฉยๆ กับการทำงาน แล้วระยะยาวเราจะสู้รอบๆ บ้านได้อย่างไร?

นอกจากนี้ยังเห็นว่าคุณหมอตาม รพ. รัฐ ก็ภาระงานหนักมาก แล้วคนไข้มักจะไม่เข้าใจด้วยคะ ตามเอกชนคนไข้ก็คิดว่าเค้าจ่ายตังแพง ทำไมหมอดูแลไม่ดี แถมเก็บค่ารักษาแพง บลาๆ อันนี้มันสะท้อนให้เห็นบางอย่างว่า นอกจากตัวระบบที่เราอาจจะสู้รอบๆ บ้านไม่ได้แล้ว ตัวบุคคลทั่วไป (คนไข้) ก็แอบเป็นปัญหานึงด้วยคะ ดังจะเห็นว่ามีการฟ้องร้องที่มากขึ้น คือมีการเรียกร้องสิทธิกัน โดยไม่ได้มีความเข้าใจจริงจังเท่าไร ทำให้แพทย์รุ่นใหม่ๆ มีความลำบากใจในการทำงาน สุดท้ายก็ออกจากระบบสาธารณสุข แพทย์ขาดเหมือนเดิม หรือไม่ก็ย้ายไปอยู่เอกชนซะมากกว่า

วกกลับมาเรื่องลงทุนคะ ดังนั้นเลยเห็นว่าระยะยาวแล้วระบบสาธารณสุขไทย จะสามารถพัฒนาไปเป็น medical hub ตามที่ตั้งใจได้จริงๆ หรือไม่? ถ้ามีก็อาจสู้สิงคโปร์หรือมาเลเซียไม่ได้หรือป่าว? ในเมื่อปัจจัยภายในทำให้บุคลากรทำงานด้วยความลำบากใจ แถมการเมืองเองก็วุ่นวายกับระบบสาธารณสุขเราไม่น้อย นั่งคิดไปคิดมาถ้าไม่คิดเรื่องที่จะมี AEC ในอีกสามปีข้างหน้าแล้ว หากมองปัจจัยระยะยาวเฉพาะพื้นฐานของคนไทย เผลอๆ KH หรือ RAM อาจจะดี แต่ไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็นก็ได้ม้ังคะ (คนไทยส่วนใหญ่น่าจะรักษาตัวที่ รพ. รัฐ มากกว่าในระยะยาว เพราะค่าใช้จ่ายถูกกว่ามาก) แต่ทั้งนี้ในกรณีที่เปิด AEC ประเทศเราจะเรียกลูกค้าได้ดีคะ ถ้าหากเรามีความเก่งเฉพาะด้านที่ขึ้นชื่อมาก เช่น ศัลยกรรมเก่งมาก หรือ GI เก่งมาก อะไรแบบนี้คะ ซึ่งในอนาคตก็คงต้องมาดูกัน :?:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4017

โพสต์

ยินดีครับ คุณ pla_0072 :welcome:

ห้องนี้พวกเราต้องการความรู้กันมากๆครับ :D มาแชร์กันได้เลยครับ

มุมมองของหมอ navapon ผมเห็นด้วยครับ ว่าบางทีการมีประชากรสูงอายุเพิ่มขึ้นในไทยเป็นเรื่องจริง

ส่วนการรักษาของกลุ่มนี้ก็ยังน่าจะเท ไปยังรพ. รัฐซะมากกว่า

แต่สิ่งที่พอจะ drive กลุ่มนี้ให้มีประโยชน์คือ การเพิ่มขึ้นของกลุ่มที่เป็น middle class ด้วย ซึ่งประชากรส่วนที่เป็นผู้สูงอายุและ middle class นั่นล่ะครับ กลุ่มเป้าหมายของรพ. เอกชน high end เหล่านี้ครับ

นอกจากนี้กลุ่ม middle class ที่เพิ่มขึ้นก็ ไม่จำเป็นต้องมีอายุมากครับ แต่เริ่มรักสุขภาพมากขึ้น การตรวจสุขภาพก็จะเป็นหน่วยที่แยกออกมา เพื่อเพิ่มรายได้มากขึ้นของ เอกชนกลุ่มนี้ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4018

โพสต์

มาโปรโมท ห้องใหม่ครับ จากการที่มีมงานปรึกษากันแล้วว่ามีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับชาว VI เช่นพวกเรา

เป็นห้องที่ อาจารย์ภาพร และคณะ ได้ให้ความกรุณามาให้ความรู้แก่พวกเราชาว ThaiVI ครับ :bow:

ชวนเพื่อนๆชาวชมรมหมอ VI ไปรับความรู้กันเต็มที่ครับ

http://board.thaivi.org/viewforum.php?f=46
stemcell
Verified User
โพสต์: 666
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4019

โพสต์

มาทักทายครับ และ มาแจ้งข่าวเรื่อง "คณะบุคคล" ---> สรรพากรมีแนวโน้มที่แก้ไขให้ "คณะบุคคล" จะต้องนำรายได้มารวมคำนวณร่วมกับ "บุคคลธรรมดา" , ซึ่งจะทำให้รายได้ฐานภาษีไม่ลดลง และโดนภาษีอัตราก้าวหน้าเหมือนบุคคลธรรมดา (อ้างอิง ไทยรัฐ 3/4/55 หน้าธุรกิจ ) , แต่อย่างไรก็ตามเป็นแค่ข่าว ไม่ได้ข้อสรุป ต้องรอดูต่อไปครับ :)
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Re: ชมรมหมอ VI

โพสต์ที่ 4020

โพสต์

stemcell เขียน:มาทักทายครับ และ มาแจ้งข่าวเรื่อง "คณะบุคคล" ---> สรรพากรมีแนวโน้มที่แก้ไขให้ "คณะบุคคล" จะต้องนำรายได้มารวมคำนวณร่วมกับ "บุคคลธรรมดา" , ซึ่งจะทำให้รายได้ฐานภาษีไม่ลดลง และโดนภาษีอัตราก้าวหน้าเหมือนบุคคลธรรมดา (อ้างอิง ไทยรัฐ 3/4/55 หน้าธุรกิจ ) , แต่อย่างไรก็ตามเป็นแค่ข่าว ไม่ได้ข้อสรุป ต้องรอดูต่อไปครับ :)
ขอบคุณครับ

พวกเราหลายคน คงต้องเตรียมตัวกันบ้างล่ะครับ งานนี้