ภาพรวมเศรษฐกิจ
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/10/07
โพสต์ที่ 361
ซับไพรม์ฉุดศก.ยาวลากส่งออก-ค่าเงิน
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ชำแหละซับไพรม์ จะกระทบกับส่งออก ค่าเงิน ยาวถึงปีหน้า
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงาน ผลการประเมินภาวะเศรษฐกิจประจำเดือน ต.ค.ปีนี้ว่า ผลกระทบของปัญหาตลาดสินเชื่อมีความน่าเชื่อถือต่ำของสหรัฐ หรือซับไพรม์ จะเกิดผลกระทบกับประเทศอื่นๆ ตามสัดส่วนการลงทุน และการส่งออกไปยังสหรัฐเป็นสำคัญ
สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทย มีสัดส่วนการถือครองซับไพรม์ค่อนข้างน้อย จึงน่าจะมีผลกระทบผ่านช่องทางการส่งออกมากกว่า และมีผลต่อเสถียรภาพของค่าเงิน เพราะในภาวะที่ตลาดการเงินระหว่างประเทศมีความอ่อนไหวสูง การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศอาจผันผวนมากขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินจะผันผวนได้ง่าย
อย่างไรก็ดี จากการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปัญหาซับไพรม์ทำให้ความเสี่ยงด้านเครดิตและความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
คาดว่าปี 2551 ความเสี่ยงจากปัญหาซับไพรม์จะยังคงมีอยู่ เนื่องจากยังมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยจำนวนมากเข้าสู่ช่วงอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาบ้านในปีหน้ามีแนวโน้มที่จะลดลงอีก ดังนั้นการพลิกฟื้นของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐน่าจะต้องใช้เวลานานขึ้น ธปท.วิเคราะห์
ทั้งนี้ จากการประเมินตลาดเริ่ม ตระหนกกับปัญหาซับไพรม์ในช่วงปลายเดือน มิ.ย.ปีนี้ เมื่อเฮดจ์ฟันด์บางแห่งซึ่งถือตราสารหนี้ประเภทที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน (CDOs) ที่มีสินเชื่อซับไพรม์หนุนหลังมีปัญหาสภาพคล่อง จนนำมาซึ่งการประกาศระงับการไถ่ถอนกองทุนบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ซับไพรม์ จนเป็นเหตุให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดโลก ทำให้นักลงทุนเร่งขายสินทรัพย์เสี่ยง และย้ายเงินไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับลดลง อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลงจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของตลาดเกิดใหม่
รวมทั้งมีการถอนเงินลงทุนจากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อกลับไปใช้คืนหนี้ ในประเทศที่กู้ยืมมา ซึ่งประเทศที่กู้ยืมมานั้นมีต้นทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น ญี่ปุ่น ส่งผลให้เงินเยนซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแข็งค่าขึ้นมา จากเดิมที่อ่อนค่าลงเนื่องจากการไหลออกของเงินทุน
ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความผันผวนดังกล่าวคือ การประเมินความเสี่ยงของซับไพรม์ต่ำเกินจริง และความไม่เท่าเทียมกันในด้านข้อมูลระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ ทำให้สถาบันการเงินไม่มั่นใจในการปล่อยกู้ระหว่างกัน หรือถ้าปล่อยกู้ก็ปล่อยให้เฉพาะการกู้ข้ามคืน เนื่องจากไม่สามารถประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ที่ถือสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อซับไพรม์ได้ ธปท.ระบุ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199225
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ชำแหละซับไพรม์ จะกระทบกับส่งออก ค่าเงิน ยาวถึงปีหน้า
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงาน ผลการประเมินภาวะเศรษฐกิจประจำเดือน ต.ค.ปีนี้ว่า ผลกระทบของปัญหาตลาดสินเชื่อมีความน่าเชื่อถือต่ำของสหรัฐ หรือซับไพรม์ จะเกิดผลกระทบกับประเทศอื่นๆ ตามสัดส่วนการลงทุน และการส่งออกไปยังสหรัฐเป็นสำคัญ
สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทย มีสัดส่วนการถือครองซับไพรม์ค่อนข้างน้อย จึงน่าจะมีผลกระทบผ่านช่องทางการส่งออกมากกว่า และมีผลต่อเสถียรภาพของค่าเงิน เพราะในภาวะที่ตลาดการเงินระหว่างประเทศมีความอ่อนไหวสูง การเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศอาจผันผวนมากขึ้น อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินจะผันผวนได้ง่าย
อย่างไรก็ดี จากการประเมินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ปัญหาซับไพรม์ทำให้ความเสี่ยงด้านเครดิตและความเสี่ยงด้านสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจการเงินโลกเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ความเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
คาดว่าปี 2551 ความเสี่ยงจากปัญหาซับไพรม์จะยังคงมีอยู่ เนื่องจากยังมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยจำนวนมากเข้าสู่ช่วงอัตราดอกเบี้ยลอยตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาบ้านในปีหน้ามีแนวโน้มที่จะลดลงอีก ดังนั้นการพลิกฟื้นของตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐน่าจะต้องใช้เวลานานขึ้น ธปท.วิเคราะห์
ทั้งนี้ จากการประเมินตลาดเริ่ม ตระหนกกับปัญหาซับไพรม์ในช่วงปลายเดือน มิ.ย.ปีนี้ เมื่อเฮดจ์ฟันด์บางแห่งซึ่งถือตราสารหนี้ประเภทที่มีสินทรัพย์ค้ำประกัน (CDOs) ที่มีสินเชื่อซับไพรม์หนุนหลังมีปัญหาสภาพคล่อง จนนำมาซึ่งการประกาศระงับการไถ่ถอนกองทุนบางแห่งที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ซับไพรม์ จนเป็นเหตุให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในตลาดโลก ทำให้นักลงทุนเร่งขายสินทรัพย์เสี่ยง และย้ายเงินไปสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล เพื่อลดความเสี่ยงการลงทุน
สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกปรับลดลง อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลปรับลดลงจากอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของตลาดเกิดใหม่
รวมทั้งมีการถอนเงินลงทุนจากประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อกลับไปใช้คืนหนี้ ในประเทศที่กู้ยืมมา ซึ่งประเทศที่กู้ยืมมานั้นมีต้นทุนอัตราดอกเบี้ยต่ำ เช่น ญี่ปุ่น ส่งผลให้เงินเยนซึ่งเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำแข็งค่าขึ้นมา จากเดิมที่อ่อนค่าลงเนื่องจากการไหลออกของเงินทุน
ปัจจัยสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความผันผวนดังกล่าวคือ การประเมินความเสี่ยงของซับไพรม์ต่ำเกินจริง และความไม่เท่าเทียมกันในด้านข้อมูลระหว่างผู้กู้และผู้ให้กู้ ทำให้สถาบันการเงินไม่มั่นใจในการปล่อยกู้ระหว่างกัน หรือถ้าปล่อยกู้ก็ปล่อยให้เฉพาะการกู้ข้ามคืน เนื่องจากไม่สามารถประเมินความเสี่ยงของผู้กู้ที่ถือสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับสินเชื่อซับไพรม์ได้ ธปท.ระบุ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199225
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/10/07
โพสต์ที่ 362
คลังจุกบินไทย-ทอท.-ทีโอทีงดส่งเงิน
โพสต์ทูเดย์ การบินไทย-ทอท.- ทีโอที เจอมรสุมต้นทุน งดส่งเงินงวดกลางปีให้คลัง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า บริษัท การบินไทย หรือ THAI และบริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) หรือ AOT ได้แจ้งขอ งดส่งเงินปันผลระหว่างกาลเข้ากระทรวงการคลัง โดยขอเลื่อนจ่ายไปจ่ายสิ้นปีหน้า
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การงดการส่งจ่ายเงินของ 2 บริษัท ทำให้เงินที่กระทรวงการคลังประเมินว่าจะได้รับจาก 2 หน่ายงานทั้งปี 4 พันกว่าล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทการบินไทย 3.5 พันล้านบาท และบริษัทท่าอากาศยานไทย 600 ล้านบาทหายไป
ทั้ง 2 แห่งขอเลื่อนจ่ายปันผลครั้งเดียวในปลายปีหน้า เนื่องจากรายได้ไม่ดี ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน และค่าเงินบาทแข็ง แต่ก็ไม่ได้รับปากว่าจะได้ตามจำนวนที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน แหล่งข่าวเปิดเผย
แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า บริษัทการบินไทยให้เหตุผลว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูง ขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็ง ส่งผลให้รายได้ของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ขณะที่บริษัท ท่าอากาศ ยานไทย ได้รับผลกระทบจากบริษัท คิง เพาเวอร์ ที่มีปัญหาเรื่องสัญญา และมีปัญหาค่าเงินบาทแข็ง
ปัจจุบัน กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท การบินไทย 53.76% และถือหุ้นในบริษัท ท่าอากาศยานไทย 70%
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการ คลังมีนโยบายให้รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้เข้าคลังปีละ 2 ครั้ง โดย หากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ให้จ่ายในรูปเงินปันผล
นอกจากนี้ บริษัท ทีโอที เป็น รัฐวิสาหกิจอีกแห่งที่แจ้งว่าจะไม่ ส่งเงินรายได้เข้าคลังเนื่องจากไม่มีกำไร
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาษีโทรคมนาคม 2 พันล้านบาท ที่ ถูกจ่ายกลับไปเป็นค่าสัมปทานให้บริษัท ทีโอที ทางบริษัทต้องนำส่งเข้าคลังจะอ้างว่าผลประกอบการไม่ดีไม่ได้ เพราะเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับเรื่องรายได้ของทีโอที
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ผลจากการเลื่อนจ่ายเงินปันผล และนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจทั้ง 3 แห่ง คาดว่าจะทำให้ผลการนำส่งรายได้ในงวดเดือน ต.ค. จะต่ำกว่า ประมาณการที่ตั้งไว้ ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากที่ตั้งไว้ 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนเป้าการนำส่งเงินเข้าคลังทั้งปีตั้งไว้ 9.86 หมื่นล้านบาท ก็คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าเช่นกัน
สำหรับรอบ 11 เดือนที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้แล้ว 8.51 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1.34 หมื่นล้านบาท หรือ 18.8%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199275
โพสต์ทูเดย์ การบินไทย-ทอท.- ทีโอที เจอมรสุมต้นทุน งดส่งเงินงวดกลางปีให้คลัง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า บริษัท การบินไทย หรือ THAI และบริษัท ท่าอากาศยานไทย (ทอท.) หรือ AOT ได้แจ้งขอ งดส่งเงินปันผลระหว่างกาลเข้ากระทรวงการคลัง โดยขอเลื่อนจ่ายไปจ่ายสิ้นปีหน้า
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การงดการส่งจ่ายเงินของ 2 บริษัท ทำให้เงินที่กระทรวงการคลังประเมินว่าจะได้รับจาก 2 หน่ายงานทั้งปี 4 พันกว่าล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทการบินไทย 3.5 พันล้านบาท และบริษัทท่าอากาศยานไทย 600 ล้านบาทหายไป
ทั้ง 2 แห่งขอเลื่อนจ่ายปันผลครั้งเดียวในปลายปีหน้า เนื่องจากรายได้ไม่ดี ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน และค่าเงินบาทแข็ง แต่ก็ไม่ได้รับปากว่าจะได้ตามจำนวนที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ เพราะขึ้นอยู่กับผลการดำเนินงาน แหล่งข่าวเปิดเผย
แหล่งข่าวเปิดเผยอีกว่า บริษัทการบินไทยให้เหตุผลว่าบริษัทได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูง ขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็ง ส่งผลให้รายได้ของบริษัทไม่เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ขณะที่บริษัท ท่าอากาศ ยานไทย ได้รับผลกระทบจากบริษัท คิง เพาเวอร์ ที่มีปัญหาเรื่องสัญญา และมีปัญหาค่าเงินบาทแข็ง
ปัจจุบัน กระทรวงการคลัง ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท การบินไทย 53.76% และถือหุ้นในบริษัท ท่าอากาศยานไทย 70%
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากระทรวงการ คลังมีนโยบายให้รัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้เข้าคลังปีละ 2 ครั้ง โดย หากเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ก็ให้จ่ายในรูปเงินปันผล
นอกจากนี้ บริษัท ทีโอที เป็น รัฐวิสาหกิจอีกแห่งที่แจ้งว่าจะไม่ ส่งเงินรายได้เข้าคลังเนื่องจากไม่มีกำไร
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาษีโทรคมนาคม 2 พันล้านบาท ที่ ถูกจ่ายกลับไปเป็นค่าสัมปทานให้บริษัท ทีโอที ทางบริษัทต้องนำส่งเข้าคลังจะอ้างว่าผลประกอบการไม่ดีไม่ได้ เพราะเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ไม่เกี่ยวกับเรื่องรายได้ของทีโอที
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ผลจากการเลื่อนจ่ายเงินปันผล และนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจทั้ง 3 แห่ง คาดว่าจะทำให้ผลการนำส่งรายได้ในงวดเดือน ต.ค. จะต่ำกว่า ประมาณการที่ตั้งไว้ ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท จากที่ตั้งไว้ 2.3 หมื่นล้านบาท ส่วนเป้าการนำส่งเงินเข้าคลังทั้งปีตั้งไว้ 9.86 หมื่นล้านบาท ก็คาดว่าจะต่ำกว่าเป้าเช่นกัน
สำหรับรอบ 11 เดือนที่ผ่านมารัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้แล้ว 8.51 หมื่นล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 1.34 หมื่นล้านบาท หรือ 18.8%
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199275
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news24/10/07
โพสต์ที่ 363
โบรกฯ เชื่อต่างชาติขนเงินลงทุนเพิ่ม [ ฉบับที่ 839 ประจำวันที่ 24-10-2007 ถึง 26-10-2007]
> คาด ก.ค.ปี 51 ดัชนีหลักทรัพย์แตะ 970 จุด
บล.ซิตี้ คอร์ปฯ คาด SET INDEX เดือน ก.ค.51 แตะ 970 จุด ชูหุ้นพลังงานเด่นหลังราคาน้ำมันพุ่ง พร้อมยก PTT PTTCH BBL ADVANC KTB เป็นดาวเด่น เหตุให้ผลตอบแทนดีธุรกิจน่าสนใจ เผยกระแสตอบรับโรดโชว์ ยุโรป-เอเชีย ห้วงเดือนกันยายนดีเยี่ยม เชื่อต่างชาติขนเงินเข้าลงทุนเพิ่ม เหตุ P/E หุ้นไทยถูก
นายนิธิ วณิคพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่าย วิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดการณ์ SET Index ในช่วงเดือนก.ค. 2551 จะอยู่ที่ 970 จุด โดยจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นและดันดัชนีฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากหุ้นในกลุ่มพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานคิดเป็นสัดส่วน 35-40% ของหุ้นที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ โดยเชื่อว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงทรงตัว ในระดับสูงต่อเนื่อง 2-3 ปีจากนี้
จากการประเมิน คาดว่าราคาน้ำมัน จะยังคงสูงอยู่ โดยช่วงนี้ที่ราคาน้ำมันปรับ เพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นไปตามธรรมชาติที่เข้าสู่ หน้าหนาว ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากแรงเก็งกำไร ของนักลงทุน อย่างเช่นขณะนี้ราคาเคลื่อน ไหว 88 เหรียญ/บาร์เรล อาจจะมาจากการเก็งกำไร 10 เหรียญต่อบาร์เรล ราคาซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 7-8 เหรียญต่อบาร์เรล นายนิธิ กล่าว
ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และสื่อสาร เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ และมีการเติบโตที่ดี โดยในส่วนของหุ้นใน กลุ่มพลังงานถือว่าได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ก็ได้ประโยชน์จากสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง
ส่วนกลุ่มสื่อสารก็ได้ประโยชน์จากนโยบายการสื่อสารที่ชัดเจนขึ้นของภาคที่ได้รัฐบาลหุ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม หุ้นเด่น ได้แก่ PTT PTTCH BBL ADVANC และ KTB ซึ่งหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบ แทนดี
นอกจากนี้ ยังมองว่าหุ้น BEC และ SCC ก็น่าสนใจ ส่วนหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หากสนใจลงทุน แนะนำ PS และ LPN เนื่องจากมองว่าอสังหาฯ ที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางและระดับล่าง น่าจะได้รับกระแสตอบรับดีกว่าอสังหาฯที่เจาะตลาดบน ขณะที่หุ้นรับเหมาก่อสร้าง ที่น่าสนใจ ได้แก่ CK และ STEC เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการรับเหมาขนาดใหญ่ที่น่า ได้ประโยชน์จากโครงการเมกะโปรเจกต์ ภาครัฐ
PTT เพิ่งมีการปรับประมาณการใหม่เป็น 431 บาท ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงานที่มี P/E ต่ำเพียง 10.5 เท่า เทียบจากกลุ่มพลังงานทั้งหมด P/E อยู่ที่ 15-16 เท่า นายนิธิ กล่าว
นายนิธิ กล่าวด้วยว่า เดือนกันยายน ที่ผ่านมาบริษัทได้เดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้แก่นักลงทุนในประเทศแถบเอเชียและยุโรป ประกอบด้วย อังกฤษ อเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ ให้ความสนใจสอบถามในเรื่อง 8 ประเด็นหลัก ทั้งในส่วนของการลงทุนภายในประเทศหลังเกิดปัญหาสถานการณ์การ เมืองว่าใครจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง, พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีโอกาสกลับเข้ามาในประเทศหรือไม่, การปฏิวัติ 13 ก.ย.49 จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า, จะมีรัฐวิสาหกิจ แปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มากน้อยแค่ ไหน, ประเทศไทยพร้อมจะรับมือจากผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอย่างไร, เมื่อไหร่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยก เลิกมาตรการกันสำรอง 30% รวมถึง ประเทศไทยจะสามารถแข่งขันกับเวียดนาม จีนและอินเดียได้หรือไม่
บริษัทได้มีการตอบคำถามทุกข้อรายละเอียดที่นักลงทุนสอบถามเข้ามา โดยบริษัทก็ได้ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนตามที่วิเคราะห์ว่าในปีหน้าภาคเอกชนจะลงทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นงบลงทุนที่ชะลอลง ทุนจากปีนี้ โดยเบื้องต้นเฉพาะในกลุ่ม PTT ทราบว่าจะใช้งบลงทุน 5 ปีข้างหน้าถึง 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันก็เชื่อ ว่าจะมีรัฐวิสาหกิจมีการแปรรูปเพิ่มมากขึ้น หากมีกฎหมายเอื้ออำนวย ส่วนเรื่องยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ก็มีความ เป็นไปได้หากได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามา นายนิธิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการไปโรดโชว์ดังกล่าวจะทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลง ทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยหากดู P/E ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเพียง 12 เท่าเทียบ จาก P/E ตลาดในภูมิภาค ที่มี P/E 15 เท่า ขณะที่ EPS ก็เติบโตมาอยู่ที่ 9.7% ในปีนี้และคาดการณ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ในปีหน้า
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=7987
> คาด ก.ค.ปี 51 ดัชนีหลักทรัพย์แตะ 970 จุด
บล.ซิตี้ คอร์ปฯ คาด SET INDEX เดือน ก.ค.51 แตะ 970 จุด ชูหุ้นพลังงานเด่นหลังราคาน้ำมันพุ่ง พร้อมยก PTT PTTCH BBL ADVANC KTB เป็นดาวเด่น เหตุให้ผลตอบแทนดีธุรกิจน่าสนใจ เผยกระแสตอบรับโรดโชว์ ยุโรป-เอเชีย ห้วงเดือนกันยายนดีเยี่ยม เชื่อต่างชาติขนเงินเข้าลงทุนเพิ่ม เหตุ P/E หุ้นไทยถูก
นายนิธิ วณิคพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่าย วิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดการณ์ SET Index ในช่วงเดือนก.ค. 2551 จะอยู่ที่ 970 จุด โดยจากราคาน้ำมันที่ทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้หุ้นในกลุ่มพลังงานปรับตัวเพิ่มขึ้นและดันดัชนีฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากหุ้นในกลุ่มพลังงานและหุ้นที่เกี่ยวข้องกับพลังงานคิดเป็นสัดส่วน 35-40% ของหุ้นที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ โดยเชื่อว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงทรงตัว ในระดับสูงต่อเนื่อง 2-3 ปีจากนี้
จากการประเมิน คาดว่าราคาน้ำมัน จะยังคงสูงอยู่ โดยช่วงนี้ที่ราคาน้ำมันปรับ เพิ่มขึ้น ถือว่าเป็นไปตามธรรมชาติที่เข้าสู่ หน้าหนาว ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากแรงเก็งกำไร ของนักลงทุน อย่างเช่นขณะนี้ราคาเคลื่อน ไหว 88 เหรียญ/บาร์เรล อาจจะมาจากการเก็งกำไร 10 เหรียญต่อบาร์เรล ราคาซื้อขายอยู่ที่ประมาณ 7-8 เหรียญต่อบาร์เรล นายนิธิ กล่าว
ทั้งนี้ หุ้นในกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และสื่อสาร เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ และมีการเติบโตที่ดี โดยในส่วนของหุ้นใน กลุ่มพลังงานถือว่าได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์ ก็ได้ประโยชน์จากสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง
ส่วนกลุ่มสื่อสารก็ได้ประโยชน์จากนโยบายการสื่อสารที่ชัดเจนขึ้นของภาคที่ได้รัฐบาลหุ้นใหม่ อย่างไรก็ตาม หุ้นเด่น ได้แก่ PTT PTTCH BBL ADVANC และ KTB ซึ่งหุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบ แทนดี
นอกจากนี้ ยังมองว่าหุ้น BEC และ SCC ก็น่าสนใจ ส่วนหุ้นในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ หากสนใจลงทุน แนะนำ PS และ LPN เนื่องจากมองว่าอสังหาฯ ที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางและระดับล่าง น่าจะได้รับกระแสตอบรับดีกว่าอสังหาฯที่เจาะตลาดบน ขณะที่หุ้นรับเหมาก่อสร้าง ที่น่าสนใจ ได้แก่ CK และ STEC เนื่องจากเป็นผู้ประกอบการรับเหมาขนาดใหญ่ที่น่า ได้ประโยชน์จากโครงการเมกะโปรเจกต์ ภาครัฐ
PTT เพิ่งมีการปรับประมาณการใหม่เป็น 431 บาท ซึ่งถือว่าเป็นหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงานที่มี P/E ต่ำเพียง 10.5 เท่า เทียบจากกลุ่มพลังงานทั้งหมด P/E อยู่ที่ 15-16 เท่า นายนิธิ กล่าว
นายนิธิ กล่าวด้วยว่า เดือนกันยายน ที่ผ่านมาบริษัทได้เดินทางไปนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) ให้แก่นักลงทุนในประเทศแถบเอเชียและยุโรป ประกอบด้วย อังกฤษ อเมริกา เยอรมนี ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ สิงคโปร์และฮ่องกง ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่ ให้ความสนใจสอบถามในเรื่อง 8 ประเด็นหลัก ทั้งในส่วนของการลงทุนภายในประเทศหลังเกิดปัญหาสถานการณ์การ เมืองว่าใครจะเป็นผู้ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง, พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะมีโอกาสกลับเข้ามาในประเทศหรือไม่, การปฏิวัติ 13 ก.ย.49 จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่า, จะมีรัฐวิสาหกิจ แปรรูปเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ มากน้อยแค่ ไหน, ประเทศไทยพร้อมจะรับมือจากผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกอย่างไร, เมื่อไหร่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยก เลิกมาตรการกันสำรอง 30% รวมถึง ประเทศไทยจะสามารถแข่งขันกับเวียดนาม จีนและอินเดียได้หรือไม่
บริษัทได้มีการตอบคำถามทุกข้อรายละเอียดที่นักลงทุนสอบถามเข้ามา โดยบริษัทก็ได้ให้ความมั่นใจกับนักลงทุนตามที่วิเคราะห์ว่าในปีหน้าภาคเอกชนจะลงทุนมากขึ้น ซึ่งเป็นงบลงทุนที่ชะลอลง ทุนจากปีนี้ โดยเบื้องต้นเฉพาะในกลุ่ม PTT ทราบว่าจะใช้งบลงทุน 5 ปีข้างหน้าถึง 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ขณะเดียวกันก็เชื่อ ว่าจะมีรัฐวิสาหกิจมีการแปรรูปเพิ่มมากขึ้น หากมีกฎหมายเอื้ออำนวย ส่วนเรื่องยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% ก็มีความ เป็นไปได้หากได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามา นายนิธิ กล่าว
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าการไปโรดโชว์ดังกล่าวจะทำให้นักลงทุนสนใจเข้ามาลง ทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยหากดู P/E ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำเพียง 12 เท่าเทียบ จาก P/E ตลาดในภูมิภาค ที่มี P/E 15 เท่า ขณะที่ EPS ก็เติบโตมาอยู่ที่ 9.7% ในปีนี้และคาดการณ์จะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ในปีหน้า
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=7987
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news25/10/07
โพสต์ที่ 364
ธปท.แบกภาระขาดทุนหนักจากการแทรกแซงตรึงค่าบาทอ่อน
25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 00:00:00
หลายคนอาจดีใจที่มองเห็นตัวเลขฐานะทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พุ่งขึ้นไปถึงเกือบแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และคิดว่าประเทศไทยกำลังร่ำรวย เพราะว่าไม่เคยมีทุนสำรองมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ทางการเงินของไทย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นับเป็นการพลิกฐานะแตกต่างอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเทียบกับช่วงปี 2540 ที่ต้องประสบกับภาวะล้มละลายเมื่อทุนสำรองลดลงจนมีค่าเป็น "ศูนย์" จากการเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจและการเงินที่เรียกว่า "วิกฤติต้มยำกุ้ง" รวมทั้งการถูกโจมตีค่าเงินบาทจากกองทุนเก็งกำไร หรือ เฮดจ์ฟันด์ โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีการประกาศตัวเลขทุนสำรองอย่างเป็นทางการที่มียอดรวมสูงถึง 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นทุนสำรองที่เก็บไว้ในตลาดปัจจุบัน (Spot Market) มีจำนวนถึง 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นการซื้อล่วงหน้าในตลาดสวอปอีก 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
โดยข้อเท็จจริงนั้น ทุนสำรองที่เข้มแข็งของไทยที่มีอยู่ เป็นเพียงการยืนยันต่อชาวโลกว่า ประเทศไทยมีฐานะเงินตราต่างประเทศที่มากเพียงพอจะชำระหนี้และมีความสามารถจะชำระค่าสินค้าที่ซื้อจากต่างประเทศ เนื่องจากไทยยังต้องกู้เงินจากต่างประเทศ แม้ว่าจะลดสัดส่วนลงไปมากแล้วก็ตาม รวมทั้งต้องมีการนำเข้าสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะน้ำมันในปริมาณมากจากต่างประเทศ หรือมีการนำเข้าวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบ และอุปกรณ์ เครื่องจักรกล เพื่อพัฒนาการลงทุนภายในประเทศ ถึงแม้ว่าตลอดหลายปีมานี้ ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการสะสมรายได้จากการส่งออกของไทยเป็นหลักที่ประคองให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ปีละ 5-6% ประกอบกับมีเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินและตลาดทุนอีกทางหนึ่ง ทำให้ประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ค่อนข้างสูง ด้วยเหตุผลข้างต้น ล้วนสนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ธปท.แทรกแซงให้เงินบาทอ่อนตัวเคลื่อนไหวที่ระดับ 34.14-34.17 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแน่นอนว่า หาก ธปท.ไม่เข้าแทรกแซงอย่างหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เงินบาทอาจแข็งค่าไปถึง 31-32 บาท โดยมีสาเหตุจากการตกต่ำของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นปัจจัยสนับสนุนอีกทางหนึ่ง โดยนักค้าเงินไทยได้ตั้งข้อสังเกตว่า การแทรกแซงของ ธปท.ในตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศเกิดขึ้นหนักหน่วงในบางวันมีมูลค่ามากกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ เพราะไม่ต้องการให้เงินบาทแข็งค่าเกินไปจนกระทบการส่งออกของไทยที่ยังมีการขยายตัวในอัตราเพิ่มขึ้น 16% ในเดือน ก.ย.ล่าสุด โดยที่การแทรกแซงของ ธปท.กระทำเกือบจะทุกวันเพื่อตรึงเงินบาทให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงวันละ 2-4 สตางค์ นับจากเกิดปัญหาสินเชื่อบ้านที่มีความน่าเชื่อถือต่ำในสหรัฐ หรือ ซับไพร์ม เมื่อปลายเดือน ส.ค.
ซึ่งเป็นสาเหตุให้ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงมา สอดคล้องกับรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ถึงผลการประชุมของรัฐมนตรีคลังจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คาดว่าเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางวิกฤติการเงินเมื่อ 10 ปีก่อน จะขยายตัว 6% ในปีนี้ แม้ว่าประเทศต่างๆ ในภูมิภาคกำลังปรับตัวรับดอลลาร์ที่อ่อนค่าและราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น
อัตราเงินเฟ้อต่ำ การลงทุนจำนวนมากและงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ขยายตัว 5.5% ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี กรรมการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียน ได้ระบุถึงความเสี่ยงที่มีต่อเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัวแข็งแกร่งในปีนี้และปีหน้า ซึ่ง ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย กล่าวว่า ผลกระทบจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงต่อเศรษฐกิจของไทย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย
"ถ้าค่าเงินของคู่แข่งของเราไม่แข็งค่าขึ้น ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะไปอธิบายให้ประชาชนและผู้ส่งออกทราบว่าเหตุใดเราจึงเสียความได้เปรียบในการแข่งขันด้วยเหตุผลที่ถูกสร้างขึ้นมา"
ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่แข่งรายสำคัญในภูมิภาค ซึ่งมีการผูกติดค่าเงินกับดอลลาร์ได้ทำให้ประเทศเหล่านั้นมีความได้เปรียบมากขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน ไทยยังคงใช้มาตรการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเพื่อปกป้องภาคการส่งออก แม้ว่าจะมีการบริหารจัดการค่าเงิน เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นกว่า 12% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่หยวนแข็งค่าขึ้นเพียง 3% และร่วงลงเมื่อเทียบกับยูโร
นอกจากนี้ ยังเป็นการยืนยันแน่นอนว่า การเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท.ทุกครั้งต้องมีต้นทุน นั่นหมายถึงภาระขาดทุนที่เกิดมากขึ้นตลอดเวลาที่มีการกระทำดังกล่าว ซึ่งในที่สุดแล้วภาระขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท.จะปรากฏให้เห็นงบดุลประจำปี 2550 อย่างเป็นทางการซึ่งเป็นตัวเลขมหาศาลอย่างน่าเป็นห่วงว่า ธปท.จะสามารถจัดการกับภาระขาดทุนนี้ได้อย่างไร หรือถึงเวลาแล้วหรือยังที่ ธปท.จะหันมาใช้กลไกตลาดในการทบทวนใช้นโยบายดอกเบี้ยที่ผ่อนคลายมากขึ้น แทนยึดติดกับการเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนกับที่ทำอยู่ตลอดมา เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยที่ยังไม่แข็งแรงให้ฟื้นตัวได้จริงจัง
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/2 ... sid=195422
25 ตุลาคม พ.ศ. 2550 00:00:00
หลายคนอาจดีใจที่มองเห็นตัวเลขฐานะทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พุ่งขึ้นไปถึงเกือบแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และคิดว่าประเทศไทยกำลังร่ำรวย เพราะว่าไม่เคยมีทุนสำรองมากมายขนาดนี้มาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ทางการเงินของไทย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นับเป็นการพลิกฐานะแตกต่างอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อเทียบกับช่วงปี 2540 ที่ต้องประสบกับภาวะล้มละลายเมื่อทุนสำรองลดลงจนมีค่าเป็น "ศูนย์" จากการเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจและการเงินที่เรียกว่า "วิกฤติต้มยำกุ้ง" รวมทั้งการถูกโจมตีค่าเงินบาทจากกองทุนเก็งกำไร หรือ เฮดจ์ฟันด์ โดยสุดสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น มีการประกาศตัวเลขทุนสำรองอย่างเป็นทางการที่มียอดรวมสูงถึง 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ แบ่งเป็นทุนสำรองที่เก็บไว้ในตลาดปัจจุบัน (Spot Market) มีจำนวนถึง 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์ และเป็นการซื้อล่วงหน้าในตลาดสวอปอีก 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
โดยข้อเท็จจริงนั้น ทุนสำรองที่เข้มแข็งของไทยที่มีอยู่ เป็นเพียงการยืนยันต่อชาวโลกว่า ประเทศไทยมีฐานะเงินตราต่างประเทศที่มากเพียงพอจะชำระหนี้และมีความสามารถจะชำระค่าสินค้าที่ซื้อจากต่างประเทศ เนื่องจากไทยยังต้องกู้เงินจากต่างประเทศ แม้ว่าจะลดสัดส่วนลงไปมากแล้วก็ตาม รวมทั้งต้องมีการนำเข้าสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะน้ำมันในปริมาณมากจากต่างประเทศ หรือมีการนำเข้าวัตถุดิบ กึ่งวัตถุดิบ และอุปกรณ์ เครื่องจักรกล เพื่อพัฒนาการลงทุนภายในประเทศ ถึงแม้ว่าตลอดหลายปีมานี้ ทุนสำรองที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการสะสมรายได้จากการส่งออกของไทยเป็นหลักที่ประคองให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ปีละ 5-6% ประกอบกับมีเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินและตลาดทุนอีกทางหนึ่ง ทำให้ประเทศไทยมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดอยู่ค่อนข้างสูง ด้วยเหตุผลข้างต้น ล้วนสนับสนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น
ธปท.แทรกแซงให้เงินบาทอ่อนตัวเคลื่อนไหวที่ระดับ 34.14-34.17 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งแน่นอนว่า หาก ธปท.ไม่เข้าแทรกแซงอย่างหนักในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เงินบาทอาจแข็งค่าไปถึง 31-32 บาท โดยมีสาเหตุจากการตกต่ำของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นปัจจัยสนับสนุนอีกทางหนึ่ง โดยนักค้าเงินไทยได้ตั้งข้อสังเกตว่า การแทรกแซงของ ธปท.ในตลาดซื้อขายเงินตราต่างประเทศเกิดขึ้นหนักหน่วงในบางวันมีมูลค่ามากกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์ เพราะไม่ต้องการให้เงินบาทแข็งค่าเกินไปจนกระทบการส่งออกของไทยที่ยังมีการขยายตัวในอัตราเพิ่มขึ้น 16% ในเดือน ก.ย.ล่าสุด โดยที่การแทรกแซงของ ธปท.กระทำเกือบจะทุกวันเพื่อตรึงเงินบาทให้เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงวันละ 2-4 สตางค์ นับจากเกิดปัญหาสินเชื่อบ้านที่มีความน่าเชื่อถือต่ำในสหรัฐ หรือ ซับไพร์ม เมื่อปลายเดือน ส.ค.
ซึ่งเป็นสาเหตุให้ค่าเงินดอลลาร์ร่วงลงมา สอดคล้องกับรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ถึงผลการประชุมของรัฐมนตรีคลังจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่คาดว่าเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางวิกฤติการเงินเมื่อ 10 ปีก่อน จะขยายตัว 6% ในปีนี้ แม้ว่าประเทศต่างๆ ในภูมิภาคกำลังปรับตัวรับดอลลาร์ที่อ่อนค่าและราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้น
อัตราเงินเฟ้อต่ำ การลงทุนจำนวนมากและงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจของภูมิภาคนี้ขยายตัว 5.5% ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี กรรมการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของอาเซียน ได้ระบุถึงความเสี่ยงที่มีต่อเศรษฐกิจที่คาดว่าจะขยายตัวแข็งแกร่งในปีนี้และปีหน้า ซึ่ง ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย กล่าวว่า ผลกระทบจากดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงต่อเศรษฐกิจของไทย เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย
"ถ้าค่าเงินของคู่แข่งของเราไม่แข็งค่าขึ้น ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะไปอธิบายให้ประชาชนและผู้ส่งออกทราบว่าเหตุใดเราจึงเสียความได้เปรียบในการแข่งขันด้วยเหตุผลที่ถูกสร้างขึ้นมา"
ดังนั้น อัตราแลกเปลี่ยนของประเทศคู่แข่งรายสำคัญในภูมิภาค ซึ่งมีการผูกติดค่าเงินกับดอลลาร์ได้ทำให้ประเทศเหล่านั้นมีความได้เปรียบมากขึ้นจากอัตราแลกเปลี่ยน ไทยยังคงใช้มาตรการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทเพื่อปกป้องภาคการส่งออก แม้ว่าจะมีการบริหารจัดการค่าเงิน เงินบาทก็แข็งค่าขึ้นกว่า 12% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่หยวนแข็งค่าขึ้นเพียง 3% และร่วงลงเมื่อเทียบกับยูโร
นอกจากนี้ ยังเป็นการยืนยันแน่นอนว่า การเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท.ทุกครั้งต้องมีต้นทุน นั่นหมายถึงภาระขาดทุนที่เกิดมากขึ้นตลอดเวลาที่มีการกระทำดังกล่าว ซึ่งในที่สุดแล้วภาระขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนของ ธปท.จะปรากฏให้เห็นงบดุลประจำปี 2550 อย่างเป็นทางการซึ่งเป็นตัวเลขมหาศาลอย่างน่าเป็นห่วงว่า ธปท.จะสามารถจัดการกับภาระขาดทุนนี้ได้อย่างไร หรือถึงเวลาแล้วหรือยังที่ ธปท.จะหันมาใช้กลไกตลาดในการทบทวนใช้นโยบายดอกเบี้ยที่ผ่อนคลายมากขึ้น แทนยึดติดกับการเข้าแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเหมือนกับที่ทำอยู่ตลอดมา เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจไทยที่ยังไม่แข็งแรงให้ฟื้นตัวได้จริงจัง
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/2 ... sid=195422
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/10/07
โพสต์ที่ 365
ศก.ไทยปี51ต่ำกว่า5%
โพสต์ทูเดย์ ราคาน้ำมันและพิษซับไพรม์พ่นพิษเศรษฐกิจปีหน้าต่ำกว่า 5%
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ราคาปรับตัวขึ้น และปัญหาซับไพรม์ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบกับการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยในปี 2551 ทำให้มีแนวโน้มที่กระทรวงการคลังจะต้องปรับประมาณการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปีหน้าที่คาดว่าเดิม 5% ให้ลดลง
นอกจากนี้ ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 3.25% มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า เป็นอีกปัจจัยที่จะส่งผลกระทบกับการขยายตัวจีดีพีในปีหน้า เพราะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น
ปลายเดือน พ.ย.นี้กระทรวงการคลังจะปรับการคาดการณ์ประมาณการจีดีพีใหม่อีกครั้ง จากเดิมที่คาดว่าจีดีพีปี 2550 จะขยายตัว 3.8-4.3% และในปี 2551 จะขยายตัว 5% นายสมชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม จีดีพีในปี 2550 น่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียง 4.5% แม้ว่าจะมีผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง และปัญหาซับไพรม์ เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังดี ทั้งเรื่องอัตราการว่างงานต่ำ อัตราเงินเฟ้อไม่สูง ฐานะการคลังไม่มีปัญหา และดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงอยู่ในระดับดีขาดดุลไม่มาก
นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของภาครัฐมาถูกทาง สามารถรองรับปัญหาที่เจอในปัจจุบันได้ดี ทั้งเรื่องการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่อง จึงยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใหม่ออกมาเพิ่มเติม
นายสมชัย กล่าวว่า การประมาณการเศรษฐกิจใหม่ กระทรวงการคลังต้องนำปัจจัยด้านต่างๆ มาพิจารณา ทั้งด้านที่เป็นบวกและเป็นลบ เช่น การบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่วนการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงทรงตัว แต่การส่งออกชะลอลง ด้านการใช้จ่ายภาครัฐบาลอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งกระทรวงการคลังจะนำปัจจัยเหล่านี้มาพิจารณาร่วมกับผลกระทบร่วมกับปัญหาราคาน้ำมันและปัญหา ซับไพรม์
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199656
โพสต์ทูเดย์ ราคาน้ำมันและพิษซับไพรม์พ่นพิษเศรษฐกิจปีหน้าต่ำกว่า 5%
นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ราคาน้ำมันที่ราคาปรับตัวขึ้น และปัญหาซับไพรม์ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบกับการขยายตัวเศรษฐกิจของไทยในปี 2551 ทำให้มีแนวโน้มที่กระทรวงการคลังจะต้องปรับประมาณการขยายตัวผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปีหน้าที่คาดว่าเดิม 5% ให้ลดลง
นอกจากนี้ ดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปัจจุบันอยู่ที่ 3.25% มีแนวโน้มจะปรับตัวขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า เป็นอีกปัจจัยที่จะส่งผลกระทบกับการขยายตัวจีดีพีในปีหน้า เพราะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการเพิ่มขึ้น
ปลายเดือน พ.ย.นี้กระทรวงการคลังจะปรับการคาดการณ์ประมาณการจีดีพีใหม่อีกครั้ง จากเดิมที่คาดว่าจีดีพีปี 2550 จะขยายตัว 3.8-4.3% และในปี 2551 จะขยายตัว 5% นายสมชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม จีดีพีในปี 2550 น่าจะขยายตัวได้ใกล้เคียง 4.5% แม้ว่าจะมีผลกระทบจากราคาน้ำมันแพง และปัญหาซับไพรม์ เพราะพื้นฐานทางเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันยังดี ทั้งเรื่องอัตราการว่างงานต่ำ อัตราเงินเฟ้อไม่สูง ฐานะการคลังไม่มีปัญหา และดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงอยู่ในระดับดีขาดดุลไม่มาก
นอกจากนี้ การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของภาครัฐมาถูกทาง สามารถรองรับปัญหาที่เจอในปัจจุบันได้ดี ทั้งเรื่องการจัดทำงบประมาณแบบขาดดุล และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างต่อเนื่อง จึงยังไม่จำเป็นต้องมีมาตรการใหม่ออกมาเพิ่มเติม
นายสมชัย กล่าวว่า การประมาณการเศรษฐกิจใหม่ กระทรวงการคลังต้องนำปัจจัยด้านต่างๆ มาพิจารณา ทั้งด้านที่เป็นบวกและเป็นลบ เช่น การบริโภคภาคเอกชนที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว ส่วนการลงทุนภาคเอกชนที่ยังคงทรงตัว แต่การส่งออกชะลอลง ด้านการใช้จ่ายภาครัฐบาลอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งกระทรวงการคลังจะนำปัจจัยเหล่านี้มาพิจารณาร่วมกับผลกระทบร่วมกับปัญหาราคาน้ำมันและปัญหา ซับไพรม์
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199656
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/10/07
โพสต์ที่ 366
ธปท.แบกหนี้กองทุนหลังแอ่น
โพสต์ทูเดย์ สมหมาย หวั่นหลังตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ธปท. ไม่มีเงินให้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ
นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า การจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากในอนาคตอาจมีผลทำให้การใช้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินหยุดชะงักได้ เนื่องจากที่ผ่านมาสถาบันการเงินได้นำส่งเงิน 0.4% ของยอดเงินฝาก เป็นการทยอยใช้หนี้จากการอุ้มสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการเมื่อปี 2540 คืนมาโดยตลอด ส่งผลให้ยอดหนี้จาก 4 ล้านล้านบาท ลดลงเหลือกว่า 1 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน
ทั้งนี้ หากในอนาคตมีการตั้งกองทุนเพื่อคุ้มครองเงินฝากเกิดขึ้นจะส่งผลให้สถาบันการเงินต้องส่งเงินสมทบ 0.4% ของยอดเงินฝากเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เพื่อเก็บไว้เป็นการรับประกันความเสี่ยงในกรณีที่สถาบันการเงินถูกปิดกิจการ ทำให้ไม่สามารถนำไปใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากการประเมินตัวเลขคร่าวๆ ในแต่ละปีธนาคารจะส่งเงินสมทบปีละ 2 หมื่นล้านบาท
รมช.คลัง กล่าวว่า หากมีการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตราให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถบริหารจัดการเรื่องทุนสำรองที่มีอยู่ 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐได้คล่องตัวมากขึ้น อาจจะทำให้ ธปท.ได้รับผลตอบแทนปีละ 4 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อไม่มีการแก้ไขภาระจะตกกับ ธปท.ที่ต้องแบกรับ
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า กรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตัดอำนาจของ ธปท.ที่กำกับดูแลกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ไม่ให้เข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินก็ต่อเมื่อมีการตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากแล้วเท่านั้น และการตัดเหล่านี้ไม่กระทบการทำงานของ ธปท.แต่จะมีผลในอนาคต
ทั้งนี้ เพราะต่อไปไม่ต้องไปรับภาระของธนาคารพาณิชย์สถาบันการเงินอีกแล้ว จะดูแลเฉพาะผู้ฝากเงิน ฉะนั้นต่อไปธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินรายตัว ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น และต่อไปแม้สถาบันการเงินมีปัญหาเงินกองทุนก็ ไม่หมดไปเหมือนในอดีต เพราะเราสามารถเข้าจัดการได้ก่อน นางสุชาดา กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199662
โพสต์ทูเดย์ สมหมาย หวั่นหลังตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก ธปท. ไม่มีเงินให้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ
นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง กล่าวว่า การจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากในอนาคตอาจมีผลทำให้การใช้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินหยุดชะงักได้ เนื่องจากที่ผ่านมาสถาบันการเงินได้นำส่งเงิน 0.4% ของยอดเงินฝาก เป็นการทยอยใช้หนี้จากการอุ้มสถาบันการเงินที่ถูกปิดกิจการเมื่อปี 2540 คืนมาโดยตลอด ส่งผลให้ยอดหนี้จาก 4 ล้านล้านบาท ลดลงเหลือกว่า 1 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน
ทั้งนี้ หากในอนาคตมีการตั้งกองทุนเพื่อคุ้มครองเงินฝากเกิดขึ้นจะส่งผลให้สถาบันการเงินต้องส่งเงินสมทบ 0.4% ของยอดเงินฝากเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เพื่อเก็บไว้เป็นการรับประกันความเสี่ยงในกรณีที่สถาบันการเงินถูกปิดกิจการ ทำให้ไม่สามารถนำไปใช้หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ได้เหมือนเช่นที่ผ่านมา
ทั้งนี้ จากการประเมินตัวเลขคร่าวๆ ในแต่ละปีธนาคารจะส่งเงินสมทบปีละ 2 หมื่นล้านบาท
รมช.คลัง กล่าวว่า หากมีการแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.เงินตราให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถบริหารจัดการเรื่องทุนสำรองที่มีอยู่ 8 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐได้คล่องตัวมากขึ้น อาจจะทำให้ ธปท.ได้รับผลตอบแทนปีละ 4 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อไม่มีการแก้ไขภาระจะตกกับ ธปท.ที่ต้องแบกรับ
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า กรณีที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ตัดอำนาจของ ธปท.ที่กำกับดูแลกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ไม่ให้เข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินก็ต่อเมื่อมีการตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากแล้วเท่านั้น และการตัดเหล่านี้ไม่กระทบการทำงานของ ธปท.แต่จะมีผลในอนาคต
ทั้งนี้ เพราะต่อไปไม่ต้องไปรับภาระของธนาคารพาณิชย์สถาบันการเงินอีกแล้ว จะดูแลเฉพาะผู้ฝากเงิน ฉะนั้นต่อไปธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงินรายตัว ต้องดูแลตัวเองมากขึ้น และต่อไปแม้สถาบันการเงินมีปัญหาเงินกองทุนก็ ไม่หมดไปเหมือนในอดีต เพราะเราสามารถเข้าจัดการได้ก่อน นางสุชาดา กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199662
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/10/07
โพสต์ที่ 367
ธปท.ชี้ทุนนอกชะลอหมดห่วงบาทแข็ง
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ชี้เงินบาทลดความผันผวน หลังทุนนอกชะลอการไหลเข้าและยอดส่งออกหดตัว
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดเงินและบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงต่อไปจะลดความผันผวนในลักษณะแข็งค่า เนื่องจากมีแรงกดดันน้อยลง จากการส่งออกที่ชะลอตัว จากที่เคยเติบโต 17-18% ในช่วงก่อนหน้านี้ และผู้ส่งออกขายเงินเหรียญสหรัฐในปริมาณปกติ
ขณะเดียวกันการนำเข้าจะเร่งตัวขึ้นตามการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน ส่งผลให้เกิดความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายต่างประเทศ และในระยะหลังปริมาณเงินทุนไหลเข้าประเทศได้ลดลง โดยเฉพาะเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกังวลต่อความเสี่ยง หลังจากผลดำเนินการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวลดลง
ปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าเงินในภูมิภาค แต่ระยะหลังเริ่มแข็งค่าขึ้นช้าลง และในที่สุดก็จะปรับตัวอ่อนค่าลง นางผ่องเพ็ญ กล่าว
นอกจากนั้น การที่ธนาคารกลางจีนยอมให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น โดยใช้นโยบายกำหนดค่ากลางของเงินหยวนสูงขึ้นเป็น 7.4938 หยวนต่อเหรียญสหรัฐ สร้างแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินในภูมิภาค รวมถึงเงินบาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากจีนจะค่อยปรับค่าเงินขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเฉลี่ยทั้งปีนี้หยวนแข็งค่าได้เพียง 4% ขณะเดียวกัน ธปท.ก็จะดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ค่าเงินบาทวันที่ 25 ต.ค. เคลื่อนไหวในช่วงแคบมากที่ 34.14-34.19 บาท/เหรียญสหรัฐ แม้ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น แต่เป็นแรงซื้อจากสถาบัน 1.4 พันล้านบาท ขณะที่ต่างชาติกลับขายสุทธิ 17 ล้านบาท
ทั้งนี้ การซื้อขายเงินบาทค่อนข้างนิ่งมาระยะหนึ่งแล้ว และคาดว่าจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบต่อไปอีก จนกว่าจะมีข่าวหรือมีกิจกรรมใหม่ๆ
อย่างไรก็ดี มองว่าค่าเงินบาทในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า เงินบาทจะกลับเป็นอ่อนค่าได้ สาเหตุสำคัญมาจากดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลน้อยลงในไตรมาสสุดท้ายไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากจะมีการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อขยายการลงทุนมากขึ้น ขณะที่การส่งออกก็คาดว่าจะชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจะทำให้ปริมาณเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโอกาสจะได้เห็นเงินไหลออกจากตลาดหุ้นในช่วง 3 ไตรมาสข้างหน้าด้วย ส่วนหนึ่งเพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับดัชนีตลาดหุ้นที่สูงขึ้น ทำให้ต่างชาติได้กำไรจากทั้ง 2 ตลาดในระดับที่น่าพอใจ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199657
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ชี้เงินบาทลดความผันผวน หลังทุนนอกชะลอการไหลเข้าและยอดส่งออกหดตัว
นางผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายตลาดเงินและบริหารเงินสำรอง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า แนวโน้มค่าเงินบาทในช่วงต่อไปจะลดความผันผวนในลักษณะแข็งค่า เนื่องจากมีแรงกดดันน้อยลง จากการส่งออกที่ชะลอตัว จากที่เคยเติบโต 17-18% ในช่วงก่อนหน้านี้ และผู้ส่งออกขายเงินเหรียญสหรัฐในปริมาณปกติ
ขณะเดียวกันการนำเข้าจะเร่งตัวขึ้นตามการลงทุนของทั้งภาครัฐและเอกชน ส่งผลให้เกิดความสมดุลระหว่างรายได้และรายจ่ายต่างประเทศ และในระยะหลังปริมาณเงินทุนไหลเข้าประเทศได้ลดลง โดยเฉพาะเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพราะนักลงทุนต่างประเทศเริ่มกังวลต่อความเสี่ยง หลังจากผลดำเนินการไตรมาส 3 ของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวลดลง
ปีนี้เงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าเงินในภูมิภาค แต่ระยะหลังเริ่มแข็งค่าขึ้นช้าลง และในที่สุดก็จะปรับตัวอ่อนค่าลง นางผ่องเพ็ญ กล่าว
นอกจากนั้น การที่ธนาคารกลางจีนยอมให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้น โดยใช้นโยบายกำหนดค่ากลางของเงินหยวนสูงขึ้นเป็น 7.4938 หยวนต่อเหรียญสหรัฐ สร้างแรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินในภูมิภาค รวมถึงเงินบาทเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากจีนจะค่อยปรับค่าเงินขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเฉลี่ยทั้งปีนี้หยวนแข็งค่าได้เพียง 4% ขณะเดียวกัน ธปท.ก็จะดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว
น.ส.อุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า ค่าเงินบาทวันที่ 25 ต.ค. เคลื่อนไหวในช่วงแคบมากที่ 34.14-34.19 บาท/เหรียญสหรัฐ แม้ดัชนีตลาดหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น แต่เป็นแรงซื้อจากสถาบัน 1.4 พันล้านบาท ขณะที่ต่างชาติกลับขายสุทธิ 17 ล้านบาท
ทั้งนี้ การซื้อขายเงินบาทค่อนข้างนิ่งมาระยะหนึ่งแล้ว และคาดว่าจะเคลื่อนไหวในช่วงแคบต่อไปอีก จนกว่าจะมีข่าวหรือมีกิจกรรมใหม่ๆ
อย่างไรก็ดี มองว่าค่าเงินบาทในอีก 6-12 เดือนข้างหน้า เงินบาทจะกลับเป็นอ่อนค่าได้ สาเหตุสำคัญมาจากดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดจะเกินดุลน้อยลงในไตรมาสสุดท้ายไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากจะมีการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อขยายการลงทุนมากขึ้น ขณะที่การส่งออกก็คาดว่าจะชะลอตัวลง
นอกจากนี้ ความผันผวนของตลาดการเงินโลกจะทำให้ปริมาณเม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทยน้อยลง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีโอกาสจะได้เห็นเงินไหลออกจากตลาดหุ้นในช่วง 3 ไตรมาสข้างหน้าด้วย ส่วนหนึ่งเพราะค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับดัชนีตลาดหุ้นที่สูงขึ้น ทำให้ต่างชาติได้กำไรจากทั้ง 2 ตลาดในระดับที่น่าพอใจ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199657
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/10/07
โพสต์ที่ 368
รับมือฟองสบู่แตก
ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนและการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของคนไทย เริ่มจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีสัญญาณชัดเจนแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. 2550 คนไทยก็เริ่มมีความหวังว่าจะได้รัฐบาลใหม่มาโยกเกียร์จากเกียร์ว่างเป็นเกียร์เดินหน้าเสียที เมื่อความรู้สึกดีขึ้นประกอบกับการกระตุ้นโปรโมชันของห้างร้านต่างๆ เพื่อหนีตายจากการขายสินค้าไม่ออก คนไทยก็เริ่มควักเงินออกจากกระเป๋ามาใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ดิฉันสอบถามพนักงานขายของห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ทุกคนพูดว่าช่วงนี้ขายของได้ดีขึ้นต่างจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขายของไม่ออกเลย คนเดินห้างก็เพื่อมากินข้าวเย็น หรือซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต สินค้าที่ไม่ใช่ของกินของใช้ขายยากมาก ดังนั้นก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี และเมื่อคนเริ่มใช้จ่ายเงินก็เริ่มหมุน ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมก็จะดีขึ้น
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเริ่มโงหัว แต่เศรษฐกิจสหรัฐกลับออกอาการย่ำแย่ โดยเฉพาะตัวเลขยอดการบริโภคของอเมริกันชนลดลง ซึ่งเรื่องนี้มองข้ามไม่ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐนั้น การบริโภคมีสัดส่วนถึง 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี ดังนั้นจึงไม่อาจดูเบาพฤติกรรมการบริโภคของคนอเมริกัน เพราะสามารถสะท้อนภาวะเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศได้ดีทีเดียว เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศลูกค้าที่สำคัญของหลายประเทศ
เพื่อให้เห็นภาพ ดิฉันขอนำข้อมูลจากการสำรวจของ อเมริกา รีเสิร์ช กรุ๊ป บริษัทสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคของสหรัฐระบุว่า ในช่วงเมโมเรียลเดย์มีผู้บริโภคมากถึง 80% ที่ตัดสินใจซื้อสินค้าที่ลดราคา หรือมีส่วนลดสูงๆ เพิ่มจาก 27% ในปีก่อน
นอกจากนี้ ราคาอาหารยังคงสร้างความกังวลให้ผู้บริโภคด้วย นักวิเคราะห์ประเมินว่าราคาสินค้าประเภทอาหารในสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 4% ในปีนี้ ดังนั้นอเมริกาชนจึงรัดเข็มขัดกันยกใหญ่
แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสตาร์บัคส์ และจนถึงวอล-มาร์ตต่างก็ส่งสัญญาณซบเซาไปตามๆ กัน ในกรณีของวอล-มาร์ต เพิ่งรายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ขณะที่ยอดขายของสาขาที่เปิดดำเนินการอย่างน้อย 1 ปี ก็เติบโตเพียงแค่ 1.9% เท่านั้น
ส่วนห้างสรรพสินค้า เชียร์ รายงานยอดขายในสาขาที่เปิดอย่างน้อย 1 ปีว่า ผลงานในไตรมาส 2 ลดลง 4.3% ส่วน เค-มาร์ต มียอดขายลดลง 3.8% เช่นเดียวกับ โฮม ดีโป้ ที่ได้รับผลกระทบจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ทำให้กำไรในไตรมาส 2 ลดลง 15% ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 4 ปี
การจับจ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2-3 เดือนก่อน และในไตรมาส 2 การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงเหลือ 1.3% ลดลงจากระดับ 3.7% ในช่วงไตรมาสแรกของปี
อีกพฤติกรรมหนึ่งที่ต้องจับตาคือ การใช้จ่ายผ่านเงินพลาสติก หรือที่เรียกกันว่าบัตรเครดิต ขณะนี้บริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลข้างเคียงจากปัญหาซับไพรม์ เพราะคนอเมริกันจำนวนมากนิยมใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ดังนั้นบริษัทบัตรเครดิตอาจต้องเผชิญกับความสูญเสียหากเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะถดถอยจริงๆ
ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทบัตรเครดิตเริ่มแทงหนี้สูญประมาณ 4.58% ของมูลหนี้ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเกือบ 30% นอกจากนี้การชำระเงินล่าช้าก็มีเพิ่มขึ้น ส่วนการจ่ายเงินรายไตรมาสซึ่งเป็นการวัดความตั้งใจและความสามารถในการกลับมาชำระหนี้อีกครั้งหลังหยุดชำระ ก็เริ่มลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ยิ่งกว่านั้นตัวเลขการกู้ยืมของผู้บริโภคก็กลับสูงขึ้น โดยหนี้สินของผู้บริโภคในเดือน มิ.ย.เพิ่มขึ้น 6.5% ซึ่งถือเป็นเดือนที่ 2 ต่อเนื่อง โดยมีส่วนมาจากหนี้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น 7.9% และหนี้จากการซื้อรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 5.3%
เป็นไงคะ อ่านแล้วคุ้นๆ ไหมว่าเหมือนกับเศรษฐกิจไทยเปี๊ยบเลย สิ่งที่ทั่วโลกกังวลใจเห็นจะเป็นเรื่องผลกระทบต่อเนื่องจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐซบเซาจากภาวะฟองสบู่แตก จะส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของสหรัฐลดลงตามไปด้วย
ดังนั้นภาวะแบบนี้ ไม่ใช่ภาวะที่จะมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ต้องใช้เงินอย่าง สมาร์ตมันนี่จริงๆ ถึงจะเข้าเทรนด์ค่ะ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199702
ดัชนีความเชื่อมั่นของประชาชนและการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของคนไทย เริ่มจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากมีสัญญาณชัดเจนแล้วว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธ.ค. 2550 คนไทยก็เริ่มมีความหวังว่าจะได้รัฐบาลใหม่มาโยกเกียร์จากเกียร์ว่างเป็นเกียร์เดินหน้าเสียที เมื่อความรู้สึกดีขึ้นประกอบกับการกระตุ้นโปรโมชันของห้างร้านต่างๆ เพื่อหนีตายจากการขายสินค้าไม่ออก คนไทยก็เริ่มควักเงินออกจากกระเป๋ามาใช้จ่ายมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้
ดิฉันสอบถามพนักงานขายของห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง ทุกคนพูดว่าช่วงนี้ขายของได้ดีขึ้นต่างจากช่วงครึ่งปีแรกที่ขายของไม่ออกเลย คนเดินห้างก็เพื่อมากินข้าวเย็น หรือซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต สินค้าที่ไม่ใช่ของกินของใช้ขายยากมาก ดังนั้นก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี และเมื่อคนเริ่มใช้จ่ายเงินก็เริ่มหมุน ภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมก็จะดีขึ้น
ในขณะที่เศรษฐกิจไทยเริ่มโงหัว แต่เศรษฐกิจสหรัฐกลับออกอาการย่ำแย่ โดยเฉพาะตัวเลขยอดการบริโภคของอเมริกันชนลดลง ซึ่งเรื่องนี้มองข้ามไม่ได้ เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐนั้น การบริโภคมีสัดส่วนถึง 70% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือจีดีพี ดังนั้นจึงไม่อาจดูเบาพฤติกรรมการบริโภคของคนอเมริกัน เพราะสามารถสะท้อนภาวะเศรษฐกิจโลกและการค้าระหว่างประเทศได้ดีทีเดียว เนื่องจากอเมริกาเป็นประเทศลูกค้าที่สำคัญของหลายประเทศ
เพื่อให้เห็นภาพ ดิฉันขอนำข้อมูลจากการสำรวจของ อเมริกา รีเสิร์ช กรุ๊ป บริษัทสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคของสหรัฐระบุว่า ในช่วงเมโมเรียลเดย์มีผู้บริโภคมากถึง 80% ที่ตัดสินใจซื้อสินค้าที่ลดราคา หรือมีส่วนลดสูงๆ เพิ่มจาก 27% ในปีก่อน
นอกจากนี้ ราคาอาหารยังคงสร้างความกังวลให้ผู้บริโภคด้วย นักวิเคราะห์ประเมินว่าราคาสินค้าประเภทอาหารในสหรัฐจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 4% ในปีนี้ ดังนั้นอเมริกาชนจึงรัดเข็มขัดกันยกใหญ่
แม้แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งสตาร์บัคส์ และจนถึงวอล-มาร์ตต่างก็ส่งสัญญาณซบเซาไปตามๆ กัน ในกรณีของวอล-มาร์ต เพิ่งรายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ขณะที่ยอดขายของสาขาที่เปิดดำเนินการอย่างน้อย 1 ปี ก็เติบโตเพียงแค่ 1.9% เท่านั้น
ส่วนห้างสรรพสินค้า เชียร์ รายงานยอดขายในสาขาที่เปิดอย่างน้อย 1 ปีว่า ผลงานในไตรมาส 2 ลดลง 4.3% ส่วน เค-มาร์ต มียอดขายลดลง 3.8% เช่นเดียวกับ โฮม ดีโป้ ที่ได้รับผลกระทบจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ทำให้กำไรในไตรมาส 2 ลดลง 15% ซึ่งถือเป็นการลดลงครั้งแรกในรอบ 4 ปี
การจับจ่ายของผู้บริโภคซึ่งเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 2-3 เดือนก่อน และในไตรมาส 2 การใช้จ่ายของผู้บริโภคลดลงเหลือ 1.3% ลดลงจากระดับ 3.7% ในช่วงไตรมาสแรกของปี
อีกพฤติกรรมหนึ่งที่ต้องจับตาคือ การใช้จ่ายผ่านเงินพลาสติก หรือที่เรียกกันว่าบัตรเครดิต ขณะนี้บริษัทเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่ได้รับผลข้างเคียงจากปัญหาซับไพรม์ เพราะคนอเมริกันจำนวนมากนิยมใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต ดังนั้นบริษัทบัตรเครดิตอาจต้องเผชิญกับความสูญเสียหากเศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในภาวะถดถอยจริงๆ
ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทบัตรเครดิตเริ่มแทงหนี้สูญประมาณ 4.58% ของมูลหนี้ทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเกือบ 30% นอกจากนี้การชำระเงินล่าช้าก็มีเพิ่มขึ้น ส่วนการจ่ายเงินรายไตรมาสซึ่งเป็นการวัดความตั้งใจและความสามารถในการกลับมาชำระหนี้อีกครั้งหลังหยุดชำระ ก็เริ่มลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี
ยิ่งกว่านั้นตัวเลขการกู้ยืมของผู้บริโภคก็กลับสูงขึ้น โดยหนี้สินของผู้บริโภคในเดือน มิ.ย.เพิ่มขึ้น 6.5% ซึ่งถือเป็นเดือนที่ 2 ต่อเนื่อง โดยมีส่วนมาจากหนี้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น 7.9% และหนี้จากการซื้อรถยนต์ที่เพิ่มขึ้น 5.3%
เป็นไงคะ อ่านแล้วคุ้นๆ ไหมว่าเหมือนกับเศรษฐกิจไทยเปี๊ยบเลย สิ่งที่ทั่วโลกกังวลใจเห็นจะเป็นเรื่องผลกระทบต่อเนื่องจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐซบเซาจากภาวะฟองสบู่แตก จะส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของสหรัฐลดลงตามไปด้วย
ดังนั้นภาวะแบบนี้ ไม่ใช่ภาวะที่จะมาใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ต้องใช้เงินอย่าง สมาร์ตมันนี่จริงๆ ถึงจะเข้าเทรนด์ค่ะ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199702
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/10/07
โพสต์ที่ 369
สารพัดสินค้าบริการจ่อขึ้นราคา
โพสต์ทูเดย์ สินค้าและบริการ จ่อคิวขึ้นราคา ทั้งค่าขนส่ง เนื้อสุกร และเหล็กเส้น
นายทองอยู่ คงขันธ์ เลขาธิการ สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาชิกของสหพันธ์ที่มีสัดส่วนประมาณ 60% ของรถบรรทุกขนส่งสินค้า จะปรับราคาค่าขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3-5% ของราคาค่าขนส่งเดิม เนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลที่เพิ่มสูงขึ้นจากลิตรละ 22 บาท ซึ่งล่าสุดปรับขึ้นมาที่ 27.74 บาทต่อลิตร ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งเฉพาะน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 12% ดังนั้น ในวันที่ 1 พ.ย. 2550 จึงมีความจำเป็นต้องปรับราคาค่าขนส่งเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่ได้
หากราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงอยู่ที่ลิตรละ 25 บาท ทางสหพันธ์ก็จะปรับลดราคาค่าขนส่งสินค้าลงได้ นายทองอยู่ กล่าว
นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า สมาคมได้ประกาศขึ้นราคาหมู เป็นหน้าฟาร์ม กก.ละ 3 บาท ทุกภูมิภาค เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องกว่า 7 เดือน เพราะได้รับผลกระทบราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงขึ้น มาก เช่น กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงสุกร เพิ่มขึ้น 7.03% และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ราคาสุกรขุนน้ำหนัก 100 กก. เฉลี่ยย้อนหลัง 10 เดือน สามารถขายได้เพียง 3,757 บาท ขณะที่มีต้นทุนอยู่ที่ 4,491 บาท ทำให้ผู้เลี้ยงขาดทุนเฉลี่ยตัวละ 734 บาทต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งการประกาศขึ้นราคาหน้าฟาร์ม กก.ละ 3 บาท เกษตรกรก็ยังขาดทุนอยู่
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาเหล็กเส้นและโครงสร้าง เตรียมนำข้อสรุปขอความเห็น นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ เพื่อพิจารณาว่าจะให้มีการปรับขึ้นราคาแนะนำเหล็กเส้นหรือไม่ หลังจากที่ประชุมเห็นพ้องตามข้อเสนอผู้ผลิตและผู้นำเข้าเหล็กที่เสนอให้ปรับราคาผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นในประเทศเพิ่มขึ้น โดยอ้างต้นทุนเพิ่ม กก.ละ 2-3 บาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199692
โพสต์ทูเดย์ สินค้าและบริการ จ่อคิวขึ้นราคา ทั้งค่าขนส่ง เนื้อสุกร และเหล็กเส้น
นายทองอยู่ คงขันธ์ เลขาธิการ สหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สมาชิกของสหพันธ์ที่มีสัดส่วนประมาณ 60% ของรถบรรทุกขนส่งสินค้า จะปรับราคาค่าขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3-5% ของราคาค่าขนส่งเดิม เนื่องจากไม่สามารถแบกรับต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลที่เพิ่มสูงขึ้นจากลิตรละ 22 บาท ซึ่งล่าสุดปรับขึ้นมาที่ 27.74 บาทต่อลิตร ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งเฉพาะน้ำมันเพิ่มขึ้นประมาณ 12% ดังนั้น ในวันที่ 1 พ.ย. 2550 จึงมีความจำเป็นต้องปรับราคาค่าขนส่งเพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถอยู่ได้
หากราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงอยู่ที่ลิตรละ 25 บาท ทางสหพันธ์ก็จะปรับลดราคาค่าขนส่งสินค้าลงได้ นายทองอยู่ กล่าว
นายสุรชัย สุทธิธรรม นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวว่า สมาคมได้ประกาศขึ้นราคาหมู เป็นหน้าฟาร์ม กก.ละ 3 บาท ทุกภูมิภาค เนื่องจากเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกร ประสบปัญหาขาดทุนต่อเนื่องกว่า 7 เดือน เพราะได้รับผลกระทบราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์สูงขึ้น มาก เช่น กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงสุกร เพิ่มขึ้น 7.03% และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ราคาสุกรขุนน้ำหนัก 100 กก. เฉลี่ยย้อนหลัง 10 เดือน สามารถขายได้เพียง 3,757 บาท ขณะที่มีต้นทุนอยู่ที่ 4,491 บาท ทำให้ผู้เลี้ยงขาดทุนเฉลี่ยตัวละ 734 บาทต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งการประกาศขึ้นราคาหน้าฟาร์ม กก.ละ 3 บาท เกษตรกรก็ยังขาดทุนอยู่
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาราคาเหล็กเส้นและโครงสร้าง เตรียมนำข้อสรุปขอความเห็น นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ เพื่อพิจารณาว่าจะให้มีการปรับขึ้นราคาแนะนำเหล็กเส้นหรือไม่ หลังจากที่ประชุมเห็นพ้องตามข้อเสนอผู้ผลิตและผู้นำเข้าเหล็กที่เสนอให้ปรับราคาผลิตภัณฑ์เหล็กเส้นในประเทศเพิ่มขึ้น โดยอ้างต้นทุนเพิ่ม กก.ละ 2-3 บาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบในตลาดโลกปรับขึ้นตามราคาน้ำมัน
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=199692
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news26/10/07
โพสต์ที่ 370
เศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณเป็นบวก - ข่าว 18.00 น.
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, October 26, 2007
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) บอกถึงภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า มีการเบิกจ่ายงบประมาณ 150,000 ล้านบาท และไตรมาส 3/2550 มีการเบิกจ่าย 419,000 ล้านบาท ขยายตัว 17.5% สะท้อนถึงบทบาทภาครัฐในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่การใช้จ่ายภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ส่วนการบริโภคเอกชน เมื่อดูจากภาษีมูลค่าเพิ่ม พบว่า ขยายตัว 2.4% ขณะที่ไตรมาส 3/2550 ขยายตัว 3.1% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 0.7% ขณะที่การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 28.8% และไตรมาส 3/2550 เพิ่มขึ้น 23% ด้านการบริโภคสินค้าคงทนโดยเฉพาะรถยนต์นั่ง ขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกที่ 2.3% ในไตรมาส 3/2550 หลังจากชะลอตัว อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว
นางพรรณีบอกด้วยว่า การลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะในหมวดเครื่องจักร และการก่อสร้าง ประจำเดือนกันยายน ปรับตัวดีขึ้น โดยภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 9.8% และไตรมาส 3/2550 เพิ่มขึ้น 5.2% ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน หลังจากอัตราดอกเบี้ยลดลง
ขณะที่ภาคการส่งออกเดือนกันยายนมีมูลค่า 13,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 10.4% ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 17.9% ทำให้มูลค่าส่งออกไตรมาส 3/2550 ขยายตัว 11.6% ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวสูงถึง 19.1% และการนำเข้าเดือนกันยายนมีมูลค่ารวม 11,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 7.4% โดยเป็นการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้มูลค่านำเข้าไตรมาส 3/2550 ขยายตัว 8% โดยดุลการค้าเดือนกันยายนยังคงเกินดุลต่อเนื่อง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ไตรมาส 3/2550 เกินดุลทั้งสิ้น 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ผู้อำนวยการ สศค. บอกถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจว่า แม้อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นจากราคาน้ำมันและสินค้าอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่เงินเฟ้อเดือนกันยายนยังอยู่ที่ 2.1% ขณะที่ไตรมาส 3/2550 อยู่ที่ 1.6% ด้านอัตราว่างงานยังอยู่ที่ 1.2% สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สิ้นเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 37.9% ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ 50% ของ GDP ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศสิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ 80,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจากเดือนก่อนหน้าที่ 74,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นหลายเท่าตัว สะท้อนให้เห็นว่า เสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกยังอยู่ในเกณฑ์ดี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Friday, October 26, 2007
นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) บอกถึงภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า มีการเบิกจ่ายงบประมาณ 150,000 ล้านบาท และไตรมาส 3/2550 มีการเบิกจ่าย 419,000 ล้านบาท ขยายตัว 17.5% สะท้อนถึงบทบาทภาครัฐในการสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในช่วงที่การใช้จ่ายภาคเอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
ส่วนการบริโภคเอกชน เมื่อดูจากภาษีมูลค่าเพิ่ม พบว่า ขยายตัว 2.4% ขณะที่ไตรมาส 3/2550 ขยายตัว 3.1% ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 0.7% ขณะที่การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น 28.8% และไตรมาส 3/2550 เพิ่มขึ้น 23% ด้านการบริโภคสินค้าคงทนโดยเฉพาะรถยนต์นั่ง ขยายตัวเป็นบวกครั้งแรกที่ 2.3% ในไตรมาส 3/2550 หลังจากชะลอตัว อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้ว
นางพรรณีบอกด้วยว่า การลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะในหมวดเครื่องจักร และการก่อสร้าง ประจำเดือนกันยายน ปรับตัวดีขึ้น โดยภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 9.8% และไตรมาส 3/2550 เพิ่มขึ้น 5.2% ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน หลังจากอัตราดอกเบี้ยลดลง
ขณะที่ภาคการส่งออกเดือนกันยายนมีมูลค่า 13,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 10.4% ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 17.9% ทำให้มูลค่าส่งออกไตรมาส 3/2550 ขยายตัว 11.6% ชะลอตัวจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวสูงถึง 19.1% และการนำเข้าเดือนกันยายนมีมูลค่ารวม 11,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 7.4% โดยเป็นการนำเข้าสินค้าทุนและสินค้าอุปโภคบริโภค ทำให้มูลค่านำเข้าไตรมาส 3/2550 ขยายตัว 8% โดยดุลการค้าเดือนกันยายนยังคงเกินดุลต่อเนื่อง 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ไตรมาส 3/2550 เกินดุลทั้งสิ้น 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ผู้อำนวยการ สศค. บอกถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจว่า แม้อัตราเงินเฟ้อจะสูงขึ้นจากราคาน้ำมันและสินค้าอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่เงินเฟ้อเดือนกันยายนยังอยู่ที่ 2.1% ขณะที่ไตรมาส 3/2550 อยู่ที่ 1.6% ด้านอัตราว่างงานยังอยู่ที่ 1.2% สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP สิ้นเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 37.9% ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ 50% ของ GDP ส่วนทุนสำรองระหว่างประเทศสิ้นเดือนกันยายนอยู่ที่ 80,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มจากเดือนก่อนหน้าที่ 74,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นหลายเท่าตัว สะท้อนให้เห็นว่า เสถียรภาพเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกยังอยู่ในเกณฑ์ดี
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/10/07
โพสต์ที่ 371
สภาที่ปรึกษาฯการันตี ลดหย่อนภาษีมีแต่ได้
โพสต์ทูเดย์ สภาที่ปรึกษาฯ หนุนรัฐ เพิ่มค่าลดหย่อนภาษี ชี้ดันเศรษฐกิจ โตเพิ่ม อีก 0.2%
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ รอง ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และที่ปรึกษา รมว.คลัง กล่าวว่า สนับสนุนนโยบายที่กระทรวงการคลัง สั่งให้กรมสรรพากรเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับผู้ที่มีเงินให้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 6 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาทต่อปี ซึ่งจะทำให้คนที่มีเงินเดือนไม่เกิน 2 หมื่นบาท ไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ เนื่องจากค่าลดหย่อนดังกล่าวได้ใช้มานานถึง 16 ปีแล้ว ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการให้สอดคล้องกับเรื่องรายได้ และค่าครองชีพของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น
นายวรพล กล่าวว่า เชื่อว่าจากมาตรการ ดังกล่าวจะทำให้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แม้คาดว่ากรมสรรพากรจะสูญเสียรายได้จากส่วนนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปีก็ตาม แต่ในทางกลับกันเชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.2% จากที่เคยคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2551 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 5%
ยังไม่นับรวมเศรษฐกิจที่หมุนในรอบที่ 2 และ 3 อีก เพราะเชื่อว่ารายได้คนได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนส่วนใหญ่จะเอาไปซื้อสินค้า ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตต่อ เพราะขณะนี้กำลังการผลิตในภาพรวมใช้เกิน 77% แล้ว นายวรพล กล่าว
นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับแนวคิด ในการใช้มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือสังคม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200162
โพสต์ทูเดย์ สภาที่ปรึกษาฯ หนุนรัฐ เพิ่มค่าลดหย่อนภาษี ชี้ดันเศรษฐกิจ โตเพิ่ม อีก 0.2%
นายวรพล โสคติยานุรักษ์ รอง ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และที่ปรึกษา รมว.คลัง กล่าวว่า สนับสนุนนโยบายที่กระทรวงการคลัง สั่งให้กรมสรรพากรเพิ่มค่าลดหย่อนให้กับผู้ที่มีเงินให้สามารถหักค่าใช้จ่ายได้เพิ่มขึ้นจากไม่เกิน 6 หมื่นบาท เป็น 1 แสนบาทต่อปี ซึ่งจะทำให้คนที่มีเงินเดือนไม่เกิน 2 หมื่นบาท ไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ เนื่องจากค่าลดหย่อนดังกล่าวได้ใช้มานานถึง 16 ปีแล้ว ถือเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการให้สอดคล้องกับเรื่องรายได้ และค่าครองชีพของประชาชนที่เพิ่มสูงขึ้น
นายวรพล กล่าวว่า เชื่อว่าจากมาตรการ ดังกล่าวจะทำให้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น และยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แม้คาดว่ากรมสรรพากรจะสูญเสียรายได้จากส่วนนี้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาทต่อปีก็ตาม แต่ในทางกลับกันเชื่อว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 0.2% จากที่เคยคาดว่าเศรษฐกิจในปี 2551 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 5%
ยังไม่นับรวมเศรษฐกิจที่หมุนในรอบที่ 2 และ 3 อีก เพราะเชื่อว่ารายได้คนได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนส่วนใหญ่จะเอาไปซื้อสินค้า ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตต่อ เพราะขณะนี้กำลังการผลิตในภาพรวมใช้เกิน 77% แล้ว นายวรพล กล่าว
นอกจากนี้ ยังเห็นด้วยกับแนวคิด ในการใช้มาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือสังคม
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200162
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/10/07
โพสต์ที่ 372
เตือนผู้ส่งออกไทยรับมือตลาดสหรัฐ
โพสต์ทูเดย์ เตือนผู้ส่งออกไทย รับมือสหรัฐเข้มงวดสินค้านำเข้า หลังเตรียมปฏิรูประบบการนำเข้าครั้งใหญ่
นายทรงศีล สุขเสวี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแองเจลิส กล่าวว่า ขณะนี้คณะทำงานด้านความปลอดภัยของการนำเข้าที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แต่งตั้งขึ้นเมื่อเดือน ก.ค. 2550 ที่ผ่านมา ได้สรุปผลการศึกษาและการปรับปรุงระบบความปลอดภัยของการนำเข้าสินค้า เพื่อการอุปโภคบริโภคในตลาดสหรัฐแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดทำประชาพิจารณ์ ก่อนที่จะนำไปจัดทำมาตรการความปลอดภัยด้าน การนำเข้าในระยะสั้นและยาวเสนอประธานาธิบดีสหรัฐ ภายในกลางเดือน พ.ย.นี้
สาเหตุที่สหรัฐ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้า เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาตรวจสอบพบสินค้านำเข้าที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างมาก ตั้งแต่เสื้อผ้า ส่วนผสมอาหาร สัตว์เลี้ยง ของเล่น อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์นำเข้าอื่นๆ
ทางคณะทำงานฯ จึงเสนอว่า สหรัฐต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการนำเข้า จากการ เพ่งเล็งสินค้าที่จุดนำเข้า โดยต้องสร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงสินค้านำเข้า เพื่อให้ตรวจสอบกลับไปถึงโรงงานผลิตผู้นำเข้า ผู้กระจายสินค้า ผู้ค้าปลีก รวมทั้งต้องปรับระบบการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ให้แบ่งข้อมูลระหว่างกัน และมีการเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้น ตลอดเส้นทางเดินของสินค้าจากโรงงานผลิตจนถึงผู้บริโภค และต้องมีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบสินค้านำเข้าจำนวนมากได้ที่ด่านนำเข้า
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สหรัฐได้เริ่มปรับระบบการตรวจสอบสินค้านำเข้าแล้ว เช่น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ได้รับจ้างผู้นำเข้าสหรัฐ ทำการตรวจสอบโรงงานอาหารทะเลในต่างประเทศว่ามีการดำเนินการตามหลัก HACCP หรือไม่ การออกไปตรวจสอบโรงงานผลิตในต่างประเทศ เป็นต้น
นายทรงศีล กล่าวว่า สิ่งที่คณะทำงานฯ ทำครั้งนี้ จะทำให้เกิดการปรับปรุงระบบการนำเข้าสหรัฐครั้งใหญ่ เพราะจะเพิ่มความยุ่งยากมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโรงงานผลิตสินค้าในประเทศคู่ค้าของสหรัฐ รวมทั้งไทยด้วย
ทางผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยควรจะมีการศึกษาและติดตามการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ปรับตัวได้ทัน และป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น นายทรงศีล กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200235
โพสต์ทูเดย์ เตือนผู้ส่งออกไทย รับมือสหรัฐเข้มงวดสินค้านำเข้า หลังเตรียมปฏิรูประบบการนำเข้าครั้งใหญ่
นายทรงศีล สุขเสวี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแองเจลิส กล่าวว่า ขณะนี้คณะทำงานด้านความปลอดภัยของการนำเข้าที่นายจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้แต่งตั้งขึ้นเมื่อเดือน ก.ค. 2550 ที่ผ่านมา ได้สรุปผลการศึกษาและการปรับปรุงระบบความปลอดภัยของการนำเข้าสินค้า เพื่อการอุปโภคบริโภคในตลาดสหรัฐแล้ว และอยู่ระหว่างการจัดทำประชาพิจารณ์ ก่อนที่จะนำไปจัดทำมาตรการความปลอดภัยด้าน การนำเข้าในระยะสั้นและยาวเสนอประธานาธิบดีสหรัฐ ภายในกลางเดือน พ.ย.นี้
สาเหตุที่สหรัฐ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบสินค้านำเข้า เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาตรวจสอบพบสินค้านำเข้าที่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภคอย่างมาก ตั้งแต่เสื้อผ้า ส่วนผสมอาหาร สัตว์เลี้ยง ของเล่น อาหารทะเล และผลิตภัณฑ์นำเข้าอื่นๆ
ทางคณะทำงานฯ จึงเสนอว่า สหรัฐต้องปรับเปลี่ยนนโยบายการนำเข้า จากการ เพ่งเล็งสินค้าที่จุดนำเข้า โดยต้องสร้างเครือข่ายความเชื่อมโยงสินค้านำเข้า เพื่อให้ตรวจสอบกลับไปถึงโรงงานผลิตผู้นำเข้า ผู้กระจายสินค้า ผู้ค้าปลีก รวมทั้งต้องปรับระบบการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ให้แบ่งข้อมูลระหว่างกัน และมีการเก็บข้อมูลที่เกิดขึ้น ตลอดเส้นทางเดินของสินค้าจากโรงงานผลิตจนถึงผู้บริโภค และต้องมีเทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบสินค้านำเข้าจำนวนมากได้ที่ด่านนำเข้า
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สหรัฐได้เริ่มปรับระบบการตรวจสอบสินค้านำเข้าแล้ว เช่น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ได้รับจ้างผู้นำเข้าสหรัฐ ทำการตรวจสอบโรงงานอาหารทะเลในต่างประเทศว่ามีการดำเนินการตามหลัก HACCP หรือไม่ การออกไปตรวจสอบโรงงานผลิตในต่างประเทศ เป็นต้น
นายทรงศีล กล่าวว่า สิ่งที่คณะทำงานฯ ทำครั้งนี้ จะทำให้เกิดการปรับปรุงระบบการนำเข้าสหรัฐครั้งใหญ่ เพราะจะเพิ่มความยุ่งยากมากขึ้น และจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโรงงานผลิตสินค้าในประเทศคู่ค้าของสหรัฐ รวมทั้งไทยด้วย
ทางผู้ผลิตและผู้ส่งออกไทยควรจะมีการศึกษาและติดตามการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ปรับตัวได้ทัน และป้องกันผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น นายทรงศีล กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200235
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/10/07
โพสต์ที่ 373
"ร้านอาหาร-ร.พ.-สปา"ไทยปักธงดูไบดูดเม็ดเงินมุสลิมไฮเอนด์
3 พันธมิตร "ททท.-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า-สมาคมอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม" ผนึกยุทธศาสตร์การค้าร่วมกันลุยปักธงตะวันออกกลางยึดเกตเวย์หลัก "ดูไบ" สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งเป้ากระตุ้นนักลงทุนไทยบุกไปปักธงครองตลาด 5 สาขา ท่องเที่ยว "ร้านอาหาร-โรงพยาบาล-สปาเพื่อสุขภาพ-อสังหาริมทรัพย์" พร้อมดึงนักท่องเที่ยวไฮเอนด์มุสลิมเข้าไทยหลังพบจ่ายหนักทริปละกว่า 2 แสนบาท/คน
นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เป็นครั้งแรกการรวม 3 พันธมิตร ททท. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และสมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม ร่วมมือกันวางแนวทางขยายพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวและการค้าเล็งพื้นที่ตลาดไฮเอนด์กลุ่มเป้าหมายในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศที่กำลังขยายการลงทุนมูลค่ามหาศาลในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภายใน 10 ปีนี้รัฐบาลและภาคเอกชนทยอยออกแบบก่อสร้างกว่า 10 เมกะโปรเจ็กต์ รวมกว่า 10 ล้านล้านบาท
มีกลุ่มผู้บริหารและนักธุรกิจชาวต่างชาติบริษัทขนาดใหญ่เข้าไปพักอาศัย (expat) ในแถบตะวันออกกลางที่เดินทางเข้า-ออก และท่องเที่ยวล่าสุดปี 2549 สูงถึง 20 ล้านคน ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เองก็ใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวต่างประเทศ ค่าเฉลี่ยสูงที่สุดประมาณ 2 แสนล้านบาท/คน/ทริป (6,000 เหรียญสหรัฐ) จึงเป็นจังหวะดีที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนจะเข้าไปแชร์ส่วนแบ่งกำลังซื้อโดยเร็ว ก่อนที่ประเทศอื่นจะยึดฐานลูกค้ากลุ่มนี้ไปครอง
นายอนิรุทธ์ สมุทรโคจร ประธานสมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม กล่าวว่า โอกาสทางการค้าของไทยในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ไทยมีศักยภาพสูงที่สุด 5 สาขา ได้แก่ การท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงพยาบาล สปาเพื่อสุขภาพ และการบริการด้านการออกแบบก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างงานให้กับบริษัทจากไทยเป็นอย่างมาก ขณะนี้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กำลังดึงทั้งแรงงานและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้ง 5 สาขา ต้องเตรียมปรับกลยุทธ์ไทยแบบฉับพลัน เนื่องจากพฤติกรรมของกำลังซื้อกลุ่มนี้นิยมทัวร์ศาสนาและเริ่มจะเดินทางแลกเปลี่ยนภายในแถบตะวันออก กลาง 8 ประเทศมากขึ้นเนื่องจากมีความเข้าใจวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชาวมุสลิมด้วยกัน ส่วนเมืองไทยก็ยังเป็นทางเลือกของนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางที่พร้อมจะเดินทางเข้ามาช่วงฤดูฝน อัตราการเติบโตจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้เงินแต่ละครั้งสูงกว่าประเทศอื่น
สมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม จึงเสนอแผนปฏิบัติการทางการค้าแบบครบวงจรเพื่อปูพรมธุรกิจในอนาคต โดยการขอความร่วมมือเอกชนภาคบริการในไทย เช่น บริษัทนำเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร สปา เร่งเปิดตลาดและการขายเชิงรุก ขั้นแรกมุ่งลงทุนตั้งบริษัทตัวแทนประเทศไทยโดยตรง ณ ศูนย์กลางการเดินทางที่สำคัญในตะวันออกกลาง อาทิ กรุงดูไบ ตามที่กงสุลและคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้นๆ พร้อมให้การสนับสนุน เพื่อลดขั้นตอนการทำงานผ่านนายหน้าจากชาติอื่นๆ ซึ่งเสนอขายสินค้าแหล่งท่องเที่ยวของ ประเทศตนเองตัดหน้าไทย
นายสุทธิศักดิ์ เลาหชีวิน รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กลยุทธ์การขยายตลาดการค้าและการบริการในตะวันออกกลางมี 3 แนวทางหลัก คือ แนวทางที่ 1 สร้างความสัมพันธ์ระดับสูงกับนักธุรกิจในพื้นที่ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอำนาจการตัดสินใจเป็นพันธมิตรทางธุรกิจได้ทันที แนวทางที่ 2 ใช้ศักยภาพของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประตูสู่ภูมิภาคตะวันออกกลาง และแนวทางที่ 3 สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจบริการไทยให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะด้านความเข้าใจในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของโลกมุสลิมที่มีลักษณะเฉพาะสูง
"แนวโน้มอีก 10 ปีข้างหน้าการพัฒนาของประเทศในแถบตะวันออกกลางพุ่งเป้าเป็นศูนย์กลางภาคบริการระดับโลก (Center of world service provider) กำหนดวิสัยทัศน์เป็น "กลุ่มที่สุดของโลก" ทั้งด้านการท่องเที่ยว ศูนย์กระจายสินค้า และการสร้างอาคารสูงที่สุดในโลกที่มีความทันสมัยเพื่อก้าวเป็นศูนย์กลางธุรกิจดีที่สุดในโลก หากภาคบริการไทยสร้างฐานการค้าครบวงจรอย่างแข็งแรงจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งกำลังซื้อและตลาดจากการขยายธุรกิจเข้าไปครองพื้นที่ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกรุงดูไบ"
อย่างไรก็ตาม สถิตินักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเดินทางเข้าเมืองไทย 7 เดือนแรกปีนี้ ระหว่างมกราคม-กรกฎาคม 2550 มีจำนวน 252,556 คน เพิ่มขึ้น 18.36% แนวโน้มตลอดทั้งปีจะเกิน 5 แสนคน สามารถสร้างรายได้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ส่วนสินค้าส่งออกทางด้านวัตถุดิบอาหารไทย สปา เติบโตสูงขึ้นเฉลี่ยกว่า 10-25%
นอกจากนี้มีกลุ่มทุนไทยเข้าไปปักธงร่วมทุนพัฒนาธุรกิจรองรับการท่องเที่ยวและร้านอาหาร 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ เครือดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย เข้าไปสร้างโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับเมกะโปรเจ็กต์ในดูไบ ปาล์มจูเมร่า เซ็นทรัลเวิลด์ จำนวน 6 โครงการมูลค่านับแสนล้านบาท จะเปิดครบทุกโครงการภายใน 2553 กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รับสิทธิ์ให้ร่วมทุนเปิดโรงพยาบาลบริเวณเมือง ดูไบขนาด 200 เตียง จะเปิดอีก 2 ปีข้างหน้า กลุ่มหงษ์ทอง ทำธุรกิจร้านอาหารไทยและนำเข้าวัตถุดิบอาหารไทยรายใหญ่ในดูไบ
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
3 พันธมิตร "ททท.-กรมพัฒนาธุรกิจการค้า-สมาคมอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม" ผนึกยุทธศาสตร์การค้าร่วมกันลุยปักธงตะวันออกกลางยึดเกตเวย์หลัก "ดูไบ" สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตั้งเป้ากระตุ้นนักลงทุนไทยบุกไปปักธงครองตลาด 5 สาขา ท่องเที่ยว "ร้านอาหาร-โรงพยาบาล-สปาเพื่อสุขภาพ-อสังหาริมทรัพย์" พร้อมดึงนักท่องเที่ยวไฮเอนด์มุสลิมเข้าไทยหลังพบจ่ายหนักทริปละกว่า 2 แสนบาท/คน
นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เป็นครั้งแรกการรวม 3 พันธมิตร ททท. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และสมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม ร่วมมือกันวางแนวทางขยายพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวและการค้าเล็งพื้นที่ตลาดไฮเอนด์กลุ่มเป้าหมายในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศที่กำลังขยายการลงทุนมูลค่ามหาศาลในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ภายใน 10 ปีนี้รัฐบาลและภาคเอกชนทยอยออกแบบก่อสร้างกว่า 10 เมกะโปรเจ็กต์ รวมกว่า 10 ล้านล้านบาท
มีกลุ่มผู้บริหารและนักธุรกิจชาวต่างชาติบริษัทขนาดใหญ่เข้าไปพักอาศัย (expat) ในแถบตะวันออกกลางที่เดินทางเข้า-ออก และท่องเที่ยวล่าสุดปี 2549 สูงถึง 20 ล้านคน ขณะเดียวกันนักท่องเที่ยวจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เองก็ใช้จ่ายเงินท่องเที่ยวต่างประเทศ ค่าเฉลี่ยสูงที่สุดประมาณ 2 แสนล้านบาท/คน/ทริป (6,000 เหรียญสหรัฐ) จึงเป็นจังหวะดีที่ผู้ประกอบการภาคเอกชนจะเข้าไปแชร์ส่วนแบ่งกำลังซื้อโดยเร็ว ก่อนที่ประเทศอื่นจะยึดฐานลูกค้ากลุ่มนี้ไปครอง
นายอนิรุทธ์ สมุทรโคจร ประธานสมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม กล่าวว่า โอกาสทางการค้าของไทยในตลาดสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่ไทยมีศักยภาพสูงที่สุด 5 สาขา ได้แก่ การท่องเที่ยว ร้านอาหาร โรงพยาบาล สปาเพื่อสุขภาพ และการบริการด้านการออกแบบก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างงานให้กับบริษัทจากไทยเป็นอย่างมาก ขณะนี้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กำลังดึงทั้งแรงงานและท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก
ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้ง 5 สาขา ต้องเตรียมปรับกลยุทธ์ไทยแบบฉับพลัน เนื่องจากพฤติกรรมของกำลังซื้อกลุ่มนี้นิยมทัวร์ศาสนาและเริ่มจะเดินทางแลกเปลี่ยนภายในแถบตะวันออก กลาง 8 ประเทศมากขึ้นเนื่องจากมีความเข้าใจวัฒนธรรมและวิถีชีวิตชาวมุสลิมด้วยกัน ส่วนเมืองไทยก็ยังเป็นทางเลือกของนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางที่พร้อมจะเดินทางเข้ามาช่วงฤดูฝน อัตราการเติบโตจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้เงินแต่ละครั้งสูงกว่าประเทศอื่น
สมาคมนักธุรกิจและอุตสาหกรรมไทย-มุสลิม จึงเสนอแผนปฏิบัติการทางการค้าแบบครบวงจรเพื่อปูพรมธุรกิจในอนาคต โดยการขอความร่วมมือเอกชนภาคบริการในไทย เช่น บริษัทนำเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร สปา เร่งเปิดตลาดและการขายเชิงรุก ขั้นแรกมุ่งลงทุนตั้งบริษัทตัวแทนประเทศไทยโดยตรง ณ ศูนย์กลางการเดินทางที่สำคัญในตะวันออกกลาง อาทิ กรุงดูไบ ตามที่กงสุลและคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่ตั้งอยู่ในประเทศนั้นๆ พร้อมให้การสนับสนุน เพื่อลดขั้นตอนการทำงานผ่านนายหน้าจากชาติอื่นๆ ซึ่งเสนอขายสินค้าแหล่งท่องเที่ยวของ ประเทศตนเองตัดหน้าไทย
นายสุทธิศักดิ์ เลาหชีวิน รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กลยุทธ์การขยายตลาดการค้าและการบริการในตะวันออกกลางมี 3 แนวทางหลัก คือ แนวทางที่ 1 สร้างความสัมพันธ์ระดับสูงกับนักธุรกิจในพื้นที่ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอำนาจการตัดสินใจเป็นพันธมิตรทางธุรกิจได้ทันที แนวทางที่ 2 ใช้ศักยภาพของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นประตูสู่ภูมิภาคตะวันออกกลาง และแนวทางที่ 3 สร้างภาพลักษณ์ธุรกิจบริการไทยให้เข้มแข็ง โดยเฉพาะด้านความเข้าใจในวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของโลกมุสลิมที่มีลักษณะเฉพาะสูง
"แนวโน้มอีก 10 ปีข้างหน้าการพัฒนาของประเทศในแถบตะวันออกกลางพุ่งเป้าเป็นศูนย์กลางภาคบริการระดับโลก (Center of world service provider) กำหนดวิสัยทัศน์เป็น "กลุ่มที่สุดของโลก" ทั้งด้านการท่องเที่ยว ศูนย์กระจายสินค้า และการสร้างอาคารสูงที่สุดในโลกที่มีความทันสมัยเพื่อก้าวเป็นศูนย์กลางธุรกิจดีที่สุดในโลก หากภาคบริการไทยสร้างฐานการค้าครบวงจรอย่างแข็งแรงจะสามารถเพิ่มส่วนแบ่งกำลังซื้อและตลาดจากการขยายธุรกิจเข้าไปครองพื้นที่ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะกรุงดูไบ"
อย่างไรก็ตาม สถิตินักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเดินทางเข้าเมืองไทย 7 เดือนแรกปีนี้ ระหว่างมกราคม-กรกฎาคม 2550 มีจำนวน 252,556 คน เพิ่มขึ้น 18.36% แนวโน้มตลอดทั้งปีจะเกิน 5 แสนคน สามารถสร้างรายได้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ส่วนสินค้าส่งออกทางด้านวัตถุดิบอาหารไทย สปา เติบโตสูงขึ้นเฉลี่ยกว่า 10-25%
นอกจากนี้มีกลุ่มทุนไทยเข้าไปปักธงร่วมทุนพัฒนาธุรกิจรองรับการท่องเที่ยวและร้านอาหาร 3 กลุ่มใหญ่ ได้แก่ เครือดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล ของ ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย เข้าไปสร้างโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ร่วมกับเมกะโปรเจ็กต์ในดูไบ ปาล์มจูเมร่า เซ็นทรัลเวิลด์ จำนวน 6 โครงการมูลค่านับแสนล้านบาท จะเปิดครบทุกโครงการภายใน 2553 กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รับสิทธิ์ให้ร่วมทุนเปิดโรงพยาบาลบริเวณเมือง ดูไบขนาด 200 เตียง จะเปิดอีก 2 ปีข้างหน้า กลุ่มหงษ์ทอง ทำธุรกิจร้านอาหารไทยและนำเข้าวัตถุดิบอาหารไทยรายใหญ่ในดูไบ
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/10/07
โพสต์ที่ 374
JTEPAหนุนสินค้าเกษตร-ประมง งานเทศกาลอาหารญี่ปุ่นดี๊ด๊า
เจโทรรุกใช้ JTEPA ขยายตลาดสินค้าเกษตร-ประมง เตรียมจัดงานเทศกาลอาหารญี่ปุ่นครั้งใหญ่ 6-9 ธันวาคม โชว์ผัก-ผลไม้ ปลา และอาหารแปรรูป ดึงพันธมิตรร้านอาหารฉลองครบรอบความสัมพันธ์ 120 ปี ขณะที่สมาคมไทย-ญี่ปุ่นกิโมโนหอบแฟชั่นกิโมโนชุดแต่งกายประจำชาติ 150 คน เดินโชว์ทั่วกรุงเทพฯ 2 วันรวด 22-23 พฤศจิกายนนี้
นายโยอิจิ คาโต้ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) แถลงข่าวการจัดงานเทศกาลอาหารญี่ปุ่น (Japan Food Fair 2007) ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 6-9 ธันวาคม 2550 ณ ห้องบางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
โดยระบุว่าไฮไลต์ของงานในครั้งนี้มี 7 สิ่ง ได้แก่
1) เป็นงานที่ JETRO เป็นผู้จัดงานเอง โดยการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของประเทศญี่ปุ่น
2) มีบริษัทที่เข้าร่วมแสดงสินค้าทั้งหมด 52 แห่ง 70 บูท โดยเป็นบริษัทจากญี่ปุ่น 42 แห่ง และบริษัทในไทยซึ่งมีชาวญี่ปุ่นถือหุ้นร่วมหรือเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีคนไทย ถือหุ้น 100% อีก 10 แห่ง
3) กลุ่มเป้าหมายหลักของการแสดงสินค้าคือ ผู้ประกอบการร้านอาหารญี่ปุ่นทั้งในประเทศไทยและประเทศข้างเคียง โดยจะมีการจัดวันเจรจาธุรกิจในระหว่างวันที่ 6-7 ธันวาคม รวมทั้งประชาชนทั่วไปก็สามารถเข้าชมงานในระหว่าง วันที่ 8-9 ธันวาคมได้
4) ในงานมีมุมซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อให้ผู้เข้าชมงานหรือผู้บริโภคได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าผัก ผลไม้ และสินค้าประมงญี่ปุ่นกลับบ้านได้
5) มี กิจกรรมร่วมสนุกของผู้ชมงาน เช่น การสาธิตการทำอาหารญี่ปุ่นจากพ่อครัวมืออาชีพชาวญี่ปุ่น
6) สินค้าที่นำมาจัดแสดงในงานส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและประมงญี่ปุ่นที่ยังไม่เคยมีการนำมาจัดแสดงหรือขายในไทยมาก่อน เช่น ส้มอูชู (Unshuu)
และ 7) สินค้าที่นำมาจัดแสดงเป็นสินค้าเกษตรและอาหารที่มาจากญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่ได้มาจากประเทศอื่น
การจัดงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ซึ่งจะมีการบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ อีกทั้งยังเป็นการร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น 120 ปี ภายใต้ คอนเซ็ปต์ "Discover Real Japanese Cuisine: The Gift of Nature"
ประธานเจโทรกล่าวด้วยว่า การจัดงานประเภทนี้มีขึ้นใน 9 เมือง ใน 7 ประเทศทั่วโลก แต่การ จัดงานในกรุงเทพฯเป็นงานที่สำคัญที่สุด เพราะตลาดอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีศักยภาพสูง และผู้บริโภคชาวไทยยังมีความสนใจบริโภคสินค้าเกษตรและประมงที่มีคุณภาพจากญี่ปุ่น
ด้านนายเซอิจิ ทะโซะ ผู้อำนวยการฝ่าย ส่งเสริมการค้า เจโทร กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันมี ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยทั้งหมด 750 แห่ง และ ในการจัดงานครั้งนี้เจโทรคาดหวังจะมีผู้เข้าชมงาน 20,000 คน มีจำนวนการเจรจาธุรกิจกว่า 2,500 รายการ มีธุรกิจตกลงการค้าไม่น้อยกว่า 480 คู่
ปัจจุบันสินค้าเกษตรและประมงจากญี่ปุ่นที่ส่งออกมายังประเทศไทยมีจำนวนไม่มากนัก โดย เมื่อปี 2549 มีการส่งออกผลไม้ญี่ปุ่นมาไทยมูลค่า 37-38 ล้านบาท จากมูลค่าการนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศเข้ามาในไทยทั้งหมด 3,600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.6% ของปริมาณการนำเข้าผลไม้ในไทยทั้งหมด
ขณะที่สินค้าประมง เช่น ปลาโอ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าจากญี่ปุ่นมากที่สุด มูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยเข้าไปในญี่ปุ่น
แต่อย่างไรก็ตามการส่งเสริมการส่งออก/นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นน่าจะเพิ่มขึ้นได้อีก หลังการบังคับใช้ JTEPA นายโยอิจิ คาโต้ ระบุเพิ่มเติมว่า ในอนาคตน่าจะเห็นการทำงานร่วมกันทั้งในกรอบของ JTEPA และ JTEPA+ โดยใน JTEPA+ จะเป็นความร่วมมือเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการค้าในด้านการสร้างแบรนด์ รูปแบบการดำเนินกิจการระบบการทำงาน และการออกแบบ เป็นต้น
นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า นางฮิโรโกะ มาชูชิม่า ประธานสหพันธ์นิฮอนวาโสกากุเอนและประธานสมาคมสอนแต่งกายกิโมโนประเทศญี่ปุ่นร่วมกับสมาคมไทย-ญี่ปุ่นกิโมโน เตรียมจัดกิจกรรมความสัมพันธ์ 120 ปี ไทย-ญี่ปุ่น นำแฟชั่นกิโมโน 150 คน เข้ามาจัดแสดงในเมืองไทย ควบคู่กับการจัดนิทรรศ การและสาธิตวิธีการแต่งกิโมโนชุดประจำชาติเผยแพร่ศิลปะการแต่งกาย อาหาร และวิถีชีวิต ตามขนบประเพณีวัฒนธรรม ให้คนไทยเข้าใจอย่างลึกซึ้ง วันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เป็นงานต้อนรับคณะแฟชั่นทั้งหมด และวันที่ 23 พฤศจิกายน จะจัดงานแฟชั่นโชว์กิโมโนที่โรงแรมเซ็นทารา กรุงเทพฯ
สำหรับ ททท.จะสนับสนุนโดยรับเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยง เนื่องจากสมาคมดังกล่าวจัดกิจกรรมนี้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในเมืองไทย โดยนายกสมาคมเป็นชาวญี่ปุ่นที่เคยเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยและรักเมืองไทยอย่างมาก จึงตั้งเป้าเชื่อมความสัมพันธ์กระตุ้นความสนใจชาวญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทยตามเป้าเกือบ 1 ล้านคน/ปี สร้างรายได้กว่า 5 หมื่นล้านบาท
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
เจโทรรุกใช้ JTEPA ขยายตลาดสินค้าเกษตร-ประมง เตรียมจัดงานเทศกาลอาหารญี่ปุ่นครั้งใหญ่ 6-9 ธันวาคม โชว์ผัก-ผลไม้ ปลา และอาหารแปรรูป ดึงพันธมิตรร้านอาหารฉลองครบรอบความสัมพันธ์ 120 ปี ขณะที่สมาคมไทย-ญี่ปุ่นกิโมโนหอบแฟชั่นกิโมโนชุดแต่งกายประจำชาติ 150 คน เดินโชว์ทั่วกรุงเทพฯ 2 วันรวด 22-23 พฤศจิกายนนี้
นายโยอิจิ คาโต้ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) แถลงข่าวการจัดงานเทศกาลอาหารญี่ปุ่น (Japan Food Fair 2007) ที่จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 6-9 ธันวาคม 2550 ณ ห้องบางกอก คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
โดยระบุว่าไฮไลต์ของงานในครั้งนี้มี 7 สิ่ง ได้แก่
1) เป็นงานที่ JETRO เป็นผู้จัดงานเอง โดยการสนับสนุนจากกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมงของประเทศญี่ปุ่น
2) มีบริษัทที่เข้าร่วมแสดงสินค้าทั้งหมด 52 แห่ง 70 บูท โดยเป็นบริษัทจากญี่ปุ่น 42 แห่ง และบริษัทในไทยซึ่งมีชาวญี่ปุ่นถือหุ้นร่วมหรือเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีคนไทย ถือหุ้น 100% อีก 10 แห่ง
3) กลุ่มเป้าหมายหลักของการแสดงสินค้าคือ ผู้ประกอบการร้านอาหารญี่ปุ่นทั้งในประเทศไทยและประเทศข้างเคียง โดยจะมีการจัดวันเจรจาธุรกิจในระหว่างวันที่ 6-7 ธันวาคม รวมทั้งประชาชนทั่วไปก็สามารถเข้าชมงานในระหว่าง วันที่ 8-9 ธันวาคมได้
4) ในงานมีมุมซูเปอร์มาร์เก็ตเพื่อให้ผู้เข้าชมงานหรือผู้บริโภคได้มีโอกาสเลือกซื้อสินค้าผัก ผลไม้ และสินค้าประมงญี่ปุ่นกลับบ้านได้
5) มี กิจกรรมร่วมสนุกของผู้ชมงาน เช่น การสาธิตการทำอาหารญี่ปุ่นจากพ่อครัวมืออาชีพชาวญี่ปุ่น
6) สินค้าที่นำมาจัดแสดงในงานส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรและประมงญี่ปุ่นที่ยังไม่เคยมีการนำมาจัดแสดงหรือขายในไทยมาก่อน เช่น ส้มอูชู (Unshuu)
และ 7) สินค้าที่นำมาจัดแสดงเป็นสินค้าเกษตรและอาหารที่มาจากญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่ได้มาจากประเทศอื่น
การจัดงานครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ซึ่งจะมีการบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ อีกทั้งยังเป็นการร่วมเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น 120 ปี ภายใต้ คอนเซ็ปต์ "Discover Real Japanese Cuisine: The Gift of Nature"
ประธานเจโทรกล่าวด้วยว่า การจัดงานประเภทนี้มีขึ้นใน 9 เมือง ใน 7 ประเทศทั่วโลก แต่การ จัดงานในกรุงเทพฯเป็นงานที่สำคัญที่สุด เพราะตลาดอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยมีศักยภาพสูง และผู้บริโภคชาวไทยยังมีความสนใจบริโภคสินค้าเกษตรและประมงที่มีคุณภาพจากญี่ปุ่น
ด้านนายเซอิจิ ทะโซะ ผู้อำนวยการฝ่าย ส่งเสริมการค้า เจโทร กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันมี ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยทั้งหมด 750 แห่ง และ ในการจัดงานครั้งนี้เจโทรคาดหวังจะมีผู้เข้าชมงาน 20,000 คน มีจำนวนการเจรจาธุรกิจกว่า 2,500 รายการ มีธุรกิจตกลงการค้าไม่น้อยกว่า 480 คู่
ปัจจุบันสินค้าเกษตรและประมงจากญี่ปุ่นที่ส่งออกมายังประเทศไทยมีจำนวนไม่มากนัก โดย เมื่อปี 2549 มีการส่งออกผลไม้ญี่ปุ่นมาไทยมูลค่า 37-38 ล้านบาท จากมูลค่าการนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศเข้ามาในไทยทั้งหมด 3,600 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.6% ของปริมาณการนำเข้าผลไม้ในไทยทั้งหมด
ขณะที่สินค้าประมง เช่น ปลาโอ ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นสินค้าที่ไทยนำเข้าจากญี่ปุ่นมากที่สุด มูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับการนำเข้าสินค้าเกษตรจากไทยเข้าไปในญี่ปุ่น
แต่อย่างไรก็ตามการส่งเสริมการส่งออก/นำเข้าสินค้าระหว่างไทยกับญี่ปุ่นน่าจะเพิ่มขึ้นได้อีก หลังการบังคับใช้ JTEPA นายโยอิจิ คาโต้ ระบุเพิ่มเติมว่า ในอนาคตน่าจะเห็นการทำงานร่วมกันทั้งในกรอบของ JTEPA และ JTEPA+ โดยใน JTEPA+ จะเป็นความร่วมมือเพื่อส่งเสริมและพัฒนาการค้าในด้านการสร้างแบรนด์ รูปแบบการดำเนินกิจการระบบการทำงาน และการออกแบบ เป็นต้น
นางจุฑาพร เริงรณอาษา รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า นางฮิโรโกะ มาชูชิม่า ประธานสหพันธ์นิฮอนวาโสกากุเอนและประธานสมาคมสอนแต่งกายกิโมโนประเทศญี่ปุ่นร่วมกับสมาคมไทย-ญี่ปุ่นกิโมโน เตรียมจัดกิจกรรมความสัมพันธ์ 120 ปี ไทย-ญี่ปุ่น นำแฟชั่นกิโมโน 150 คน เข้ามาจัดแสดงในเมืองไทย ควบคู่กับการจัดนิทรรศ การและสาธิตวิธีการแต่งกิโมโนชุดประจำชาติเผยแพร่ศิลปะการแต่งกาย อาหาร และวิถีชีวิต ตามขนบประเพณีวัฒนธรรม ให้คนไทยเข้าใจอย่างลึกซึ้ง วันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ เป็นงานต้อนรับคณะแฟชั่นทั้งหมด และวันที่ 23 พฤศจิกายน จะจัดงานแฟชั่นโชว์กิโมโนที่โรงแรมเซ็นทารา กรุงเทพฯ
สำหรับ ททท.จะสนับสนุนโดยรับเป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยง เนื่องจากสมาคมดังกล่าวจัดกิจกรรมนี้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในเมืองไทย โดยนายกสมาคมเป็นชาวญี่ปุ่นที่เคยเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยและรักเมืองไทยอย่างมาก จึงตั้งเป้าเชื่อมความสัมพันธ์กระตุ้นความสนใจชาวญี่ปุ่นเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทยเพิ่มมากขึ้น จากปัจจุบันญี่ปุ่นมาเที่ยวเมืองไทยตามเป้าเกือบ 1 ล้านคน/ปี สร้างรายได้กว่า 5 หมื่นล้านบาท
http://matichon.co.th/prachachat/pracha ... ionid=0201
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news29/10/07
โพสต์ที่ 375
'โฆสิต'เตือนธุรกิจเผชิญปัจจัยเสี่ยงเพิ่ม จากความไม่สมดุลศก.โลก
29 ตุลาคม พ.ศ. 2550 14:11:00
'โฆสิต'แนะธุรกิจปรับตัว รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน ระบุดอกเบี้ยระยะสั้นมีโอกาสลงได้อีก ขณะที่นายแบงก์เผยวงจรเศรษฐกิจกินเวลาสั้นลงต้องปรับตัวหาข้อมูลทำธุรกิจตลอดเวลา
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนา จัดการธุรกิจยุคใหม่. ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่า โลกยุคใหม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง จนทำให้เกิดความผันผวนสูงมากและยังมีปัจจัยเสี่ยงใหม่เข้ามากระทบ
ทั้งเหตุการณ์ก่อการร้าย ความไม่สมดุลเศรษฐกิจโลกของประเทศมหาอำนาจ เพื่อเกิดปัญหาทำให้ประเทศขนาดเล็กได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่ายสูงมาก ทั้งภาครัฐและเอกชนทุกประเทศต้องบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่
ดังนั้น จึงต้องใช้ความรู้เข้ามาบริหารความเสี่ยง โดยเชื่อว่าปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงยังเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาในการดำเนินธุรกิจทั้งเชิงรับและเชิงรุก
สำหรับปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ค่าครองชีพสูงขึ้นจากราคาน้ำมันแพง ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น อาจกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อนั้น นายโฆสิต กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบที่รัฐบาลดูแลอยู่ยังไม่ส่งผลกระทบรุนแรง ส่วนตัวยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีก แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะประชุมเร็ว ๆ นี้
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ทำให้เปิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน คือ
1.การปรับตัวขึ้นลงของวงจรเศรษฐกิจในปัจจุบันมีช่วงเวลาแคบลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยใช้ระยะเวลานาน ทำให้จากเดิมที่ภาคธุรกิจจะมองข้อมูลในช่วง 3 ปี ต้องหันมาติดตามข้อมูลเศรษฐกิจกันทุก 3 เดือน 6 เดือน เพื่อนำมาปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ การลดต้นทุนเอกชนมักไม่ค่อยสตอกสินค้าเป็นเวลาเพราะต้นทุนสูง สถาบันการเงินระวังการปล่อยสินเชื่อ แต่พอเศรษฐกิจก็จะแย่งกันปล่อยสินเชื่อ ทำให้ขาดเงินทุนหมุนเวียนไม่ต่อเนื่อง และเกิดความผันผวนต่อเศรษกิจได้
2. ความผันผวนเศรษฐกิจโลก ทำให้เงินทุนไหลเข้า-ออก อย่างรวดเร็ว จนตลาดเงินตลาดทุนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาบางครั้งตลาดหุ้นเคลื่อนไหวขึ้นลง 2-3 จุด แต่พอเงินทุนต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ดัชนีหุ้นปรับขึ้นลดลงอย่างรวดเร็วไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน เพราะพลังงานของเงินทุนต่างชาติเข้ามาเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดได้
3. โลกยุคใหม่จะเป็นยุคแห่งปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทั้งธุรกิจในและต่างประเทศรายใหญ่ ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เพราะการผลิตสินค้าจำนวนมาก การประหยัดต่อขนาดการผลิตจะช่วยลดต้นทุน ดังนั้น รายเล็กจะอยู่ลำบาก และ
4. โลกยุคใหม่จะเต็มไปด้วยกฎ กติกา มาตรการควบคุมด้านต่าง ๆ ให้มีมาตรฐาน ซึ่งเป็นการผลักดันมาจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องความโปร่งใส การรักษาสิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญาได้เข้ามามีบทบาทผลักดันให้ธุรกิจรายเล็ก หรือประเทศขนาดเล็กต้องปฏิบัติตาม ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีภาระต้นทุนสูงขึ้น ดังนั้น มองว่าการนำปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงมาปรับใช้ทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันและการมีความรู้เข้ามาบริหารความเสี่ยงโดยติดตามและบริหารข้อมูลเข้ามาปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้ทันการเปลี่ยนแปลง
นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายใหม่กำลังจะเกิดขึ้นอีกทั้งจีนและอินเดีย ทำให้อาจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อการทำการค้าการลงทุนด้วยต้นทุนต่ำ ซึ่งอาจกระทบต่อธุรกิจไทย แต่สำหรับการดำเนินธุรกิจของแพรนด้า จิวเวลรี่ จะไม่ค้าขายกับประเทศใด หรือลูกค้ารายใดโดยมีสัดส่วนการค้า การลงทุนที่สูงเกินร้อยละ 15 เพราะจะทำให้คู่ค้าดังกล่าวกลับมามีอำนาจเหนือตัวเอง ซึ่งจะกระทบได้ในภายหลัง แม้ลูกค้าจะมีออร์เดอร์เข้ามาจำนวนมาก แต่จะบอกว่าผลิตได้หรือจำหน่ายได้เพียงเท่านั้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นการนำปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงมาใช้ ทำให้ธุรกิจอัญมณีของบริษัทฟันฝ่าวิกฤติมาได้หลายสมัย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/2 ... sid=196817
29 ตุลาคม พ.ศ. 2550 14:11:00
'โฆสิต'แนะธุรกิจปรับตัว รับมือเศรษฐกิจโลกผันผวน ระบุดอกเบี้ยระยะสั้นมีโอกาสลงได้อีก ขณะที่นายแบงก์เผยวงจรเศรษฐกิจกินเวลาสั้นลงต้องปรับตัวหาข้อมูลทำธุรกิจตลอดเวลา
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวในงานสัมมนา จัดการธุรกิจยุคใหม่. ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่า โลกยุคใหม่มีการเปลี่ยนแปลงด้านต่าง จนทำให้เกิดความผันผวนสูงมากและยังมีปัจจัยเสี่ยงใหม่เข้ามากระทบ
ทั้งเหตุการณ์ก่อการร้าย ความไม่สมดุลเศรษฐกิจโลกของประเทศมหาอำนาจ เพื่อเกิดปัญหาทำให้ประเทศขนาดเล็กได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ทำให้เกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับทุกฝ่ายสูงมาก ทั้งภาครัฐและเอกชนทุกประเทศต้องบริหารความเสี่ยงให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่
ดังนั้น จึงต้องใช้ความรู้เข้ามาบริหารความเสี่ยง โดยเชื่อว่าปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงยังเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดปัญหาในการดำเนินธุรกิจทั้งเชิงรับและเชิงรุก
สำหรับปัญหาเศรษฐกิจไทยที่ค่าครองชีพสูงขึ้นจากราคาน้ำมันแพง ราคาสินค้าปรับสูงขึ้น อาจกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อนั้น นายโฆสิต กล่าวว่า อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในกรอบที่รัฐบาลดูแลอยู่ยังไม่ส่งผลกระทบรุนแรง ส่วนตัวยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีก แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งจะประชุมเร็ว ๆ นี้
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ ทำให้เปิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน คือ
1.การปรับตัวขึ้นลงของวงจรเศรษฐกิจในปัจจุบันมีช่วงเวลาแคบลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยใช้ระยะเวลานาน ทำให้จากเดิมที่ภาคธุรกิจจะมองข้อมูลในช่วง 3 ปี ต้องหันมาติดตามข้อมูลเศรษฐกิจกันทุก 3 เดือน 6 เดือน เพื่อนำมาปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ การลดต้นทุนเอกชนมักไม่ค่อยสตอกสินค้าเป็นเวลาเพราะต้นทุนสูง สถาบันการเงินระวังการปล่อยสินเชื่อ แต่พอเศรษฐกิจก็จะแย่งกันปล่อยสินเชื่อ ทำให้ขาดเงินทุนหมุนเวียนไม่ต่อเนื่อง และเกิดความผันผวนต่อเศรษกิจได้
2. ความผันผวนเศรษฐกิจโลก ทำให้เงินทุนไหลเข้า-ออก อย่างรวดเร็ว จนตลาดเงินตลาดทุนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาบางครั้งตลาดหุ้นเคลื่อนไหวขึ้นลง 2-3 จุด แต่พอเงินทุนต่างชาติเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ดัชนีหุ้นปรับขึ้นลดลงอย่างรวดเร็วไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน เพราะพลังงานของเงินทุนต่างชาติเข้ามาเป็นตัวกำหนดทิศทางของตลาดได้
3. โลกยุคใหม่จะเป็นยุคแห่งปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทั้งธุรกิจในและต่างประเทศรายใหญ่ ประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เพราะการผลิตสินค้าจำนวนมาก การประหยัดต่อขนาดการผลิตจะช่วยลดต้นทุน ดังนั้น รายเล็กจะอยู่ลำบาก และ
4. โลกยุคใหม่จะเต็มไปด้วยกฎ กติกา มาตรการควบคุมด้านต่าง ๆ ให้มีมาตรฐาน ซึ่งเป็นการผลักดันมาจากประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ทั้งเรื่องความโปร่งใส การรักษาสิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญาได้เข้ามามีบทบาทผลักดันให้ธุรกิจรายเล็ก หรือประเทศขนาดเล็กต้องปฏิบัติตาม ซึ่งจะทำให้การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวมีภาระต้นทุนสูงขึ้น ดังนั้น มองว่าการนำปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงมาปรับใช้ทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันและการมีความรู้เข้ามาบริหารความเสี่ยงโดยติดตามและบริหารข้อมูลเข้ามาปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจให้ทันการเปลี่ยนแปลง
นายปรีดา เตียสุวรรณ์ ประธานกรรมการ บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มหาอำนาจทางเศรษฐกิจรายใหม่กำลังจะเกิดขึ้นอีกทั้งจีนและอินเดีย ทำให้อาจได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ต่อการทำการค้าการลงทุนด้วยต้นทุนต่ำ ซึ่งอาจกระทบต่อธุรกิจไทย แต่สำหรับการดำเนินธุรกิจของแพรนด้า จิวเวลรี่ จะไม่ค้าขายกับประเทศใด หรือลูกค้ารายใดโดยมีสัดส่วนการค้า การลงทุนที่สูงเกินร้อยละ 15 เพราะจะทำให้คู่ค้าดังกล่าวกลับมามีอำนาจเหนือตัวเอง ซึ่งจะกระทบได้ในภายหลัง แม้ลูกค้าจะมีออร์เดอร์เข้ามาจำนวนมาก แต่จะบอกว่าผลิตได้หรือจำหน่ายได้เพียงเท่านั้น ซึ่งแนวทางดังกล่าวเป็นการนำปรัชญาเศรษฐกิจแบบพอเพียงมาใช้ ทำให้ธุรกิจอัญมณีของบริษัทฟันฝ่าวิกฤติมาได้หลายสมัย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/2 ... sid=196817
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/10/07
โพสต์ที่ 376
ศุลกากรดีเดย์1พ.ย.ลดภาษีเจเทปาเหลือ0%
โพสต์ทูเดย์ ศุลกากรเดินหน้า ลดภาษีเจเทปาเหลือ 0% จำนวน 40% ของรายการสินค้าทั้งหมด
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากรกำลังจะออกประกาศกระทรวงการคลัง และประกาศกรมศุลกากร เพื่อลดอัตราอากรตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปา) รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ และพิธีการในการลดภาษี ซึ่งกรมศุลกากรจะลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ทันที ประมาณ 40% ของรายการสินค้าทั้งหมด
สำหรับสินค้าที่ลดภาษี 0% เช่น แอปเปิล แพร์ พรุน เคมีภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เหล็กรีดร้อนที่ไม่มีการผลิตในประเทศ ยานยนต์ขนส่งตั้งแต่ 30 คนขึ้นไป รถ จักรยานยนต์ไม่เกิน 250 ซีซี และ รถจักรยาน เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดว่าจะออกประกาศดังกล่าวได้ในวันที่ 31 ต.ค. โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นไป
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า สินค้าอีก 55% ของรายการสินค้าทั้งหมด จะทยอยลดภาษีอย่างต่อเนื่องจนเหลือ 0% ภายในวันที่ 1 เม.ย. 2560 เช่น พลาสติก เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า รถบรรทุกน้ำหนักไม่เกิน 5 ตัน รถจักรยานยนต์เกิน 250 ซีซี นาฬิกา และเครื่องดนตรี
ขณะที่สินค้าที่เหลือจะทยอยลดภาษีทุกปี แต่ไม่เหลือ 0% ภายในวันที่ 1 เม.ย. 2560 เช่น รถยนต์ขนาดเกิน 3 พัน ซีซี ลดภาษีจาก 80% เป็น 75% และลดเป็น 60% ในปี 2553 ยานยนต์ขนส่งตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 30 คน ลดภาษีจาก 40% เป็น 38.18% และลดเป็น 20% ในปี 2560 รถบรรทุกน้ำหนักเกิน 5 ตัน ลดภาษีจาก 40% เป็น 36.36% และลดเป็น 20% ในปี 2560
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ยังมีสินค้าที่ตกลงกับทางญี่ปุ่นเป็นพิเศษ ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้าตามโควตาที่ตกลงกัน ลดภาษีเหลือ 0% ชิ้นส่วนยานยนต์ที่นำเข้ามาเพื่อประกอบรถยนต์ ลดภาษีเหลือ 20% โดยสินค้าที่ได้ลดภาษีต้องเป็นไปตามกฎว่าด้วยถิ่นกําเนิดสินค้าของเจเทปา และต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่น กําเนิดสินค้าต่อกรมศุลกากร
อย่างไรก็ตาม มีสินค้า 3 กลุ่ม ที่ไม่ลดอัตราอากร ได้แก่ ยาสูบ ไหมดิบ และรถยนต์ขนาดไม่เกิน 3 พัน ซีซี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200659
โพสต์ทูเดย์ ศุลกากรเดินหน้า ลดภาษีเจเทปาเหลือ 0% จำนวน 40% ของรายการสินค้าทั้งหมด
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า กรมศุลกากรกำลังจะออกประกาศกระทรวงการคลัง และประกาศกรมศุลกากร เพื่อลดอัตราอากรตามความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจ ไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปา) รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ และพิธีการในการลดภาษี ซึ่งกรมศุลกากรจะลดภาษีนำเข้าเหลือ 0% ทันที ประมาณ 40% ของรายการสินค้าทั้งหมด
สำหรับสินค้าที่ลดภาษี 0% เช่น แอปเปิล แพร์ พรุน เคมีภัณฑ์ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เหล็กรีดร้อนที่ไม่มีการผลิตในประเทศ ยานยนต์ขนส่งตั้งแต่ 30 คนขึ้นไป รถ จักรยานยนต์ไม่เกิน 250 ซีซี และ รถจักรยาน เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดว่าจะออกประกาศดังกล่าวได้ในวันที่ 31 ต.ค. โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นไป
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า สินค้าอีก 55% ของรายการสินค้าทั้งหมด จะทยอยลดภาษีอย่างต่อเนื่องจนเหลือ 0% ภายในวันที่ 1 เม.ย. 2560 เช่น พลาสติก เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า รถบรรทุกน้ำหนักไม่เกิน 5 ตัน รถจักรยานยนต์เกิน 250 ซีซี นาฬิกา และเครื่องดนตรี
ขณะที่สินค้าที่เหลือจะทยอยลดภาษีทุกปี แต่ไม่เหลือ 0% ภายในวันที่ 1 เม.ย. 2560 เช่น รถยนต์ขนาดเกิน 3 พัน ซีซี ลดภาษีจาก 80% เป็น 75% และลดเป็น 60% ในปี 2553 ยานยนต์ขนส่งตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป แต่ไม่เกิน 30 คน ลดภาษีจาก 40% เป็น 38.18% และลดเป็น 20% ในปี 2560 รถบรรทุกน้ำหนักเกิน 5 ตัน ลดภาษีจาก 40% เป็น 36.36% และลดเป็น 20% ในปี 2560
นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ยังมีสินค้าที่ตกลงกับทางญี่ปุ่นเป็นพิเศษ ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้าตามโควตาที่ตกลงกัน ลดภาษีเหลือ 0% ชิ้นส่วนยานยนต์ที่นำเข้ามาเพื่อประกอบรถยนต์ ลดภาษีเหลือ 20% โดยสินค้าที่ได้ลดภาษีต้องเป็นไปตามกฎว่าด้วยถิ่นกําเนิดสินค้าของเจเทปา และต้องแสดงหนังสือรับรองถิ่น กําเนิดสินค้าต่อกรมศุลกากร
อย่างไรก็ตาม มีสินค้า 3 กลุ่ม ที่ไม่ลดอัตราอากร ได้แก่ ยาสูบ ไหมดิบ และรถยนต์ขนาดไม่เกิน 3 พัน ซีซี
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200659
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/10/07
โพสต์ที่ 377
ครม.เทกระจาดหนี้ผูกพัน1.8หมื่นล.
โพสต์ทูเดย์ ครม.อนุมัติแผนก่อนหนี้ผูกพันปี 2551 กว่า 1.84 หมื่นล้านบาท
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงบประมาณได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ การก่อหนี้ผูกพันในปีงบประมาณ 2551 ซึ่งเป็นรายการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณใหม่จำนวน 597 รายการ คิดเป็นเงินงบประมาณกว่า 1.84 หมื่นล้านบาท โดยคิดเป็นวงเงินภาระผูกผันในปีต่อไปรวมทั้งสิ้นกว่า 1.03 แสนล้านบาท จำแนกเป็นเงินงบประมาณ 9.43 หมื่นล้านบาท เงินนอกงบประมาณ 4.32 พันล้านบาท และเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด 4.83 พันล้านบาท
สำหรับเงินจำนวนนี้ เป็นค่า ใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างอาคารเรียนวงเงินสูงสุด 2 หมื่นล้าน บาท และรายการจัดซื้อครุภัณฑ์ อื่นๆ จำนวน 1.92 หมื่นล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้มีหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการข้าว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานศาลยุติธรรม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นต้น
นอกจากนี้ ครม.เห็นชอบการเร่งรัดจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวม ในประเทศรายไตรมาสและรายปีของประเทศไทย และการปรับปรุงระบบการจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอให้ลดระยะเวลาการเผยแพร่ข้อมูลจากเดิม 9 สัปดาห์ เป็น 8 สัปดาห์ หลังสิ้นสุดไตรมาสอ้างอิง และปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังได้ไม่เกิน 1 ไตรมาส
ทั้งนี้ เพื่อทำให้การเผยแพร่ข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจทันสถานการณ์ สามารถเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ และใช้ประกอบการตัดสินใจนโยบายเศรษฐกิจได้รวดเร็ว และมีประสิทธิ ภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้ปรับปรุงกระบวนการจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด โดยมอบหมายให้ สศช. และกรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำผลิตภัณฑ์มวล รวมจังหวัด
นายโชติชัย กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศ วงเงิน 2.3 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ 2551 โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และการค้ำประกัน
ทั้งนี้ เนื่องจาก ธอส.ต้องการกู้เพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท และในปี 2551 ธนาคารมีการตั้งเป้าขยายสินเชื่อ 9.5 หมื่นล้านบาท ตามโครงการรัฐบาล เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการ ธอส.-กบข.
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200657
โพสต์ทูเดย์ ครม.อนุมัติแผนก่อนหนี้ผูกพันปี 2551 กว่า 1.84 หมื่นล้านบาท
นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำนักงบประมาณได้เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติ การก่อหนี้ผูกพันในปีงบประมาณ 2551 ซึ่งเป็นรายการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณใหม่จำนวน 597 รายการ คิดเป็นเงินงบประมาณกว่า 1.84 หมื่นล้านบาท โดยคิดเป็นวงเงินภาระผูกผันในปีต่อไปรวมทั้งสิ้นกว่า 1.03 แสนล้านบาท จำแนกเป็นเงินงบประมาณ 9.43 หมื่นล้านบาท เงินนอกงบประมาณ 4.32 พันล้านบาท และเงินสำรองเผื่อเหลือเผื่อขาด 4.83 พันล้านบาท
สำหรับเงินจำนวนนี้ เป็นค่า ใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างอาคารเรียนวงเงินสูงสุด 2 หมื่นล้าน บาท และรายการจัดซื้อครุภัณฑ์ อื่นๆ จำนวน 1.92 หมื่นล้านบาท ซึ่งในจำนวนนี้มีหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ 6 หน่วยงาน ได้แก่ กรมการข้าว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำนักงานศาลยุติธรรม และการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นต้น
นอกจากนี้ ครม.เห็นชอบการเร่งรัดจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวม ในประเทศรายไตรมาสและรายปีของประเทศไทย และการปรับปรุงระบบการจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอให้ลดระยะเวลาการเผยแพร่ข้อมูลจากเดิม 9 สัปดาห์ เป็น 8 สัปดาห์ หลังสิ้นสุดไตรมาสอ้างอิง และปรับปรุงข้อมูลย้อนหลังได้ไม่เกิน 1 ไตรมาส
ทั้งนี้ เพื่อทำให้การเผยแพร่ข้อมูลทางด้านเศรษฐกิจทันสถานการณ์ สามารถเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ และใช้ประกอบการตัดสินใจนโยบายเศรษฐกิจได้รวดเร็ว และมีประสิทธิ ภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งให้ปรับปรุงกระบวนการจัดทำสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด โดยมอบหมายให้ สศช. และกรมบัญชีกลางเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำผลิตภัณฑ์มวล รวมจังหวัด
นายโชติชัย กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กู้เงินในประเทศ วงเงิน 2.3 หมื่นล้านบาท ในปีงบประมาณ 2551 โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้พิจารณาวิธีการกู้เงิน เงื่อนไข และการค้ำประกัน
ทั้งนี้ เนื่องจาก ธอส.ต้องการกู้เพื่อทดแทนพันธบัตรเดิมจำนวน 1.7 หมื่นล้านบาท และในปี 2551 ธนาคารมีการตั้งเป้าขยายสินเชื่อ 9.5 หมื่นล้านบาท ตามโครงการรัฐบาล เช่น โครงการบ้านเอื้ออาทร และโครงการ ธอส.-กบข.
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=200657
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/10/07
โพสต์ที่ 378
ธปท.เผยสัญญาณการลงทุนเอกชนเริ่มฟื้น หนุนศก.ปีหน้าดีขึ้น
31 ตุลาคม พ.ศ. 2550 12:51:00
ธปท.มั่นใจแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้าจะดีขึ้น ท่ามกลางความกังวล "ราคาน้ำมันพุ่ง-บาทแข็ง" เหตุสัญญาณการลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว ยอมรับเงินลงทุนโดยตรง 8 เดือนแรกลดลงจากปีที่แล้ว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะเติบโตมากกว่าปีนี้ แม้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลง และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย แต่ผลกระทบต่อประเทศไทยคงจะไม่รุนแรงมากนัก โดย ธปท.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้า จะขยายตัว 4.5-6.0% เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศเริ่มจะฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน หลายโครงการเริ่มลงทุนบ้างแล้ว เช่น โครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แม้ว่าการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าจะยังไม่เริ่มต้นขึ้นก็ตาม
"เมื่อเศรษฐกิจในประเทศขยับขึ้น ความต้องการลงทุนก็จะตามมา จากนี้ไป ภาคเอกชนก็จะเริ่มนำเข้าสินค้าทุน และเครื่องจักรเพื่อนำมาใช้ในการขยายการผลิตมากขึ้น"
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศที่อยู่นอกเหนือการควบคุม คือสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้เงินสกุลเอเชียรวมทั้งเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่ ธปท.ก็จะติดตามดูแลสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด
โดยจะพยายามให้เกาะกลุ่มใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นคู่แข่งของไทยในการส่งออก เพื่อไม่ให้ไทยเสียบเปรียบด้านการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ตัวเลขเงินลงทุนโดยตรง หรือ เอฟดีไอ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีจำนวน 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากปีนี้ไม่มีการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์
ธปท.ยังต้องติดตามปัจจัยภายนอก คือราคาน้ำมันและเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ส่วนปัจจัยในประเทศไม่มีอะไรเป็นพิเศษ วันเลือกตั้งก็กำหนดเรียบร้อยแล้ว คือวันที่ 23 ธันวาคมและการใช้จ่ายภาคเอกชนก็เริ่มขยับขึ้น
สำหรับเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยระยะนี้ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า เป็นเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น แต่ไม่ได้มากมายอะไร ส่วนหนึ่งเป็นเงินทุนต่างชาติเดิมที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ เนื่องจากเห็นว่าราคาหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นไม่มาก หากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เกาหลีใต้ จึงยังมีจังหวะในการทำราคา
ขณะที่เงินต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ลดลง หลังจาก ธปท. ออกมาตรการกันสำรอง 30% และการให้ซื้อประกันความเสี่ยงทั้งจำนวน (FULLY HEDGE) รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่ปรับตัวลดลง ทำให้ส่วนต่างในการทำกำไรมีน้อยลง
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/3 ... sid=197604
31 ตุลาคม พ.ศ. 2550 12:51:00
ธปท.มั่นใจแนวโน้มเศรษฐกิจปีหน้าจะดีขึ้น ท่ามกลางความกังวล "ราคาน้ำมันพุ่ง-บาทแข็ง" เหตุสัญญาณการลงทุนภาคเอกชนเริ่มฟื้นตัว ยอมรับเงินลงทุนโดยตรง 8 เดือนแรกลดลงจากปีที่แล้ว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2551 จะเติบโตมากกว่าปีนี้ แม้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลง และภาวะเศรษฐกิจสหรัฐจะถดถอย แต่ผลกระทบต่อประเทศไทยคงจะไม่รุนแรงมากนัก โดย ธปท.คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปีหน้า จะขยายตัว 4.5-6.0% เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศเริ่มจะฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชน หลายโครงการเริ่มลงทุนบ้างแล้ว เช่น โครงการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด แม้ว่าการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าจะยังไม่เริ่มต้นขึ้นก็ตาม
"เมื่อเศรษฐกิจในประเทศขยับขึ้น ความต้องการลงทุนก็จะตามมา จากนี้ไป ภาคเอกชนก็จะเริ่มนำเข้าสินค้าทุน และเครื่องจักรเพื่อนำมาใช้ในการขยายการผลิตมากขึ้น"
อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัจจัยต่างประเทศที่อยู่นอกเหนือการควบคุม คือสถานการณ์ราคาน้ำมันตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง และการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะเป็นแรงกดดันให้เงินสกุลเอเชียรวมทั้งเงินบาทแข็งค่าขึ้น แต่ ธปท.ก็จะติดตามดูแลสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด
โดยจะพยายามให้เกาะกลุ่มใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นคู่แข่งของไทยในการส่งออก เพื่อไม่ให้ไทยเสียบเปรียบด้านการแข่งขัน ขณะเดียวกัน ตัวเลขเงินลงทุนโดยตรง หรือ เอฟดีไอ ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ มีจำนวน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีจำนวน 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากปีนี้ไม่มีการเพิ่มทุนของธนาคารพาณิชย์
ธปท.ยังต้องติดตามปัจจัยภายนอก คือราคาน้ำมันและเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง ส่วนปัจจัยในประเทศไม่มีอะไรเป็นพิเศษ วันเลือกตั้งก็กำหนดเรียบร้อยแล้ว คือวันที่ 23 ธันวาคมและการใช้จ่ายภาคเอกชนก็เริ่มขยับขึ้น
สำหรับเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามาในประเทศไทยระยะนี้ ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวว่า เป็นเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น แต่ไม่ได้มากมายอะไร ส่วนหนึ่งเป็นเงินทุนต่างชาติเดิมที่หมุนเวียนอยู่ในระบบ เนื่องจากเห็นว่าราคาหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นไม่มาก หากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เกาหลีใต้ จึงยังมีจังหวะในการทำราคา
ขณะที่เงินต่างชาติที่ไหลเข้าตลาดตราสารหนี้ลดลง หลังจาก ธปท. ออกมาตรการกันสำรอง 30% และการให้ซื้อประกันความเสี่ยงทั้งจำนวน (FULLY HEDGE) รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยในประเทศที่ปรับตัวลดลง ทำให้ส่วนต่างในการทำกำไรมีน้อยลง
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/3 ... sid=197604
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/10/07
โพสต์ที่ 379
'ฉลองภพ'ไฟเขียวธปท.ออกพันธบัตรเพิ่ม5แสนล้านใช้ดูแลค่าเงิน
31 ตุลาคม พ.ศ. 2550 12:53:00
รมว.คลังพร้อมอนุมัติธปท.ออกพันธบัตรเพิ่ม 500,000 ล้านบาท หากไม่เพียงพอในการดูดซับสภาพคล่องที่เป็นเงินบาทและแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่ากรณีที่ ธปท.ขออนุมัติออกพันธบัตร 500,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดูดซับสภาพคล่องที่เป็นเงินบาทเข้ามา หลังจากช่วงที่ผ่านมา ธปท.ต้องซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป ทำให้มีเงินบาทไหลออกสู่ระบบ จึงต้องดูดเงินบาทกลับคืนมา นับว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการดูแลสภาพการเงิน
"เพราะช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มาเลเซียได้เข้าซื้อเงินทุนจากต่างประเทศถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเงินทุนไหลเข้าประเทศในช่วงดังกล่าว เพื่อรักษาเสถียรภาพเงินริงกิตไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป"
เขากล่าวว่าไทยต้องดำเนินการเช่นเดียวกัน เพื่อความจำเป็นในการดูแลสภาพคล่อง แม้ว่ากระทรวงการคลังจะอนุมัติให้ ธปท.ออกพันธบัตรไปแล้ว 400,000 ล้านบาท และหากวงเงินอนุมัติล่าสุด 500,000 ล้านบาทไม่เพียงพอ กระทรวงการคลังก็พร้อมพิจารณาวงเงินเพิ่มเติม เพราะเงินที่ใช้ซื้อดอลลาร์สหรัฐเข้ามาสามารถนำไปลงทุนหาผลตอบแทนได้ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง
ขณะที่การออกพันธบัตรก็ต้องมีต้นทุนในการจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ซื้อพันธบัตร แต่เมื่อบวกลบกันแล้วน่าจะทำให้มีกำไรจากการบริหารดูแล อย่างไรก็ตาม กำไรหรือขาดทุนไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่สุด เพราะหน้าที่ของ ธปท. ต้องดูแลเสถียรภาพการเงิน จะคำนึงกำไรขาดทุนเหมือนธนาคารพาณิชย์ไม่ได้
สำหรับปัญหาราคาน้ำมันนั้น นายฉลองภพ ยอมรับว่า ตลาดยังมีความผันผวน แต่ไม่น่ากระทบต่อภาพรวมมากนัก ซึ่งกระทรวงพลังงานยังสามารถดูแลได้ และไม่ต้องมีมาตรการเข้าไปแทรกแซงราคาน้ำมันช่วงนี้ อีกทั้งประชาชนเริ่มชินกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และเริ่มหันไปใช้พลังงานทดแทนด้านต่าง ๆ ทั้งแก๊สโซฮอล์ และเชื้อเพลิงอื่น ๆ เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว พร้อมเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.5 และจะดีขึ้นในปีหน้า เนื่องจากเริ่มมีการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ การส่งออกที่ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากนอกประเทศโดยเฉพาะปัญหาซับไพร์มของสหรัฐ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/3 ... sid=197605
31 ตุลาคม พ.ศ. 2550 12:53:00
รมว.คลังพร้อมอนุมัติธปท.ออกพันธบัตรเพิ่ม 500,000 ล้านบาท หากไม่เพียงพอในการดูดซับสภาพคล่องที่เป็นเงินบาทและแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่า
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่ากรณีที่ ธปท.ขออนุมัติออกพันธบัตร 500,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการดูดซับสภาพคล่องที่เป็นเงินบาทเข้ามา หลังจากช่วงที่ผ่านมา ธปท.ต้องซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ เพื่อดูแลค่าเงินบาทไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป ทำให้มีเงินบาทไหลออกสู่ระบบ จึงต้องดูดเงินบาทกลับคืนมา นับว่าเป็นแนวทางหนึ่งในการดูแลสภาพการเงิน
"เพราะช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ มาเลเซียได้เข้าซื้อเงินทุนจากต่างประเทศถึง 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเงินทุนไหลเข้าประเทศในช่วงดังกล่าว เพื่อรักษาเสถียรภาพเงินริงกิตไม่ให้แข็งค่ามากเกินไป"
เขากล่าวว่าไทยต้องดำเนินการเช่นเดียวกัน เพื่อความจำเป็นในการดูแลสภาพคล่อง แม้ว่ากระทรวงการคลังจะอนุมัติให้ ธปท.ออกพันธบัตรไปแล้ว 400,000 ล้านบาท และหากวงเงินอนุมัติล่าสุด 500,000 ล้านบาทไม่เพียงพอ กระทรวงการคลังก็พร้อมพิจารณาวงเงินเพิ่มเติม เพราะเงินที่ใช้ซื้อดอลลาร์สหรัฐเข้ามาสามารถนำไปลงทุนหาผลตอบแทนได้ โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง
ขณะที่การออกพันธบัตรก็ต้องมีต้นทุนในการจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ซื้อพันธบัตร แต่เมื่อบวกลบกันแล้วน่าจะทำให้มีกำไรจากการบริหารดูแล อย่างไรก็ตาม กำไรหรือขาดทุนไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่สุด เพราะหน้าที่ของ ธปท. ต้องดูแลเสถียรภาพการเงิน จะคำนึงกำไรขาดทุนเหมือนธนาคารพาณิชย์ไม่ได้
สำหรับปัญหาราคาน้ำมันนั้น นายฉลองภพ ยอมรับว่า ตลาดยังมีความผันผวน แต่ไม่น่ากระทบต่อภาพรวมมากนัก ซึ่งกระทรวงพลังงานยังสามารถดูแลได้ และไม่ต้องมีมาตรการเข้าไปแทรกแซงราคาน้ำมันช่วงนี้ อีกทั้งประชาชนเริ่มชินกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และเริ่มหันไปใช้พลังงานทดแทนด้านต่าง ๆ ทั้งแก๊สโซฮอล์ และเชื้อเพลิงอื่น ๆ เพื่อลดผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว พร้อมเชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.5 และจะดีขึ้นในปีหน้า เนื่องจากเริ่มมีการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจกต์ การส่งออกที่ดีอย่างต่อเนื่อง แต่ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากนอกประเทศโดยเฉพาะปัญหาซับไพร์มของสหรัฐ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/10/3 ... sid=197605
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/10/07
โพสต์ที่ 380
กสิกรไทยคาดหุ้นไทยใน12เดือนข้างหน้า มีลุ้น1,050จุด
31 ตุลาคม พ.ศ. 2550 10:48:00
บลจ.กสิกรไทยคาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น คาดภายใน 12 เดือนข้างหน้า มีโอกาสเห็นดัชนีแตะ 1,050 จุด ขณะที่กองทุน K-STAR แรงไม่หยุด จ่ายกำไร 9 ครั้งในรอบ 6 เดือน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการรับซื้อคืนอัตโนมัติของกองทุนเปิดเค-สตาร์หุ้นทุนคืนกำไร (K-STAR) ให้แก่ผู้ลงทุนของกองทุนดังกล่าว ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารกองทุนโดยจับจังหวะการลงทุนแทนผู้ถือหน่วย และใช้กลยุทธ์การซื้อขายทำกำไร ประกอบกับภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุนสามารถทำการรับซื้อคืนอัตโนมัติร้อยละ 50 ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นตามจุดที่กำหนดไว้ คือ ผ่านมูลค่า 14.00 บาทต่อหน่วยมาอยู่ที่ 14.3191 บาทต่อหน่วย ในวันที่ 25 ตุลาคม 2550 โดยบริษัทจะทำการโอนเงินค่ารับซื้อคืนอัตโนมัติเข้าบัญชีของผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 31 ตุลาคม นี้
กองทุนเปิดเค สตาร์หุ้นทุนคืนกำไร สามารถให้ผลตอบแทนนับจากวันจัดตั้งกองทุนถึง 43.64% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานคือดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 23.80% (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2550) การรับซื้อคืนอัตโนมัติของกองทุนเปิดเค-สตาร์หุ้นทุนคืนกำไรในครั้งนี้ คิดเป็นมูลค่า 4.31 ล้านบาท และถือเป็นครั้งที่ 9 ในรอบ 6 เดือน ที่กองทุนทำการรับซื้อคืนอัตโนมัติ โดยมูลค่า ของการรับซื้อคืนอัตโนมัติทั้ง 9 ครั้ง เท่ากับ 86.20 ล้านบาท
บลจ.กสิกรไทยเชื่อว่า แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยซึ่งยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และราคายังไม่สูงมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาค จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสสูงถึง 1,050 จุด ภายใน 12 เดือนข้างหน้านางวิวรรณกล่าว
สำหรับกองทุนเปิดเค-สตาร์หุ้นทุนคืนกำไรเป็นกองทุนหุ้นประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน เน้นลงทุนระยะสั้นถึงปานกลางในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ไม่มีเวลาในการติดตามสถานการณ์ในตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด รวมทั้งยังขาดความชำนาญในการลงทุนในหุ้น กองทุนดังกล่าวจึงมีจุดเด่นในการบริหาร โดยจับจังหวะการลงทุนแทนผู้ถือหน่วยลงทุน เพื่อสร้างโอกาสในการรับซื้อคืนอัตโนมัติร้อยละ 50 เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นตามจุดที่กำหนดไว้
โดย ณ วันที่26 ตุลาคม 2550 กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเท่ากับ 637.33 ล้านบาท
31 ตุลาคม พ.ศ. 2550 10:48:00
บลจ.กสิกรไทยคาดแนวโน้มตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงขาขึ้น คาดภายใน 12 เดือนข้างหน้า มีโอกาสเห็นดัชนีแตะ 1,050 จุด ขณะที่กองทุน K-STAR แรงไม่หยุด จ่ายกำไร 9 ครั้งในรอบ 6 เดือน
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด (บลจ.กสิกรไทย) เปิดเผยว่า บริษัทได้ทำการรับซื้อคืนอัตโนมัติของกองทุนเปิดเค-สตาร์หุ้นทุนคืนกำไร (K-STAR) ให้แก่ผู้ลงทุนของกองทุนดังกล่าว ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารกองทุนโดยจับจังหวะการลงทุนแทนผู้ถือหน่วย และใช้กลยุทธ์การซื้อขายทำกำไร ประกอบกับภาวะตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมากตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้กองทุนสามารถทำการรับซื้อคืนอัตโนมัติร้อยละ 50 ของมูลค่าหน่วยลงทุนที่เพิ่มขึ้นตามจุดที่กำหนดไว้ คือ ผ่านมูลค่า 14.00 บาทต่อหน่วยมาอยู่ที่ 14.3191 บาทต่อหน่วย ในวันที่ 25 ตุลาคม 2550 โดยบริษัทจะทำการโอนเงินค่ารับซื้อคืนอัตโนมัติเข้าบัญชีของผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 31 ตุลาคม นี้
กองทุนเปิดเค สตาร์หุ้นทุนคืนกำไร สามารถให้ผลตอบแทนนับจากวันจัดตั้งกองทุนถึง 43.64% เทียบกับเกณฑ์มาตรฐานคือดัชนีราคาหุ้นตลาดหลักทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 23.80% (ข้อมูล ณ วันที่ 26 ตุลาคม 2550) การรับซื้อคืนอัตโนมัติของกองทุนเปิดเค-สตาร์หุ้นทุนคืนกำไรในครั้งนี้ คิดเป็นมูลค่า 4.31 ล้านบาท และถือเป็นครั้งที่ 9 ในรอบ 6 เดือน ที่กองทุนทำการรับซื้อคืนอัตโนมัติ โดยมูลค่า ของการรับซื้อคืนอัตโนมัติทั้ง 9 ครั้ง เท่ากับ 86.20 ล้านบาท
บลจ.กสิกรไทยเชื่อว่า แรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยซึ่งยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และราคายังไม่สูงมาก
เมื่อเปรียบเทียบกับภูมิภาค จะส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์มีโอกาสสูงถึง 1,050 จุด ภายใน 12 เดือนข้างหน้านางวิวรรณกล่าว
สำหรับกองทุนเปิดเค-สตาร์หุ้นทุนคืนกำไรเป็นกองทุนหุ้นประเภทรับซื้อคืนหน่วยลงทุน เน้นลงทุนระยะสั้นถึงปานกลางในหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 65 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน เพื่อเป็นทางเลือกใหม่สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แต่ไม่มีเวลาในการติดตามสถานการณ์ในตลาดหุ้นอย่างใกล้ชิด รวมทั้งยังขาดความชำนาญในการลงทุนในหุ้น กองทุนดังกล่าวจึงมีจุดเด่นในการบริหาร โดยจับจังหวะการลงทุนแทนผู้ถือหน่วยลงทุน เพื่อสร้างโอกาสในการรับซื้อคืนอัตโนมัติร้อยละ 50 เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นตามจุดที่กำหนดไว้
โดย ณ วันที่26 ตุลาคม 2550 กองทุนมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิเท่ากับ 637.33 ล้านบาท
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news31/10/07
โพสต์ที่ 381
รัฐหนุนเจรจาเอฟทีเอ ดันส่งออกสู่ตลาดอียู
กระทรวงพาณิชย์หนุนการเจรจาเขตการค้าเสรี อาเซียน-สหภาพยุโรป เชื่อจะเป็นประโยชน์ต่อไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรที่จะสามารถส่งเข้าไปในตลาดได้มากขึ้น ขณะที่การเพิ่มรายการสินค้าลดภาษีนำเข้ากว่า 5,000 รายการในกรอบเอฟทีเอไทย-อินเดีย คาดปลายปีนี้ลงสัตยาบันร่วมกันได้
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนาระดมสมองภายใต้หัวข้อ เปิดหน้าต่างอาเซียน-อียู เอฟทีเอ ว่ากระทรวงพาณิชย์เห็นด้วยกับการเปิดเจรจาเอฟทีเอภายใต้กรอบอาเซียน-อียู ซึ่งภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ระดับผู้นำจะมีการเจรจาภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าเดือนมกราคม 2551 จะมีการประชุมระดับเจ้าหน้าที่เพื่อกำหนดกรอบเจรจาอาเซียน-อียู ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่า เอฟทีเออาเซียน-อียู จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์ เพราะข้อตกลงดังกล่าว จะทำให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบ อัตราภาษีนำเข้าและโควตา ทั้งกำแพงภาษีและนอกกำแพงภาษีในอัตราน้อยลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อไทยและกลุ่มอาเซียนโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าภาคการเกษตร สิ่งที่จะเห็นได้ชัดคือ สินค้าไก่ต้มสุกจะส่งออกไปตลาดอียูเพิ่มขึ้น ส่วนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 190 กำหนดการเจรจาภายใต้กรอบเขตการค้าเสรีต่างๆ จะต้องเสนอที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้น ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ด้านนายชนะ คณารัตนดิลก รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาภายใต้กรอบเอฟทีเอไทย - อินเดีย ที่จะเพิ่มรายการสินค้าจาก 82 รายการ ว่าขณะนี้ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบในขั้นตอนสุดท้ายในการเพิ่มสัดส่วนรายการสินค้าที่จะลดภาษีระหว่างกันไม่ต่ำกว่า 5,000 รายการเสร็จสิ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปรัฐบาลจะนำผลการเจรจาดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุม สนช.ภายใน 60 วัน และหลังจาก สนช.เห็นชอบคาดว่าจะมีการลงนามสัตยาบันเพิ่มในการลดภาษีระหว่างกันภายใต้กรอบเอฟทีเอไทย - อินเดียภายในสิ้นปี 2550
ขณะเดียวกันอินเดียเข้าใจว่า ไทยจะต้องนำผลกรอบตกลงเสนอ สนช.พิจารณาก่อน และคิดว่าน่าจะมีผลในทางปฏิบัติเร็วๆนี้ โดยมูลค่าการค้าทั้ง 2 ฝ่ายในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐและปีนี้คาดว่ามูลค่าการค้าระหว่างกันจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อกรอบการลดภาษีในรายการสินค้าเพิ่มถึง 5,000 รายการที่จะลงสัตยาบัน มีผลบังคับใช้ เชื่อว่าจะทำให้การค้าระหว่างไทย - อินเดียในปี 2551 มีมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเพิ่มอีกเท่าตัวในอนาคต
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
กระทรวงพาณิชย์หนุนการเจรจาเขตการค้าเสรี อาเซียน-สหภาพยุโรป เชื่อจะเป็นประโยชน์ต่อไทย โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรที่จะสามารถส่งเข้าไปในตลาดได้มากขึ้น ขณะที่การเพิ่มรายการสินค้าลดภาษีนำเข้ากว่า 5,000 รายการในกรอบเอฟทีเอไทย-อินเดีย คาดปลายปีนี้ลงสัตยาบันร่วมกันได้
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนาระดมสมองภายใต้หัวข้อ เปิดหน้าต่างอาเซียน-อียู เอฟทีเอ ว่ากระทรวงพาณิชย์เห็นด้วยกับการเปิดเจรจาเอฟทีเอภายใต้กรอบอาเซียน-อียู ซึ่งภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ ระดับผู้นำจะมีการเจรจาภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว
ทั้งนี้ คาดว่าเดือนมกราคม 2551 จะมีการประชุมระดับเจ้าหน้าที่เพื่อกำหนดกรอบเจรจาอาเซียน-อียู ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่า เอฟทีเออาเซียน-อียู จะทำให้ไทยได้รับประโยชน์ เพราะข้อตกลงดังกล่าว จะทำให้มีการปรับปรุงกฎระเบียบ อัตราภาษีนำเข้าและโควตา ทั้งกำแพงภาษีและนอกกำแพงภาษีในอัตราน้อยลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อไทยและกลุ่มอาเซียนโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าภาคการเกษตร สิ่งที่จะเห็นได้ชัดคือ สินค้าไก่ต้มสุกจะส่งออกไปตลาดอียูเพิ่มขึ้น ส่วนตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 190 กำหนดการเจรจาภายใต้กรอบเขตการค้าเสรีต่างๆ จะต้องเสนอที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) นั้น ไม่น่ามีปัญหาอะไร
ด้านนายชนะ คณารัตนดิลก รองอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศกล่าวถึงความคืบหน้าการเจรจาภายใต้กรอบเอฟทีเอไทย - อินเดีย ที่จะเพิ่มรายการสินค้าจาก 82 รายการ ว่าขณะนี้ทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชอบในขั้นตอนสุดท้ายในการเพิ่มสัดส่วนรายการสินค้าที่จะลดภาษีระหว่างกันไม่ต่ำกว่า 5,000 รายการเสร็จสิ้นแล้ว ขั้นตอนต่อไปรัฐบาลจะนำผลการเจรจาดังกล่าว เสนอต่อที่ประชุม สนช.ภายใน 60 วัน และหลังจาก สนช.เห็นชอบคาดว่าจะมีการลงนามสัตยาบันเพิ่มในการลดภาษีระหว่างกันภายใต้กรอบเอฟทีเอไทย - อินเดียภายในสิ้นปี 2550
ขณะเดียวกันอินเดียเข้าใจว่า ไทยจะต้องนำผลกรอบตกลงเสนอ สนช.พิจารณาก่อน และคิดว่าน่าจะมีผลในทางปฏิบัติเร็วๆนี้ โดยมูลค่าการค้าทั้ง 2 ฝ่ายในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 3,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐและปีนี้คาดว่ามูลค่าการค้าระหว่างกันจะอยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อกรอบการลดภาษีในรายการสินค้าเพิ่มถึง 5,000 รายการที่จะลงสัตยาบัน มีผลบังคับใช้ เชื่อว่าจะทำให้การค้าระหว่างไทย - อินเดียในปี 2551 มีมากกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเพิ่มอีกเท่าตัวในอนาคต
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/11/07
โพสต์ที่ 382
น้ำมันพุ่ง-อาหารสดแพงดันเงินเฟ้อต.ค.เพิ่ม0.9%
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550
พาณิชย์เผยตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค.เพิ่ม 0.9% จากเดือนก่อน หรือเพิ่มขึ้น 2.5 % เมื่อเทียบกับ ต.ค.49 ผลพวงปัญหาราคาน้ำมันพุ่ง-ราคาอาหารสดปรับตัวเพิ่ม
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI)ในเดือน ต.ค.50 อยู่ที่ระดับ 118.4 เพิ่มขึ้น 0.9% จากเดือน ก.ย.50 และเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค.49 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน(Core CPI) ไม่รวมหมวดสินค้าอาหารสดและพลังงานในเดือน ต.ค.50 อยู่ที่ระดับ 106.1 เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือน ก.ย.50 และเพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค.49
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา จากการที่ผัก ผลไม้ อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มีราคาสูงขึ้นทำให้ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดิ่มปรับตัวสูงขึ้น 1.3% นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าขนส่ง ทำให้ดัชนีหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้น 0.5% แม้จะมีการปรับลดค่าเอฟทีก็ตาม
ขณะที่ CPI เฉลี่ย 10 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ต.ค.50)เพิ่มขึ้น 2.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน Core CPI เพิ่มขึ้น 1.1%
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่า จะสามารถดูแลระดับเงินเฟ้อในปีนี้ให้อยู่ในเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่เกิน 2.5% แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการตั้งสมมุติฐานเงินเฟ้อในปีนี้ไว้ที่ 2.0-2.5% จากการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล
"แม้ว่าระดับราคาน้ำมันในปัจจุบันจะปริ่มจนล้นนิดหน่อย แต่ยังเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อทั้งปียังอยู่ในเป้าหมายที่ตั้งไว้คือไม่น่าเกิน 2.5% ซึ่งกรมการค้าภายในจะดูแลไม่ให้เกิดปัญหาต้นทุนเทียม รวมถึงให้กลไกตลาดทำหน้าที่ต่อไปได้ตามปกติ" นายศิริพล กล่าว
ด้าน นางนทีทิพย์ ทองเขาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ คือ สถานการณ์ราคาน้ำมัน แต่การแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลดีที่ช่วยให้ราคาน้ำมันไม่สูงไปมากนัก
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=201015
วันที่ 1 พฤศจิกายน 2550
พาณิชย์เผยตัวเลขเงินเฟ้อเดือนต.ค.เพิ่ม 0.9% จากเดือนก่อน หรือเพิ่มขึ้น 2.5 % เมื่อเทียบกับ ต.ค.49 ผลพวงปัญหาราคาน้ำมันพุ่ง-ราคาอาหารสดปรับตัวเพิ่ม
นายศิริพล ยอดเมืองเจริญ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค(CPI)ในเดือน ต.ค.50 อยู่ที่ระดับ 118.4 เพิ่มขึ้น 0.9% จากเดือน ก.ย.50 และเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค.49 ส่วนดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน(Core CPI) ไม่รวมหมวดสินค้าอาหารสดและพลังงานในเดือน ต.ค.50 อยู่ที่ระดับ 106.1 เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือน ก.ย.50 และเพิ่มขึ้น 1.0% เมื่อเทียบกับเดือน ต.ค.49
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา จากการที่ผัก ผลไม้ อาหารสำเร็จรูป และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ มีราคาสูงขึ้นทำให้ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดิ่มปรับตัวสูงขึ้น 1.3% นอกจากนี้ยังมีปัจจัยจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อค่าขนส่ง ทำให้ดัชนีหมวดอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มปรับตัวสูงขึ้น 0.5% แม้จะมีการปรับลดค่าเอฟทีก็ตาม
ขณะที่ CPI เฉลี่ย 10 เดือนแรกของปีนี้(ม.ค.-ต.ค.50)เพิ่มขึ้น 2.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วน Core CPI เพิ่มขึ้น 1.1%
ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เชื่อว่า จะสามารถดูแลระดับเงินเฟ้อในปีนี้ให้อยู่ในเป้าหมายที่ตั้งไว้ไม่เกิน 2.5% แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการตั้งสมมุติฐานเงินเฟ้อในปีนี้ไว้ที่ 2.0-2.5% จากการคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล
"แม้ว่าระดับราคาน้ำมันในปัจจุบันจะปริ่มจนล้นนิดหน่อย แต่ยังเชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อทั้งปียังอยู่ในเป้าหมายที่ตั้งไว้คือไม่น่าเกิน 2.5% ซึ่งกรมการค้าภายในจะดูแลไม่ให้เกิดปัญหาต้นทุนเทียม รวมถึงให้กลไกตลาดทำหน้าที่ต่อไปได้ตามปกติ" นายศิริพล กล่าว
ด้าน นางนทีทิพย์ ทองเขาอ่อน ผู้อำนวยการสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กล่าวว่า ปัจจัยหลักที่มีผลต่ออัตราเงินเฟ้อในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ คือ สถานการณ์ราคาน้ำมัน แต่การแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลดีที่ช่วยให้ราคาน้ำมันไม่สูงไปมากนัก
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=201015
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/11/07
โพสต์ที่ 383
ธปท.พอใจเงินบาทระดับ 33.90 - 34.00 บาท พร้อมแจงเหตุขอวงเงิน 5 แสนล้านบาท ต้องรับมือเงินไหลเข้าต้นปี
Posted on Thursday, November 01, 2007
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาชี้แจงเหตุผลในการที่ ธปท.ต้องขออนุมัติวงเงินออกพันธบัตรจากกระทรวงการคลังล่วงหน้าอีก 5 แสนล้านบาทว่า เพื่อเตรียมไว้สำหรับการดูดซับสภาพคล่องเงินบาทกลับออกจากระบบในกรณีที่ ธปท.ต้องเข้าซื้อดอลลาร์ เพื่อดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป ซึ่งเป็นวงเงินปกติ เพื่อที่ ธปท.จะใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดูดซับสภาพคล่อง โดยเป็นการขอไว้ล่วงหน้า คล้ายกับวงเงินที่ขออนุมัติไปในรอบปีนี้ วงเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท และ ธปท. มีการดูดซับสภาพคล่องไปแล้ว กว่า 1.2 ล้านล้านบาท
สำหรับสาเหตุในการการขอวงเงินเพื่อออกพันธบัตรของธปท.จำนวน 5 แสนล้านบาทล่วงหน้า มีสาเหตุจาก ธปท. มีความเป็นห่วงการไหลเข้าของเงินทุน ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป เพราะการเมืองมีความชัดเจน ทำให้มีความเชื่อมั่น และกล้าลงทุนมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งมีผลจากใกล้ครบกำหนดระยะเวลาในการกันสำรองเงินทุนในสัดส่วน 30% ทำให้น่าจะมีเงินบางส่วนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินเพิ่มอีก
อย่างไรก็ตาม เธอยังงไม่ส่งสัญญาณใด ๆ ว่าจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เมื่อไร โดยบอกแค่ต้องพิจารณาจังหวะที่เหมาะสม
สำหรับการแข็งค่าของเงินบาท ในระดับ 33.90 - 33.95 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันนี้ ทำสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 3 เดือน ธปท. ยังประเมินว่า เป็นการแข็งค่าตามปกติ ซึ่งน่าจะช่วยผ่อนคลายปัญหาราคาน้ำมันแพง ไม่ให้สูงเกินไปได้ในทางอ้อม เพราะนอกจากเงินบาทจะแข็งค่าสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคแล้ว การปรับแข็งค่ายังไม่ผันผวน ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้ อีกทั้งการแข็งขึ้นดังกล่าวก็
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากต้นปี เงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นมา 6.1% เป็นอันดับ 3 รองจากเงินรูปีของอินเดีย และเปโซของฟิลิปปินส์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
Posted on Thursday, November 01, 2007
นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาชี้แจงเหตุผลในการที่ ธปท.ต้องขออนุมัติวงเงินออกพันธบัตรจากกระทรวงการคลังล่วงหน้าอีก 5 แสนล้านบาทว่า เพื่อเตรียมไว้สำหรับการดูดซับสภาพคล่องเงินบาทกลับออกจากระบบในกรณีที่ ธปท.ต้องเข้าซื้อดอลลาร์ เพื่อดูแลไม่ให้เงินบาทแข็งค่ามากเกินไป ซึ่งเป็นวงเงินปกติ เพื่อที่ ธปท.จะใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการดูดซับสภาพคล่อง โดยเป็นการขอไว้ล่วงหน้า คล้ายกับวงเงินที่ขออนุมัติไปในรอบปีนี้ วงเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท และ ธปท. มีการดูดซับสภาพคล่องไปแล้ว กว่า 1.2 ล้านล้านบาท
สำหรับสาเหตุในการการขอวงเงินเพื่อออกพันธบัตรของธปท.จำนวน 5 แสนล้านบาทล่วงหน้า มีสาเหตุจาก ธปท. มีความเป็นห่วงการไหลเข้าของเงินทุน ซึ่งจะเพิ่มมากขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคมปีหน้าเป็นต้นไป เพราะการเมืองมีความชัดเจน ทำให้มีความเชื่อมั่น และกล้าลงทุนมากขึ้น โดยส่วนหนึ่งมีผลจากใกล้ครบกำหนดระยะเวลาในการกันสำรองเงินทุนในสัดส่วน 30% ทำให้น่าจะมีเงินบางส่วนไหลเข้ามาลงทุนในตลาดการเงินเพิ่มอีก
อย่างไรก็ตาม เธอยังงไม่ส่งสัญญาณใด ๆ ว่าจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% เมื่อไร โดยบอกแค่ต้องพิจารณาจังหวะที่เหมาะสม
สำหรับการแข็งค่าของเงินบาท ในระดับ 33.90 - 33.95 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในวันนี้ ทำสถิติแข็งค่าที่สุดในรอบ 3 เดือน ธปท. ยังประเมินว่า เป็นการแข็งค่าตามปกติ ซึ่งน่าจะช่วยผ่อนคลายปัญหาราคาน้ำมันแพง ไม่ให้สูงเกินไปได้ในทางอ้อม เพราะนอกจากเงินบาทจะแข็งค่าสอดคล้องกับค่าเงินในภูมิภาคแล้ว การปรับแข็งค่ายังไม่ผันผวน ช่วยให้ภาคธุรกิจสามารถปรับตัวได้ อีกทั้งการแข็งขึ้นดังกล่าวก็
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากต้นปี เงินบาทมีการแข็งค่าขึ้นมา 6.1% เป็นอันดับ 3 รองจากเงินรูปีของอินเดีย และเปโซของฟิลิปปินส์
http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/11/07
โพสต์ที่ 384
ธนาคารโลกชี้ ศก.ไทยโต 4.6% ต่ำสุดในภูมิภาคเอเชีย
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤศจิกายน 2550 13:28 น.
นักเศรษฐศาสตร์เวิลด์แบงก์ คาดจีดีพีไทยปี 51 โตได้แค่ 4.6% ตำสุดในภูมิภาคเอเชีย ชี้ปัญหาการเมือง ความไม่แน่นอนภายในประเทศ และราคาน้ำมัน เป็นปัจจัยสำคัญฉุดการขยายตัว
วันนี้(1 พ.ย.) นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ประจำประเทศไทยของธนาคารโลก(เวิลด์แบงก์) กล่าวในงานสัมมนา "ปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย หลังเลือกตั้ง" ซึ่งจัดโดยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 51จะขยายตัวได้ในระดับ 4.6% สูงกว่าปีนี้ที่ขยายตัว 4.3% ถือเป็นการขยายตัวในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ เช่น เวียดนามปีนี้คาดว่าจะเติบโต 8% และปีหน้าโตระดับเดียวกัน ขณะที่จีนที่ปีนี้คาดว่าโต 11% และปีหน้าก็คงจะรักษาระดับที่ 10% ไว้ได้
ส่วนสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากประเทศไทยประสบปัญหาการเมืองและมีความไม่แน่นอนภายในประเทศค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าไทยจะได้รับผลดีจากมูลค่าการค้าโลกที่เติบโตถึงประมาณ 10% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าประเทศไทยควรมีการปรับตัว เนื่องจากคาดว่ามูลค่าการค้าโลกจะชะลอเหลือ 7.5% ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000129778
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤศจิกายน 2550 13:28 น.
นักเศรษฐศาสตร์เวิลด์แบงก์ คาดจีดีพีไทยปี 51 โตได้แค่ 4.6% ตำสุดในภูมิภาคเอเชีย ชี้ปัญหาการเมือง ความไม่แน่นอนภายในประเทศ และราคาน้ำมัน เป็นปัจจัยสำคัญฉุดการขยายตัว
วันนี้(1 พ.ย.) นางสาวกิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ประจำประเทศไทยของธนาคารโลก(เวิลด์แบงก์) กล่าวในงานสัมมนา "ปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจไทย หลังเลือกตั้ง" ซึ่งจัดโดยสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย โดยคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 51จะขยายตัวได้ในระดับ 4.6% สูงกว่าปีนี้ที่ขยายตัว 4.3% ถือเป็นการขยายตัวในระดับต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคนี้ เช่น เวียดนามปีนี้คาดว่าจะเติบโต 8% และปีหน้าโตระดับเดียวกัน ขณะที่จีนที่ปีนี้คาดว่าโต 11% และปีหน้าก็คงจะรักษาระดับที่ 10% ไว้ได้
ส่วนสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยยังเติบโตไม่มากนัก เนื่องจากประเทศไทยประสบปัญหาการเมืองและมีความไม่แน่นอนภายในประเทศค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มขึ้น แม้ว่าไทยจะได้รับผลดีจากมูลค่าการค้าโลกที่เติบโตถึงประมาณ 10% ในปีนี้
อย่างไรก็ตาม ในปีหน้าประเทศไทยควรมีการปรับตัว เนื่องจากคาดว่ามูลค่าการค้าโลกจะชะลอเหลือ 7.5% ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพิงการส่งออกเป็นหลัก
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000129778
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news01/11/07
โพสต์ที่ 385
หุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น มีผลวันนี้ ลดภาษีนำเข้า 0% ทันที-ผูกพันยาว 10 ปี
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤศจิกายน 2550 16:48 น.
การประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นแล้ว นิตย์ เชื่อการประกาศใช้ข้อตกลง เจเทปา 1 พ.ย.นี้ ช่วยเพิ่มพูนการค้าระหว่างไทยและญี่ปุ่น เกริกไกร ยันไทยพร้อมใช้สิทธิทันที ชี้สินค้านำเข้ากว่า 40% ลดภาษีเหลือ 0% ทันที และปลอดภาษีนำเข้าทั้งหมดภายใน 10 ปี
มีรายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ (1 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น.ตามเวลาท้องถิ่นของญี่ปุ่น ที่โรงแรมนิว โอตานิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย ได้กล่าวเปิดการสัมมนาเรื่อง อนาคตความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น
นายนิตย์ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่นมีมายาวนานและมีความใกล้ชิด พึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยการลงทุนสะสมในรอบ 20 ปีของญี่ปุ่นในไทยเมื่อสิ้นปี 2549 มีมูลค่าถึง 1.8 ล้านล้านเยน ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชีย รองจากจีน และแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปี 2549 แต่เศรษฐกิจไทยก็ไม่เคยสะดุด และบริษัทญี่ปุ่นก็ไม่เคยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังของภาคธุรกิจต่อการมีผลใช้บังคับของกรอบความตกลงความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่นอกจากจะมีเรื่องการเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกต่อการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาแล้ว ยังมีเรื่องความร่วมมือในสาขาต่างๆ ที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดและครอบคลุม
นายนิตย์ กล่าวว่า หลังการประกาศใช้ข้อตกลงดังกล่าวตั้งแต่วันนี้ (1 พ.ย.) ไทยและญี่ปุ่นต่างมีงานที่ต้องสานต่อในส่วนของการใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะภาคเอกชนที่จะมีบทบาทสำคัญ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ต้องกระตุ้นความรู้สึกเป็นเจ้าของ JTEPA ในหมู่ประชาชนที่จะเป็นผู้ใช้และได้รับประโยชน์
โดยเย็นวันนี้ นายนิตย์ ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายไทยฝ่ายไทยเข้าร่วมการประชุมกับรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจาก 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมง และกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม ในการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 ที่กรุงโตเกียว ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งแรก เป็นผลสืบเนื่องจากการทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้เป็นต้นไป เพื่อหารือประเด็นต่างๆโดยเฉพาะการกำหนดแผนงานในช่วงแรก 2-3 ปีแรกหลังการมีผลใช้บังคับ ซึ่งจะเป็นช่วงที่สำคัญยิ่ง
การประชุมครั้งนี้จะเป็นกลไกสำหรับทั้ง 2 ฝ่ายจะใช้หารือถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามความตกลงต่อไป โดยเบื้องต้นจะเร่งดำเนินงานของคณะอนุกรรมการเพื่อหารือให้ได้ข้อสรุปใน 4 เรื่องหลักภายในปี 2551 ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการเรื่องจุดกำเนิดสินค้า 2.คณะอนุกรรมการการค้าและบริการ 3.คณะอนุกรรมการการเคลื่อนย้ายบุคคล และ 4.คณะอนุกรรมการการค้าไร้กระดาษ
นอกจากนี้ ที่ประชุมจะลงนามแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับผลการประชุมดังกล่าว นอกจากนี้จะรับรองเอกสารขั้นตอนการดำเนินการ (Operation Procedures) เพื่อที่จะระบุรายละเอียดของเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบธุรกิจในด้านการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างไทยและญี่ปุ่นภายใต้กรอบ JTEPA ทันทีที่เริ่มบังคับใช้วันที่ 1 พ.ย.2550
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการเป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมในการับมือการบังคับใช้เจเทปา กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐและเอกชนร่วมกันขึ้นมา 1 ชุด และให้กรมการค้าต่างประเทศเปิดให้ผู้ประกอบการเข้าตรวจสอบคุณสมบัติถิ่นกำเนินสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา และจะเปิดให้ยื่นความจำนงขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. เพื่อให้ทันการใช้สิทธิเจเทปาที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 พ.ย.
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า เมื่อข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ซึ่งจะทำให้มีการลดภาษีระหว่างกันเหลือร้อยละศูนย์ ใน 5 กลุ่มสินค้า หรืออาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ปิโตรเคมี กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก และยังมีโครงการร่วมมือกัน 7 โครงการ เช่น การสร้างประสิทธิภาพ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จะทำให้ไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมและบุคคลากรได้ ส่วนกรณีที่ 2 เดือน ที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าไทยไปญี่ปุ่นลดลง เป็นเพราะปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนราคาน้ำมัน
ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้การส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นมีการขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลักจากที่ก่อนหน้านี้การส่งออกไปญี่ปุ่นชะลอตัวลง โดยเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีมูลค่าการส่งออก 1,464 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 1.3% เนื่องจากมีความสับสนว่า เจเทปาจะมีผลบังคับใช้หรือไม่ และภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นชะลอตัวลง รมว.พาณิชย์ กล่าว
ทั้งนี้ การค้าระหว่าง 2 ประเทศ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวม 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.68% โดยไทยส่งออกไปญี่ปุ่น 13,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 10.70% จากเดิมตั้งเป้าหมายขยายตัวไว้ 5.5% และปี 2551 ตั้งเป้าการส่งออกขยายตัวได้ 12%
ตามข้อตกลงเจเทปา กำหนดให้สินค้าที่ได้รับการลดภาษี 0% ทันทีมี 5 กลุ่มสินค้า ได้แก่ อาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สินค้าปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์พลาสติก ส่วนสินค้าที่ต้องมีการจัดสรรโควตา คือ กล้วย ให้โควตาปลอดภาษี 4,000 ตัน และสับปะรดสดให้โควตาปลอดภาษี 100 ตัน หัวหอมแดงและกระเทียมสดให้ลดภาษีในดควตาภายใต้องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เหลือ 0% ทันที
ขณะที่เหล็กรีดร้อนที่ไทยผลิตได้ไม่พอ ให้โควตาปลอดภาษีสำหรับเหล็กรีดร้อนที่ผู้ใช้เหล็กต้องการนำเข้าเพื่อผลิตยานยนต์ โดยคงภาษีนอกโควตาไว้ 10 ปี และยกเลิกในปีที่ 11 ส่วนที่หลายฝ่ายเกรงว่าไทยจะต้องเสียดุลการค้าให้ญี่ปุ่นมากขึ้นนั้น ตามเจตนารมณ์ของเจเทปา คือต้องการเพิ่มการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000129931
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 1 พฤศจิกายน 2550 16:48 น.
การประชุมคณะกรรมการร่วมไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 เริ่มขึ้นแล้ว นิตย์ เชื่อการประกาศใช้ข้อตกลง เจเทปา 1 พ.ย.นี้ ช่วยเพิ่มพูนการค้าระหว่างไทยและญี่ปุ่น เกริกไกร ยันไทยพร้อมใช้สิทธิทันที ชี้สินค้านำเข้ากว่า 40% ลดภาษีเหลือ 0% ทันที และปลอดภาษีนำเข้าทั้งหมดภายใน 10 ปี
มีรายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ (1 พ.ย.) เมื่อเวลา 13.30 น.ตามเวลาท้องถิ่นของญี่ปุ่น ที่โรงแรมนิว โอตานิ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายนิตย์ พิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายไทย ได้กล่าวเปิดการสัมมนาเรื่อง อนาคตความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น
นายนิตย์ กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยและญี่ปุ่นมีมายาวนานและมีความใกล้ชิด พึ่งพาซึ่งกันและกัน โดยการลงทุนสะสมในรอบ 20 ปีของญี่ปุ่นในไทยเมื่อสิ้นปี 2549 มีมูลค่าถึง 1.8 ล้านล้านเยน ซึ่งสูงเป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชีย รองจากจีน และแม้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปี 2549 แต่เศรษฐกิจไทยก็ไม่เคยสะดุด และบริษัทญี่ปุ่นก็ไม่เคยสูญเสียความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย
นอกจากนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังของภาคธุรกิจต่อการมีผลใช้บังคับของกรอบความตกลงความเป็นหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่นอกจากจะมีเรื่องการเปิดเสรีและอำนวยความสะดวกต่อการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน และการเคลื่อนย้ายบุคคลธรรมดาแล้ว ยังมีเรื่องความร่วมมือในสาขาต่างๆ ที่จะเป็นพื้นฐานสำหรับความเป็นหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดและครอบคลุม
นายนิตย์ กล่าวว่า หลังการประกาศใช้ข้อตกลงดังกล่าวตั้งแต่วันนี้ (1 พ.ย.) ไทยและญี่ปุ่นต่างมีงานที่ต้องสานต่อในส่วนของการใช้ประโยชน์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะภาคเอกชนที่จะมีบทบาทสำคัญ เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ต้องกระตุ้นความรู้สึกเป็นเจ้าของ JTEPA ในหมู่ประชาชนที่จะเป็นผู้ใช้และได้รับประโยชน์
โดยเย็นวันนี้ นายนิตย์ ในฐานะหัวหน้าคณะฝ่ายไทยฝ่ายไทยเข้าร่วมการประชุมกับรัฐมนตรีของญี่ปุ่นจาก 4 กระทรวง ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตร ป่าไม้และประมง และกระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม ในการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ครั้งที่ 1 ที่กรุงโตเกียว ซึ่งฝ่ายญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพการประชุมครั้งแรก เป็นผลสืบเนื่องจากการทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) ที่ได้มีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.นี้เป็นต้นไป เพื่อหารือประเด็นต่างๆโดยเฉพาะการกำหนดแผนงานในช่วงแรก 2-3 ปีแรกหลังการมีผลใช้บังคับ ซึ่งจะเป็นช่วงที่สำคัญยิ่ง
การประชุมครั้งนี้จะเป็นกลไกสำหรับทั้ง 2 ฝ่ายจะใช้หารือถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามความตกลงต่อไป โดยเบื้องต้นจะเร่งดำเนินงานของคณะอนุกรรมการเพื่อหารือให้ได้ข้อสรุปใน 4 เรื่องหลักภายในปี 2551 ประกอบด้วย 1.คณะอนุกรรมการเรื่องจุดกำเนิดสินค้า 2.คณะอนุกรรมการการค้าและบริการ 3.คณะอนุกรรมการการเคลื่อนย้ายบุคคล และ 4.คณะอนุกรรมการการค้าไร้กระดาษ
นอกจากนี้ ที่ประชุมจะลงนามแถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับผลการประชุมดังกล่าว นอกจากนี้จะรับรองเอกสารขั้นตอนการดำเนินการ (Operation Procedures) เพื่อที่จะระบุรายละเอียดของเอกสารรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าและสิทธิประโยชน์ของผู้ประกอบธุรกิจในด้านการนำเข้าและส่งออกสินค้าระหว่างไทยและญี่ปุ่นภายใต้กรอบ JTEPA ทันทีที่เริ่มบังคับใช้วันที่ 1 พ.ย.2550
นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการเป็นประธานการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อเตรียมความพร้อมในการับมือการบังคับใช้เจเทปา กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการระหว่างรัฐและเอกชนร่วมกันขึ้นมา 1 ชุด และให้กรมการค้าต่างประเทศเปิดให้ผู้ประกอบการเข้าตรวจสอบคุณสมบัติถิ่นกำเนินสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา และจะเปิดให้ยื่นความจำนงขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าได้ตั้งแต่วันที่ 29 ต.ค. เพื่อให้ทันการใช้สิทธิเจเทปาที่จะมีขึ้นในวันที่ 1 พ.ย.
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า เมื่อข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ ซึ่งจะทำให้มีการลดภาษีระหว่างกันเหลือร้อยละศูนย์ ใน 5 กลุ่มสินค้า หรืออาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ปิโตรเคมี กลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติก และยังมีโครงการร่วมมือกัน 7 โครงการ เช่น การสร้างประสิทธิภาพ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จะทำให้ไทยสามารถพัฒนาอุตสาหกรรมและบุคคลากรได้ ส่วนกรณีที่ 2 เดือน ที่ผ่านมา การส่งออกสินค้าไทยไปญี่ปุ่นลดลง เป็นเพราะปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนราคาน้ำมัน
ข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้การส่งออกไปตลาดญี่ปุ่นมีการขยายตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลักจากที่ก่อนหน้านี้การส่งออกไปญี่ปุ่นชะลอตัวลง โดยเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา มีมูลค่าการส่งออก 1,464 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 1.3% เนื่องจากมีความสับสนว่า เจเทปาจะมีผลบังคับใช้หรือไม่ และภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นชะลอตัวลง รมว.พาณิชย์ กล่าว
ทั้งนี้ การค้าระหว่าง 2 ประเทศ ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่ารวม 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.68% โดยไทยส่งออกไปญี่ปุ่น 13,350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัว 10.70% จากเดิมตั้งเป้าหมายขยายตัวไว้ 5.5% และปี 2551 ตั้งเป้าการส่งออกขยายตัวได้ 12%
ตามข้อตกลงเจเทปา กำหนดให้สินค้าที่ได้รับการลดภาษี 0% ทันทีมี 5 กลุ่มสินค้า ได้แก่ อาหาร อัญมณีและเครื่องประดับ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม สินค้าปิโตรเคมีและผลิตภัณฑ์พลาสติก ส่วนสินค้าที่ต้องมีการจัดสรรโควตา คือ กล้วย ให้โควตาปลอดภาษี 4,000 ตัน และสับปะรดสดให้โควตาปลอดภาษี 100 ตัน หัวหอมแดงและกระเทียมสดให้ลดภาษีในดควตาภายใต้องค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) เหลือ 0% ทันที
ขณะที่เหล็กรีดร้อนที่ไทยผลิตได้ไม่พอ ให้โควตาปลอดภาษีสำหรับเหล็กรีดร้อนที่ผู้ใช้เหล็กต้องการนำเข้าเพื่อผลิตยานยนต์ โดยคงภาษีนอกโควตาไว้ 10 ปี และยกเลิกในปีที่ 11 ส่วนที่หลายฝ่ายเกรงว่าไทยจะต้องเสียดุลการค้าให้ญี่ปุ่นมากขึ้นนั้น ตามเจตนารมณ์ของเจเทปา คือต้องการเพิ่มการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000129931
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/11/07
โพสต์ที่ 386
หนุนเอสเอ็มอีไทยจับคู่ค้าปลีกนอก
โพสต์ทูเดย์ สสว.จัดงานหนุนเอสเอ็มอีไทยครบวงจร เผยยักษ์ค้าปลีกค้าส่งระดับโลกกว่า 20 ราย เล็งหาคู่ค้าไทย คาดจับคู่ธุรกิจเงินสะพัดกว่า 1 พันล้านบาท
นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว.จะจัดงาน World Smart SMEs 2007 ขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 พ.ย. 2550 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะเป็นงานที่รวบรวมการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยไว้ครบถ้วนที่สุด หรือกว่า 400 ราย และจัดควบคู่ไปกับงานประชุมนานาชาติ iSBC 2007 ที่เป็นงานประชุมทางวิชาการด้านส่งเสริมเอสเอ็มอีระดับโลก
นอกจากนี้ ยังได้เชิญบริษัทค้าปลีกค้าส่งระดับโลกกว่า 20 ราย เช่น คาร์ฟูร์, วอลมาร์ท ที่ต้องการหาคู่ค้าธุรกิจ รวมถึงเชิญผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกกว่า 300-400 ราย ให้เข้าพบ และเจรจาการค้ากับเอสเอ็มอีไทยเพื่อเปิดช่องทางขยายตลาด
จากการศึกษาข้อมูลเชื่อว่า ภายในงานจะเกิดการเจรจาการค้ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และต่อเนื่องหลังงานอีกไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท รวมเป็นกว่า 1 พันล้านบาท รวมทั้งคาดว่าจะมีเอสเอ็มอีไทยและผู้สนใจอยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่เข้าร่วมงานดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นราย
เป้าหมายของการจัดงานครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ การสร้างองค์ความรู้ และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และเป็นเวทีแห่งการสร้างโอกาสและต่อยอดให้แก่เอสเอ็มอีไทย ในการพัฒนาธุรกิจกระตุ้นให้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาสู่กระบวนการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์
ด้านนายดำริ สุโขธนัง รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า งานนี้จะเป็นส่วนเสริมให้ผู้เข้าร่วมประชุมที่เดินทางมาจากต่างประเทศได้รับรู้ถึงศักยภาพในการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทย ที่จะผนึกกำลังผลักดันเอสเอ็มอีไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลได้อย่างมั่นคงและเป็นโอกาสในการมองหาพันธมิตรธุรกิจด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201185
โพสต์ทูเดย์ สสว.จัดงานหนุนเอสเอ็มอีไทยครบวงจร เผยยักษ์ค้าปลีกค้าส่งระดับโลกกว่า 20 ราย เล็งหาคู่ค้าไทย คาดจับคู่ธุรกิจเงินสะพัดกว่า 1 พันล้านบาท
นางจิตราภรณ์ เตชาชาญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า สสว.จะจัดงาน World Smart SMEs 2007 ขึ้นระหว่างวันที่ 12-14 พ.ย. 2550 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยจะเป็นงานที่รวบรวมการส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยไว้ครบถ้วนที่สุด หรือกว่า 400 ราย และจัดควบคู่ไปกับงานประชุมนานาชาติ iSBC 2007 ที่เป็นงานประชุมทางวิชาการด้านส่งเสริมเอสเอ็มอีระดับโลก
นอกจากนี้ ยังได้เชิญบริษัทค้าปลีกค้าส่งระดับโลกกว่า 20 ราย เช่น คาร์ฟูร์, วอลมาร์ท ที่ต้องการหาคู่ค้าธุรกิจ รวมถึงเชิญผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และอื่นๆ อีกกว่า 300-400 ราย ให้เข้าพบ และเจรจาการค้ากับเอสเอ็มอีไทยเพื่อเปิดช่องทางขยายตลาด
จากการศึกษาข้อมูลเชื่อว่า ภายในงานจะเกิดการเจรจาการค้ามูลค่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท และต่อเนื่องหลังงานอีกไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท รวมเป็นกว่า 1 พันล้านบาท รวมทั้งคาดว่าจะมีเอสเอ็มอีไทยและผู้สนใจอยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่เข้าร่วมงานดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 3 หมื่นราย
เป้าหมายของการจัดงานครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ การสร้างองค์ความรู้ และการสร้างเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และเป็นเวทีแห่งการสร้างโอกาสและต่อยอดให้แก่เอสเอ็มอีไทย ในการพัฒนาธุรกิจกระตุ้นให้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาสู่กระบวนการผลิต และพัฒนาผลิตภัณฑ์
ด้านนายดำริ สุโขธนัง รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า งานนี้จะเป็นส่วนเสริมให้ผู้เข้าร่วมประชุมที่เดินทางมาจากต่างประเทศได้รับรู้ถึงศักยภาพในการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทย ที่จะผนึกกำลังผลักดันเอสเอ็มอีไทยให้ก้าวสู่ระดับสากลได้อย่างมั่นคงและเป็นโอกาสในการมองหาพันธมิตรธุรกิจด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201185
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/11/07
โพสต์ที่ 387
ปีหน้าทำใจสินค้าพาเหรดปรับราคา
โพสต์ทูเดย์ ดีทแฮล์ม เผย เจ้าของสินค้าเจอ 2 เด้ง น้ำมันขึ้น ดันต้นทุนพุ่ง คาดปีหน้าสินค้าทยอยขึ้นราคาแน่
นายชูเกียรติ โตกมลธรรม ผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ฝ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค กล่าวว่า ปีนี้เจ้าของสินค้าทำยอดขายไม่ดีนัก ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ขึ้นไป 3% ทำให้แนวโน้มปีหน้าจะเห็นเจ้าของสินค้าปรับขึ้นราคาสินค้าอย่างแน่นอน โดยในส่วนของดีทแฮล์มอยู่ระหว่างการพิจารณา
พิจารณาดูแล้ว หากราคาน้ำมันไม่เพิ่มขึ้นไปกว่านี้ เรายังสามารถยืนราคาเดิมได้ แต่ถ้าเพิ่มขึ้นต้องพิจารณาปรับเป็นรายสินค้า เพราะสินค้าแต่ละตัวอยู่ภายใต้ความควบคุมที่แตกต่างกัน แต่การปรับราคาสินค้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกำลังซื้อไม่ดี ขณะที่เจ้าของสินค้าบางรายมีการตัดราคา นายชูเกียรติ กล่าว
ทั้งนี้ ในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับพรีเมียมในปีนี้ ได้ รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ต่างจากปีก่อนๆ ที่แม้เศรษฐกิจไม่ดี สินค้าพรีเมียมยังขายได้ ทำให้ภาพรวมตลาดปีนี้ไม่ขยายตัว ซึ่งเป็นผลจากจำนวนการขายที่ลดลง ประกอบกับบางแบรนด์ลดราคาสินค้า 10-20%
นายชูเกียรติ กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าบราวน์ ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ขยายตัว 10% โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มบิวตี ที่ขยายตัว 10-15% จากการเพิ่มสินค้าเจาะกลุ่มผู้หญิง เช่น ที่ถอนขน เป็นต้น แต่ในผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนไม่ขยายตัวมากนัก เนื่องจากมีการแข่งขันสูง ขณะที่บริษัทไม่มีนโยบายเรื่องราคา ทำให้ปีนี้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่าคู่แข่ง อย่างฟิลิปส์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลจับจ่าย บริษัทใช้งบกว่า 10 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขาย รวมทั้งจัด โปรโมชันต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าไตรมาสนี้จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 20-30% จากไตรมาสก่อน และ ทำให้รายได้รวมเติบโต 15% ตามเป้า หมายที่ตั้งไว้
สำหรับกลยุทธ์หลักของบราวน์ในปีหน้าจะเน้นแบ่งกลุ่มสินค้า เจาะไลฟ์สไตล์ ผู้บริโภคให้ชัดเจน แบ่งเป็นกลุ่มคลาสสิกสำหรับคนทุกเพศทุกวัย กลุ่มสมาร์ตสำหรับคนชอบเทคโนโลยี กลุ่มเทรนดี สำหรับคนชอบดีไซน์ทันสมัย และจะเน้นเรื่องบริการหลังการขายด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201191
โพสต์ทูเดย์ ดีทแฮล์ม เผย เจ้าของสินค้าเจอ 2 เด้ง น้ำมันขึ้น ดันต้นทุนพุ่ง คาดปีหน้าสินค้าทยอยขึ้นราคาแน่
นายชูเกียรติ โตกมลธรรม ผู้จัดการแผนกผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภค ฝ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค กล่าวว่า ปีนี้เจ้าของสินค้าทำยอดขายไม่ดีนัก ซึ่งเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ประกอบกับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะนี้ขึ้นไป 3% ทำให้แนวโน้มปีหน้าจะเห็นเจ้าของสินค้าปรับขึ้นราคาสินค้าอย่างแน่นอน โดยในส่วนของดีทแฮล์มอยู่ระหว่างการพิจารณา
พิจารณาดูแล้ว หากราคาน้ำมันไม่เพิ่มขึ้นไปกว่านี้ เรายังสามารถยืนราคาเดิมได้ แต่ถ้าเพิ่มขึ้นต้องพิจารณาปรับเป็นรายสินค้า เพราะสินค้าแต่ละตัวอยู่ภายใต้ความควบคุมที่แตกต่างกัน แต่การปรับราคาสินค้าก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกำลังซื้อไม่ดี ขณะที่เจ้าของสินค้าบางรายมีการตัดราคา นายชูเกียรติ กล่าว
ทั้งนี้ ในกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับพรีเมียมในปีนี้ ได้ รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรง ต่างจากปีก่อนๆ ที่แม้เศรษฐกิจไม่ดี สินค้าพรีเมียมยังขายได้ ทำให้ภาพรวมตลาดปีนี้ไม่ขยายตัว ซึ่งเป็นผลจากจำนวนการขายที่ลดลง ประกอบกับบางแบรนด์ลดราคาสินค้า 10-20%
นายชูเกียรติ กล่าวว่า สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าบราวน์ ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ขยายตัว 10% โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มบิวตี ที่ขยายตัว 10-15% จากการเพิ่มสินค้าเจาะกลุ่มผู้หญิง เช่น ที่ถอนขน เป็นต้น แต่ในผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือนไม่ขยายตัวมากนัก เนื่องจากมีการแข่งขันสูง ขณะที่บริษัทไม่มีนโยบายเรื่องราคา ทำให้ปีนี้บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่าคู่แข่ง อย่างฟิลิปส์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลจับจ่าย บริษัทใช้งบกว่า 10 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นยอดขาย รวมทั้งจัด โปรโมชันต่างๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าไตรมาสนี้จะมียอดขายเพิ่มขึ้น 20-30% จากไตรมาสก่อน และ ทำให้รายได้รวมเติบโต 15% ตามเป้า หมายที่ตั้งไว้
สำหรับกลยุทธ์หลักของบราวน์ในปีหน้าจะเน้นแบ่งกลุ่มสินค้า เจาะไลฟ์สไตล์ ผู้บริโภคให้ชัดเจน แบ่งเป็นกลุ่มคลาสสิกสำหรับคนทุกเพศทุกวัย กลุ่มสมาร์ตสำหรับคนชอบเทคโนโลยี กลุ่มเทรนดี สำหรับคนชอบดีไซน์ทันสมัย และจะเน้นเรื่องบริการหลังการขายด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=201191
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/11/07
โพสต์ที่ 388
ทิศทางตลาดทุนไทยปี 2551
Posted on Friday, November 02, 2007
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ทิศทางตลาดทุนไทย ปี 2551 ในงานสัมมนาประจำปีสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้ง ว่า การพยากรณ์ทิศทางเศรษฐกิจของหน่วยงานใด ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้มีความแม่นยำหรือถูกต้องอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่มีระบบจัดเก็บข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดของโลก ก็ยังไม่สามารถคาดเดาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime Mortgage Loan) ของสหรัฐฯได้ล่วงหน้า โดยเฉพาะตลาดทุนที่เปรียบเสมือนปรอทวัดอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ จะมีการตอบสนองปัจจัยภายในและภายนอกอย่างรวดเร็ว จึงไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้เช่นกัน แต่เชื่อว่าหากเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดี ก็น่าจะส่งผลให้ตลาดทุนมีแนวโน้มที่ดีไปด้วย
ปัจจัยลบถาโถมกดดันเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง
สำหรับสถานการณ์ภายในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ มาตรการสำรองเงินทุน 30% เหตุระเบิดในกรุงเทพ ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ การยุบพรรค การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ งบประมาณปี 2550 ที่ล่าช้า รวมถึงเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปัจจัยลบจากภายนอก เช่น ปัญหาเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง ปัญหา Subprime และล่าสุดที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ประชาชนกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อด้วย ส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนด้วย
นายปกรณ์กล่าวว่า ในช่วงตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
- 19 ก.ย. 2549 (วันปฏิรูปการปกครอง) - ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงเล็กน้อย โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิกว่า 7 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการเมืองมีความชัดเจนขึ้น
- 19 ธ.ค. 2549 (วันประกาศใช้มาตรการสำรองเงินทุน 30%) ดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ร่วงลงกว่า 100 จุด หรือลดลง 14.84% หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศใช้มาตรการควบคุมเงินทุน 30% (Capital Control) โดยมีแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท
- 31 ธ.ค. 2549 (เหตุระเบิดในกรุงเทพ)- ดัชนีลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 3 วัน (3-5 ม.ค.) หรือรวมแล้วลดลงประมาณ 7.6% ซึ่งบ่งชี้ว่า นักลงทุนกลัวปัญหาความไม่สงบจากภาคใต้จะลุกลามขึ้นมายังกรุงเทพ ส่งผลให้ดัชนีปรับลดลง แต่นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิในวันดังกล่าวเพียง 700 ล้านบาท
- ส.ค. 2550 (การตัดสินคดียุบพรรค) ดัชนีหุ้นในวันนี้ปิดบวก โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ
- ก.ย. 2550 (ประกาศวันเลือกตั้งชัดเจนว่าจะมีขึ้นในวันที่ 23 ธ.ค.) ดัชนีหุ้นไทยปิดบวก โดยนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิกว่า 3 หมื่นล้านบาท
- เม.ย. 2550 และ ส.ค. 2550 (ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลดอัตราดอกเบี้ย) ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับลดลงในการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งแรก แต่ดัชนีปรับขึ้นในการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งที่ 2 แต่ในการซื้อขายของทั้ง 2 วันนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าดัชนีหุ้นไทยไม่ตอบสนองกับการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะสอดคล้องตามความคาดหมายของตลาด
นายปกรณ์กล่าวว่า จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับรัฐบาลไทยและความชัดเจนของการเลือกตั้งค่อนข้างมาก และปัจจัยที่มีผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงอย่างหนัก คือ ปัญหา Subprime ที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ค. ส.ค. 2550 ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงไปประมาณ 133.47 จุด หรือลดลง 15.10% โดยมียอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติกว่า 4 หมื่นล้านบาท และมาตรการสำรองเงินทุน 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ฉุดดัชนีหุ้นไทยร่วงลงกว่า 100 จุดภายในวันเดียว
เตรียมเพิ่มนักลงทุนสถาบันเพื่อเสถียรภาพของดัชนีหุ้นไทย
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดเผยว่า ที่ผ่านมานักลงทุนสถาบันไทย เช่น กองทุนรวมของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กองทุนส่วนบุคคล กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และ กองทุนประกันสังคม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของตลาดทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงมีนโยบายเพิ่มจำนวนนักลงทุนสถาบันมากขึ้น และพยายามจูงใจให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้นด้วย
สำหรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้านั้น นายปกรณ์เชื่อว่า จะอยู่ที่ 4.3-4.8% ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขประมาณการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยในขณะนี้ดัชนีหุ้นไทย ตลอดจนปริมาณการซื้อขายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากพอสมควร แม้ว่าจะปรับขึ้นเฉพาะอุตสาหกรรมบางประเภทที่มีน้ำหนักในตลาดค่อนข้างสูง แต่ก็ถือว่าดัชนีปรับเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะมีการปรับฐานไปบ้างเล็กน้อย หรือมีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังโตได้ และจะมีผลให้ดัชนีหุ้นไทยขยายตัวขึ้นด้วย
ความชัดเจนของนโยบายภาครัฐจะทำให้ต่างชาติมั่นใจได้
ส่วนนโยบายที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคใช้หาเสียงนั้น นายปกรณ์ให้มุมมองว่า ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดก็ตาม หากมีมาตรการที่ชัดเจน โดยเฉพาะการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ทั้งระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟรางคู่ที่มีความจำเป็นต่อการวางรากฐานในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นได้ โดยในขณะนี้ ภาคอุตสาหกรรมหลายประเภทในไทย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ ได้ใช้กำลังการผลิตในปัจจุบันเกือบเต็มกำลังการผลิตแล้ว ซึ่งก็คาดว่าจะได้มีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่ม และจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่ดีขึ้นด้วย
เสนอ 3 กลยุทธ์กระตุ้นเศรษฐกิจ
นายปกรณ์ยังได้เสนอแนะกลยุทธ์แก่รัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีทิศทางที่ดีขึ้น ดังต่อไปนี้
1) ควรเดินหน้าลงทุนในโครงการต่าง ๆ เช่น เมกะโปรเจ็กต์ ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะเป็นการดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนตามเข้ามาได้ และมีการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนควบคู่กันแล้ว จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
2) ควรควบคุมเสถียรภาพของค่าเงินบาท ไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป เนื่องจากการส่งออกเป็นภาคธุรกิจที่สำคัญของประเทศ ซึ่งหากเงินบาทแข็งค่าจะกดดันขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยด้วย
3) ควรควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากราคาน้ำมันในระยะนี้ได้ปรับสูงขึ้นมาก จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาอัตราเงินเฟ้อได้ แต่รัฐบาลก็ควรจะควบคุมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ระหว่าง 0-3% และควรดูแลอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ด้วย เพราะจะมีผลต่อสภาพคล่องของเศรษฐกิจเช่นกัน
หวังดึงเงินนอกเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
นายปกรณ์กล่าวว่า สภาพคล่องของประเทศจะมีความสำคัญต่อสภาวะเศรษฐกิจด้วย และแม้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยในขณะนี้จะมีสภาพคล่องส่วนเกินถึง 4-5 แสนล้านบาท แต่เนื่องจากภาคเอกชนอาจมีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต และภาครัฐก็เตรียมชดเชยผลขาดทุนของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ด้วย ก็มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารพาณิชย์อาจมีสภาพคล่องไม่เพียงพอ จึงเป็นหน้าที่ของตลาดทุนไทยที่จะต้องเป็นแหล่งระดมทุนให้กับภาคธุรกิจด้วย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศไทยมีอัตราการออมต่อหัวเพียง 5% ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน จึงมีแนวคิดพึ่งพาเงินออมต่างประเทศ (Global Savings) มากขึ้น ผ่านการลงทุนโดยตรง และการลงทุนผ่านตลาดทุน คือ ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ แต่หลังจากที่ประกาศใช้มาตรการสำรองเงินทุน 30% ทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบด้วย แต่ก็เกิดขึ้นในระยะสั้น เพราะได้มีการผ่อนคลายมาตรการให้กับตลาดหุ้นหลังจากนั้นไม่นาน แต่ตลาดตราสารหนี้ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวค่อนข้างมาก โดยมีผลให้สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติผ่านตลาดตราสารหนี้ร่วงลงจาก 4.6 หมื่นล้านบาทในเดือนกันยายน 2549 เหลือเพียง 5 พันล้านบาท ในเดือนกันยายน 2550
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า มาตรการ 30% เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเท่านั้น ในช่วงที่ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลง ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะทบทวนมาตรการดังกล่าวถึงจังหวะที่เหมาะสมในการผ่อนคลายมาตรการด้วย ซึ่งนายปกรณ์เชื่อว่าหากธปท.ผ่อนผันมาตรการดังกล่าวลง จะทำให้มีเงินลงทุนเข้ามาเพิ่มขึ้นและหนุนให้ตลาดตราสารหนี้ฟื้นตัวขึ้นได้ในที่สุด
เร่งหาบริษัทจดทะเบียนรายใหม่เพื่อเพิ่มขนาดองค์กรเทียบเท่าสากล
นายปกรณ์กล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นที่เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ mai มีประมาณ 521 บริษัท ซึ่งบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดมีอัตราส่วนมูลค่าตลาดเทียบกับ GDP ของประเทศอยู่ที่ 65% ซึ่งเป็นรองเพียงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นมาก จนทำให้สัดส่วนมูลค่าตลาดต่อ GDP ปรับเพิ่มขึ้นมากแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลายเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจควบคู่กับสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในโลก โดยมีสัดส่วนในการคำนวณดัชนี MSCI เพียง 2% ดังนั้น ในภาวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกแข่งขันระดมเงินออมของโลกนั้น ตลาดหุ้นไทยก็จะต้องปรับตัวหรือพัฒนาตนเองด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาหลายชุด ทั้งส่วนการจัดหาบริษัทที่มีคุณภาพให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ mai โดยให้ข้อเสนอที่จูงใจด้วยการเสนอสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่เข้าจดทะเบียนภายในปีนี้ และยังได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้สามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนได้รวดเร็วขึ้น โดยจากการเร่งดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ก็เชื่อว่าจะมีบริษัทใหม่ที่มีมูลค่าตลาดไม่สูงมากไปจนถึงขนาดใหญ่ เข้ามาจดทะเบียนได้ไม่น้อยกว่า 30 รายในปี 2551
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยก็ยังมีปัญหาในเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสในการที่จะทำให้ตลาดทุนขยายตัวได้ดังเช่นที่เห็นแล้วในประเทศเวียดนาม ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงหลีกเลี่ยงส่วนที่อาจเกิดปัญหา และทำเท่าที่ความสามารถจะทำได้
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯยังได้จัดตั้งคณะทำงานโดยให้ตัวแทนจากบริษัทจดทะเบียนร่วมกันพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์ เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนสามารถบริหารงานได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และยังได้จัดตั้งทีมงานเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์การลงทุนชนิดใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างชาติให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย
ศึกษาโอกาสเพิ่มเติมหวังเพิ่มศักยภาพตลาดหลักทรัพย์ของไทย
นายปกรณ์กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลกได้มีการแปรรูปเป็นบริษัทจำกัดและเอาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว และได้ประสบความสำเร็จไปแล้วหลายแห่ง ขณะที่ยังมีตลาดหุ้นเพียงไม่กี่แห่งที่ยังไม่แปรรูป เช่น ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นเวียดนาม รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้มีศักยภาพการแข่งขันที่น้อยกว่า แต่ในระยะนี้ คณะกรรมการของตลาดหลักทรัพย์ฯก็ได้หารือและว่าจ้างให้ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเข้ามาวิจัยรูปแบบที่เหมาะสมของตลาดหุ้นไทยในอนาคต ทั้งการแปรรูป การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือวิธีใด ๆ ก็ตาม ด้วยวิธีวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง(SWOT Analysis) ซึ่งก็จะดูแนวทางที่เป็นไปได้ เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ฯมีศักยภาพในการระดมเงินออมของโลกได้มากขึ้น และจะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจไทยได้ในที่สุด
http://www.moneychannel.co.th/MoneyChan ... fault.aspx
Posted on Friday, November 02, 2007
นายปกรณ์ มาลากุล ณ อยุธยา ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ ทิศทางตลาดทุนไทย ปี 2551 ในงานสัมมนาประจำปีสมาคมบริษัทจดทะเบียนไทย ปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยหลังเลือกตั้ง ว่า การพยากรณ์ทิศทางเศรษฐกิจของหน่วยงานใด ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้มีความแม่นยำหรือถูกต้องอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่มีระบบจัดเก็บข้อมูลที่ทันสมัยที่สุดของโลก ก็ยังไม่สามารถคาดเดาถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Subprime Mortgage Loan) ของสหรัฐฯได้ล่วงหน้า โดยเฉพาะตลาดทุนที่เปรียบเสมือนปรอทวัดอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพของเศรษฐกิจ จะมีการตอบสนองปัจจัยภายในและภายนอกอย่างรวดเร็ว จึงไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้เช่นกัน แต่เชื่อว่าหากเศรษฐกิจมีทิศทางที่ดี ก็น่าจะส่งผลให้ตลาดทุนมีแนวโน้มที่ดีไปด้วย
ปัจจัยลบถาโถมกดดันเศรษฐกิจไทยต่อเนื่อง
สำหรับสถานการณ์ภายในประเทศในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ การเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพ มาตรการสำรองเงินทุน 30% เหตุระเบิดในกรุงเทพ ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ การยุบพรรค การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ งบประมาณปี 2550 ที่ล่าช้า รวมถึงเงินบาทที่แข็งค่าอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปัจจัยลบจากภายนอก เช่น ปัญหาเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวลง ปัญหา Subprime และล่าสุดที่ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ยิ่งทำให้ประชาชนกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและอัตราเงินเฟ้อด้วย ส่งผลให้เศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องและส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนด้วย
นายปกรณ์กล่าวว่า ในช่วงตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นมากมาย โดยสามารถสรุปได้ดังนี้
- 19 ก.ย. 2549 (วันปฏิรูปการปกครอง) - ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงเล็กน้อย โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิกว่า 7 พันล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าเกิดจากการเมืองมีความชัดเจนขึ้น
- 19 ธ.ค. 2549 (วันประกาศใช้มาตรการสำรองเงินทุน 30%) ดัชนีหุ้นไทยในวันนี้ร่วงลงกว่า 100 จุด หรือลดลง 14.84% หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศใช้มาตรการควบคุมเงินทุน 30% (Capital Control) โดยมีแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท
- 31 ธ.ค. 2549 (เหตุระเบิดในกรุงเทพ)- ดัชนีลดลงอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 3 วัน (3-5 ม.ค.) หรือรวมแล้วลดลงประมาณ 7.6% ซึ่งบ่งชี้ว่า นักลงทุนกลัวปัญหาความไม่สงบจากภาคใต้จะลุกลามขึ้นมายังกรุงเทพ ส่งผลให้ดัชนีปรับลดลง แต่นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิในวันดังกล่าวเพียง 700 ล้านบาท
- ส.ค. 2550 (การตัดสินคดียุบพรรค) ดัชนีหุ้นในวันนี้ปิดบวก โดยนักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิ
- ก.ย. 2550 (ประกาศวันเลือกตั้งชัดเจนว่าจะมีขึ้นในวันที่ 23 ธ.ค.) ดัชนีหุ้นไทยปิดบวก โดยนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิกว่า 3 หมื่นล้านบาท
- เม.ย. 2550 และ ส.ค. 2550 (ธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศลดอัตราดอกเบี้ย) ดัชนีหุ้นไทยได้ปรับลดลงในการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งแรก แต่ดัชนีปรับขึ้นในการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งที่ 2 แต่ในการซื้อขายของทั้ง 2 วันนี้ นักลงทุนต่างชาติมียอดซื้อสุทธิประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งจะเห็นได้ว่าดัชนีหุ้นไทยไม่ตอบสนองกับการประกาศลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย เพราะสอดคล้องตามความคาดหมายของตลาด
นายปกรณ์กล่าวว่า จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ แสดงให้เห็นว่า นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญกับรัฐบาลไทยและความชัดเจนของการเลือกตั้งค่อนข้างมาก และปัจจัยที่มีผลให้ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงอย่างหนัก คือ ปัญหา Subprime ที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ค. ส.ค. 2550 ซึ่งส่งผลให้ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงไปประมาณ 133.47 จุด หรือลดลง 15.10% โดยมียอดขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติกว่า 4 หมื่นล้านบาท และมาตรการสำรองเงินทุน 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ฉุดดัชนีหุ้นไทยร่วงลงกว่า 100 จุดภายในวันเดียว
เตรียมเพิ่มนักลงทุนสถาบันเพื่อเสถียรภาพของดัชนีหุ้นไทย
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดเผยว่า ที่ผ่านมานักลงทุนสถาบันไทย เช่น กองทุนรวมของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) กองทุนส่วนบุคคล กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ และ กองทุนประกันสังคม มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพของตลาดทุนไทย ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงมีนโยบายเพิ่มจำนวนนักลงทุนสถาบันมากขึ้น และพยายามจูงใจให้นักลงทุนรายย่อยหันมาลงทุนผ่านกองทุนรวมมากขึ้นด้วย
สำหรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีหน้านั้น นายปกรณ์เชื่อว่า จะอยู่ที่ 4.3-4.8% ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขประมาณการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยในขณะนี้ดัชนีหุ้นไทย ตลอดจนปริมาณการซื้อขายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากพอสมควร แม้ว่าจะปรับขึ้นเฉพาะอุตสาหกรรมบางประเภทที่มีน้ำหนักในตลาดค่อนข้างสูง แต่ก็ถือว่าดัชนีปรับเพิ่มขึ้นแม้ว่าจะมีการปรับฐานไปบ้างเล็กน้อย หรือมีปัจจัยลบมากกว่าปัจจัยบวก แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังโตได้ และจะมีผลให้ดัชนีหุ้นไทยขยายตัวขึ้นด้วย
ความชัดเจนของนโยบายภาครัฐจะทำให้ต่างชาติมั่นใจได้
ส่วนนโยบายที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคใช้หาเสียงนั้น นายปกรณ์ให้มุมมองว่า ไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองใดก็ตาม หากมีมาตรการที่ชัดเจน โดยเฉพาะการเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ทั้งระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟรางคู่ที่มีความจำเป็นต่อการวางรากฐานในการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย จะทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติเพิ่มขึ้นได้ โดยในขณะนี้ ภาคอุตสาหกรรมหลายประเภทในไทย ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมยานยนต์ ได้ใช้กำลังการผลิตในปัจจุบันเกือบเต็มกำลังการผลิตแล้ว ซึ่งก็คาดว่าจะได้มีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิตเพิ่ม และจะทำให้เศรษฐกิจไทยมีทิศทางที่ดีขึ้นด้วย
เสนอ 3 กลยุทธ์กระตุ้นเศรษฐกิจ
นายปกรณ์ยังได้เสนอแนะกลยุทธ์แก่รัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้มีทิศทางที่ดีขึ้น ดังต่อไปนี้
1) ควรเดินหน้าลงทุนในโครงการต่าง ๆ เช่น เมกะโปรเจ็กต์ ให้เกิดขึ้นจริง ซึ่งจะเป็นการดึงดูดการลงทุนภาคเอกชนตามเข้ามาได้ และมีการลงทุนจากภาครัฐและเอกชนควบคู่กันแล้ว จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
2) ควรควบคุมเสถียรภาพของค่าเงินบาท ไม่ให้แข็งค่าจนเกินไป เนื่องจากการส่งออกเป็นภาคธุรกิจที่สำคัญของประเทศ ซึ่งหากเงินบาทแข็งค่าจะกดดันขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยด้วย
3) ควรควบคุมอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจากราคาน้ำมันในระยะนี้ได้ปรับสูงขึ้นมาก จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาอัตราเงินเฟ้อได้ แต่รัฐบาลก็ควรจะควบคุมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานให้อยู่ระหว่าง 0-3% และควรดูแลอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Real Interest Rate) ด้วย เพราะจะมีผลต่อสภาพคล่องของเศรษฐกิจเช่นกัน
หวังดึงเงินนอกเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ
นายปกรณ์กล่าวว่า สภาพคล่องของประเทศจะมีความสำคัญต่อสภาวะเศรษฐกิจด้วย และแม้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยในขณะนี้จะมีสภาพคล่องส่วนเกินถึง 4-5 แสนล้านบาท แต่เนื่องจากภาคเอกชนอาจมีการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต และภาครัฐก็เตรียมชดเชยผลขาดทุนของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ด้วย ก็มีความเป็นไปได้ที่ธนาคารพาณิชย์อาจมีสภาพคล่องไม่เพียงพอ จึงเป็นหน้าที่ของตลาดทุนไทยที่จะต้องเป็นแหล่งระดมทุนให้กับภาคธุรกิจด้วย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศไทยมีอัตราการออมต่อหัวเพียง 5% ซึ่งอาจไม่เพียงพอต่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน จึงมีแนวคิดพึ่งพาเงินออมต่างประเทศ (Global Savings) มากขึ้น ผ่านการลงทุนโดยตรง และการลงทุนผ่านตลาดทุน คือ ตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้ แต่หลังจากที่ประกาศใช้มาตรการสำรองเงินทุน 30% ทำให้ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบด้วย แต่ก็เกิดขึ้นในระยะสั้น เพราะได้มีการผ่อนคลายมาตรการให้กับตลาดหุ้นหลังจากนั้นไม่นาน แต่ตลาดตราสารหนี้ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวค่อนข้างมาก โดยมีผลให้สัดส่วนการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติผ่านตลาดตราสารหนี้ร่วงลงจาก 4.6 หมื่นล้านบาทในเดือนกันยายน 2549 เหลือเพียง 5 พันล้านบาท ในเดือนกันยายน 2550
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า มาตรการ 30% เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นเท่านั้น ในช่วงที่ค่าเงินบาทได้อ่อนค่าลง ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะทบทวนมาตรการดังกล่าวถึงจังหวะที่เหมาะสมในการผ่อนคลายมาตรการด้วย ซึ่งนายปกรณ์เชื่อว่าหากธปท.ผ่อนผันมาตรการดังกล่าวลง จะทำให้มีเงินลงทุนเข้ามาเพิ่มขึ้นและหนุนให้ตลาดตราสารหนี้ฟื้นตัวขึ้นได้ในที่สุด
เร่งหาบริษัทจดทะเบียนรายใหม่เพื่อเพิ่มขนาดองค์กรเทียบเท่าสากล
นายปกรณ์กล่าวว่า ปัจจุบันหุ้นที่เข้าจดทะเบียนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์ mai มีประมาณ 521 บริษัท ซึ่งบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดมีอัตราส่วนมูลค่าตลาดเทียบกับ GDP ของประเทศอยู่ที่ 65% ซึ่งเป็นรองเพียงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์เท่านั้น แต่เนื่องจากดัชนีหุ้นไทยในช่วงที่ผ่านมาปรับเพิ่มขึ้นมาก จนทำให้สัดส่วนมูลค่าตลาดต่อ GDP ปรับเพิ่มขึ้นมากแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกลายเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจควบคู่กับสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยยังถือว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่นในโลก โดยมีสัดส่วนในการคำนวณดัชนี MSCI เพียง 2% ดังนั้น ในภาวะที่ตลาดหุ้นทั่วโลกแข่งขันระดมเงินออมของโลกนั้น ตลาดหุ้นไทยก็จะต้องปรับตัวหรือพัฒนาตนเองด้วย ซึ่งที่ผ่านมา ได้มีการจัดตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาหลายชุด ทั้งส่วนการจัดหาบริษัทที่มีคุณภาพให้เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ mai โดยให้ข้อเสนอที่จูงใจด้วยการเสนอสิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่เข้าจดทะเบียนภายในปีนี้ และยังได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้สามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนได้รวดเร็วขึ้น โดยจากการเร่งดำเนินงานในช่วงที่ผ่านมา ก็เชื่อว่าจะมีบริษัทใหม่ที่มีมูลค่าตลาดไม่สูงมากไปจนถึงขนาดใหญ่ เข้ามาจดทะเบียนได้ไม่น้อยกว่า 30 รายในปี 2551
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา ประเทศไทยก็ยังมีปัญหาในเรื่องการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอาจทำให้เสียโอกาสในการที่จะทำให้ตลาดทุนขยายตัวได้ดังเช่นที่เห็นแล้วในประเทศเวียดนาม ตลาดหลักทรัพย์ฯจึงหลีกเลี่ยงส่วนที่อาจเกิดปัญหา และทำเท่าที่ความสามารถจะทำได้
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯยังได้จัดตั้งคณะทำงานโดยให้ตัวแทนจากบริษัทจดทะเบียนร่วมกันพิจารณาปรับปรุงกฎเกณฑ์ เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนสามารถบริหารงานได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และยังได้จัดตั้งทีมงานเพื่อคิดค้นผลิตภัณฑ์การลงทุนชนิดใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างชาติให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้นด้วย
ศึกษาโอกาสเพิ่มเติมหวังเพิ่มศักยภาพตลาดหลักทรัพย์ของไทย
นายปกรณ์กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นหลายแห่งทั่วโลกได้มีการแปรรูปเป็นบริษัทจำกัดและเอาเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว และได้ประสบความสำเร็จไปแล้วหลายแห่ง ขณะที่ยังมีตลาดหุ้นเพียงไม่กี่แห่งที่ยังไม่แปรรูป เช่น ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ตลาดหุ้นจีน ตลาดหุ้นเวียดนาม รวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจทำให้มีศักยภาพการแข่งขันที่น้อยกว่า แต่ในระยะนี้ คณะกรรมการของตลาดหลักทรัพย์ฯก็ได้หารือและว่าจ้างให้ผู้เชี่ยวชาญระดับโลกเข้ามาวิจัยรูปแบบที่เหมาะสมของตลาดหุ้นไทยในอนาคต ทั้งการแปรรูป การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ หรือวิธีใด ๆ ก็ตาม ด้วยวิธีวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็ง(SWOT Analysis) ซึ่งก็จะดูแนวทางที่เป็นไปได้ เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ฯมีศักยภาพในการระดมเงินออมของโลกได้มากขึ้น และจะส่งผลดีต่อเนื่องไปยังเศรษฐกิจไทยได้ในที่สุด
http://www.moneychannel.co.th/MoneyChan ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/11/07
โพสต์ที่ 389
ทุนนอกทะลัก...ไทยรับมืออย่างไร
Posted on Friday, November 02, 2007
ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ปัจจุบันเงินทุนต่างชาติสามารถไหลเข้าประเทศไทยได้ 2 ช่องทาง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลบัญชีเงินทุน ถ้าเมื่อใดที่ไทยมีเงินสกุลต่างประเทศมากจนเกินไป ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็จะต้องเข้ามาดูแลค่าเงินบาท เพื่อให้เงินบาทมีเสถียรภาพ และไม่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
ที่ผ่านมา ธปท. มีวิธีการดูแลค่าเงินบาทหลายวิธี ล่าสุด ธปท. เตรียมออกพันธบัตรมูลค่า 5 แสนล้านบาท เพื่อดูดซับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ออกจากระบบ อย่างไรก็ตามมีผู้เป็นห่วงว่า อาจจะทำให้ ธปท. ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มากเกินไป และจะมีผลให้ ธปท. ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากขณะนี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธปท. มีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการแทรกแซงค่าเงินบาทมากขึ้น สังเกตได้จากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ค่าเงินบาทก็ค่อนข้างทรงตัว และเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย
ส่วนการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2551 ลง 0.4% จากเดิม 5.2% เหลือ 4.8% รวมถึงการลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียลงเช่นกัน แต่เอเชียจะมีอัตราการลดลงน้อยกว่าสหรัฐฯ แสดงว่าปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยมาตรฐาน (Subprime) ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนเอเชียจะกลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว แต่ทาง สศค. ยังกังวลว่า การเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในเอเชียมากกว่าปี 2550
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบบริหารจัดการ ถ้าเมื่อใดที่ค่าเงินบาทมีปัญหา ธปท. ก็สามารถแทรกแซงได้ ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ก็มีการแทรกแซงเป็นระยะ เพียงแต่ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน จึงมีผลให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลดลง เพราะไม่สามารถควบคุมต้นทุนที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ แต่ถ้า ธปท. ระบุไว้อย่างชัดเจน ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยหาวิธีป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
นายทรงพลบอกว่า การที่ ธปท. แทรกแซงค่าเงินไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิด เพราะจะช่วยให้อุตสาหกรรมภายในประเทศสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งธนาคารกลางของญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ก็มีการแทรกแซงค่าเงินเช่นกัน ที่ผ่านมา ธปท. ก็ได้แทรกแซงค่าเงินด้วยการออกพันธบัตร และการทำการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (SWAP) ส่วนการที่ ธปท. เตรียมจะออกพันธบัตรมูลค่า 5 แสนล้านบาท ก็ไม่รู้สึกกังวล เพราะถึงแม้จะทำให้ ธปท. มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็จะช่วยให้สภาพคล่องของเงินบาทมีความสมดุล และ ธปท. ก็ยังมีรายได้จากการนำเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไปลงทุน
สำหรับค่าเงินบาทในปี 2551 เชื่อว่า คงจะไม่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปีหน้าไทยจะเริ่มก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ซึ่งจะทำให้มีการนำเข้าสินค้ามากขึ้น รวมทั้งจะช่วยสร้างงาน และเพิ่มความเชื่อมั่นด้วย
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ภัทร มองว่า ขณะนี้ ธปท. มีการแทรกแซงค่าเงินบาทมากจนเกินไป เห็นได้จากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ธปท. แทรกแซงไปแล้ว 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ปี 2549 ทุนสำรองระหว่างประเทศไทยเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งการแทรกแซงมากเกินไป อาจจะก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อได้ เพราะจะมีเงินบาทในระบบมากขึ้น ดังนั้น ธปท. จึงจำเป็นต้องออกพันธบัตร เพื่อดูดซับเงินบาทส่วนเกินออกจากระบบ อย่างไรก็ตามการที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ก็มีผลให้ ธปท. ขาดทุนทางบัญชีทันที
นอกจากนี้การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จาก 4.75% มาอยู่ที่ 4.5% ก็มีผลให้ ธปท. ขาดทุนจากการดำเนินการด้วย เพราะ ธปท. ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ซื้อพันธบัตรในอัตราเท่าเดิม แต่รายได้จากการฝากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับลดลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
Posted on Friday, November 02, 2007
ดร.เวทางค์ พ่วงทรัพย์ ผู้อำนวยการส่วนนโยบายการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Hard Topic ทาง Money Channel ว่า ปัจจุบันเงินทุนต่างชาติสามารถไหลเข้าประเทศไทยได้ 2 ช่องทาง จากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลบัญชีเงินทุน ถ้าเมื่อใดที่ไทยมีเงินสกุลต่างประเทศมากจนเกินไป ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็จะต้องเข้ามาดูแลค่าเงินบาท เพื่อให้เงินบาทมีเสถียรภาพ และไม่กระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
ที่ผ่านมา ธปท. มีวิธีการดูแลค่าเงินบาทหลายวิธี ล่าสุด ธปท. เตรียมออกพันธบัตรมูลค่า 5 แสนล้านบาท เพื่อดูดซับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ออกจากระบบ อย่างไรก็ตามมีผู้เป็นห่วงว่า อาจจะทำให้ ธปท. ถือเงินดอลลาร์สหรัฐฯ มากเกินไป และจะมีผลให้ ธปท. ขาดทุนทางบัญชีจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากขณะนี้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ได้อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ธปท. มีการส่งสัญญาณเกี่ยวกับการแทรกแซงค่าเงินบาทมากขึ้น สังเกตได้จากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่ค่าเงินบาทก็ค่อนข้างทรงตัว และเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย
ส่วนการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับลดประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2551 ลง 0.4% จากเดิม 5.2% เหลือ 4.8% รวมถึงการลดประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชียลงเช่นกัน แต่เอเชียจะมีอัตราการลดลงน้อยกว่าสหรัฐฯ แสดงว่าปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ประเภทด้อยมาตรฐาน (Subprime) ของสหรัฐฯ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนเอเชียจะกลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจโลกในระยะยาว แต่ทาง สศค. ยังกังวลว่า การเติบโตของเศรษฐกิจเอเชียจะทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาในเอเชียมากกว่าปี 2550
นายทรงพล ชีวะปัญญาโรจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบบริหารจัดการ ถ้าเมื่อใดที่ค่าเงินบาทมีปัญหา ธปท. ก็สามารถแทรกแซงได้ ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ก็มีการแทรกแซงเป็นระยะ เพียงแต่ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน จึงมีผลให้ความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยลดลง เพราะไม่สามารถควบคุมต้นทุนที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนได้ แต่ถ้า ธปท. ระบุไว้อย่างชัดเจน ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยหาวิธีป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
นายทรงพลบอกว่า การที่ ธปท. แทรกแซงค่าเงินไม่ถือเป็นเรื่องที่ผิด เพราะจะช่วยให้อุตสาหกรรมภายในประเทศสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ ซึ่งธนาคารกลางของญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ก็มีการแทรกแซงค่าเงินเช่นกัน ที่ผ่านมา ธปท. ก็ได้แทรกแซงค่าเงินด้วยการออกพันธบัตร และการทำการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า (SWAP) ส่วนการที่ ธปท. เตรียมจะออกพันธบัตรมูลค่า 5 แสนล้านบาท ก็ไม่รู้สึกกังวล เพราะถึงแม้จะทำให้ ธปท. มีรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่ก็จะช่วยให้สภาพคล่องของเงินบาทมีความสมดุล และ ธปท. ก็ยังมีรายได้จากการนำเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไปลงทุน
สำหรับค่าเงินบาทในปี 2551 เชื่อว่า คงจะไม่แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากปีหน้าไทยจะเริ่มก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค ซึ่งจะทำให้มีการนำเข้าสินค้ามากขึ้น รวมทั้งจะช่วยสร้างงาน และเพิ่มความเชื่อมั่นด้วย
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ภัทร มองว่า ขณะนี้ ธปท. มีการแทรกแซงค่าเงินบาทมากจนเกินไป เห็นได้จากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ธปท. แทรกแซงไปแล้ว 1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ปี 2549 ทุนสำรองระหว่างประเทศไทยเพิ่มขึ้นเพียง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งการแทรกแซงมากเกินไป อาจจะก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อได้ เพราะจะมีเงินบาทในระบบมากขึ้น ดังนั้น ธปท. จึงจำเป็นต้องออกพันธบัตร เพื่อดูดซับเงินบาทส่วนเกินออกจากระบบ อย่างไรก็ตามการที่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงต่อเนื่อง ก็มีผลให้ ธปท. ขาดทุนทางบัญชีทันที
นอกจากนี้การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% จาก 4.75% มาอยู่ที่ 4.5% ก็มีผลให้ ธปท. ขาดทุนจากการดำเนินการด้วย เพราะ ธปท. ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ผู้ซื้อพันธบัตรในอัตราเท่าเดิม แต่รายได้จากการฝากเงินดอลลาร์สหรัฐฯ กลับลดลง
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Har ... fault.aspx
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/11/07
โพสต์ที่ 390
กระทรวงพาณิชย์คาดส่งออกปีนี้โต 15% - ข่าว 18.00 น.
Posted on Friday, November 02, 2007
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก บอกว่า แนวโน้มการส่งออกสินค้าของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ เกือบ 15% สูงกว่าเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 12.5% เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ปรับตัวกับผลกระทบเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นได้ ขณะเดียวกันกรมส่งเสริมการส่งออกยังได้แนะนำให้ผู้ประกอบการกำหนดราคาซื้อขายสินค้าให้สอดคล้องกับทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะเงินดอล์ลาร์สหรัฐฯ ที่มีทิศทางที่อ่อนค่าลง และพัฒนาคุณภาพสินค้ามากขึ้น
อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออกบอกอีกว่า กรมส่งเสริมการส่งออกได้นำผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสินค้า เครื่องหนังและรองเท้า เข้ามาให้ความรู้และพัฒนารวมถึงยกระดับสินค้าให้กับผู้ประกอบการไทยมากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก
ด้านนายธวัฒน์ จิว นายกสมาคมเครื่องหนังไทย บอกว่า การส่งออกสินค้าเครื่องหนังไทยในปีนี้ มีมูลค่า 1.2 พันล้านบาท ขยายตัวประมาณ 8% จากปีก่อน โดยตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญ คือ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และตะวันออกกลาง ขณะที่ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกมากนัก เพราะได้สั่งซื้อวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องหนังส่วนใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการผลิตและขายสินค้า โดยยกระดับคุณภาพสินค้าให้สูงขึ้น เพื่อหนีการแข่งขันด้านราคากับประทศจีน และเวียดนาม
ด้านนายประโยชน์ เลิศวัฒนสิวลี นายกสมาคมรองเท้าไทย คาดว่า ปีนี้ยอดการส่งออกรองเท้าของไทยมีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ส่วนปีหน้าจะส่งออก 1.2 พันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 15% โดยจะเน้นการหาตลาดสินค้าใหม่เพิ่มเติม เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ อาจจะมียอดขายไม่เพิ่มขึ้น เพราะปัญหา Subprime
นายกสมาคมรองเท้าไทยยอมรับว่า ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ศักยภาพการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้าไทยลดลง เมื่อเทียบกับประเทศจีน และเวียดนาม ประกอบกับไทยประสบปัญหาค่าแรงงานที่มีค่าจ้างสูงกว่าทั้ง 2 ประเทศ แต่หากเทียบคุณภาพสินค้า และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์แล้ว สินค้าไทยจะดีกว่า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx
Posted on Friday, November 02, 2007
นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก บอกว่า แนวโน้มการส่งออกสินค้าของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ เกือบ 15% สูงกว่าเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ที่ 12.5% เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้ปรับตัวกับผลกระทบเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นได้ ขณะเดียวกันกรมส่งเสริมการส่งออกยังได้แนะนำให้ผู้ประกอบการกำหนดราคาซื้อขายสินค้าให้สอดคล้องกับทิศทางอัตราแลกเปลี่ยน โดยเฉพาะเงินดอล์ลาร์สหรัฐฯ ที่มีทิศทางที่อ่อนค่าลง และพัฒนาคุณภาพสินค้ามากขึ้น
อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออกบอกอีกว่า กรมส่งเสริมการส่งออกได้นำผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบสินค้า เครื่องหนังและรองเท้า เข้ามาให้ความรู้และพัฒนารวมถึงยกระดับสินค้าให้กับผู้ประกอบการไทยมากขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก
ด้านนายธวัฒน์ จิว นายกสมาคมเครื่องหนังไทย บอกว่า การส่งออกสินค้าเครื่องหนังไทยในปีนี้ มีมูลค่า 1.2 พันล้านบาท ขยายตัวประมาณ 8% จากปีก่อน โดยตลาดส่งออกสินค้าที่สำคัญ คือ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และตะวันออกกลาง ขณะที่ปัญหาเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกมากนัก เพราะได้สั่งซื้อวัตถุดิบไว้ล่วงหน้า และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องหนังส่วนใหญ่ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการผลิตและขายสินค้า โดยยกระดับคุณภาพสินค้าให้สูงขึ้น เพื่อหนีการแข่งขันด้านราคากับประทศจีน และเวียดนาม
ด้านนายประโยชน์ เลิศวัฒนสิวลี นายกสมาคมรองเท้าไทย คาดว่า ปีนี้ยอดการส่งออกรองเท้าของไทยมีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นประมาณ 10% ส่วนปีหน้าจะส่งออก 1.2 พันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 15% โดยจะเน้นการหาตลาดสินค้าใหม่เพิ่มเติม เนื่องจากตลาดสหรัฐฯ อาจจะมียอดขายไม่เพิ่มขึ้น เพราะปัญหา Subprime
นายกสมาคมรองเท้าไทยยอมรับว่า ปัญหาค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ศักยภาพการแข่งขันของกลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้าไทยลดลง เมื่อเทียบกับประเทศจีน และเวียดนาม ประกอบกับไทยประสบปัญหาค่าแรงงานที่มีค่าจ้างสูงกว่าทั้ง 2 ประเทศ แต่หากเทียบคุณภาพสินค้า และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์แล้ว สินค้าไทยจะดีกว่า
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Mon ... fault.aspx