สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 331

โพสต์

หุ้นยุโรปปิดปรับขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3
นักลงทุนเข้าช้อนหุ้นเก็งข่าวกรีซ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่าตลาดหุ้นยุโรปปิดปรับตัวขึ้นในวันพุธเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นที่ยังปรับตัวล้าหลังในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าจะมีผลในเชิงบวกจากการเจรจาเรื่องการให้เงินช่วยเหลือกรีซ

ทั้งนี้ดัชนี DAX ของตลาดหุ้นเยอรมนีปิดบวก 11.72 จุด หรือ 0.16% สู่ระดับ 7,184.71, ดัชนี CAC-40 ของตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดบวก 15.30 จุด หรือ 0.44% สู่ระดับ 3,477.36 และดัชนี FTSEurofirst 300 ของหุ้นกลุ่มบลูชิพทั่วยุโรปปิดบวก 2.97 จุด หรือ 0.27% สู่ระดับ 1,097.43

หุ้นเคพีเอ็นในกลุ่มเทเลคอมพุ่งขึ้น 6.8% จากระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี ท่ามกลางวอลุ่มที่เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยในรอบ 90 วันโดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ของเทรดเดอร์เกี่ยวกับการควบรวมกิจการในธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมของเยอรมนี

รูปภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 332

โพสต์

รูปภาพ

'เบอร์นันเก้'เตือนหน้าผาการคลังคุกคามศก.

เบอร์นันเก้'เตือนหน้าผาการคลังคุกคามเศรษฐกิจ ชี้เฟดยังไม่มีเครื่องมือรองรับ
เบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เรียกร้องให้สภาคองเกรส และคณะทำงานของประธานาธิบดีบารัก โอบามา เร่งทำข้อตกลงเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับภาวะหน้าผาการคลัง (fiscal cliff) โดยกล่าวว่า การปรับขึ้นภาษีและการลดการใช้จ่ายในเวลาเดียวกันนั้น จะเป็นภัยคุกคามต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ

แม้การเจรจาเรื่องแนวทางการหลีกเลี่ยงภาวะหน้าผาการคลังระหว่างโอบามาและผู้สภาคองเกรสเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา จะเป็นไปอย่างสร้างสรร แต่ทั้งสองฝ่ายก็ยังมีความคิดเห็นที่ต่างกันในหลายๆด้าน

เบอร์นันเก้ กล่าวว่า ความไม่แน่นอนด้านการคลังจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจเรื่องการใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจสหรัฐ พร้อมกับเตือนว่า เฟดยังไม่มีเครื่องมือที่จะรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากภาวะหน้าผาการคลัง

"สภาคองเกรสและคณะทำงานของประธานาธิบดีโอบามาจำเป็นจะต้องปกป้องเศรษฐกิจจากผลกระทบของภาวะการคลังหดตัวในช่วงต้นปีหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มาตรการปรับลดงบประมาณการใช้จ่ายและการปรับขึ้นภาษีจะมีผลบังคับใช้ หรือที่เราเรียกกันว่า ภาวะหน้าผาการคลัง ซึ่งการลดการใช้จ่ายและขึ้นภาษีด้วยมูลค่าที่สูงในเวลาเดียวกันเช่นนี้ จะฉุดรั้งเศรษฐกิจสหรัฐให้เข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง" เบอร์นันเก้กล่าวสุนทรพจน์ที่รัฐนิวยอร์ก

นอกจากนี้ เบอร์นันเก้ ยังกล่าวว่า "แม้การแก้ไขปัญหาด้านการคลังไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ทุกฝ่ายก็ต้องร่วมมือกัน โดยเฉพาะฝ่ายนิติบัญญัติที่ควรจะหลีกเลี่ยงการดำเนินการที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะเป็นการฉุดรั้งให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้ง และหากเศรษฐกิจตกอยู่ในภาวะถดถอยครั้งใหญ่ อัตราการขยายตัวของจีดีพีก็จะชะลอตัวลงมากกว่าที่เฟดคาดการณ์ไว้"

ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งนี้ เบอร์นันเก้ แทบจะไม่ได้ส่งสัญญาณว่า เฟดจะใช้มาตรการผ่อนคลายเพิ่มเติมหรือไม่ เมื่อมาตรการ Operation Twist (การขายพันธบัตรระยะสั้นและเข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวเพื่อฉุดอัตราดอกเบี้ยระยะยาวให้ลดลงหมด) จะอายุลงในช่วงสิ้นปีนี้ โดยเบอร์นันเก้กล่าวเพียงว่า "การร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหาการคลังในระยะยาวโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนั้น จะช่วยให้ปี 2556 เป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับเศรษฐกิจอเมริกัน"

รูปภาพ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 333

โพสต์

รูปภาพ

ประมูลพัฒนาที่ริมเจ้าพระยาแข่ง"เอเชียทีค" กทพ.ชูแลนด์มาร์กใหม่20ไร่ผุดโรงแรม-แหล่งช็อปปิ้ง2พันล้าน

รูปภาพ

กทพ.เตรียม ประมูลที่ดินใต้ทางด่วนแปลงไฮไลต์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณสะพานแขวน เนื้อที่กว่า 20 ไร่ ดึงเอกชนร่วมลงทุนมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ทั้งโรงแรม 3-5 ดาว คอมมิวนิตี้มอลล์ จุดชมวิวเลียนแบบโมเดล "ฮ่องกง-ออสเตรเลีย" ดีเดย์ ธ.ค.นี้ออกประกาศทีโออาร์ กำหนดยื่นข้อเสนอ ม.ค.-ก.พ.ปี"56 คิวต่อไปเล็งที่ดิน 50 ไร่ย่านอโศกนำมาเปิดประมูล

แหล่งข่าวจาก การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการพื้นที่ใต้เขตทางด่วน อยู่ระหว่างร่างกรอบข้อกำหนด (TOR) โครงการพัฒนาพื้นที่ใต้ทางด่วนบริเวณสะพานแขวน ติดแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่กว่า 20 ไร่ เพื่อประกาศหาเอกชนที่สนใจร่วมลงทุนระยะยาว 30 ปี โดยจะพิจารณาตามขั้นตอนของ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ คาดว่าจะออกประกาศได้ในเดือนธันวาคมนี้ จากนั้นเปิดประมูลให้เอกชนยื่นข้อเสนอพัฒนาโครงการเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2556

ที่สวย 20 ไร่ริมเจ้าพระยา

"โครงการนี้เรามีแนว คิดจะพัฒนาเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แนวคิดจะคล้ายกับโครงการเอเชียทีคที่คุณเจริญ (สิริวัฒนภักดี) พัฒนาจนกลายเป็นจุดท่องเที่ยวและแหล่งช็อปปิ้ง รวมถึงจะเป็นโมเดลเดียวกับในประเทศฮ่องกงและออสเตรเลีย"

แหล่ง ข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับแนวคิดการพัฒนาโครงการจะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูสหรือผสมผสานการพัฒนารูปแบบ ที่หลากหลาย เช่น ที่อยู่อาศัยในลักษณะโรงแรมระดับ 3-5 ดาว พื้นที่เชิงพาณิชย์ เป็นแหล่งช็อปปิ้งในรูปแบบคอมมิวนิตี้มอลล์ จุดชมวิวริมแม่น้ำ เพื่อรองรับนักท่องเที่ยว เป็นต้น

ส่วนเงินลงทุน โครงการ เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับแนวคิดการพัฒนาโครงการของเอกชนที่จะเสนอประมูลสัมปทานเข้ามาด้วย เช่นกัน รวมถึงรายได้การพัฒนาพื้นที่ ซึ่ง กทพ.จะได้รับตลอด 30 ปีด้วย

"นอก จากแปลงตรงสะพานแขวนจะเป็นไฮไลต์แล้ว กทพ.ยังมีอีกแปลงที่กำลังอยู่ระหว่างศึกษาและจัดทำรายละเอียดโครงการคือ บริเวณทำเลอโศกติดสำนักงานใหญ่ของบริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีซีแอล มีพื้นที่ 50 ไร่ เตรียมมาประมูลหาเอกชนมาพัฒนาเช่นเดียวกัน คาดว่าจะเริ่มเป็นรูปเป็นร่างปี 2556"

พื้นที่ใต้เขตทางรัฐตีตราจอง

แหล่ง ข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับแปลงอื่น ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทางจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้ศึกษาแผนแม่บทพัฒนาพื้นที่ใต้ทาง ด่วนให้ กทพ.เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยเสนอให้จัดทำโครงการนำร่อง 5 แห่ง ขณะนี้มีกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยทำหนังสือขอใช้พื้นที่เพื่อพัฒนา โครงการตามนโยบายของรัฐบาล โดยใช้เป็นสถานที่จัดทำโครงการส่งเสริมสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอท็อป) และเสริมสร้างสุขภาพพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็ก

ทั้ง นี้ ทั้ง 2 กระทรวงขอใช้พื้นที่ได้แก่ 1.บริเวณสุขุมวิทช่วงเพลินจิต ประมาณ 7,245 ตารางวา โดยกระทรวงสาธารณสุขขอใช้พื้นที่ 5 ปี พัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเด็ก เช่น ลานกีฬา สนามเด็กเล่น ลานออกกำลังกาย ห้องสมุด ศูนย์เรียนรู้ การฝึกอาชีพ

2.บริเวณถนนสีลม พื้นที่ 1,606 ตารางวา ตั้งแต่ถนนสีลมถึงสุรวงศ์ ทางกระทรวงมหาดไทยขอใช้พื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์แสดงสินค้าโอท็อป โดยจะยกระดับเป็นสินค้าเกรดพรีเมี่ยม

3.บริเวณถนนประดิษฐ์มนูธรรม พื้นที่ 108,946 ตารางวา เริ่มต้นจากซอยศูนย์วิจัยจนถึงถนนรามอินทรา ล่าสุดทางกระทรวงสาธารณสุขจะขอใช้พื้นที่นำมาพัฒนาเป็นศูนย์การเรียนรู้ พื้นที่แสดงสินค้าโอท็อป เหมือนกับที่ดินบริเวณเพลินจิต

อีก 2 แห่ง บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ซอยศาสนา และบริเวณทางเข้าด่านเก็บค่าผ่านทางพิเศษจตุโชติของทางพิเศษฉลองรัช (อาจณรงค์-รามอินทรา-วงแหวนรอบนอกตะวันออก) ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานไหนขอใช้พื้นที่ แต่มีแนวโน้มว่า กทพ.จะนำที่ดินบริเวณดังกล่าวมาประมูลหาเอกชนมาพัฒนาพื้นที่เพื่อจัดหาราย ได้เพิ่มต่อไป ปัจจุบัน กทพ.มีรายได้จากค่าเช่าการพัฒนาพื้นที่ใต้เขตทางเฉลี่ยประมาณ 140 ล้านบาท/ปี

เปิดแผน 5 แปลงนำร่อง

อนึ่ง แผนการใช้ประโยชน์พื้นที่ใต้ทางด่วน ตามที่ กทพ.ได้ว่าจ้างให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นที่ปรึกษาและจัดทำแผนแม่บท นำร่อง 5 แห่ง มีข้อเสนอกรอบแนวทางการพัฒนาดังนี้ "บริเวณถนนสีลม" รูปแบบพัฒนาเป็นแบบผสมผสาน เช่น ทางเท้า สวนพักผ่อน ลานโล่งสาธารณะ ลานกีฬาชุมชน และเพื่อธุรกิจ เช่น ตลาดชุมชน ตลาดอาหาร ตลาดสินค้า มอลล์เล็ก ๆ ที่จอดรถ ศูนย์บริการรถขนส่ง ที่จอดรถและร้านค้าขนาดเล็ก ลานจอดรถในระยะสั้นและระยะยาว

"บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ซอย ศาสนา" เน้นการขนส่งสาธารณะขนาดเล็ก เพราะเป็นศูนย์รวมคมนาคม เช่น ศูนย์รถตู้ จะมีโถงพักรอผู้โดยสาร ห้องจำหน่ายตั๋ว ห้องน้ำ ร้านค้าเครื่องดื่ม และพื้นที่สวน พื้นที่พาณิชยกรรม เน้นขายอาหารและสินค้า

"บริเวณ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม" แนวคิดการพัฒนา เช่น ศูนย์กีฬา ลานกิจกรรมและส่วนบริการ ลานจอดรถ ตลาดนัดสวนหย่อม และ "บริเวณทางเข้าด่านจตุโชติ" เสนอให้ทำเป็นจุดพักรถ ภายในจะมีสถานีบริการน้ำมัน ร้านค้า ลานจอดรถ จุดซ่อมบำรุงขนาดใหญ่ที่ครบครันด้านบริการ รวมถึงเป็นจุดรองรับการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์ด้วย เนื่องจากอยู่ในเส้นทางที่เข้าออกเมืองได้สะดวก

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 334

โพสต์

"เครื่องดื่มเสริมหล่อ" สุดแรง!! กระทิงแดงส่ง "แมนซั่ม" เข้าชิง

รูปภาพ

การเปิดตัวเครื่องดื่ม "แมนซั่ม"(MANSOME) ของค่ายกระทิงแดง ที่มีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาไปเมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นการ "เซ็กเมนเตชั่น" อย่างชัดเจนในกลุ่มเครื่องดื่มในตลาดฟังก์ชั่นนอลดริงก์

เหมือนกับที่ฝั่งของผู้หญิงจะมี "บิวติ ดริ้งค์" จากค่ายทรัพย์อนันต์ และ "บีอิ้ง" จากสิงห์ ทำตลาดอยู่ก่อนหน้านี้

เป็นตลาดเครื่องดื่มเพื่อความสดชื่นในขวดเพ็ตราคา 20 บาท ที่ไม่ใช่ชูกำลังหรือเกลือแร่ ซึ่งเจาะกลุ่มผู้ชายเช่นเดียวกันอย่างที่เคยเป็นมา และเป็น 2 แคทิกอรี่หลักของกระทิงแดงมาโดยตลอด

ก่อนหน้านี้ กระทิงแดงเครื่องดื่มที่พุ่งเป้าสื่อสารไปยังกลุ่มผู้ชายอย่าง "เรดดี้ บู้ท" ที่ใช้สโลแกนว่า "ปลุกความเป็นชายในตัวคุณ" โดยมี "ชาคริต แย้มนาม" เป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งยังเดินหน้าทำตลาดอย่างเข้มข้น แต่สินค้าตัวนี้ก็ยังออกแนวเครื่องดื่มชูกำลังซึ่งเป็นงานถนัดของกระทิงแดง

แหล่งข่าวจากวงการเครื่องดื่ม เปิดเผยว่า เมื่อหลายปีก่อนกระทิงแดงเคยเปิดตัวน้ำส้มภายใต้แบรนด์ "ฟรุ้ต ฟิต ฟอร์ ฟัน" แต่อยู่ในตลาดได้ไม่นานก็ถอนออกไป ซึ่งทำให้ไลน์บรรจุขวดอะเซปติกที่ใช้สำหรับน้ำส้มตัวนี้ว่างลง ซึ่งล่าสุดได้นำมาใช้กับไลน์ผลิต "แมนซั่ม" ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุดคือ ตลาดเครื่องดื่มผู้ชายยังมีโอกาสมหาศาล และยังไม่มีใครเป็นผู้นำตลาดอย่างแท้จริง

สอบถามไปยัง "วรวิมล กรรมารางกูร" ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแบรนด์ "สก๊อต คอลลาเจน-เอ็ม วิธ ซิงค์" จับกลุ่มเป้าหมายผู้ชายโดยเฉพาะ ซึ่งเปิดตัวมาตั้งแต่ 4 ปีที่แล้ว กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันผู้ชายหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น เริ่มต้นจากผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า ก่อนมาสู่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่เข้ามาเจาะกลุ่มผู้ชายโดยเฉพาะ ทำให้ตลาดสินค้าผู้ชายเติบโตขึ้น

"ปัจจุบันเครื่องดื่มของผู้ชายส่วนใหญ่อยู่ในรูปของเครื่องดื่มรูปแบบชอต (shot) เข้มข้น ขณะที่เครื่องดื่มรูปแบบขวดเพ็ตที่เป็น RTD สำหรับผู้ชายยังมีในตลาดไม่มาก"

"วรวิมล" กล่าวอีกว่า ปัจจุบันยังมีการทำตลาด "คอลลาเจน-เอ็ม วิธ ซิงค์" ต่อเนื่อง สินค้ามีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก แต่ตลาดยังมีขนาดเล็กมาก เพราะเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะกลุ่ม ไม่เหมือนตลาดรังนกและซุปไก่ที่เป็นแมส ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

"การทำตลาดเครื่องดื่มผู้ชายจึงต้องเลือกสื่อที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง อาทิ ออนไลน์ จัดกิจกรรมร่วมกับฟิตเนส รวมถึงการเลือกใช้เมสเซจในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ชายที่ต้องการดูดี"

ด้าน "ชนินทร์ เทียนเจริญ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอเบฟเวอเรจ จำกัด เจ้าของแบรนด์โสมสกัดสำหรับผู้ชาย "ซีแซด วิธ ซิงค์" (CZ with Zinc) ซึ่งปัจจุบันวางตลาดเป็นที่เรียบร้อยในร้านจิฟฟี่ ร้านค้าทั่วไป รวมถึงสถานบันเทิง ในราคา 15 บาท ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ซึ่งอดีตผู้บริหารค่ายกระทิงแดงเชื่อว่าตลาดยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ยิ่งกับเทรนด์เมืองนอกที่สินค้าประเภทนี้ได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ผู้ชายไทยเริ่มมองหาเครื่องดื่มที่ตอบความต้องการของตัวเองมากขึ้น

"จริง ๆ ตลาดมีความต้องการสูง ที่ผ่านมามีแต่เครื่องดื่มที่เจาะผู้หญิงโดยเฉพาะ จะมีใกล้เคียงก็น้ำอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ หรือชูกำลัง จะซื้อชาพร้อมดื่มบางครั้งยังดูไม่ค่อยแมนเลย"

สเต็ปจากนี้ ไอเบฟเวอเรจ ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องดื่มน้องใหม่ที่เน้นกลยุทธ์ "เซ็กเมนเตชั่น" คือเครื่องดื่มที่เจาะกลุ่มเฉพาะทั้งเด็ก ผู้หญิง และผู้ชาย กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวเครื่องดื่มฟังก์ชั่นนอล ผู้ชายเข้ามาเสริมทัพอีกในปีหน้า ตัวแรกจะเป็นรูปแบบอาร์ทีดี ราคา 25 บาท เน้นขายในร้านสะดวกซื้อ โมเดิร์นเทรดต่าง ๆ

ต่อเนื่องด้วยรูปแบบ "ชอต" เข้มข้นที่เน้นคุณประโยชน์ที่ผู้ชายต้องการอย่างเจาะจง โดยตัวนี้จะมีราคาสูงขึ้นอยู่ที่ประมาณ 60-80 บาท วางจำหน่ายทั้งร้านขายยา, ผับบาร์ และสถานบันเทิง

"เชื่อว่าปีหน้าตลาดจะแข่งขันรุนแรงอย่างมาก และจะมีผู้เล่นอีกหลายรายกระโดดเข้าสู่ตลาด"

โจทย์หลักขณะนี้ของเครื่องดื่มผู้ชายคือ การสื่อสารอย่างไรให้โดนใจผู้บริโภค

ที่สำคัญ สามารถเข้าใจในคุณประโยชน์ของตัวสินค้าที่บางอย่างก็ไม่สามารถพูดอย่างโจ่งแจ้งได้นั่นเอง


รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 335

โพสต์

รูปภาพ

ขายดอลลาร์บอนด์แสนล้าน คลังแผนสูงลุ้นฟิทช์-มูดี้ส์-S&Pปรับเครดิตไทย
คลัง นำร่องเข็น "ดอลลาร์บอนด์" วงเงิน 1 แสนล้านบาทขายต้นปี"56 เทสต์ตลาดนักลงทุนต่างชาติ หวังยกระดับเครดิตประเทศขึ้นระดับ A ช่วยเอกชนออกระดมทุนนอกได้ต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ เอสแอนด์พีเข้าเก็บข้อมูลในไทยลุ้นปรับเครดิต "โต้ง" ยันปีหน้าแรงส่ง "รัฐ-เอกชน" ลงทุนดันเศรษฐกิจโต ปรับแผนเบิกจ่ายอัดเงินเข้าระบบหมุนเร็วขึ้น "วิชิต สุรพงษ์ชัย" แนะเอกชนฉวยจังหวะดอกเบี้ยนอกถูกเร่งระดมทุน

แหล่ง ข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า กระทรวงการคลังมีแผนจะออกพันธบัตรสกุลเงินสหรัฐ (US Dollar Bond) วงเงินประมาณ 1,000-3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ถึง 1 แสนล้านบาท ในช่วงประมาณเดือน ม.ค. 2556 โดยมีเป้าหมายทดสอบตลาด เพื่อนำไปสู่การผลักดันให้มีการยกระดับเครดิตเรตติ้งของประเทศ จากปัจจุบันที่เครดิตเรตติ้งของไทยยังอยู่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทั้ง ๆ ที่เศรษฐกิจไทยดีขึ้นมาก เครดิตเรตติ้งน่าจะอยู่ที่ระดับ A เป็นอย่างต่ำ

"คาด จะออกดอลลาร์บอนด์จำหน่ายให้นักลงทุนสถาบันที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งการไปจัดโรดโชว์ของกระทรวงการคลัง ก่อนหน้านี้ ก็มีวัตถุประสงค์เพื่อไปสำรวจความต้องการของตลาดว่า นักลงทุนจะสนใจซื้อแค่ไหน ควรจะออกอายุเท่าไหร่ ถ้ามีความต้องการเกินมาก ก็จะสามารถนำไปอ้างกับบริษัทเครดิตเรตติ้งได้ว่า เครดิตเรตติ้งของไทยควรจะได้รับการปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าปัจจุบัน" แหล่งข่าวกล่าว

หวังเครดิตเรตติ้งไทยขึ้นระดับ A

โดย ปัจจุบันเครดิตเรตติ้งของไทยได้รับการจัดอันดับจากบริษัทมูดีส์ อยู่ที่ Baa1 และบริษัทเอสแอนด์พี อยู่ที่ BBB+ โดยเฉพาะการจัดอันดับของบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ ยังอยู่ที่ BBB เท่านั้น ซึ่งฟิทช์ฯได้ปรับลดเครดิตของไทยลงหลังเหตุการณ์รัฐประหารในปี 2549 และยังให้น้ำหนักกับความขัดแย้งทางการเมืองเป็นปัจจัยหลัก

"หากฟิทช์ เรทติ้งส์ ปรับเพิ่มเครดิตให้ไทย ก็จะส่งผลให้อีก 2 บริษัทปรับเพิ่มตามไปด้วย เพราะ 2 บริษัทนี้มองว่า ถ้าปรับตอนนี้จะทำให้ห่างจากฟิทช์ฯถึง 2 อันดับ คือตอนนี้ของฟิทช์ เรทติ้งส์ดึงอยู่ หากเครดิตเรตติ้งของประเทศเพิ่มขึ้นต่อไปก็จะทำให้การระดมทุนของภาคเอกชนไทย มีต้นทุนที่ต่ำลงได้" แหล่งข่าวกล่าว

โดยขณะนี้ตัวแทนเอสแอนด์พี ได้เดินทางเข้ามาเก็บข้อมูลตัวเลขเศรษฐกิจไทย

แหล่ง ข่าวกล่าวอีกว่า การออกพันธบัตรดังกล่าวน่าจะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เช่นเดียวกับ บมจ.ปตท.ที่ขายหุ้นกู้ ไม่มีหลักประกันและไม่ด้อยสิทธิ มูลค่า 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐ (3.4 หมื่นล้านบาท) แก่นักลงทุนสถาบันต่างประเทศเมื่อเร็ว ๆ นี้ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของรัฐบาลน่าจะต่ำกว่าดอกเบี้ยของ ปตท.ได้

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ปตท.ได้ออกหุ้นกู้อายุ 10 ปี มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3.375% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 30 ปี มูลค่า 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.5% ต่อปี ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นประวัติศาสตร์ของหุ้นกู้ต่างประเทศที่เคยออกและ เสนอขายโดยผู้ออกหุ้นกู้จากประเทศไทย ขณะที่เอสแอนด์พีจัดเครดิตเรตติ้งของ ปตท.ที่ระดับ BBB+ และมูดีส์ให้ที่ระดับ Baa1 โดยมียอดจองซื้อล้นกว่า 10 เท่าของวงเงิน

นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) กล่าวว่า นักลงทุนที่มาร่วมโรดโชว์ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษที่ผ่านมา สนใจพันธบัตรรูปแบบใหม่ ๆ ของคลังอย่างมาก ซึ่ง 1 ในนั้นคือแผนการออกพันธบัตรสกุลเงินสหรัฐ ซึ่ง สบน.กำลังศึกษาระยะเวลาเปิดขาย, วงเงิน และอายุพันธบัตร

โต้งเร่งลงทุนรัฐเทเงินเข้าระบบ

ขณะที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ในการโรดโชว์ที่ประเทศอังกฤษ ได้ใช้โอกาสดังกล่าวเข้าหารือกับทางบริษัทมูดีส์ และฟิทช์ เรทติ้งส์ด้วย ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้ล็อบบี้เพื่อให้มีการปรับเพิ่มเครดิตเรตติ้งของประเทศ ไทยแต่อย่างใด เพราะการปรับเรตติ้งเป็นสิทธิของบริษัทในการพิจารณา

"เรา มีหน้าที่ให้ข้อมูล และต้องทำงานกับบริษัทเรตติ้ง ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมรายปีให้สำนักจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งกรณีฟิทช์ฯเราไม่ได้ติดต่อมาระยะหนึ่ง ผมก็ได้แจ้งไปว่า เรายินดีให้ข้อมูลและจะชำระค่าธรรมเนียมรายปี" นายกิตติรัตน์กล่าว

นอก จากนี้ นายกิตติรัตน์ยังได้กล่าวปาฐกถาในงานสัมมนา "ทิศทางเศรษฐกิจปี 2556 : กลยุทธ์ธุรกิจไทยฝ่าภัยเศรษฐกิจโลก" ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่า นอกจากภาคส่งออกและกำลังซื้อในประเทศแล้ว การลงทุนภาครัฐและเอกชนยังเป็นส่วนสำคัญหนุนการเติบโตของเศรษฐกิจมากขึ้น โดยการลงทุนภาครัฐได้ให้ทุกหน่วยงานราชการจัดเตรียมกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง (TOR) ล่วงหน้าก่อน พ.ร.บ.งบประมาณประจำปีจะผ่านสภา เพราะเมื่อ พ.ร.บ.งบประมาณฯออกมา สามารถเริ่มกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างได้ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีงบประมาณ หรือเร็วที่สุด ซึ่งจะทำให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเร็วขึ้น

ส่วน การลงทุนในโครงการพื้นฐานมูลค่า 2.2 ล้านล้านบาทในระยะเวลา 7 ปี ที่จะออกมาในรูปแบบ พ.ร.บ.การลงทุน ไม่ได้ต้องลงทุนทั้งหมด เพราะในแต่ละโครงการจะมีคณะกรรมการคอยกลั่นกรอง หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ผู้ที่เข้ามาใหม่จะไม่ลงทุนตาม พ.ร.บ.ก็ได้ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่ดี เพราะ พ.ร.บ.นี้ให้อำนาจฝ่ายบริหาร

นาย วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจโลกมีปัญหา ทั้งสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ต่างแข่งขันกันในการลดดอกเบี้ย ถือว่าเป็นโอกาสของเอกชนไทย ที่ลงทุนต่างประเทศ ซึ่งสามารถกู้เงินได้ด้วยต้นทุนที่ถูก เพราะอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ทางธนาคารไทยพาณิชย์เพิ่งมีการกู้เงินที่ได้อัตราดอกเบี้ยถูก เช่นเดียวกันกับ บมจ.ปตท.

"ตอนนี้ดอกเบี้ยถูก เงินสกุลดอลลาร์มีเหลือเฟือ SCB ก็เพิ่งกู้ได้ต้นทุนที่ถูกเป็นประวัติการณ์ จึงเป็นโอกาสของภาคเอกชนไทยที่ลงทุนต่างประเทศ ที่จะสามารถกู้ได้ต้นทุนที่ถูกลงในขณะนี้" นายวิชิตกล่าว

ปรับกฎระเบยบรับลงทุน ตปท.

ด้าน นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง กล่าวถึงแนวโน้มการลงทุนไทยในต่างประเทศปี 2556 ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2556 จะขยายตัวได้ในกรอบ 4.5-5.5% หรือเฉลี่ย 5% ภายใต้แรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ไม่สูงนักประมาณ 2.5% แต่เศรษฐกิจจะยังคงเผชิญกับความเสี่ยงหลายด้านที่ต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้อย่างปัญหาเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรป

การ ที่แนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียจะเติบโตสูง และมีแนวโน้มที่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจจะสูงขึ้น ทำให้ระยะต่อไปมีความจำเป็นที่ไทยจะต้องออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น ดังนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องปรับปรุงกฎระเบียบและกฎหมายให้สามารถรองรับการ ค้าการลงทุนกับเพื่อนบ้านที่จะสูงขึ้น

ภัทรชี้ลงทุนสหรัฐระวังความเสี่ยง

อย่าง ไรก็ตาม นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวถึง "โอกาสสำหรับธุรกิจไทยในโลกตะวันตก" ว่า นักลงทุนที่ยังสนใจการลงทุนในประเทศตะวันตก หากเป็นการลงทุนในสหรัฐต้องระมัดระวังปัญหาระยะสั้น คือความเสี่ยงด้านการคลัง ซึ่งกว่าจะเจรจาแก้ปัญหาสำเร็จจะกินเวลาไปจนเกือบสิ้นปีนี้ ดังนั้นในช่วงนี้จะมีความผันผวนเกิดขึ้นในตลาดเงิน ตลาดทุน

สำหรับใน ระยะปานกลางถึงยาว กรณีบริษัทเอกชนที่มีความสามารถการแข่งขันสูง แม้ว่าความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อลดลง ข้อมูลภาคอสังหาฯที่ดีขึ้น แต่เอกชนไทยที่สนใจไปลงทุนในสหรัฐต้องระวังความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย เพราะขณะนี้ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ เช่น ดอกเบี้ยพันธบัตรระยะ 10 ปี ที่ต่ำเพียง 1.6-1.7% จากปกติที่ดอกเบี้ยระยะยาวต้องอยู่ที่ราว 5% ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐกลับมาฟื้นตัว ดอกเบี้ยจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ซึ่งผู้ที่ลงทุนทำธุรกิจจำเป็นต้องมองระยะยาวทั้งเรื่องผลตอบแทนและต้นทุน ไว้

ส่วนยุโรป สถานการณ์เศรษฐกิจประเมินยากกว่าสหรัฐ จึงมองว่าแทนที่ธุรกิจไทยจะไปลงทุนเพื่อหาตลาดใหม่ น่าจะหันไปมองหาเทคโนโลยีของยุโรปเพื่อนำมาปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ในช่วงที่ค่าเงินบาทมีแนวโน้มที่แข็งค่านี้ จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำเข้าเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้ในต้นทุนที่ถูกลง


รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 336

โพสต์

มื้อเช้า 7 แบบ 7 ประเทศ

อาหารมื้อเช้า เป็นมื้อที่สำคัญที่สุด เพื่อช่วยให้สมองและร่างกายมีพลังงานแร่ธาตุ
และวิตามินต่างๆ ไปช่วยบำรุงร่างกายที่ดำเนินชีวิตทำกิจกรรมในแต่ละวัน อาหารเช้า
ของคนไทยส่วนมากจะทานข้าวเป็นหลัก หรือถ้าทานไม่ทันก็จะทานขนมปัง แซนวิช
หรือนมเป็นต้น แต่บางประเทศในทุกๆวัน มื้อเช้าจะต้องเป็นเมนูนี้เป็นหลัก
มาดูกันว่าเมนูที่เป็นมื้อเช้าของประเทศนั้นๆ คืออะไร น่าทานแค่ไหน

รูปภาพ

ฝรั่งเศส : อาหารเช้าในฝรั่งเศสจะมีกาแฟ อย่าแปลกใจหากคุณทานอาหารในปารีสและพบว่ากาแฟของคุณอยู่ในชามแทนที่จะเป็น แก้ว เพื่อที่ได้ง่ายต่อการนำขนมปังช็อคโกแลตหรือครัวซองท์จิ้มลงไปถือเป็นการทาน แบบดั้งเดิมสำหรับวันหยุด หากเป็นในช่วงกลางอาทิตย์ก็จะเป็นขนมปังกับแยม น้ำผึ้งหรือเนย ลองเริ่มต้นวันใหม่แบบฝรั่งเศสดูซิ

รูปภาพ

เม็กซิโก : สิ่งที่เหมือนกันมากที่สุดอย่างหนึ่งของคนอเมริกาเหนือก็คืออาหารเช้าแบบ เม็กซิโก huevos rancheros ตอติญ่าที่ทำจากแป้งข้าวโพดราดด้วยไข่ดาวและซอส ranchera มักเสิร์ฟกับ frijoles อาหารจานนี้เกือบจะเป็นอาหารเช้ามาตรฐานตั้งแต่ Austin ถึง Soho แต่ที่เม็กซิโกคุณมาสมารถสั่ง huevos ได้หลายแบบ Huevos divorciados (ตามในรูป) ที่สั่งแยกออกเป็นไข่ฟองหนึ่งราดด้วย salsa roja และอีกฟองหนึ่งราดด้วย alsa verde (ตรงกลางราดด้วยซอสที่ทำจากมะเขือเทศชนิดหนึ่ง)

รูปภาพ

จาไมกา : ackee ผลไม้ของจาไมกานำมาตุ๋นจนแห้ง มะเขือเทศ หัวหอม พริกสก็อตบอนเนท และ thyme ที่เป็นส่วนประกอบในอาหารเช้า ต้น ackee เป็นต้นไม่พื้นเมืองของแอฟริกาอยู่ในตระกูลเดียวกับลิ้นจี้และลำไย เนื้อเป็นสีเหลือง ต้องนำไปปรุงถึงจะอร่อย ในการตุ๋นต้องนวดด้วย แช่ไว้ในน้ำทั้งคืนและนำไปต้ม มักเสิร์ฟกับ johnnycakes บิสกิตง่ายๆ ที่ทำจากแป้งหรือแป้งข้าวโพดและนมเปรี้ยวแล้วนำไปทอดในน้ำมัน

รูปภาพ

เวลส์ : เป็นตัวอย่างของอาหารเช้าของอังกฤษ มีความหลากหลายตามีสิ่งที่เหมือนกันคือเบคอน ไส้กรอก และไข่ มักจะโรยถั่วอบ อย่างไรก็ตามอย่าลืมหา laverbread ด้วย ในจานประกอบด้วยสาหร่ายจากชายฝั่งเวลส์ที่น้ำไปต้มจนเหนียวแล้วนำไปผสมกับ ข้าวโอ๊ตบด รสชาดเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้

รูปภาพ

ญี่ปุ่น : ขณะที่อาหารเช้าทางฝั่งตะวันตกมีส่วนประกอบหลักเป็น ซีเรียล ขนมปังปิ้ง และไข่ แต่อาหารเช้าที่ญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และเป็นส่วนใหญ่ของคนญี่ปุ่นด้วยที่จะเริ่มต้นวันด้วย ข้าว อาหารทะเล สาหร่าย และนัตโตะ (ถั่วหมักในซอสถั่วเหลือง) อาจมีอย่างอื่นด้วยที่คุณพบ เช่น เต้าหู้ ปลาทอด และ umeboshi (พลับดอง) ที่ให้รสเค็มและเปรี้ยว

รูปภาพ

เนเธอแลนด์ : ขนมปังธัญพืชและขนมปังกรอบที่เรียกว่า beschui เป็นคาร์โบไฮเดรตสำหรับตัวอย่างอาหารเช้าของชาวดัตช์สำหรับเวลาเร่งรีบ คนในฮอลแลนด์จะเตรียมเนื้อสไลด์ ชีสก้อนใหญ่ กาแฟเข้มๆ และของที่ใช้ทาหรือราดตั้งแต่ Nutella (ครีมถั่วฮาเซลนัทผสมโกโก้) ไปจนถึงน้ำผึ้ง ถ้าต้องการอะไรที่เป็นแบบฉบับบจริงๆ มองหาขวดที่มีชื่อว่า hagelslag เป็นที่นิยมทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ช็อคโกแลตที่ใช้โรยหน้า (เหมือนที่โรยในไอศกรีมในอเมริกาแต่นุ่มนวลและให้รสมากกว่า) ที่ละเลงลงบน beschuit เป็นองค์ประกอบที่ให้ความหวานกับชาหรือกาแฟ Hagelslag จะใส่ลงในนมช็อคโกแลตหรือดาร์คช็อคโกแลต

รูปภาพ


จีน : อาหารเช้าของจีนมีความหลากหลายทั้งติ่มซำจนถึงขนมหัวผักกาด แต่อาหารเช้าของจีนที่เป็นที่รู้จักที่สุด ที่ทานกันทั่วประเทศ ไม่ได้ต้องพูดถึงบุฟเฟ่ในโรงแรมตั้งแต่ที่สิงคโปร์จนถึงญี่ปุ่น นั่นก็คือ congee หรือข้าวต้ม รสธรรมดาแต่เป็นอาหารเช้าที่นิยมที่สุด เป็นพื้นฐานและดึงดูดด้วยเครื่องที่ใส่เพิ่มลงไปอย่าง หมูหยอง กุ้งแห้ง และผักดอง


ขอบคุณข้อมูลจาก
www.mthai.com
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 337

โพสต์

รูปภาพ

สรุปข่าว หนังสือพิมพ์ทันหุ้น


22 พ.ย.--ทันหุ้น
Distributor - Bisnews AFE


SAMTEL คว้างานไอที 430ล.โบรกเกาะติดเป้าหมาย21บ.
SAMTEL หวังเซ็นสัญญางาน APPS ของ AOT ได้เร็วสุดธันวาคมนี้ หลังจากกรมการบินพลเรือน
อนุมัติค่าธรรมเนียมไปแล้ว หนุนกำไรโต 7% จากการรับรู้รายได้ 12 บาทต่อผู้โดยสารต่อเที่ยวฟากโบรก
แนะ "ซื้อ" จากความคืบหน้าโครงการในมือคืบหน้าให้เป้า 21 บาท

'UTP' ปั๊มกำไรขั้นต่ำ 1,130% โชว์ EPS0.95บ.-หุ้นยังต่ำบุ๊ก
UTP ชูคอปี 2555 ปั๊มกำไรสนั่นวงการ 1,130% โชว์ EPS สุดขีด 0.95 บาท จากปีก่อนแค่ 0.08
บาท ลุ้นปันผลครึ่งปีหลังทะลุ 0.20 บาทต่อหุ้น ขึ้นแท่นหุ้นอนาคตไกล จับตาปี 2556 ปั๊มกำลังการผลิตรับ
ออเดอร์อีก 100% แย้มพื้นฐานแกร่งกำไรสะสมอื้อซ่า ราคาหุ้นยังต่ำบุ๊ก 9.78 บาท

'CTW' ส่งซิกปันผลเกิน1บ.ITDป้อนงานดันรายได้30%
CTW ส่งซิกกำไรไตรมาส 4/2555 โตแรงจากไตรมาส 3/2555 ที่ทำได้ 180.21 ล้านบาท หลัง
เดินสายรับงานมือเป็นระวิงแถม TID หนุนหลัง ดันรายได้พุ่ง 30% จับตามาร์จิ้นทะลุเป้า 15% เพราะรับ
งานพรีเมียม ชูคอปี 2555 กำไรเหาะ 650 ล้านบาท EPS 1.63 บาท หรือ 285.20% กูรูจ่อเพิ่มเป้า
เชื่อปันผลเกิน 1 บาทชัวร์ มองต้านสั้น 14.00 บาท

JMART ซดออเดอร์ไอโฟน5ปั้นกำไรปี55ทุบสถิติ 300ล.
JMART ลุ้นกำไรปี 2555 ทำลายทุกสถิติที่ระดับ 300 ล้านบาท โชว์ยอดออเดอร์ไอโฟน 5 อยู่ในมือ
แล้ว 900 เครื่อง เตรียมทยอยส่งมอบให้ลูกค้าก่อนสิ้นปี พร้อมวางแผนปี 2556 ลุยธุรกิจให้เช่าพื้นที่ปักธง
ทำเลย่านวังหิน พร้อมขยายสาขาออกสู่หัวเมืองต่างจังหวัดเพียบ เคาะต้าน 14.00 บาท

MINT ไฮซีซันQ4ผลงานพีควางอนาคตปั๊มกำไรโต15-20%
MINT ไตรมาส 4/2555 ผลงานแกร่งรับไฮซีซัน อัตราเข้าพักเพิ่ม 71-72% จากปีก่อนที่ 68%
อานิสงส์นักท่องเที่ยวเอเชียตะวันออกจ่อเข้าพักสูงกว่าปีก่อน 22% พร้อมตั้งเป้ากำไรสุทธิ ปี 2555-2556
โต 15-20% ส่วนงบลงทุนอยู่ที่ 20,000-25,000 ล้านบาท แถมจัดงบสำรองเพื่อเข้าซื้อกิจการอีก
15,000-16,000 ล้านบาท

EGCO จัดงบลงทุนหมื่นล.ปูพรมธุรกิจไฟฟ้าอาเซียน
EGCO เตรียมงบลงทุนสำหรับปีหน้า 1 หมื่นล้านบาท สยายปีกลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าในแถบอาเซียน
เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียและเวียดนาม ส่วนความคืบหน้าโรงไฟฟ้าเคซอน สรุปแผนไตรมาส 1/2556
ฟากโบรกปรับกำไรปี 2555-2556 เพิ่มขึ้น 5.5% และ 6.1% แนะ "ซื้อ" เป้า 147.57 บาท

'TPOLY' ตั้งโฮลดิ้งลุยธุรกิจพลังงาน
บอร์ด TPOLY ไฟเขียวตั้ง Holding Company "บริษัท ทีพีซี พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด" ลงทุน
กิจการโรงไฟฟ้าทั้งหมด เตรียมขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจพลังงานเต็มรูปแบบ ผู้บริหาร "เจริญ จันทร์พลังศรี"
ย้ำปี 2556 กำไรสุทธิจะกลับมาสดใส

KMCรวยทางลัด-ปั๊มกำไรพุ่งดีลซื้อโครงการในกทม.1แห่ง
ผู้บริหาร KMC "วิรัตน์ เอี้ยวอักษร" ประกาศแผนธุรกิจเร่งหารายได้ระยะสั้นเพิ่ม ด้วยการเข้าเท
กโอเวอร์กิจการคอนโด ที่สร้างเสร็จแล้วแต่ไม่มีศักยภาพในการขายหวังร่นระยะเวลาในการก่อสร้าง ล่า
สุดปิดดีลที่ภูเก็ตเป็นการซื้อโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อมาขายต่อ เล็งอีก 1 โครงการในกทม.คาดได้ข้อ
สรุปไตรมาส 1 ปีหน้า

AMATA ขายที่ทะลุ3.5 พันไร่ นลท.ญี่ปุ่น-จีนย้ายฐานผลิต
AMATA คาดยอดขายที่ดินปี 2555 เกินเป้ามาที่ 3.7-3.8 พันไร่ อานิสงส์นักลงทุนญี่ปุ่น-จีนแห่ย้าย
ฐานการผลิตเลี่ยงค่าแรงในประเทศสูงและมองว่าพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะฝั่งตะวันออกปลอดน้ำท่วม ผู้
บริหาร "วิบูลย์ กรมดิษฐ์" เล็งผลงานปีหน้าโต 20% จากปี้และมีแผนอัพราคาขายที่ดินราว 5-10% ตาม
ความต้องการที่เพิ่มขึ้น

MJDแตกไลน์ธุรกิจผุดคอมมูนิตี้มอลล์อัพกำไร-รายได้ปี56
MJD แตกไลน์ธุรกิจ เปิดโครงการคอมมูนิตี้ มอลล์และสำนักงานให้เช่า ประเดิมโครงการ "อีควิ
น๊อกซ์ พหลวิภา" และอาคารสำนักงาน แย้มปี 2556 เปิดโครงการใหม่ 2-3 โครงการ มูลค่ารวม 6-7
พันล้านบาท และมั่นใจเห็นกำไรชัวร์ด้านรายได้พุ่งแรงดีกว่าปีนี้ 2 พันล้านบาท หลังมี Backlog ราว 7
พันล้านบาท

'UNIQ' โค้งท้ายจ่อรับเงินค่าเคลมแย้มปีนี้ลุ้นแจกปันผล-ต้าน3.48 บ.
UNIQ ลุ้นรับเงินประกันน้ำท่วมส่วนที่เหลือ เผยรอเซ็นสัญญาสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญา 1
มูลค่า 2.9 หมื่นล้านบาท การันตีรายได้ปีนี้โต 10-20% จากปีก่อนทำได้ 4,435 ล้านบาท ส่งซิกหากปลายปี
2555 ผลงานออกมาดี แย้มมีลุ้นกลับมาเห็นจ่ายปันผลแน่ หลังปีก่อนงดจ่ายโบรกจับเทคนิคลุ้นวิ่งชน 3.48
บาท

EPCO ลุ้น Q4/55 ทุบสถิติวางเป้ารายได้ปี56 พุ่ง 40%
EPCO คุยโขมงตัวเลขรายได้-กำไรไตรมาส 4/2555 ทำสถิติสูงสุดของปีนี้ หลังเตรียมรับรู้รายได้
จากธุรกิจโรงไฟฟ้าเข้ามาอีก 35 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าลุยธุรกิจพลังงานต่อเนื่อง วางเป้ารายได้รวมปี
2556 เติบโตไม่ต่ำกว่า 40% ด้านนักวิเคราะห์เทคนิคส่องราคาหุ้นลุ้นรีบาวนด์ต่อเนื่องทดสอบ 2.82 บาท

'แอร์เอเชีย'จัดทริปลัดฟ้ามหากุศลบูรณปฏิสังขรณ์ลุมพินี-ปท.เนปาล
สายการบินแอร์เอเชีย พร้อมร่วมสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ สนับสนุนโครงการบูรณปฏิสังขรณ์สถานที่ประสูติ
ของพระพุทธเจ้า โดยจัดเที่ยวบินพิเศษบินตรงจากดอนเมือง สู่ กรุงกาฐมาณฑุ ประเทศเนปาล เพื่อนำคณะ
สื่อมวลชนและประชาชนที่มีจิตศรัทธาไปดำเนินโครงการ ณ ลุมพินีสถาน ประเทศเนปาล เพื่อบูรณปฏิสังขรณ์
สถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า พร้อมกันนี้ได้อัญเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานเพื่อนำไปถวายที่วัดไทยลุมพินีด้วย

LPN จัด 5 โครงการส่งสุขท้ายปีฟรีดอกเบี้ยยืดเวลาบ้านหลังแรก
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)
(LPN) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้ขยายระยะเวลาโครงการบ้านหลังแรกของธนาคารอาคาร
สงเคราะห์ (ธอส.) ดอกเบี้ย 0% ระยะเวลา 3 ปี ออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน
2555 เป็นสิ้นสุดวันที่ 29 มีนาคม 2556 เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้มีโอกาสเข้าถึงแหล่งเงิน
ทุนได้ง่ายๆ และสามารถมีบ้านเป็นของตนเองได้ในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคน ซึ่งตรงกับกลยุทธ์ของ
บริษัทที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าระดับกลาง-กลางล่างให้สามารถมีบ้านคุณภาพหลังแรกในราคาที่
สามารถเป็นเจ้าของได้ (Affordable House)

'เพอร์นอต ริคาร์ด' อัดงบ 100 ล้านรุกกิจกรรม-ปรับโฉมใหม่รอบ47 ปี
นายกฤษดา กมลวรินทิพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เพอร์นอต ริคาร์ด ประเทศไทย กล่าว
ถึง ภาพรวมอัตราการเติบโตทางธุรกิจของ "กลุ่มบริษัท เพอร์นอต ริคาร์ด" เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลา
เดียวกันของปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 11% คิดเป็นยอดขายกว่า 88,120 ล้านบาท ซึ่งถือว่า
เป็นภาวะเติบโตทางธุรกิจแบบก้าวกระโดดเมื่อคำนึงถึงสภาวะถดถอยของเศรษฐกิจในสหภาพยุโรป ทั้งนี้
เมื่อแบ่งสัดส่วนทางการตลาดแล้ว ปรากฏว่าทวีปเอเชียถือเป็นสัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดโดยคิดเป็น 43% ของตลาด
ทั่วโลก ในขณะที่ทวีปยุโรปคิดเป็น 31% และอเมริกาคิดเป็น 26% และเมื่อเจาะลึกถึงตัวเลขยอดขาย
ภาพรวมของตลาดในภูมิภาคเอเชียแล้วจะเห็นได้ว่ามีอัตราการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยคิดเป็น
13% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยสัดส่วนของตลาดวิสกี้นำเข้าในภูมิภาคเอเชียเองก็เติบโตต่อเนื่อง
ในระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นตลาดสก็อตวิสกี้ถึง 7.6%

กองทุนเคเคพร็อพเพอร์ตี้เพิ่มทุนชูแจกปันผลสูงทำผลงานโดดเด่น
บลจ.เกียรตินาคิน เผยกองทุนเปิดเคเค พร็อพเพอร์ตี้ เพิ่มทุนรอบ 3 ของปีจำนวน 350 ล้านบาท
เปิดขายไม่ถึงสัปดาห์ใกล้เต็มยอดจองเหตุผลการดำเนินงานโดดเด่นเป็นที่ต้องการของตลาด แถมเงินปันผล
สูงเฉลี่ยปีละ 7%

บลจ.ฟินันซ่าออกกองหุ้นทริกเกอร์8%เชื่อรัฐลงทุนดันหุ้นไทยทะลุ 1,471 จุด
บลจ.ฟินันซ่า เสนอขายกองทริกเกอร์หุ้น 8% ภายใน 12 เดือน หลังมองดัชนีหุ้นไทยปีหน้าทะลุ
1,471 จุด เหตุรัฐมีแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ

TIES เฟื่องฟูQ4ผลงานทะลุ 10% เซียนฟันธงกำไรแซบเป้า1.59บ.
TIES เผย Q4/2555 ผลงานพุ่งเหนือ 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 431 ล้านบาท
อานิสงส์งานทะลักเข้าต่อเนื่อง หลังอุตสาหกรรมรับเหมาบูม ฟากผู้บริหารโชว์ Backlog ราว 1.35 พัน
ล้านบาท กินยาวถึงปี 2556 เดินหน้าตะลุยสอยงานเพิ่มราว 2 พันล้านบาท เสริมรายรับอนาคต ฟากนัก
วิเคราะห์แนะ "เก็งกำไร" เคาะราคาเหมาะสม 1.59 บาท ชี้กวาดกำไรท้งปี 32 ล้านบาท

TMI โชว์กำไรไตรมาส 3 พุ่ง 41% ดันแบรนด์ GATA รุกตลาดเพิ่ม
TMI เผยผลงาน 9 เดือน รายได้เติบโตกว่า 25% ในขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 3/2555 เติบโต
41.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดโมเดิร์นเทรดมีการเติบโตสูง พร้อมผลิตสินค้า
แบรนด์ตัวเอง "GATA" ดันออกตลาดมากขึ้น

หุ้นไอพีโอJMT สุดฮอตจองล้นส่งซิกคนรอเก็บในกระดานอื้อ
บล.เอเชีย พลัส ปลื้ม! หุ้นไอพีโอ JMT สุดยอด ยอดจองล้น ขายเกลี้ยงทั้ง 30 ล้านหุ้น ตั้งแต่วัน
แรกที่เปิดให้จองคาดเป็นผลจากนักลงทุนมั่นใจในธุรกิจ และความสามารถในการทำกำไรที่อยู่ในอัตราสูง
ประกอบกับราคาจอง 4 บาทต่อหุ้น มีส่วนลดให้นักลงทุนกว่า 32% คาดคนรอซื้อหุ้นในกระดานเพียบ ด้าน "
ปิยะ พงษ์อัชฌา" ซีอีโอ JMT เชื่อไม่ทำให้ผู้ลงทุนผิดหวัง

TMILL เริ่มซื้อขาย mail 23 พ.ย.นี้
บมจ. ที เอส ฟลาวมิลล์ (TMILL) พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 23
พฤศจิกายนนี้ เป็นบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ลำดับที่ 8 ใน mai ปีนี้ หลังระดมทุน 263.50 ล้านบาท

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 338

โพสต์

รูปภาพ

แอสเซทพลัสเปิดขาย 2 กองทุนหุ้นไทย และเทศ
บลจ.แอสเซท พลัสลุยกองทุนหุ้น เปิดขายรวดเดียว 2 กองทุน “แอสเซทพลัสไพร์ม 3” เน้นลงทุนในหุ้นไทย เป้าหมายผลตอบแทน 9% เริ่มไอพีโอวันนี้-28 พ.ย. และกองทุนเปิด “แอสเซทพลัสสตาร์ 3” เน้นลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องตลอด 1 ปี เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นทุกๆ 5% จากมูลค่าหน่วยลงทุนเริ่มต้น เสนอขายวันนี้-29 พ.ย.นี้

นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวถึงมุมมองของตลาดหุ้นไทยว่า ปัจจุบันนักวิเคราะห์หลายสำนักยังคาดการณ์ว่า SET Index อาจปรับฐานได้จากมุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง รวมถึงความกังวลในเรื่องข้อจำกัดการคลังในสหรัฐฯ

โดยนักวิเคราะห์ต่างๆ ประเมินว่า นักลงทุนอาจมีการขายทำกำไรบางส่วนก่อนที่ดัชนีจะเคลื่อนตัวออกด้านข้าง (Sideway) ในกรอบ 1,265-1,320 จุด ในลักษณะสร้างฐานเพื่อรอความชัดเจนจากปัจจัยต่างๆ และเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุน ซึ่งบริษัทฯ ประเมินว่าถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าเลือกสะสมหุ้นดีในราคาที่เหมาะสม โดยประเมินระดับดัชนีที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนที่ระดับ 1,280 จุด เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 2555 จะขยายตัวอยู่ประมาณ 20% และ 15% ในปี 2556 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของการใช้จ่ายภายในประเทศ และนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราการจ่ายเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูงกว่า 4% และแนวโน้มการลงทุนในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทยอยู่ในทิศทางที่ดีจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้

“ในด้านตลาดหุ้นต่างประเทศ ประเมินว่าในปี 2556 เป็นโอกาสที่ดีในการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ โดยนักวิเคราะห์คาดว่าดัชนี S&P500 จะปรับฐานลงอยู่ที่ 1,250 จุดในปลายปีนี้จากแรงขายระยะสั้นในช่วงที่ตลาดรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับปัญหา US fiscal cliff ดังนั้นจึงเป็นโอกาสที่ดีในการหาจังหวะเข้าลงทุนในหุ้นที่มีธุรกิจระดับโลก และมีศักยภาพในการทำกำไร โดยบริษัทฯ ให้ความสนใจตลาดหุ้นจีนและฮ่องกง จากแนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะสร้างเสถียรภาพทางการเงิน และการคลังให้แก่จีนมากขึ้น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวจากมาตรการ QE3 ที่ผลักดันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการจ้างงาน ตลาดหุ้นยุโรป ซึ่งการชะลอตัวของยุโรปส่งผลบวกต่อธุรกิจวาณิชธนกิจจากการควบรวมกิจการ และการปรับโครงสร้างทางการเงิน และตลาดเอเชีย ที่ยังสามารถสร้างโอกาสในธุรกิจ และมีแนวโน้มเติบโตได้ดีในอนาคต” นางลดาวรรณกล่าว

นางลดาวรรณกล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ จึงเล็งเห็นว่าช่วงนี้เป็นจังหวะเหมาะที่จะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์เป้าหมายที่มีระดับราคาน่าลงทุน และมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการเน้นลงทุนหุ้นรายตัว โดยไม่เทียบกับการปรับตัวของตลาด บริษัทฯ จึงเปิดเสนอขาย 2 กองทุนเพื่อสนองตอบความต้องการของผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นไทย และหุ้นต่างประเทศ ได้แก่ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 28 พฤศจิกายน บริษัทฯ เสนอขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัสไพร์ม 3 (ASP-PRIME 3) เป็นกองทุนผสมที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ 0-100% ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย และมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 9% ใน 1 ปี

โดยกองทุน ASP-PRIME 3 จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้ากลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ให้ความสนใจให้น้ำหนักการลงทุนคือ หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นที่ผลประกอบการจะมีการฟื้นตัว ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวจะเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับกระแสเงินสดใช้ระหว่างทาง ด้วยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งแรกเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่าน 10.50 บาท และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมด และเลิกกองทุนเมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นผ่าน 10.90 บาท หรือเมื่อครบ 1 ปี แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน โดยเริ่มไอพีโอแล้ววันนี้ ถึง 29 พฤศจิกายน 2555

กองทุน ASP-STARS 3 ผู้จัดการกองทุนจะบริหารพอร์ต และจับจังหวะการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทน โดยใช้หลักการเลือกตลาดที่จะเข้าลงทุน เลือกอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และเลือกบริษัทที่แข็งแกร่ง โดยจะเน้นลงทุนในหุ้นของประเทศที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว ได้แก่ หุ้นจีน (ฮ่องกง H-Share) โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากแนวทางปฏิรูปเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ และธุรกิจประกันชีวิต ที่ได้รับอานิสงส์จากการยกระดับสวัสดิการภาคบังคับ หุ้นวาณิชธนกิจและสถาบันการเงินโลกที่มีโอกาสเติบโตจากการฟื้นตัวของยุโรป หุ้นส่งออกยุโรป เช่น หุ้นในกลุ่มยานยนต์ ที่ได้รับผลดีจากค่าเงินยูโรที่อ่อนตัวลง และหุ้นคุณค่าระดับโลก ที่เป็นบริษัทที่มีฐานธุรกิจแข็งแกร่งสามารถทำกำไร และสร้างเม็ดเงินเพื่อการเติบโตในอนาคตได้” นางลดาวรรณกล่าว

รูปภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 339

โพสต์

Good Morning News
22 พฤศจิกายน 2555 -
วรวรรณ ธาราภูมิ

■กลุ่มเจ้าหนี้ของกรีซประสบความล้มเหลวเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกันในการหาทางบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับแนวทางการลดหนี้ของกรีซลง ส่งผลให้ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินช่วยเหลือฉุกเฉินให้แก่กรีซ และจะจัดการประชุมอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 26 พ.ย.นี้ ทั้งนี้ เอกสารที่เตรียมสำหรับการประชุมระบุว่า หนี้ของกรีซจะไม่สามารถปรับลดลงสู่ระดับ 120% ของ GDP ภายในปี 2020 นอกจากว่ารัฐบาลของประเทศสมาชิกยูโรโซนจะตัดหนี้สูญบางส่วนสำหรับเงินกู้ที่ปล่อยให้กับกรีซ ขณะที่นายกรัฐมนตรีกรีซเห็นว่าเป็นเหตุผลที่รับฟังไม่ได้ในการชะลอความช่วยเหลือทางการเงิน

■สเปนคาดว่า เศรษฐกิจของประเทศจะเริ่มฟื้นตัวในปีหน้า ขณะที่ความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะฟื้นคืนสู่ระดับปกติหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายลดการขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลซึ่งจำเป็นต้องลดการขาดดุลงบประมาณลงเหลือไม่เกิน 6.3% ของ GDP ในปีนี้

■รัฐบาลอังกฤษกู้ยืมเงินสุทธิ 8.6 พันล้านปอนด์ในเดือน ต.ค. ซึ่งสูงกว่าเดือน ต.ค.ปีที่แล้วอยู่ 2.7 พันล้านปอนด์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่ 6 พันล้านปอนด์ โดยอังกฤษจะต้องเผชิญกับแรงกดดันและต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าลดค่าใช้จ่ายภาครัฐต่อไป หรือขอเวลาเพิ่มในการแก้ปัญหาการคลังของรัฐ ขณะที่รัฐบาลอังกฤษตั้งเป้าว่าจะกู้ยืมเงินไม่เกิน 1.20 แสนล้านปอนด์ในปีงบประมาณ 2555-2556 หรือลดลง 1.2% จากระดับ 1.214 แสนล้านปอนด์ที่รัฐบาลกู้ยืมในปีงบประมาณก่อนหน้า

■'เบน เบอร์นันกี' เตือนว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯจะเผชิญความเสี่ยงอย่างมีนัยสำคัญ หากเกิดความล้มเหลวในการหารือกันระหว่างรัฐบาลกลางสหรัฐฯและสภาคองเกรสเพื่อหลีกเลี่ยง 'fiscal cliff' เนื่องจากการขึ้นภาษีและการลดงบประมาณรายจ่ายที่มีผลในปีหน้า จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ เนื่องจากภาคธุรกิจจะชะลอการจ้างงานและชะลอการลงทุน ขณะที่ 'มาร์ติน เฟลด์สไตน์' ศาสตราจารย์เศรษฐศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯจะเผชิญภาวะถดถอยอยู่ดี แม้จะสามารถหลีกเลี่ยง 'fiscal cliff' ได้ก็ตาม

■นายชินโซ อาเบะ ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งได้รับการคาดการณ์ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ประกาศเตรียมผลักดันผ่อนคลายนโยบายการเงินครั้งใหญ่ในขอบเขตที่มากกว่าเมื่อ 3 ปีก่อน เพื่อสกัดการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินเยนและภาวะเงินฝืด

■ยอดส่งออกของญี่ปุ่นเดือนตุลาคมลดลง 2.3% และลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ส่งผลให้ขาดดุลการค้าติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากยอดส่งออกไปจีนลดลง 11.6% เนื่องจากกระแสต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นในจีนจากกรณีข้อพิพาทเหนือหมู่เกาะเตียวหยู ขณะที่ยอดส่งออกไปสหภาพยุโรปลดลง 20.1% และยอดส่งออกไปสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 3.1% ทั้งนี้ เศรษฐกิจญี่ปุ่นมีความเสี่ยงที่จะเผชิญภาวะถดถอยอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น หลัง GDP ติดลบมาแล้ว 2 ไตรมาสติดต่อกัน

■สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ชี้ว่า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของกลุ่มชาติตะวันตก จะไม่มีผลกระทบต่อโครงการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยอิหร่านยังคงเดินหน้าผลิตยูเรเนียมบริสุทธิ์ 20% ซึ่งง่ายต่อการเปลี่ยนเป็นอาวุธ

■ยูเอ็น เปิดเผยว่า ปริมาณความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศโลกอยู่ในระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2011 โดย 80% เป็นก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ซึ่งจะคงอยู่ไปนานนับร้อยปี และส่งผลให้โลกของเรามีอุณหภูมิสูงขึ้น ทำให้เป้าหมายของยูเอ็นที่จะทำให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยไม่เกิน 1 องศาเซลเซียสต่อปีทำได้ยากขึ้น

■SET Index ปิดที่ 1,276.39 จุด ลดลง 0.02 จุด หรือ 0.0% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 22,620 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 131 ล้านบาท ทั้งนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงสวนทางกับตลาดหุ้นอื่นๆในภูมิภาค เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่ยังกังวลกับการชุมนุมทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายสัปดาห์นี้ รวมทั้งความกังวลหลังนายเบอร์นันเก้ ออกมาระบุว่าสหรัฐฯ อาจเจอภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้

■อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเปลี่ยนแปลงในช่วง -0.01% ถึง +0.05% สำหรับวันนี้มีการประมูลพันธบัตรธปท. อายุ 3 ปี วงเงิน 35,000 ล้านบาท

■จีน เผยว่ายังไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่บ่งชี้ว่ามีเงินร้อนไหลเข้าสู่จีน แม้ค่าเงินหยวนจะทะยานขึ้นในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม ซึ่งอาจถูกผลักดันมาจากภาวะตลาดที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม จะมีการเพิ่มการตรวจสอบกระแสเงินทุนระหว่างประเทศที่ผิดปกติมากขึ้น ทั้งนี้ ปริมาณอุปสงค์และอุปทานเงิน ตราต่างประเทศยังอยู่ในระดับสมดุล และการคาดการณ์อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนยังคงมีเสถียรภาพ

■ธนาคารโซซิเอเต เจนเนอราล (ซอคเจน) ชี้ว่า ราคาทองคำยังคงมีแนวโน้มแข็งแกร่งไปจนถึงสิ้นปีนี้และปีหน้า โดยในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ ขณะที่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะยังคงอ่อนค่าลงอันเนื่องมาจากการผ่อนคลายนโยบายการเงินในสหรัฐ ทั้งนี้ ซอคเจนคาดว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวโดยเฉลี่ยที่ระดับ 1,802 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาสแรกปีหน้า จากนั้นจะเคลื่อนไหวที่ 1,800 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาส 2 และจะพุ่งขึ้นแตะระดับ 1,850 ดอลลาร์/ออนซ์ในไตรมาส 3

รูปภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 340

โพสต์

รูปภาพ
จาก ‘Hot Pot’ ถึง ‘Daidomon’
จุดเริ่มต้น 2 ตำนานที่ปราศจากคำว่าทำไม่ได้!!

หากพูดถึงร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดที่มีให้เลือกกันหลากหลายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็น อาหารญี่ปุ่น สุกี้ ปิ้งย่าง พิซซ่า ฯลฯ ซึ่งแต่ละอย่างแน่นอนว่าไม่ได้มีเพียงแบรนด์เดียวที่เป็นเจ้าตลาด หากแต่ทุกธุรกิจต้องมีการแข่งขันและสร้างความแตกต่างเพื่อความโดดเด่น และเป็นที่จดจำของผู้บริโภคให้มากที่สุด วันนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ Success Story ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้บริหารสาวสวยเจ้าของร้านอาหารสุกี้สไตล์อินเตอร์บุฟเฟ่ต์อย่าง "Hot Pot" นั่นคือ "สกุณา บ่ายเจริญ" รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮอท พอท จำกัด (มหาชน) และผู้คิดค้นน้ำจิ้มรสแซบของ Hot Pot ซึ่งจะมาเล่าจุดเริ่มต้นและการฟื้นคืนชีพอีกครั้งของแบรนด์ปิ้งย่างอมตะอย่าง "ไดโดมอน"

รูปภาพ
จุดเริ่มต้นของ Hot Pot

เริ่มต้นจากตัวเอง ซึ่งหลังจากเรียนจบปริญญาโท ก็รู้สึกว่าอยากทำธุรกิจและมองว่าธุรกิจไม่น่าจะยาก ประกอบกับด้วยความที่ตัวเองเป็นคนชอบกินสุกี้ ก็เลยมองว่าถ้าทำร้านสุกี้และเราทำรสชาติน้ำจิ้มให้อร่อยก็น่าที่จะอยู่ได้ จึงเริ่มต้นเปิดสาขาแรกเมื่อปี 2538 ที่ห้างตะวันออกคอมเพล็กซ์ ฉะเชิงเทรา ซึ่งหลังจากเปิดสาขาแรกก็ประสบความสำเร็จด้วยดี หลังจากนั้นก็ได้ใจคิดว่าไม่น่าจะยากก็เลยขยายสาขาไปเรื่อยๆ ซึ่งในช่วงแรกสาขาที่ทยอยเปิดใหม่จะเป็นห้างที่ต่างจังหวัด ค่าใช้จ่ายจะไม่ค่อยสูงมากและเราก็ค่อยๆ เรียนรู้การบริหารจัดการไปเรื่อยๆ ก็เปิดสาขาแบบนี้ไปเรื่อยๆ จน 10 ปีให้หลังประมาณปี 2548 ซึ่งตอนนั้นพวกโมเดิร์นเทรดก็เริ่มโตขึ้น เริ่มขยายไปต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น มีโลตัสก็มีร้านสุกี้ชื่อดังไป มีบิ๊กซีไปก็มีร้านสุกี้ชื่อดังไป เราเคยมีความสุขของเราอยู่ตอนนั้นก็ทำให้ยอดขายเราเริ่มลดลงบ้าง และการที่เราจะมาขยายสาขาในกรุงเทพฯ พอบอกเป็นสุกี้เหมือนเจ้าตลาดที่มีอยู่ หรือผู้ประกอบการเดิมที่มีอยู่ก็ทำให้เราได้พื้นที่ค่อนข้างยาก เราเลยคิดว่าถ้ายังทำธุรกิจในแบบเดิมคือทำสุกี้ตามสั่งไปเรื่อยๆ คงโตยาก เลยคิดกันว่าจะทำอย่างไรดี ประกอบกับช่วงนั้นยังไม่มีใครทำสุกี้ที่เป็นบุฟเฟ่ต์ เราเลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นทำเป็นบุฟเฟ่ต์ดีหรือไม่ แต่ถ้าเป็นบุฟเฟ่ต์ที่เป็นสุกี้อย่างเดียวก็อาจติดปัญหาอีก ถึงแม้จะเป็นบุฟเฟ่ต์แต่ก็เป็นสุกี้อยู่ดี ไม่หลุดสักที เลยคิดใหม่ว่าเราจะทำให้คอนเซปต์เราเป็นอินเตอร์บุฟเฟ่ต์ดีมั้ย คือนอกจากจะมีสุกี้แล้วก็ยังมีอาหารอื่นที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น จะได้แยกแนวคิดออกไปว่าเราไม่ได้เป็นสุกี้บุฟเฟ่ต์นะ แต่เราเป็นอินเตอร์บุฟเฟ่ต์ ก็เพิ่มไลน์ของอาหาร มีอาหารญี่ปุ่น จะเป็นพวกซูชิ ยากิโซบะ เทปันยากิ สเต๊กญี่ปุ่น และก็มีอาหารจีน ก็เป็นติ่มซำ มีพวกสลัดบาร์ มีขนมหวาน เครื่องดื่มครบถ้วน และก็เปลี่ยนคอนเซปต์เป็น All you can eat คือสั่งครั้งเดียวก็อิ่มและเลือกกินได้ตามใจชอบ ก็เปิดสาขาแรกที่เซ็นทรัลพระราม 2 ก็ประสบความสำเร็จด้วยดี เราเลยคิดว่านี่คงเป็นฟ้าลิขิต เราเลยเปิดสาขาต่อเนื่องมา ก็เปิดเป็นบุฟเฟ่ต์อย่างเดียว ไม่ได้กลับไปเปิดเป็นสุกี้ชาบูอีกเลย ซึ่งก็ประสบความสำเร็จด้วยดี ส่วนสาขาที่เป็นสุกี้ชาบู 20 กว่าสาขาก่อนหน้านั้นก็ปรับมาเป็นบุฟเฟ่ต์เกือบทั้งหมด ประมาณว่าเราจะเป็นเจ้าแห่งบุฟเฟ่ต์ คือหากนึกถึงบุฟเฟ่ต์ต้องนึกถึง Hot Pot

รูปภาพ
การปั้นแบรนด์ตามแบบฉบับ Hot Pot

ช่วงแรกก็ค่อนข้างลำบากเพราะคนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นแบรนด์ต่างจังหวัด สาขาส่วนใหญ่ก็เป็นสาขาต่างจังหวัด และเราก็ไม่ได้มีเงินเยอะมากที่จะไปทำกิจกรรมทางตลาด โฆษณา ประชาสัมพันธ์ทางทีวี ช่วงแรกๆ ก็จะเป็นการทำการตลาดแบบปากต่อปาก ทำกิจกรรมหน้าร้านบ้าง มีลงโฆษณาในทีวีแต่จะเป็นเหมือนพวกสปอนเซอร์เล็กๆ ในรายการทีวีนิดๆ หน่อยๆ พอให้ลูกค้าได้เห็น มีเงินแทนที่เราจะมาทำกิจกรรมทางการตลาดเราก็นำไปขยายสาขาก่อนดีกว่า เพราะเรามองว่าถ้าสาขาเรายังไม่ครอบคลุม เวลาที่เรานำเงินไปทำกิจกรรมทางการตลาดก็ไม่คุ้ม เพราะเราไม่มีสาขาที่จะรองรับลูกค้า เราเลยใช้วิธีขยายสาขาก่อนและเน้นเรื่องการให้บริการและอาหารให้ลูกค้าบอกกันปากต่อปาก ซึ่งต้องเป็นการบอกที่ดีว่ามาร้านนี้อร่อย มาร้านนี้บริการใช้ได้ไม่ต้องถึงกับดี คุ้มค่าที่จะเข้ามารับประทานแล้วก็ค่อยๆ ขยายสาขาขึ้น ตอนที่เริ่มทำโฆษณาก็มีสาขาประมาณ 70 สาขาแล้ว แต่ถ้าโฆษณาจริงๆ จังๆ ก็ประมาณ 3 ปีที่แล้ว และก่อนโฆษณาก็ต้องเตรียมความพร้อมในร้าน ซึ่งจะบอกกับเด็กเสมอเลยว่าถ้าการโฆษณาคือการเรียกลูกค้าเข้ามา ในเมื่อเราเรียกลูกค้าเข้ามาแล้ว เราก็ต้องให้ลูกค้าประทับใจออกไป ไม่ใช่ว่าเสียเงินโฆษณาแล้ว และลูกค้าบอกว่าไม่น่ามาเลย เชื่อโฆษณามาได้ยังไงไม่เห็นอร่อยเลยก็ใช้เวลาเป็นปีในการปรับและเตรียมมาตรฐานความพร้อม มาตรฐานการทำงาน เครื่องมืออุปกรณ์พร้อมหรือไม่ พนักงานให้บริการเป็นอย่างไรบ้าง พนักงานพร้อมที่จะให้บริการลูกค้าครบถ้วนหรือไม่จำนวนพนักงานเพียงพอหรือเปล่า พอออกโฆษณาวันที่ 1 ต.ค.2552 ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ อาจจะเป็นด้วยลูกค้าที่ไม่รู้จักเราก็รู้จักเยอะขึ้น ก็เข้ามาใช้บริการเยอะขึ้น และด้วยความที่เราเตรียมตัวมาค่อนข้างดีช่วงที่โฆษณาก็ทำให้มันพีคขึ้นไป พอเราเริ่มลดโฆษณามันก็ไม่ได้ทำให้เราลดลงมาจุดเดิมมันก็ลดลงมาบ้าง

ลด 25% กลยุทธ์ขั้นเทพของฮอท พอท

เริ่มทำเมื่อ 2-3 ปีแล้ว ตอนที่ทำไม่ได้ทำทุกสาขา เริ่มทำแค่ไม่กี่สาขา แล้วก็ถือว่าประสบความสำเร็จด้วยดี อาจจะเป็นเพราะว่าคือส่วนหนึ่งเราก็ได้ข้อมูลมาว่าลูกค้าเคยเห็นร้านเราแต่ไม่กินด้วยเหตุผลไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าคืออะไร ไม่รู้ว่าจะคุ้มหรือไม่ ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่า แต่พอทำส่วนลด 25% คำว่าส่วนลด 25% ตัวใหญ่ๆ หน้าร้าน มันดึงดูดสายตาลูกค้ามากเลย ประมาณว่าแบบไม่อร่อยก็ขอลองดู ไม่รู้จักก็ขอลองสักหน่อย ลดตั้ง 25% ยังไงก็น่าจะคุ้มก็เลยได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาใช้บริการค่อนข้างเยอะเหมือนกัน ซึ่งดีมากๆ ก็เลยปูพรมทำเหมือนกันทุกสาขา ก็เลยถือว่าอันนี้แทบจะเป็นซิกเนเจอร์ของฮอต พอตไปเลย และจะเห็นว่าถ้าไปตามห้างสรรพสินค้าที่มีร้านเราอยู่ด้วย วันพุธจะเป็นมหกรรมบางสาขาลูกค้าเหมือนงานเลี้ยงเลย เต็มหน้าร้าน ร้านอื่นแบบเงียบเหงาไปตามๆ กัน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ส่วนเหตุผลที่ต้องเป็นวันพุธ เพราะมันเป็นกลางสัปดาห์ ปกติคนจะไม่ค่อยออกไปไหน

รูปภาพ
แผนการโกอินเตอร์

คิดไว้แต่คงยังไม่ใช่ระยะเวลาอันใกล้นี้ เพราะตอนนี้อยากจะใช้เวลากับพลังงานในเมืองไทยที่ยังมีที่ทางให้เราทำกินอยู่ได้ ก็อยากจะใช้พลังงานไปกับการขยายสาขาในประเทศให้ครบถ้วน เพราะทุกวันนี้ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ ยังขาดอีกหลายจังหวัดเหมือนกัน เพราะใต้ เรามีแค่ที่ชุมพร สุราษฎ์ฯ หาดใหญ่ ภูเก็ต ตรัง ไม่เยอะมาก ก็ยังมีที่ให้เราเปิดได้ตามห้างอื่นๆ ทั่วๆ ไปที่เขาเปิดก็ยังศึกษากันอยู่ เพราะหากเราไปเปิดต่างประเทศเราก็ต้องไปศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค เราต้องไปคำนึงถึงวัตถุดิบว่าเราจะส่งไปอย่างไร ส่วนที่เราส่งไม่ได้ ผัก ผลไม้ จิปาถะจะหาซื้อจากใคร เราจะควบคุมอย่างไร ขนาดกรุงเทพฯ เชียงใหม่ สมมติเรายังไม่มีเวลาดูแลให้ดีเลย แล้วเราจะไปกรุงเทพฯ เวียดนาม แล้วเราจะไปทำอย่างไร ขนาดเด็กไทยยังพูดกันไม่รู้เรื่องเลย จะให้ไปสื่อสารกับพนักงานที่เป็นคนเวียดนามและลูกค้าที่เป็นเวียดนาม มันใช้พลังงานเยอะ เราต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว

ปัญหาและอุปสรรค

ปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคน ยิ่งช่วงนี้ร้านอาหารเปิดขึ้นเยอะมาก ถ้าไปตามห้างสรรพสินค้าจะเห็นเลย โซนของร้านอาหารถ้าเปรียบเทียบกับห้างสมัยก่อน โซนร้านอาหารจะไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ แต่ห้างสมัยนี้โซนร้านอาหารเยอะถึงเยอะมาก 30-40 แบรนด์ และมีแบรนด์เกิดใหม่ทั้งผู้ประกอบการเก่า ซื้อแฟรนไชน์เข้ามา หรือพัฒนาแบรนด์ของตัวเอง คนใหม่ก็อยากเข้ามาเล่นตลาดนี้เพิ่มมากขึ้น การแข่งขันมันค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นในแง่ของพนักงานที่จะทำอยู่ในธุรกิจบริการแบบนี้ก็ชิงกันไปชิงกันมาแล้วพอเป็นธุรกิจบริการ ยิ่งต้องกลับข้างกับชีวิตคนทั่วๆ ไป เพราะส่วนใหญ่เราต้องการให้คนมาบริการเรา แต่พนักงานบริการเหล่านี้ต้องกลับข้างไปบริการคนอื่นก็ต้องกลับชีวิต ซึ่งเราบอกกับพนักงานเราว่าการทำงานร้านอาหาร คุณเป็นคนพิเศษมากเลยนะ คุณชอบดูหนังละครทีวีคุณก็ไม่ได้ดูเพราะ 2 ทุ่มคุณยังอยู่ที่ร้านเลย คุณชอบเล่นสงกรานต์ คุณทำงานร้านอาหารไม่ได้ เพราะสงกรานต์คุณจะไม่ได้เล่นน้ำ คุณจะต้องอยู่ที่ร้านและคุณจะต้องเหนื่อยมากๆ เพราะมันเป็นช่วงเทศกาล อันนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้แรงงานในภาคธุรกิจการให้บริการค่อนข้างจะลำบากมากด้วยเหมือนกัน เพราะนิสัยคนไทยจริงๆไม่ค่อยชอบให้บริการเท่าไหร่นะ เพราะคนที่มาทำงานส่วนใหญ่ก็จะเป็นเด็กๆ วุฒิภาวะก็ไม่มาก บางทีผู้บริหารร้านสาขา ผู้จัดการร้านบ่นบ้าง ก็อุ๊ยไม่เอา ฉันออกไปอยู่ร้านโน้นก็ได้ ร้านนี้ก็ได้เพราะเขามีทางเลือกค่อนข้างเยอะ

รูปภาพ

แนวทางแก้ปัญหา

เรื่องค่าแรง เรื่องสวัสดิการก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่ต้องสมดุลกันให้ได้ เพราะถ้าเราขึ้นค่าแรงมาก็เป็นค่าใช้จ่ายของเรา ซึ่งก็จะทำให้กำไรเราหดหายลงไป แต่เราไม่เพิ่มก็ไม่ได้เพราะถ้าไม่เพิ่มก็จะส่งผลกระทบต่อลูกค้า ค่าใช้จ่ายไม่เพิ่มแต่ยอดขายลงเพราะไม่สามารถบริการลูกค้าได้ดี ดังนั้นก็ต้องสร้างสมดุลกันในแง่ของเพิ่มอัตราค่าแรงให้จูงใจพนักงาน ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ให้ค่าใช้จ่ายของเราสูงจนกระทั่งไปกินยอดกำไรของเราไปจนหมด สิ่งที่ทำได้อีกอย่างคือการพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ก็ต้องไปเน้นในเรื่องของการเทรนนิ่ง จากพนักงานสาขานี้มีสัก 20 คน ถ้าเราต้องเพิ่มเงินเดือน เราเลือกสัก 18 คนได้หรือไม่ ให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ให้คนๆ หนึ่งทำงานได้เยอะขึ้น คือไปเน้นในเรื่องนั้นมากกว่าถึงจะพอทำให้เราสมดุลได้ดีขึ้น ก็ต้องไปเน้นหนักในเรื่องการฝึกอบรมต่างๆ รวมถึงการทำให้เขาเห็นช่องทางการเจริญเติบโตในการทำงาน พอคุณเข้ามาเป็นพนักงานเสิร์ฟ ก็ไม่ใช่ว่าคุณต้องเสิร์ฟไปชั่วชีวิตนะ มันก็ต้องวางการเติบโตให้เขาเห็น ถ้าคุณเข้ามา 6 เดือน เราจะมีสอบจากนี้คุณจะเติบโตไปเป็นอะไร ไปเป็นซุปเปอร์จากซุปเปอร์แล้วไปไหนต่อ คุณทำงานที่นี่กี่ปี 2 ปี 3 ปี คุณมีโอกาสโตไปเป็นระดับบริหารร้านสาขา อีกกี่ปีมีโอกาสโตไปเป็นผู้จัดการเราก็ต้องฉายภาพให้เขาเห็น มันก็มีคนเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อันนี้ก็แล้วแต่

ถึงวันที่ฮอท พอท แตกไลน์ธุรกิจ

ปลายปีที่แล้วช่วงวันที่ 15 ธ.ค.54 เราได้รับโอนไดโดมอนเข้ามา หลังจากเราตัดสินใจซื้อกิจการ ซึ่งถือเป็นการขยายไลน์จากบุฟเฟ่ต์ประเภทต้ม ไปเป็นบุฟเฟ่ต์ประเภทปิ้งย่างเพิ่มขึ้น ก็ทำให้โอกาสการขยายสาขาของเรามีเพิ่มขึ้น เช่น ห้างเปิดใหม่ปกติเราก็ขยายได้ 1 สาขา แต่ตอนนี้เราก็จะได้กลายเป็น 2 สาขา คือ บุฟเฟ่ต์ต้มและปิ้งย่าง คือมีไปทั้งฮอทพอทและไดโดมอน การขยายสาขามันก็จะขยายได้เร็วขึ้นดีขึ้น และเราพูดถึงไดโดมอนคนรู้จักเยอะแต่จะดีไม่ดีไม่รู้ แต่ว่าพอพูดถึงไดโดมอนปุ๊บทุกคนรู้จักว่าไดโดมอนคืออะไร ซึ่งบางคนอาจจะยี้ บางคนก็เออไดโดมอน ซึ่งมันน่าจะง่ายกว่าการสร้างแบรนด์ใหม่ สมมติบอกว่าฮอตกริว บายฮอท พอท มันคืออะไรคนก็อาจจะยังงง ยังสงสัยอยู่ แต่ถ้าไดโดมอนปุ๊บคนรู้แล้วว่าไดโดมอนคืออะไร เราก็คิดว่าการที่ได้แบรนด์มาแล้ว เรานำมารีเฟรซแบรนด์ใหม่ไม่น่าจะยาก เพราะคนวัยทำงานส่วนใหญ่เออเฮ้ย ฉันจำได้ไดโดมอน ฉันเคยไปกินสมัยยังวัยรุ่น ยังเป็นนักศึกษา บางคนก็บอกว่าอยากให้ปรับปรุงเร็วๆ อยากไปลองกินดูว่าไดโดมอนปรับโฉมใหม่จะเหมือนกับที่เคยกินสมัยวัยรุ่นหรือเปล่า ซึ่งคาดว่าหากไดโดมอนเปิดตัวร้านก็จะต้องอยู่ใกล้กันกับฮอทพอทเพราะจะง่ายต่อการบริหารจัดการ เราสามารถแชร์แอเรียส่วนกลางได้ แต่ถ้าเป็นลูกค้าจะเห็นมองจากข้างนอก ฮอทพอทกับไดโดมอนจะไม่เหมือนกันนะ เป็นคนละอันกันชัดเจน อย่างบอกว่าฮอทพอทเน้นสีเขียว แต่ไดโดมอนจะเน้นสีส้มคนละแบรนด์เลย แต่ส่วนของครัวกลางในร้านอาจจะแชร์กันได้ เช่น ครัวล้าง และถ้าเราบอกว่าไดโดมอนก็มีซูชิ ฮอทพอทก็มีซูชิ ดังนั้นก็มีครัวซูชิที่แชร์กัน อย่างพ่อครัวที่อยู่หลังร้านก็อาจจะต้องทำเสิร์ฟทั้ง 2 ร้าน มันก็ทำให้เราควบคุมเรื่องค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น ผู้บริหารสาขาก็อาจจะมีผู้จัดการสักคนหนึ่งดูทั้งสองสาขา และก็มีพวกผู้ช่วยอะไรกันไป

รูปภาพ
โฉมใหม่ไดโดมอน ไฉไลกว่าเดิมแน่นอน

สิ่งที่แพลนไว้สำหรับไดโดมอนคือปรับปรุงอาหารเล็กๆ น้อยๆ กับปรับร้านบางส่วนให้แมตช์กับอาหารที่เราเพิ่มเข้าไป เช่น มีซูชิเพิ่มขึ้น และช่วงนี้อยู่ในขั้นที่ 2 คือทยอยปิดร้านสาขาเพื่อปรับปรุงใหม่ ปรับโฉมของไดโดมอนเป็นโฉมใหม่เลย ในขณะเดียวกันก็มีไดโดมอนที่เราเปิดใหม่ที่เป็นโฉมใหม่ที่เราอยากได้พอดี เพราะมีห้างใหม่ติดต่อเข้ามา เราก็เลยเปิดไดโดมอนโฉมใหม่อันนี้ด้วย ซึ่งก็ถือว่าดี เช่นที่เซ็นทรัลเชียงราย และล่าสุดที่เพิ่งเปิดก็คือเซ็นทรัลสุราษฎร์ฯ ก็มีทั้งฮอทพอทและไดโดมอน ในส่วนของตัวไดโดมอนที่ซื้อมา ประมาณ 20 กว่าสาขาก็ค่อยๆ ทยอยปิดตามแผนก็คือประมาณไตรมาส 2-3 ปีหน้าตามแพลนที่จะเริ่มทยอยปิดและปรับปรุงใหม่ได้ทุกสาขา ซึ่งคาดว่าประมาณไตรมาส 4 ปี 2556 เราจะได้เห็นไดโดมอนในรูปแบบใหม่และครบ และอาจจะเริ่มทำกิจกรรมทางการตลาด

รูปภาพ

ฝากถึงผู้อ่าน

ถ้าจะทำอะไรมันจะต้องไม่เริ่มจากคำว่าทำไม่ได้ ถ้าจะทำอะไรหรือคุณได้รับมอบหมายมา อย่าเริ่มคิดจากคำว่าทำไม่ได้ เพราะถ้าเริ่มคิดจากคำว่าทำไม่ได้ มันจะมีเหตุผล 108 ที่จะมาซัพพอร์ตว่าทำไม่ได้เพราะ 1 2 3 4 แต่ถ้าเราคิดว่าฉันจะทำให้ได้ ถ้าคุณตั้งธงว่าจะทำให้ได้เดี๋ยวคุณจะหาวิธีทำให้มันได้ เราไม่ได้บอกว่า คำว่าทำได้ของเราทำได้ดีหรือไม่ดีนะ อาจจะทำมาแล้วไม่ได้ดีก็ได้ แต่เราตั้งใจแล้วว่าเราจะทำให้ได้ มันเป็นความท้าทายตัวเรา สำหรับทำงานพอเราไปตั้งธงแบบนั้นแล้วเราจะมีความมุ่งมั่นความพยายาม ความทุ่มเท มันจะต้องตามมาเพราะเราจะคิดว่าเราจะต้องทำให้ได้ ถ้าถามว่าเป็นคติพจน์ของตัวเองในการทำธุรกิจหรือไม่ เราก็คิดอย่างนั้นมาตลอด ปัญหาอะไรเข้ามามันต้องแก้ไขได้มันไม่มีปัญหาอะไรที่แก้ไขไม่ได้ แก้ได้ดีหรือไม่ดีไม่รู้ แต่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ต้องค่อยๆ แก้ไปทีละเรื่อง

รูปภาพ
โดย ไทยรัฐออนไลน์
22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 341

โพสต์

รูปภาพ
รัฐเผย"สัญญาสุภาพบุรุษ"MOUขายข้าวจีน

"พาณิชย์" เผยไทยลงนาม MOU ขายข้าวจีทูจีให้จีน แบบไม่ระบุปริมาณ-เวลาส่งมอบ อ้างสัญญาสุภาพบุรุษ ขณะที่สื่อนอกวิเคราะห์ข้อตกลงไทยขายข้าวให้จีนแค่หวังผลทางการเมือง ด้านเอกชน 4 รายได้สัญญาขายข้าวให้จีน 3 แสนตัน มูลค่ารวม 7.2 พันล้านบาท "โฆษกข้าว" ลั่นส่งมอบข้าวจีทูจีแล้ว 1.7 ล้านตัน คืนเงิน ธ.ก.ส. 5.6 หมื่นล้านบาท มั่นใจสิ้นปีคืนเงิน 7 หมื่นล้านบาท ตามเป้า ด้าน FAO ประเมินสต็อกข้าวโลกปีนี้เพิ่ม 7% คาดไทยเทขายสต็อกเพิ่มปริมาณค้าข้าวโลก

นายทิฆัมพร นาทวรทัต รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในฐานะโฆษกข้าวประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงการลงนามความร่วมมือบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ว่าด้วยความร่วมมือในการซื้อขายข้าว ระหว่างนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ และนายเฉิน เตอ หมิง รมต.การค้าของจีน โดยมีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นสักขีพยาน ว่า ถือเป็นการทำเอ็มโอยู ร่วมกันเป็นครั้งแรกแม้ไทยและจีน จะค้าขายข้าวมานาน โดยในเอ็มโอยูดังกล่าว ไม่ได้กำหนดทั้งปริมาณและช่วงเวลาในการส่งมอบข้าวให้กับรัฐบาลจีน เพื่อความสบายใจของทั้ง 2 ประเทศ แต่ระบุว่าจีนจะนำเข้าข้าวจากไทยให้มากที่สุดผ่านความร่วมมือในทุกด้าน ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ขณะที่ไทยจะส่งออกข้าวคุณภาพดีให้กับจีน

“สาเหตุที่ไม่ระบุปริมาณและระยะเวลาส่งมอบ ก็เพื่อความสบายใจของทั้ง 2 ฝ่าย เพราะการระบุปริมาณ อาจเป็นการมัดคอคนทำงาน เนื่องจากจีนอาจซื้อข้าวจากไทยต่ำกว่าปริมาณที่ระบุไว้ หรืออาจทำให้ประเทศผู้ส่งออกอื่นกล่าวหาได้ว่า ทำไมไม่ซื้อจากเขาบ้าง และไม่ต้องกังวลว่า เมื่อไม่กำหนดปริมาณแล้ว จีนจะไม่นำเข้า เพราะว่าเอ็มโอยู เป็นการลงนามโดยรมต.ของทั้ง 2 ประเทศ โดยมีนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 ประเทศเป็นพยาน ก็เหมือนเป็นสัญญาสุภาพบุรุษ ที่จีนจะต้องซื้อข้าวจากไทยอยู่แล้ว อีกทั้ง 2 ประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมายาวนานแล้ว” นายทิฆัมพร กล่าว

ชี้จีนนำเข้าข้าวจากไทย3.2แสนตันต่อปี

ในแต่ละปีจีนมีความต้องการนำเข้าจากทั่วโลก 1.5-2 ล้านตัน และในปีที่ผ่านมา จีนนำเข้าข้าวจากไทย 320,000 ตัน เป็นข้าวหอมมะลิ 50% ข้าวขาว 25% ข้าวปทุมธานี 8% ข้าวเหนียว 16% และที่เหลือเป็นข้าวชนิดอื่นๆ แต่เมื่อทำเอ็มโอยูแล้ว จีนจะซื้อจากไทยเพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะมีความต้องการจะซื้อข้าวจากไทยอยู่แล้ว ทั้งเพื่อบริโภคในประเทศ และเพื่อส่งไปช่วยเหลือประเทศที่ 3 เช่น ประเทศในทวีปแอฟริกา

ก่อนหน้านี้ จีนเคยซื้อข้าวจากไทยเพื่อส่งต่อไปช่วยเหลือคิวบามาแล้ว แต่คงไม่สามารถระบุปริมาณที่แน่ชัดได้ สำหรับปริมาณที่จีนจะซื้อจากไทยครั้งนี้จะเพิ่มเติมจากที่ได้ทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่ไทยทำสัญญาไปแล้วในปีนี้ปริมาณ 7.32 ล้านตัน ภายใต้ 6 สัญญา กับ 4 ประเทศ คือ จีน อินโดนีเซีย โกตดิวัวร์ และ บังกลาเทศ

กระทรวงพาณิชย์ ได้เสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบการทำเอ็มโอยูซื้อขายข้าวกับจีน โดยระบุปริมาณนำเข้าข้าว 5 ล้านตัน เป็นเวลา 3 ปี แต่ในการลงนามเอ็มโอยูจริงๆ กลับไม่ระบุปริมาณแต่อย่างใด ซึ่งผู้ส่งออกมองว่า ไม่มีผลกับการส่งออกข้าวของไทย เพราะจีนอาจไม่นำเข้าตามที่ลงนามในเอ็มโอยูก็ได้ เพราะไม่มีผลผูกมัดทางกฎหมาย แต่สิ่งที่ต้องจับตาคือ จะมีการซื้อขายกัน และจะมีปริมาณข้าวออกจากประเทศไทยจริงหรือไม่

เอกชน4รายคว้าสัญญาข้าว3แสนตัน

นอกเนือจากการลงนามเอ็มโอยูซื้อขายข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐแล้ว ยังมีการลงนามสัญญาซื้อขายข้าวระหว่างภาคเอกชนของไทย 4 ราย และรัฐวิสาหกิจและเอกชนของจีน 6 ราย จำนวน 8 สัญญา โดยเป็นสัญญานำเข้าข้าวจากไทย 3 ชนิด รวมประมาณ 300,000 ตัน ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และ ข้าวเหนียว ราคาเฉลี่ยข้าวทั้ง 3 ชนิดตันละ 800 ดอลลาร์ มูลค่ารวม 240 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 7,200 ล้านบาท

"ซี.พี.ฯ-ไทยฟ้า" นำทีมเซ็นสัญญาจีน

แหล่งข่าวจากวงการส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า การลงนามซื้อขายข้าวเอกชนไทย-จีน 4 บริษัท 8 สัญญา นั้น ผู้ส่งออกข้าวในประเทศไทยที่ได้สัญญามีอยู่ด้วยกัน 3-4 รายใหญ่ เช่น ซี.พี. อินเตอร์เทรด, บริษัท ไทยฟ้า (2511) จำกัด, บริษัท เอเชียโกลเด้นไรซ์ จำกัด เป็นต้น ซึ่งบริษัทเดียวสามารถเซ็นได้หลายสัญญา และปริมาณการซื้อขายเกือบ 3 แสนตันนั้น ถือเป็นปริมาณที่ไทยส่งออกข้าวไปจีน ที่ปกติที่มีการซื้อขายระหว่างกันอยู่แล้ว และคิดเป็น 10% ของการนำเข้าข้าวของจีนจากทั่วโลก

ในการเซ็นสัญญาดังกล่าวต้องดูที่การส่งมอบว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ส่วนในเรื่องของราคาขายที่ตกลงกันที่ 800 ดอลลาร์ต่อตัน เชื่อว่าเป็นราคาเฉลี่ยของข้าว 3 ประเภท คือ ข้าวหอมมะลิ ข้าวขาว และ ข้าวเหนียว ซึ่งโดยปกติข้าวหอมมะลิราคาส่งออกเฉลี่ยอยู่ที่ 11,000 ดอลลาร์ต่อตัน และข้าวขาวอยู่ที่ 500 ดอลลาร์ต่อตัน

"หากซื้อขายจริงถือว่ามากที่สุดเพราะจีนหันไปซื้อข้าวจากเวียดนามเป็นจำนวนมาก เพราะที่ผ่านมาราคาข้าวขาวของไทยสูงขึ้น และในช่วงปีนี้การส่งออกข้าวจากไทยไปจีนลดลงมากเหลือประมาณ 90,000 ล้านเท่านั้น"

โดยที่จีนไม่ถือเป็นตลาดหลักของการส่งออกข้าวของไทย แต่หากมีการส่งมอบตามสัญญาจริงก็ถือเป็นเรื่องที่ดี ขณะที่ตลาดการส่งออกส่วนใหญ่อยู่ที่ ไนจีเรีย แอฟริกาใต้

เตรียมคืนเงินธ.ก.ส.7หมื่นล้านในปีนี้

นายทิฆัมพร กล่าวถึงความคืบหน้าการขายข้าวจีทูจี ปริมาณ 7.32 ล้านตัน ว่า ล่าสุดรัฐบาลส่งมอบให้ผู้ซื้อแล้ว 1.7 ล้านตัน มีเงินส่งคืนให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แล้วประมาณ 56,000 ล้านบาท คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้ จะสามารถส่งมอบได้เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.8 ล้านบาท และมีเงินคืน ธ.ก.ส. ประมาณ 70,000. ล้านบาท ตามแผนที่วางไว้

นอกจากนี้ ยังอยู่ระหว่างการเจรจาขายจีทูจีกับอีกหลายประเทศ ทำให้คาดว่า การส่งออกข้าวไทยในปีนี้ ทั้งแบบจีทูจีและของเอกชนจะมีปริมาณ 7.3 ล้านตัน ราคาเฉลี่ยตันละ 680 ดอลลาร์ต่อตัน รวมเป็นเงินราว 5,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 150,000 ล้านบาท

ส่วนสถิติตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-19 พ.ย. 2555 ไทยส่งออกแล้ว 6.17 ล้านตัน ลดลง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่า 4,202 ล้านดอลลาร์ ลดลง 23% แต่ราคาเฉลี่ยในปีนี้สูงกว่าปีก่อน 19%

สื่อนอกชี้แค่หวังผลทางการเมือง

"กรุงเทพธุรกิจ"อ้างรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ชี้ว่า ข้อตกลงของไทยในการขายข้าวแก่จีน ดูเป็นเชิงการเมืองมากกว่าโอกาสที่แท้จริงในการลดสต็อกข้าว โดยผู้จัดการบริษัทสินค้าโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ กล่าวว่า รัฐบาลไทยต้องการให้คนเชื่อว่ากำลังเกิดอะไรบางอย่างขึ้น และต้องการอย่างยิ่งที่จะให้มีการส่งออก ด้านพ่อค้ารายหนึ่งในไทยกล่าวว่าการเคลื่อนไหวนี้เป็นเชิงการเมืองเท่านั้น รัฐบาลต้องการแสดงให้เห็นว่าสามารถบริหารสต็อกข้าวได้

ศูนย์ข้อมูลข้าวและน้ำมันแห่งชาติของจีน ระบุว่า จีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตและบริโภคข้าวรายใหญ่ที่สุดของโลก คาดว่าจะนำเข้าข้าว 2 ล้านตัน ในปีที่สิ้นสุดเดือนก.ย. 2556 โดยคาดว่า การนำเข้าจำนวนมากจะมาจากเวียดนาม ซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน

FAOชี้ผลผลิตข้าวโลกปีนี้พุ่ง

องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) ออกรายงานจับตาดูตลาดข้าว (อาร์เอ็มเอ็ม) วานนี้ (21 พ.ย.) ประเมินว่า ผลผลิตข้าวในปี 2555 จะแซงหน้าความต้องการบริโภคในปี 2555/56

"เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว คาดว่าปริมาณข้าวสำรองในปีนี้จะเพิ่มขึ้น 7% หรือ10 ล้านตัน แตะระดับสูงสุดรอบใหม่ที่เกือบ 170 ล้านตัน ถือเป็นการเพิ่มขึ้นปีที่ 8 ติดต่อกัน ผลดังกล่าวทำให้สัดส่วนข้าวสำรองต่อการบริโภคอาจจะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 35.5% ในปีหน้าจากระดับ 33.6% ในปีนี้"

ในรายงานฉบับนี้ เอฟเอโอยังปรับเพิ่มคาดการณ์ผลผลิตข้าวโลกในปีนี้ ขึ้นมาจากตัวเลขคาดการณ์เมื่อเดือนก.ค. อีก 4.2 ล้านตัน มาอยู่ที่ 729 ล้านตัน ส่วนใหญ่เป็นเพราะฤดูเพาะปลูกปีนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝนตกลงมาตั้งแต่กลางเดือนส.ค. ช่วยบรรเทาความวิตกว่าจะเกิดเหตุภัยแล้งในอินเดียซ้ำรอยปี 2552

ผลผลิตที่เพิ่มขึ้นไม่เพียงเฉพาะอินเดียเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอียิปต์ เกาหลีเหนือ ฟิลิปปินส์ สหรัฐ และ เวียดนาม ส่วนในพม่า โคลัมเบีย และเซเนกัล สถานการณ์ย่ำแย่ลง

ชี้ไทยเทขายสต็อกปีหน้าดันยอดค้าพุ่ง

สำหรับในเอเชีย ที่ประชาชนบริโภคข้าวเป็นอาหารหลักนั้น เอฟเอโอคาดการณ์ว่า ผลผลิตข้าวจะเพิ่มขึ้นถึง 661 ล้านตัน หรือ 0.8% จากระดับเมื่อปี 2554 โดยได้แรงหนุนจากผลผลิตที่เพิ่มขึ้นในบังกลาเทศ จีน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และ เวียดนาม

ผลผลิตข้าวเอเชียที่เพิ่มขึ้น หมายความว่า ภูมิภาคนี้บริโภคข้าวที่ผลิตเกือบทั้งหมดในประเทศ โดยแทบจะไม่จำเป็นต้องนำเข้าข้าวมากนัก ซึ่งเอฟเอโอคาดการณ์ว่า ปริมาณการค้าข้าวในปี 2556 จะพุ่งขึ้นถึง 37.5 ล้านตัน สูงกว่าปริมาณคาดการณ์ของปีนี้ที่ 37.3 ล้านตัน ซึ่งปริมาณการค้าที่เพิ่มขึ้นนี้ สะท้อนถึงการคาดการณ์ว่า ประเทศผู้ส่งออกข้าวจะเทข้าวที่เก็บไว้ในสต็อกออกมาขาย เพื่อให้มีพื้นที่จัดเก็บข้าวเพียงพอสำหรับฤดูเพาะปลูกใหม่

"โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขายข้าวของไทย ไม่ว่าจะเป็นระหว่างภาคเอกชนด้วยกัน หรือการทำข้อตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ ที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น"

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 342

โพสต์

รูปภาพ
TPOLY สยายปีกตั้งโฮลดิ้งถือหุ้นโรงไฟฟ้า
ปูทางปรับโครงสร้างธุรกิจ-เพื่อเตรียมขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจพลังงานเต็มรูปแบบ

ข่าวข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕

กรุงเทพฯ--22 พ.ย.--IR network

บอร์ด บมจ. ไทยโพลีคอนส์ หรือ TPOLY ไฟเขียวตั้ง Holding Company ในนาม "บริษัท ทีพีซี พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด" เพื่อลงทุนในกิจการโรงไฟฟ้าทั้งหมด หวังปูทางปรับโครงสร้างธุรกิจ เพื่อเตรียมขยายตัวเข้าสู่ธุรกิจพลังงานเต็มรูปแบบ หลังโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เตรียมกดปุ่มขายไฟและรับรู้รายได้ทันที 200 ล้านบาท ในปีหน้า ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ก็ไปได้สวยยอดจองทาวน์โฮม "กรีนิช รามอินทรา" ล้นหลาม "เจริญ จันทร์พลังศรี" ย้ำปี 2556 กำไรสุทธิของ TPOLY จะกลับมาเจิดจรัส ทั้งจากธุรกิจรับเหมาที่จะกลับมาดีขึ้น อีกทั้งยังมีกำไรจากธุรกิจพลังงานและอสังหาริมทรัพย์ ที่มีมาร์จิ้นสูงกว่าเข้ามาเสริมทัพ





นายเจริญ จันทร์พลังศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยโพลีคอนส์ จำกัด (มหาชน) (TPOLY) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้บริษัทลงทุนจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ ซึ่งประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยใช้ชื่อ “บริษัท ทีพีซี พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด เพื่อเป็นการรองรับการปรับโครงสร้างการถือหุ้นในเงินลงทุนของบริษัทในกลุ่มพลังงาน โดยบริษัทที่จัดตั้งขึ้นใหม่นี้จะดำเนินการเข้าไปถือหุ้นในโรงไฟฟ้าทั้งหมด แทน TPOLY ตามสัดส่วนเดิมที่บริษัทฯ ได้ถือหุ้นอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งจะเข้าไปถือหุ้นในโรงไฟฟ้าอื่นๆ ในอนาคต

ทั้งนี้ บริษัท ทีพีซี พาวเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด จะดำเนินการจัดตั้งให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤศจิกายน 2555 โดยมีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจานวน 20 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ซึ่ง TPOLY จะถือหุ้น 100% แหล่งเงินทุนที่ใช้มาจากเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท ซึ่งคณะกรรมการบริษัทได้มอบหมายให้คณะกรรมการบริหารพิจารณารายละเอียดและเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับการลงทุนจัดตั้งบริษัทใหม่ รวมถึงการหาพันธมิตรผู้ร่วมทุนรายอื่น และการจัดหาสินเชื่อเพื่อใช้ในการดำเนินการ โดยปัจจุบัน TPOLY มีธุรกิจโรงไฟฟ้าประกอบด้วย บริษัท ช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ จำกัด ซึ่ง TPOLY ถือหุ้น 65% บริษัท ทุ่งสัง กรีน จำกัด ซึ่ง TPOLY ถือหุ้น 65% และ บริษัท บางสะพานน้อย ไบโอแมส จากัด ซึ่ง TPOLY ถือหุ้น 85%

"เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของธุรกิจพลังงานในอนาคต TPOLY จึงได้ว่าจ้าง บล.ทรีนิตี้ ในการศึกษาการจัดตั้งบริษัทโฮลดิ้งขึ้นมา เพื่อลงทุนในธุรกิจพลังงานโดยเฉพาะ ซึ่งจะเริ่มเห็นนโยบายที่ชัดเจนของโฮลดิ้งในต้นปีหน้า สอดรับกับการเริ่มรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งแรกของเรา คือโรงไฟฟ้าช้างแรก ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช กำลังการผลิต 10 เมกะวัตต์ ที่จะรับรู้รายได้ปีหน้าประมาณ 200 ล้านบาท ส่วนโครงการที่ 2 และ 3 คาดว่าจะเริ่มทยอยรับรู้รายได้ในปี 2557 และจะรับรู้รายได้ทั้งหมดทุกโครงการภายในปี 2558 ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตได้อย่างมั่นคงในอนาคต" นายเจริญกล่าว

กรรมการผู้จัดการ TPOLY กล่าวอีกว่า ในส่วนธุรกิจก่อสร้างยังคงเติบโตจากที่ ปัจจุบัน TPOLY มีงานในมือ หรือ (backlog) อยู่ที่ประมาณ 4,300 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาคเอกชน 55% และภาครัฐ 45% ซึ่งจะรับรู้รายได้ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ 20-25% ส่งผลให้รายได้รวมปีนี้น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 2,800-3,000 ล้านบาทในส่วนของกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ที่ลดลงเป็นผลมาจาก การปรับต้นทุน ซึ่งทางบริษัทได้รับผลกระทบของค่าแรงและค่าวัสดุที่สูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งในปีหน้าอัตรากำไรสุทธิจะสามารถกลับมาได้เหมือนเดิมที่เราเคยทำ ไว้ที่ ประมาณ 2.5%-3%

ส่วน กำไรสุทธิของ TPOLY มีแนวโน้มเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2556 ทั้งจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่จะกลับมาดีขึ้น หลังจากที่บริษัทฯได้ดำเนินการปรับต้นทุน โดยมีการรับรู้ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงที่สูงขึ้นไปแล้วในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อีกทั้งยังมีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และพลังงานซึ่งมีมาร์จิ้นสูงกว่าเข้ามาเสริม ซึ่งจะทำให้โครงสร้างธุรกิจของ TPOLY จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป โดยทั้ง 2 ธุรกิจใหม่ที่เข้ามา จะมีสัดส่วนรายได้ขึ้นมาเป็น 30% จากปัจจุบันที่รายได้ทั้งหมดมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง

"ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเรา โครงการ โมเดิร์นทาวน์โฮม ถนนรามอินทรา ภายใต้ชื่อโครงการ กรีนิช รามอินทรา มูลค่าโครงการประมาณ 800 ล้านบาท ล่าสุดได้เปิดขาย (Pre-Sale) ไปแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ปัจจุบันมียอดจองเข้ามาแล้วถึง 30% โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 4/55 ประมาณ 50-60 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะไปรับรู้ในปี 2556 นอกจากนี้บริษัทยังมีที่ดินเปล่าติดถนนหน้าโครงการกรีนิช รามอินทรา อีกประมาณ 6 ไร่ ซึ่งถือเป็นทำเลที่ดีมาก เพราะอยู่ในแนวโครงการรถไฟฟ้าสีชมพู ที่เตรียมจะพัฒนาโครงการใหม่ต่อไปอีกในอนาคต"

โดยจาก Backlog ที่เรามีอยู่ โครงการอสังหาที่มีการตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงการปรับโครงสร้างของกลุ่มพลังงานในการจัดตั้ง เป็นลักษณะของ Holding Company จะส่งผลให้อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิ ในช่วง ปี 2556-2558 เติบโตอย่างมั้นคงและแข็งแกร่ง นายเจริญกล่าวในที่สุด.
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 343

โพสต์

รูปภาพ
More than Breakfast @ Gastro 1/6
ร้านเล็กๆ แสนน่ารักที่แฝงตัวอยู่ใน RMA Institute อาร์ตแกลเลอรีบนถนนสุขุมวิท ที่จะพาคุณดื่มด่ำไปกับบรรยากาศอันร่มรื่น พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ควบคู่กับการนั่งชิงช้า และละเลียดอาหารเช้าแสนอร่อยที่มีเสิร์ฟกันตั้งแต่ช่วงเช้าแดดอ่อนจนถึงช่วงบ่ายแก่ๆ แดดแรง ซึ่งเสน่ห์ของที่นี่ก็ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะคุณยังสามารถเปิดประตูเข้าชมผลงานศิลปะ ภาพวาด และภาพถ่ายที่หมุนเวียนให้ชมภายในแกลเลอรี จนเรียกว่ามีครบทั้งอาหารปาก อาหารตา และอาหารใจ

รูปภาพ

เรื่องความอร่อยคงไม่ต้องบรรยายให้มากความ เพราะถ้าใครที่เคยติดใจความอร่อยจากร้านโบ.ลานแล้วละก็ ที่นี่นับเป็นอีกหนึ่งผลงานของเชฟคู่ (ชีวิต) นั่นคือเชฟโบและเชฟดีแลนที่มาร่วมกันสร้างสรรค์อาหารทุกจานอย่างตั้งใจ เพื่อให้ที่นี่เป็นร้านอาหารเช้าสุดอบอุ่นทั้งหน้าตา รสชาติ การตกแต่ง รวมทั้งเมนูเล่มน้อยที่เขียนเองกับมือ ก็เพียงพอที่จะทำให้คุณประทับใจไม่รู้ลืม

หากใครอยากอิ่มใหญ่ต้องเริ่มด้วย Full English Breakfast with Juice & Coffee อาหารเช้าจานยักษ์ที่ชูโรงด้วยความเนียนนุ่มของออมเล็ตเสิร์ฟกับสลัดผักสด เห็ดพอร์ตาเบลโล ไส้กรอกโฮมเมด เบคอนกรอบ และขนมปังปิ้ง พร้อมด้วยเครื่องดื่ม 2 รสชาติ ได้แก่ น้ำส้มคั้นสดๆ เย็นชื่นใจและกาแฟเอสเปรสโซชุ่มคอ ตามด้วยความอิ่มแบบย่อมๆ กับ Poached Eggs Mushroom Truffle Oil & Asparagus ไข่ลวกน้ำเสิร์ฟกับผักสลัด เห็ด และหน่อไม้ฝรั่ง ที่เข้าคู่กันอย่างที่สุด แถมเข้มข้นด้วยชีสพาร์เมซานขูดหนักๆ จนขาวโพลนทั่วจานจนชีสเลิฟเวอร์ต้องยิ้มแก้มปริ

รูปภาพ

นอกจากนี้ยังลองอิ่มแบบเบาๆ ได้กับ Classic Tortilla adding Jamon ไข่เจียวสไตล์สเปนที่ทั้งหนานุ่มหอมหวานจากส่วนผสมของไข่ มันฝรั่ง และหอมหัวใหญ่ โรยด้วยฮามอนหรือแฮมขาหมูสเปน ก่อนจะนั่งละเลียดหอยแมลงภู่ผัดซอสมะเขือเทศ เมนูพิเศษรสชาติจัดด้วยพริกขี้หนูในซอสมะเขือเทศ กินคู่กับขนมปังปิ้งเพิ่มความกรอบหอมมัน


แล้วปิดท้ายเช้าหวานๆ ด้วย French Toast with Fruits Honey & Ice Cream เฟรนช์โทสต์ที่ยกขบวนผลไม้วิตามินซีมาจนแน่นจาน ไม่ว่าจะเป็นกีวี แก้วมังกร มะม่วงสุก องุ่น และเสาวรส ราดด้วยน้ำผึ้งและไอศกรีมอีก 1 ลูกใหญ่


ถ้าตอนนี้ใครบ่นว่ากินอาหารเช้าแล้วไม่อิ่ม ต้องขอเถียงเลยทีเดียว!


ร้านอาหาร Gastro 1/6
RMA Institute เลขที่ 238 ซอยสายน้ำทิพย์ 2 ถนนสุขุมวิท ซอย 22 คลองเตย กรุงเทพฯ
โทรศัพท์ 08-0603-6421
เวลาบริการ 08.00-15.30 น. (หยุดวันจันทร์)
ข้อมูล/ภาพ : Gourmet&Cuisine

รูปภาพ
โดย ไทยรัฐออนไลน์
22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 344

โพสต์

The Four / 4 มหากาฬ พญายม

รูปภาพ

ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 345

โพสต์

รูปภาพ
ผ่าทางตันฟ้อง3จี! แจกไลเซ่นต้องไม่ชะงัก
"สุธรรม อยูในธรรม" อดีตกทช. ยันคดีฟ้องประมูล 3จี ไม่จำเป็นต้องทำกระบวนการให้ไลเซ่นชะงัก ชี้กระบวนการต้องเดินต่อ
นายสุธรรม อยู่ในธรรม ประธานสถาบันวิชาการนโยบายสาธารณะกับธุรกิจและการกำกับดูแล และคณบดี คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวภายในงานสัมมนาผ่าทางตัน 3จี หัวข้อ 3จี อนาคตหลังศาลปกครองว่า วิธีและเทคนิคในการจัดสรรคลื่นความถี่ด้วยการประมูลเป็นการใช้กฏทางปกครองไม่ใช่ดุลยพินิจ โดย กสทช.ได้ออกหลักเกณฑ์ การจัดสรรคลื่นความถี่ย่าน 2.1 กิกะเฮิรตช์ ซึ่งประกาศลงราชกิจจานุเบกษาแล้ว

ดังนั้นประกาศดังกล่าวจึงมีผลใช้บังคับทางกฏหมายในฐานะกฏทางปกครอง และมีผลผูกพัน กสทช.ในฐานะผู้มีอำนาจหน้าที่กำกับดูแล และผู้ออกกฏดังกล่าว เมื่อกระบวนการออกประกาศดังกล่าวชอบด้วยกฏหมาย กสทช.ก็ต้องทำตามขั้นตอนประกาศ

ฟ้องต่อได้ แต่ไลเซ่นต้องไม่ชะงัก

"เมื่อไม่ปรากฏว่าการประมูลดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฏหมาย และมีผู้ชนะการประมูลแล้ว ผู้ชนะประมูลได้ทำตามเงื่อนไขครบถ้วน กสทช. ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องออกใบอนุญาตให้ผู้ชนะประมูล ส่วนประเด็นที่มีผู้ฟ้องร้องนั้นก็ให้ตรวจสอบถ่วงดุลกันไป แต่การตรวจสอบที่กำลังดำเนินไปโดยหลายฝ่าย แยกต่างหากจากการออกใบอนุญาต ซึ่งเป็นการปฏิบัติตามกฏการปกครอง หากไม่พบความบกพร่องในการปฏิบัติตามกฏที่ออกโดยชอบ กสทช.ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป"

ทั้งนี้ืเขาเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องผิด หรือต้องห้ามในการตรวจสอบการทำหน้าที่ของ กสทช. โดยเห็นว่า มีความจำเป็นที่ควรต้องตรวจสอบ เพื่อคลายความคลางแคลงใจ แต่การดำเนินการออกใบอนุญาต ก็ต้องเดินหน้าต่อด้วย ไม่ถูกชะงักไว้เพียงเพราะมีข้อสงสัยในดุลยพินิจทางปกครอง

"ผมเห็นว่ากฏหมายได้กำหนดกระบวนการขั้นตอน และการเยียวยาไว้แล้ว หากพบว่ามีการทุจริต หรือสมรู้ร่วมคิดดังที่หลายฝ่ายเรียกร้อง เช่น จ่ายค่าเสียหาย ถอดถอน พักใช้ ยกเลิกใบอนุญาต ประโยชน์ ที่สังคมไทยควรได้รับจากการมีบริการไร้สายความเร็วสูงล้ำค่าเกินกว่าราคาประมูล หรือราคาที่ประเมินกันมากมายนัก ยิ่งล่าช้า ประเทศก็ยิ่งเสียประโยชน์ กระบวนการตรวจสอบก็ทำไป การออกใบอนุญาตก็ดำเนินต่อไปได้" นายสุธรรม กล่าว
ผู้ฟ้องไม่เกี่ยวข้องโดยตรงไม่มีประโยชน์

นายปิยบุตร แสงกนกกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า คดีการฟ้องร้อง 3จี ที่เกิดขึ้นถึง 6 คดีในช่วงนี้ หากสังเกตจะพบว่า หากพิจารณาตามกฏหมายแล้ว ผู้ที่ไปยื่นฟ้องไม่ใช่เป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงเลย

คดีปกครองนั้น การฟ้องคดีย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินบริการสาธารณะไม่มากก็น้อย หากเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปฟ้องโต้แย้งการกระทำทางปกครองได้ โดยไม่มีจุดสัมพันธ์ หรือเกี่ยวข้องโดยตรงกับการกระทำทางปกครองนัั้นเลย ก็ส่งผลให้ ทุกคนสามารถนำเรื่องไปฟ้องศาลได้ทั้งหมด ศาลทุกประเทศจึงไม่อนุญาตให้บุคคลใดฟ้องคดีได้ ผู้จะฟ้องต้องแสดงให้เห็นว่า ตนมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำทางปกครอง

"ในกรณีนี้ คือ ผู้ฟ้องร้องไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องได้เสียกับการประมูล 3จี ครั้งนี้เลย ผู้ที่จะฟ้องได้ คือ ผู้ที่อยู่ในการประมูลครังนี้ เพราะถือว่ามีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง แต่ก็ไม่เห็นมีเอกชนรายใดฟ้อง และทุกรายยังปฏิบัติตามกฏการปกครอง นั่นทำให้ศาลไม่ได้รับคำฟ้องในคดี 3จีที่ผ่านมา"

อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่า แม้ศาลไม่รับฟ้อง แต่ได้เขียนแนะแนวไว้ว่า ถ้าบุคคลทั่วไปต้องการฟ้องก็ให้ไปยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้ผู้ตรวจการฯ ฟ้องต่อศาลปกครอง ประเด็นนี้ นายปิยบุตร กล่าวว่า ศาลปกครองไม่มีหน้าที่ เขียนคำแนะนำให้แก่ผู้ฟ้องคดี แม้ผู้ตรวจการฯ จะเป็นผู้ฟ้องก็ต้องเป็นการฟ้อง กรณีที่กฏ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดมีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฏหมาย

"ต้องพิจารณาในเนื้อหาคดีนี้ว่า ประกาศของ กสทช.ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือกฏหมายหรือไม่ และแม้ว่าศาลปกครองเห็นว่า ประกาศ กสทช.ไม่ชอบด้วยกฏหมาย ก็ไม่จำเป็นต้องเพิกถอนประกาศเสมอไป หรือไม่จำเป็นตองเพิกถอนให้มีผลย้อนหลังเสมอไป"

ผู้ตรวจการฯ ฟ้องผิดฝาผิดตัว

นายปิยบุตร กล่าวแสดงความเห็นว่า ศาลไม่ควรรับพิจารณาคดี 3จี ที่ผู้ตรวจการร้องไป เพราะการพิจารณาข้อพิพาททางปกครองนั้น ฝ่ายหนึ่งต้องทำให้อีกฝ่ายหนี่งเสียหายถึงมาฟ้อง แต่ประเด็นไม่เข้าข่าย ขณะที่ผู้ตรวจการฯ เองก็ไม่มีอำนาจฟ้อง สิ่งที่ผู้ตรวจการฯ ยื่นศาลไปแล้วเป็นการฟ้อง เลขา-สำนักงาน กสทช. เป็นการฟ้องผิดฝาผิดตัว เพราะคนที่ตั้งหลักเกณฑ์จัดการประมูลขึ้น คือ กสทช. ทั้ง 11 คน เลขา กสทช.ไม่ใช่คนจัดประมูล

ขณะที่ หากผู้ตรวจการฯ จะฟ้อง กสทช. ทั้ง 11 คน ก็ทำไม่ได้ เพราะ กสทช. 11 คน ไม่ใช่พนักงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นองค์กรผู้เชี่ยวชาญอิสระที่มีกฏหมายบังคับใช้ของตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่า จะไม่มีใครสามารถฟ้องร้องการทำงานของ กสทช. ได้เลย หน่วยงานอย่าง ปปช. ก็เข้มาตรวจอสอบพฤติกรรมการทุจริต หรือคอรัปชั่นได้ เพราะ กสทช. ถือเป็นผู้บริหารระดับสูงของประเทศเช่นกัน

"ปัญหามันอยู่ที่ กฏหมายที่จะเอาผิดนั่นไม่ครอบคลุม ไม่งั่นก็ต้องย้อนกลับไปแก้ไขกฏหมายกันใหม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่" นายปิยบุตร กล่าว

รูปภาพ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 346

โพสต์

รูปภาพ
นายสุวิจักษณ์ นาควัชระชัย

คณะสอบฮั้วเคาะ "ประมูล3จี" โปร่งใส
นัดทำร่างสรุป 23 พ.ย. ชง กสทช. สิ้นเดือน เสียงแข็งการทำงานไม่เคยตั้งธงในใจ สอบสวนไปตามเนื้อผ้า "กลุ่มทรู" ออกโรงท้วงไลเซ่น 3จี

"สุวิจักษณ์"ลงมติผลสอบประมูล 3จีไม่พบค่ายมือถือมีพฤติกรรมสมยอมราคา นัดประชุมเร่งทำดร๊าฟ 23 พ.ย.นี้ ก่อนชงเข้า กสทช. สิ้นเดือนนี้ หากไม่ติดปัญหาพร้อมเข้าสู่วาระบอร์ด กมค. ทันที เสียงแข็งการทำงานไม่เคยตั้งธงในใจ สอบสวนไปตามเนื้อผ้าไม่หวั่นสังคมมองเอื้อเอกชน ส่วน "สุภา-สมเกียรติ" ปัดให้ข้อมูลถือเป็นสิทธิส่วนตัวที่ทำได้ ขณะที่ "กลุ่มทรู" ออกโรงท้วงไลเซ่น 3จีจาก กสทช. อ้างตามระเบียบราชการเมื่อจ่ายค่าไลเซ่นงวดแรกครบแล้ว ควรได้รับใบอนุญาตมาเปิดให้บริการ

นายสุวิจักษณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบพฤติกรรมการเคาะราคา การประมูลใบอนุญาต (ไลเซ่น) 3จีในย่านความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์ หรือ คณะทำงานสอบฮั้ว หลังจากที่คณะกรรมการกิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้จัดการประมูลใบอนุญาต 3จีเมื่อวันที่ 16 ต.ค.ที่ผ่านมา

กล่าวภายหลังประชุมคณะทำงานฮั้วว่า ได้ร่างข้อสรุปผลสอบสวนเอาไว้แล้ว เพื่อเตรียมจะสรุปผลสอบอย่างเป็นทางการ โดยจะนัดประชุมเพื่อทำรายงานอีกครั้งวันที่ 23 พ.ย.นี้ และจะเสนอนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. วันที่ 30 พ.ย.นี้ เพื่อเข้าที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ต่อไป

สำหรับประเด็น ที่คณะทำงานพิจารณานั้น ดูเพียงประเด็นเดียว คือ ผู้เข้าร่วมประมูลทั้ง 3 ราย ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ ไวรเลส เน็ทเวอร์ค (เอดับบลิวเอ็น) ในเครือบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) บริษัท ดีแทค เน็ทเวอร์ค (ดีทีเอ็น) ในเครือบมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) และบริษัท เรียล ฟิวเจอร์ ในเครือกลุ่มทรู มีพฤติกรรมการฮั้วประมูลหรือสมยอมราคาหรือไม่ โดยการพิจารณาจะดูตั้งแต่ก่อนการประมูล ในระหว่างการประมูล และภายหลังการประมูล

“คณะทำงานตรวจสอบแล้ว ยืนยันตามเดิมว่าไม่พบว่ามีเอกชนฮั้วประมูล เพราะเป็นการประมูลตามกติกาของ กสทช.ทุกขั้นตอน ส่วนข้อสังเกตที่ว่า หลักเกณฑ์ของ กสทช. ไม่เอื้อให้เอกชนเกิดแรงจูงใจในการแข่งขันราคา อำนาจของคณะทำงานไปไม่ถึงตรงนั้น อำนาจเราดูแค่พฤติกรรมการของเอกชน ซึ่งพบว่าทั้ง 3 ราย สู้ราคากันตามปกติ ถูกต้องทุกขั้นตอน"



ไม่หวั่นถูกมองสอบเอื้อเอกชน
ส่วนกรณีนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง และนายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิช ประธานสถาบันเพื่อการวิจัยและพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) ปฏิเสธเข้าชี้แจง กับคณะทำงานฯ ที่เชิญมาก่อนหน้านี้ คิดว่าจะไม่ส่งผลทำให้ความน่าเชื่อถือของคณะทำงานลดลง และถือว่าคณะทำงานได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วนแล้ว

ส่วนประเด็นที่ถูกมองว่า คณะทำงานชุดนี้ถูกตั้งโดยกสทช. ทำให้ไม่มีความเป็นอิสระในการตรวจสอบ เขาขอยืนยันว่า คณะทำงาน ไม่เคยตั้งธงในการสอบสวน การพิจารณาได้ใช้กระบวนการทางข้อมูลทุกด้าน ที่มีอำนาจตรวจสอบ เพื่อวินิจฉัยประเด็นเดียวว่า ทั้ง 3 รายฮั้วกันหรือไม่

“การสอบสวน ก็ต้องพิจารณาหลายมิติ ทั้งด้านกฎหมาย เศรษฐกิจ ผลประโยชน์ของชาติ ประโยชน์ประชาชน รวมถึงเอกชนในการลงทุนด้วย เพราะเอกชนต้องลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต ซึ่งการดำเนินการก็ต้องคุ้มทุน และประเมินได้ว่าการดำเนินการต้องมีระยะเวลาที่กำหนด เค้าถึงกล้าเข้ามาประมูล รวมถึงต้องมองไปถึงการลงทุนการประมูลในอนาคตด้วย ในมุมของรัฐดูว่า จะได้ผลประโยชน์คุ้มค่าหรือไม่ ส่วนประชาชนจะได้รับการบริการที่ดี ราคาที่เหมาะสม เป็นธรรมหรือไม่”

ทั้งนี้ คณะทำงานขอขยายเวลาการสอบรวม 2 ครั้ง และจะสรุปภายในวันที่ 30 พ.ย.นี้ ซึ่งต้องเร่งทำในเวลาที่เหมาะสม เพราะการสอบจะส่งผลกระทบกับเอกชนที่ประมูลได้ เพราะลงทุนไปแล้ว และเสียดอกเบี้ยรายเดือน และขณะนี้ยังเริ่มงานไม่ได้ หากสรุปผลได้เร็ว กสทช.ก็จะเร่งออกใบอนุญาตให้ได้ตามปกติใน 7 วัน หลังจากรับรองผลการสอบสวนแล้ว

ขณะที่นายจิตต์นรา นวรัตน์ คณะอนุกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) และหนึ่งในคณะทำงานสอบฮั้ว ระบุว่า การตรวจสอบข้อมูลวันนี้ ถือว่าครบถ้วนแล้ว โดยได้เชิญสมาคมธนาคารแห่งประเทศไทยมาชี้แจง โดยได้รับคำยืนยันว่า ไม่มีการกีดกันในการออกสินเชื่อให้เอกชน โดยให้สินเชื่อเท่าเทียมกันทุกราย

ประเด็นที่คณะทำงานสอบถามเกี่ยวกับวิธีการให้สินเชื่อเป็นอย่างไร, มีผู้ประกอบการรายใดมาขอบ้าง, มีรายไหนที่มาขอแล้วธนาคารไม่ให้บ้าง ซึ่งทราบว่ามีไปขอสินเชื่อแค่ 3 รายเท่านั้น แต่ไม่ได้ขอพร้อมกัน

“เราได้รับคำชี้แจงจากธนาคาร ในการพิจารณาให้สินเชื่อ ซึ่งจะดูว่า บริษัทที่มาขอมีความสามารถในการคืน หรือชำระหนี้หรือไม่ มีประสบการณ์ด้านการทำโครงการในด้านโทรคมนาคมมาก่อนหรือไม่ รวมทั้ง การประกอบธุรกิจมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน”


กทค.รอผลสรุปก่อนแจกไลเซ่น
พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธานกสทช.ในฐานะประธานกทค.กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่สามารถพิจารณาออกใบอนุญาต 3จี ให้เอกชนได้ตามร้องขอ เนื่องจากเงื่อนไข 3 ประเด็น ที่กสทช.ต้องการรอฟังผลสรุปให้ชัดเจนก่อน จนถึงขณะนี้กระบวนการทั้งหมดยังไม่เสร็จ ต้องความชัดเจน 3 ประการ คือ ผลคำสั่งไต่สวนฉุกเฉินของศาลปกครอง คดีที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ยื่นเพิกถอนประกาศการจัดประมูล เมื่อวันที่ 16 ต.ค. ที่จะทำให้ทราบว่า ศาลจะมีคำสั่งคุ้มครองระงับการแจกใบอนุญาตให้เอกชนด้วยหรือไม่ ซี่งจนถึงขณะนี้ศาลยังไม่มีคำสั่งใด

ประเด็นที่ 2 คือ ผลสอบของคณะทำงานตรวจสอบพฤติกรรมการฮั้วประมูล ที่ กสทช.แต่งขึ้น และเตรียมสรุปผลสัปดาห์นี้ และ 3. คือการกำหนดอัตราค่าบริการขั้นสูง โดยระหว่างที่จะออกเป็นประกาศมาบังคับใช้ ทาง กสทช. ได้ขอความร่วมมือกับเอกชนให้ช่วยสรุปแผนที่จะลดราคาค่าบริการประเภทเสียง และข้อมูล หรือดาต้า ลงให้ประชาชนอีก 15-20% โดยให้ส่งแผนภายในวันที่ 30 พ.ย.นี้ จากเดิมที่เลื่อนมาจากวันที่ 22 พ.ย. หากทั้ง 3 ประเด็น ยังไม่ได้ข้อสรุป ก็จะไม่พิจารณาออกใบอนุญาต 3 จี ให้เอกชนแน่นอน

ทรูท้วงไลเซ่น3จีจากกสทช.
นายอธึก อัศวานันท์ รองประธานกรรมการ และหัวหน้าคณะกลุ่มกฎหมาย กลุ่มทรู กล่าวว่า ตามระเบียบ และหลักเกณฑ์ของ กสทช. แล้ว เมื่อเอกชนได้ลงนามยืนยันรับรองราคาประมูลสูงสุดว่าเป็นจำนวนเท่าไรแล้ว ก็ถือว่าการประมูลเสร็จสิ้น รวมทั้งเอกชนได้จ่ายค่าใบอนุญาต ในอัตรา 50% ของมูลค่าที่ประมูลใบอนุญาตได้ โดยทรูชำระ 5,872 ล้านบาท รวมถึงหนังสือรับรองทางการเงิน (แบงก์การันตี) ที่ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว กสทช.ต้องมีหน้าที่ออกใบอนุญาตให้เอกชนทันที

"ที่ว่าต้องทันทีเพราะเป็นไปตามระเบียบราชการปกติ ในเมื่อเราทำเสร็จแล้ว คุณจะบ่ายเบี่ยงไม่ได้ ส่วนที่ กสทช. บอกว่าจะต้องให้ใบอนุญาตภายใน 90 วัน นั่นคือ สิทธิ์ของเอกชนผู้เข้าประมูล จะต้องจ่ายเงินเมื่อไรก็ได้ภายใน 90 วัน แต่นี่คือเราได้จ่ายเงินไปแล้วถูกต้อมตามหลักเกณฑ์ ซึ่งการที่เราต้องรีบจ่ายเงิน เพราะเป็นเรื่องของการแข่งขัน ใครทำโครงข่ายเสร็จก่อน คนนั้นก็มีสิทธิ์เปิดให้บริการ 3จี ได้ก่อน และมีโอกาสได้ลูกค้าดีๆ มาก่อน"

ส่วนเรื่องประกาศกำหนดอัตราขั้นสูง ที่กสทช.กำหนด และบังคับให้เอกชนลดราคาค่าบริการทางเสียง และข้อมูล (ดาต้า) ลง 15-20% จากอัตราปัจจุบัน ถือเป็นคนละเรื่องกัน และเรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขการประมูล แต่ยังไม่สามารถบอกได้บอกว่าทรูจะทำตามที่ขอไม่ได้ อย่างไรก็ดี ก่อนอื่้นกสทช.จะต้องมาบอกว่า เป็นเงื่อนไขที่ต้องให้เอกชนทำตาม เพราะสิ่งที่จะเกิดมันยังไม่เกิด แต่เรื่องใบอนุญาตที่ควรจะเกิดแต่ทำไมถึงไม่ได้รับเสียที

"ตามกฎของกสทช. ก็คือ เมื่อเราทำทุกอย่างที่เอกชนจะต้องทำหลังจากเสร็จการประมูลแล้ว ก็ต้องให้ใบอนุญาตทันที แต่เรื่องนี้ยังไม่คิดจะฟ้องร้อง เพราะเห็นใจ กสทช.ที่มีคดีเกิดขึ้นเยอะแล้ว สิ่งที่ควรจะเกิดตอนนี้คือใบอนุญาตต้องมาอยู่กับเอกชนแล้ว หากใบอนุญาตไม่มา ตกลงพวกผมจะได้ทำหรือไม่ แล้วคุณมาสั่งให้ผมลงทุน มันต้องแฟร์ๆ คุณก็ต้องออกใบอนุญาตให้ผม แล้วเงื่อนไขต่อไปที่ กสทช.จะสั่งทำให้ทำอะไร ก็บอกมา ผมก็จะทำไปให้เรื่อยๆ แต่ตอนนี้ใบอนุญาตไม่ออก แล้วมาต่อรองกันแบบนี้ มันไม่ถูก"

ขณะที่นายดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีแทค ระบุว่า หากได้ใบอนุญาตโดยเร็วเท่าไร จะเป็นเรื่องที่ดี เพราะใบอนุญาตจะต้องนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในการนำเข้าอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับบริการ 3 จี ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องได้รับใบอนุญาตโดยเร็ว ขณะนี้ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับใบอนุญาต ดีแทคได้ดำเนินการโดยเร็วและคาดว่าจะเปิดให้บริการ 3 จี ให้ลูกค้าได้ภายใน ต้นไตรมาสที่ 2 ปีหน้า

อย่างไรก็ดี เขากังวลกระบวนการต่างๆ จะทำให้ใบอนุญาตล่าช้า และเปิดให้บริการ 3 จีไม่ได้ ส่วนการลดค่าบริการทั้งด้านเสียง และข้อมูล เชื่อว่าก่อน 30 พ.ย.นี้ ดีแทคจะพร้อมเสนอแนวคิดให้กสทช.รับทราบ โดยคิดว่าเมื่อเปิดให้บริการ และภาระการแข่งขันในตลาดที่เข้มข้น ประโยชน์สูงสุดจะอยู่ผู้บริโภค

รูปภาพ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 347

โพสต์

รูปภาพ
ก.ล.ต.ไฟเขียว AKP ขาย IPO 84 ล้านหุ้น
“วันชัย เหลืองวิริยะ” ผู้บริหาร “อัคคีปราการ” ระบุ สำนักงาน ก.ล.ต.ไฟเขียวขายหุ้น IPO
จำนวน 84 ล้านหุ้นตามที่ได้ยื่นเสนอให้พิจารณาแล้ว เผยพร้อมเดินหน้าตามขั้นตอนนำบริษัทฯ เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ต่อทันที

นายวันชัย เหลืองวิริยะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) หรือ AKP ผู้ประกอบธุรกิจบริหารศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม (เตาเผาขยะอุตสาหกรรม) บางปู จ.สมุทรปราการ กล่าวถึงความคืบหน้าของการนำบริษัทฯ เข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้พิจารณาอนุญาตให้ AKP เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ บริษัทฯ จะเริ่มดำเนินการตามขั้นตอนของการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ต่อไป ทั้งการนำเสนอข้อมูลต่อนักลงทุน นักวิเคราะห์ และสื่อมวลชน (โรดโชว์) รวมทั้งพิธีลงนามในสัญญาแต่งตั้งผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน

“หลังจากที่สำนักงาน ก.ล.ต. พิจารณาอนุมัติให้บริษัทฯ เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 84 ล้านหุ้นได้ตามที่ขอแล้ว ขั้นตอนต่อไปเป็นการโรดโชว์แก่นักลงทุน จากนั้นคาดว่าจะจัดพิธีแต่งตั้งผู้จัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO และขั้นตอนเกี่ยวกับการจองหุ้น ซึ่งระยะเวลาที่ชัดเจนคงจะต้องกำหนดหลังจากการแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายเรียบร้อยแล้ว” นายวันชัยกล่าว

สำหรับบริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ประกอบธุรกิจในการบริหาร และประกอบการศูนย์บริหารจัดการวัสดุเหลือใช้อุตสาหกรรม (เตาเผาขยะอุตสาหกรรม) บางปู จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งจัดสร้างโดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม มูลค่าโครงการ รวมที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง 1,408 ล้านบาท ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ในการจัดสร้างเตาเผาขยะอุตสาหกรรมแห่งนี้เพื่อเป็นโครงการนำร่องในการกำจัดกากอุตสาหกรรมอันตรายให้เป็นไปอย่างถูกวิธีปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม

สำหรับเตาเผาขยะอุตสาหกรรมอัคคีปราการ ถือเป็นเตากำจัดกากอุตสาหกรรมอันตรายที่ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อมแห่งเดียวในประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากเป็นเตาที่ลงทุนสูงกว่า 1,400 ล้านบาท ในขณะที่การบริหารจัดการจำเป็นต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ และมีประสบการณ์ในธุรกิจเป็นอย่างดี จึงถือเป็นธุรกิจที่ไม่มีคู่แข่งขันโดยตรงในตลาด การขยายฐานธุรกิจจึงอาศัยเพียงกระจายความรู้เรื่องการเผาทำลายกากอุตสาหกรรมอันตรายด้วยเตาความร้อนสูงโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษของเตาอัคคีปราการให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ทราบโดยทั่วถึงกันเท่านั้น

ปัจจุบัน บริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 202 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 404 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว จำนวน 160 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 320 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดย AKP จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 84 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยจะจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้น บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) หรือ BWG ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในอัคคีปราการ เป็นจำนวนไม่เกิน 21 ล้านหุ้น และที่เหลืออีก 63 ล้านหุ้น จะจัดสรรให้แก่ประชาชนทั่วไปโดยผ่านบริษัทหลักทรัพย์ ที่เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ จะเป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตของธุรกิจทั้งจำนวน


รูปภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 348

โพสต์

รูปภาพ
ช่อง 7 กำพันล้านซื้อสิทธิ์กีฬา แบะท่าสนถ่ายสดพรีเมียร์ลีก
ช่อง7พร้อมร่วมมือซีทีเอช ถ่ายทอดสดพรีเมียร์ลีกฤดูกาลหน้า ตอกย้ำผู้นำช่องกีฬา ภายใต้งบซื้อคอนเทนต์กีฬา 1,000 ล้านบาท สำหรับ2-4ปีหลังจากนี้

นายพลากร สมสุวรรณ กรรมการผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และรักษาการผู้จัดการฝ่ายรายการ สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 เปิดเผยว่า ตามแผนการดำเนินงานของช่อง7ที่จะมุ่งให้ความสำคัญและสนับสนุนรายการกีฬาอีกครั้งภายใต้งบประมาณสำหรับการซื้อคอนเทนต์กีฬาที่น่าสนใจกว่า 1,000 ล้านบาท สำหรับ 2-4 ปีหลังจากนี้ จะเห็นได้ว่าทางสถานีฯมีการถ่ายทอดสดการแข่งขันกีฬามากขึ้น ซึ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ การแข่งขันฟุตบอล7สี ประเภท7คน รวมถึงการร่วมถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอล ลาลีกา สเปนของทางอาร์เอส เป็นต้น ล่าสุดยังได้รายการกีฬาการแข่งขันฟุตบอลเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 ด้วย

ก่อนหน้านี้ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอล FA Cup 6 ปีซ้อน เริ่มปีนี้ ,FA Cup เยอรมัน 2 ปี และการชกมวยของTOP RANK ของปาเกียว

สำหรับเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 ครั้งนี้ ได้รับสิทธิ์เป็น Host Broadcaster ถ่ายทอดทั้งฟรีทีวี และอินเทอร์เน็ตผ่าน bugaboo.tv ตั้งแต่นัดแรกจนถึงนัดชิงชนะเลิศ โดยจะถ่ายทอดสดทุกนัดที่ทีมชาติไทยลงแข่งขันผ่านทางฟรีทีวี ส่วนทุกนัดการแข่งขันของรายการนี้จะรับชมได้ทั้งหมดผ่านเว็บไซต์bugaboo.tv ซึ่งโปรแกรมการแข่งขันของทีมชาติไทย รอบแรกของสาย เอ นัดเปิดสนามวันเสาร์ที่ 24 พฤศจิกายน พบ ทีมชาติฟิลิปปินส์ อังคารที่ 27 พฤศจิกายน พบ ทีมชาติเมียนมาร์ และ ศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พบ ทีมชาติเวียดนาม ช่อง 7 สี และ bugaboo.tv ถ่ายทอดสดจากสนามราชมังคลากีฬาสถาน ในเวลา 20.20 น.ซึ่งตรงกับรายการละครช่วงไพร์มไทม์ โดยทางสถานีฯจะงดออกอากาศละครในช่วงนั้นไป

อย่างไรก็ตาม ทางสถานีฯพร้อมสนับสนุนรายการกีฬาเพื่อให้คนไทยได้รับชมให้มากที่สุด ดังนั้นในส่วนของการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกฤดูกาลถัดไปที่ทางซีทีเอชได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดสดในครั้งนี้ ทางช่อง7มีความยินดีที่จะร่วมถ่ายทอดสดด้วยเช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของทางเจ้าของสิทธิ์เป็นหลัก ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ได้มีการเจรจาร่วมมือกันแต่อย่างไร

นายพลากร กล่าวต่อว่า ส่วนแผนการปรับผังรายการนั้น ทางสถานีฯมีการปรับอยู่ตลอดเวลาไม่ได้มีระยะเวลาตายตัว หากพบว่ารายการใดมีข้อพกพร่องอยู่ก็จะมีการปรับแผนการนำเสนอใหม่ทันที ซึ่งแตกต่างจากฟรีทีวีช่องอื่นๆ ทั้งนี้ยังพบว่าภาพรวมของช่อง7 ปัจจุบันกลุ่มรายการละครสร้างรายได้หลักให้สถานีฯไม่ต่ำกว่า 30% รองลงมา คือรายการสาระ บันเทิง 30% รายการข่าว20-25% ที่เหลือมาจากรายการกีฬาและอื่นๆ
รูปภาพ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 349

โพสต์

รูปภาพ

กลุ่มวายแอลจี จัดทัพใหญ่บุกงาน “SET in the City 2012”
ชูคอนเซ็ปต์ “Let’s Gold”พร้อมอัดโปรโมชั่นรับแพ็คเก็จเที่ยวญี่ปุ่นฟรี

ข่าวข่าวประชาสัมพันธ์หุ้น การเงิน การธนาคาร วันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕

กรุงเทพฯ--22 พ.ย.--PRdd

นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า กลุ่มวายแอลจีได้เข้าร่วมงาน SET in the City 2012 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 22-25 พฤศจิกายน 2555 ณ ณ รอยัลพารากอนฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Let’s Gold” การออกเดินทางเพื่อค้นหาอิสระทางการลงทุนทองคำอย่างเหนือระดับ ไปกับ YLG GROUP โดยมีทีมงานมืออาชีพด้านการลงทุนที่พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับลงทุนทองคำแท่ง โกลด์ฟิวเจอร์ส รวมถึงแนวโน้มตลาดและการให้ข้อมูลข่าวสารที่ครบถ้วน ชัดเจน เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับกิจกรรมภายในงาน ลูกค้าใหม่ที่เปิดบัญชีซื้อขายทองคำแท่งและโกลด์ฟิวเจอร์ส โดยมีการโอนเงิน ตั้งแต่ 100,000 บาท รับทันทีบัตรร้าน Starbuck โอนเงิน 300,000 บาท รับทันทีบัตรเติมน้ำมัน และโอนเงินทุกๆ 500,000 บาท รับบัตรรับประทานอาหารญี่ปุ่น Fuji มูลค่า 1,000 บาท ตลอดจนยังมีสิทธิ์ลุ้นรับ iPad Mini มูลค่ากว่า 12,000 บาททุกวัน วันละ 1 เครื่อง สำหรับลูกค้าที่เปิดบัญชีและมีเอกสารครบ 50 ท่านแรก พร้อมกันนี้กลุ่มวายแอลจี ยังมอบโปรโมชั่นต่อเนื่อง 2 ชั้น ให้ลูกค้าโกลด์ฟิวเจอร์ส โดยชั้นที่ 1 คือสำหรับผู้ที่เปิดบัญชีภายในงานที่มียอดซื้อขายสูงสุดรับ iPhone 5 (16 GB) ทุก ๆ 3 เดือน ตลอด 4 ไตรมาส และชั้นที่ 2 สำหรับผู้ที่มียอดซื้อขายสูงสุดรวม 4 ไตรมาส รับแพ็คเก็จท่องเที่ยวญี่ปุ่นมูลกว่า 50,000 บาท

นางสาวฐิภา กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังพบกับ แคมเปญ “คลิ๊กปั๊ป รับสิทธิ์” สำหรับลูกค้าใหม่ที่เปิดบัญชี Trade Online ทั้งโกลด์ฟิวเจอร์ส และทองคำแท่ง โดยเทรดสะสมมากสุด รับ Ipad ทันที จำนวน 2 รางวัล สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2555 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ www.ylgbullion.com

ทั้งนี้ กลุ่มวายแอลจี ขอเชิญร่วมฟังงานสัมมนาที่มีนางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด ร่วมเป็นวิทยากร คือ ในวันพฤหัสบดีที่ 22 พ.ย.55 เวลา 14.30-16.00น. ณ Seminar Stage (Hall 2) เรื่อง “เส้นทางลงทุน หุ้น ทอง กองทุน ปี 56” และสัมมนา TFEX Class จับเข่าคุย “เจาะลึก Gold Futures” ในวันเสาร์ที่ 24 พ.ย.55 เวลา 14.00-15.00 น. ณ บูธ TFEX (Hall 1)
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 350

โพสต์

รูปภาพ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 351

โพสต์

***หุ้นโค้งสุดท้าย...SET พรุ่งนี้ Sideway

ดัชนี SET วันนี้ปิดอยู่ที่ระดับ 1,279.51 จุด เพิ่มขึ้น 3.12 จุด หรือ+0.24 %
มูลค่าการซื้อขาย 40,784.77 ล้านบาท


- นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ -87.02 ล้านบาท
- บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ +193.75 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ +14,482.12 ล้านบาท

- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ -14,588.85 ล้านบาท


นายสุกิจ อุดมสิริกุล กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) บอกในรายการหุ้นโค้งสุดท้ายว่า ดัชนี SET วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบแคบ เนื่องจากไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน ขณะที่ปัจจัยในยุโรปยังไม่มีอะไรใหม่และประเด็น 3 จียังไม่คืบหน้า ทำให้ SET วันนี้แกว่งตัว Sideway

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในวันพรุ่งนี้น่าจะแกว่งตัว Sideway เพราะตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดทำการในวันที่ 22 พ.ย. เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving) ซึ่งปัจจัยทุกอย่างจะไปรอในสัปดาห์หน้า

กลยุทธ์การลงทุน แนะนำ เลือกหุ้นที่ถูกคำนวณในดัชนี MSCI หรือ หุ้นที่ราคาร่วงลงแรงแต่ปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 352

โพสต์

"สมประสงค์ บุญยะชัย"-"นพดล ตัณศลารักษ์" คว้ารางวัล Best CEO Awards
สมประสงค์ บุญยะชัย และนพดล ตัณศลารักษ์
คว้ารางวัลผู้บริหารสูงสุดยอดเยี่ยม SET Awards 2012


รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล SET Awards ประจำปี 2555 แก่บริษัทและผู้บริหารสูงสุดในแวดวงตลาดทุน 36 บริษัท ซึ่งรางวัลผู้บริหารสูงสุดยอดเยี่ยม 2555 (Best CEO Awards) ได้แก่ นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ นายนพดล ตัณศลารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. มาสเตอร์ แอด (MACO) จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่ารางวัล SET Awards ในปีนี้มีผู้บริหารสูงสุดของบริษัทจดทะเบียนทั้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้รับรางวัล Best CEO Awards ประจำปี 2555 ได้แก่ นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น (INTUCH) และนายนพดล ตัณศลารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.มาสเตอร์ แอด (MACO) ซึ่งทั้งสองคนนับเป็นผู้บริหารที่มีความเป็นเลิศของแต่ละตลาดในปีนี้ โดยมีความโดดเด่นทั้งในด้านความเป็นผู้นำที่นำพาองค์กรสู่การเติบโตและแข็งแกร่ง การยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี การมีวิสัยทัศน์และความสามารถในเชิงกลยุทธ์ การทำประโยชน์ต่อธุรกิจและสังคม ตลอดจนการให้ความสำคัญแก่ผู้ลงทุน

นอกจากการประกาศผลรางวัล SET Awards ในสาขาต่างๆ แล้ว ยังมีรางวัล SET Award of Honor หรือรางวัลเกียรติยศแห่งความสำเร็จ ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่ผู้ที่สามารถรักษาความโดดเด่นในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป โดย 11 รางวัลในปีนี้ มาจาก 4 ประเภทรางวัล คือ รางวัลด้านการรายงานบรรษัทภิบาล รางวัลด้านความรับผิดชอบต่อสังคม รางวัลด้านนักลงทุนสัมพันธ์ และรางวัลด้านการให้บริการหลักทรัพย์แก่นักลงทุนสถาบัน

“เป็นที่น่ายินดีว่า ในปีนี้ มีรางวัล SET Award of Honor ถึง 11 รางวัล เป็นจำนวนสูงที่สุดตั้งแต่มีการมอบรางวัลประเภทนี้ในปี 2553 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าบริษัทจดทะเบียนไทยพัฒนาอย่างจริงจังต่อเนื่อง เพื่อรักษาความเป็นหนึ่งในด้านต่างๆ และให้คงความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล ซึ่งในจำนวนนี้ มีบริษัทที่มีความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่องถึง 5 ปี ในด้านการรายงานบรรษัทภิบาล ได้แก่ บมจ. บางจากปิโตรเลียม และ บมจ. ธนาคารกสิกรไทย และ อีก 2 บริษัท ที่มีความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่องถึง 5 ปี ในด้านความรับผิดชอบต่อสังคม ได้แก่ บมจ. บางจากปิโตรเลียม และ บมจ. ปูนซิเมนต์ไทย” นายจรัมพรกล่าว

นายสันติ วิริยะรังสฤษฎ์ ประธานบรรณาธิการ วารสารการเงินธนาคาร กล่าวว่า “รางวัล SET Awards ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องถึง 9 ปี และจะครบ 1 ทศวรรษในปีหน้า ถือเป็นรางวัลที่มีมาตรฐานสูงเป็นที่ยอมรับ โดยผู้ที่ได้รับรางวัล SET Awards ในปีนี้ยังคงมีมาตรฐานคะแนนที่สูงขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ แม้ว่าภาคธุรกิจและตลาดทุนไทยประสบกับวิกฤตการณ์สำคัญทั้งจากในและต่างประเทศ สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงศักยภาพทางธุรกิจที่แข็งแกร่งและความสามารถในการปรับตัวรับความผันผวนได้อย่างดี”

ดร.พนัส สิมะเสถียร ประธานคณะทำงานผู้ทรงคุณวุฒิในการตัดสินรางวัล SET Awards 2012 กล่าวถึงการประมวลผลรางวัลว่า “SET Awards เป็นรางวัลที่มีมาตรฐานระดับประเทศ เนื่องจากหลักเกณฑ์และกระบวนการตัดสินรางวัลมีแนวทางชัดเจนและโปร่งใส มีหน่วยงานที่เป็นกลางทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลและประมวลผล มีการรวบรวมข้อมูลอย่างรอบด้านทั้งข้อมูลที่เปิดเผยในเชิงสถิติและเชิงคุณภาพ ข้อมูลจากแบบสอบถามที่ประเมินการทำงานตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง และการเข้าพูดคุยสัมภาษณ์ ซึ่งกระบวนการคัดเลือกและตัดสินรางวัลที่เข้มข้นดังกล่าวแสดงได้ว่าผู้ที่ได้รับรางวัลล้วนมีความเป็นเลิศในแต่ละด้านสมควรแก่การยกย่องและประกาศเกียรติคุณ”

พิธีประกาศและมอบรางวัล SET Awards 2012 จัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2555 ภายใต้แนวคิด “สานโอกาสการลงทุน เพื่อคุณ เพื่อธุรกิจ” หรือ Matching Your Right Financial Opportunities เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการทำหน้าที่เชื่อมโยงโอกาสทางธุรกิจและการลงทุนกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยรางวัล SET Awards ในปีนี้มีผู้ที่ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 43 รางวัล จาก 36 บริษัท ครอบคลุมกิจกรรมหลักที่ตลาดทุนให้ความสำคัญ และในบางประเภทรางวัลได้แบ่งออกตามขนาดบริษัทและลักษณะการให้บริการด้วยเพื่อสะท้อนความหลากหลายและสร้างการมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 353

โพสต์

SET:หุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย
ตามตลาดต่างประเทศ, แรงขายหุ้น KTB ถ่วงตลาด


กรุงเทพฯ--22 พ.ย.--รอยเตอร์


ดัชนีหุ้นไทยปิดบวก 0.24% ตามทิศทางตลาดหุ้นต่างประเทศที่ดีดตัวขึ้น ขณะที่

ยังคงมีแรงซื้อหุ้นกลุ่มธนาคาร เทคโนโลยี และอสังหาริมทรัพย์ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง

จากภาคเช้า แต่แรงขายหุ้นธ.กรุงไทย (KTB) จากความกังวลตั้งสำรองพิเศษกรณีหนี้

ของบมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) กดดันภาพรวมการลงทุน

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ มองว่าตลาดดีดตัวขึ้นทางเทคนิค หลังปรับลงในช่วง

2 วันที่ผ่านมา ขณะที่ยังมีความคาดหวังเชิงบวกมากขึ้นต่อการช่วยเหลือปัญหาหนี้กรีซ

แต่การปรับขึ้นไม่ได้มากนัก เนื่องจากยังไม่มีความชัดเจนในการแก้ปัญหา

อีกทั้งจะยังมีการชุมนุมภายในประเทศช่วงสุดสัปดาห์นี้ ซึ่งน่าจะยังทำให้ดัชนีความ

ผันผวน และมีโอกาสแกว่งตัวในแดนลบได้ในวันพรุ่งนี้

ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ปิดบวก 3.12 จุด มาที่ 1,279.51 จุด ระหว่างวัน

ดัชนีทำระดับสูงสุดที่ 1,282.73 และต่ำสุดที่ 1,276.92 ด้วยมูลค่าซื้อขาย 40,864.11

ล้านบาท

ขณะที่ SET50 ปิดบวก 2.43 จุด หรือ 0.28% มาที่ 867.40 จุด และ SET100

ปิดบวก 5.47 จุด หรือ 0.29% มาที่ 1,905.90 จุด

ดัชนีกลุ่มพาณิชย์ ลบ 0.19% ด้วยมูลค่าซื้อขายสูงสุดของตลาด 39.04% นำโดย

หุ้นซีพีออลล์ (CPALL) ลบ 2.5% หลังมีรายการซื้อขายขนาดใหญ่(บิ๊กล็อต) รวม 400

ล้านหุ้น ที่ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 34.50 บาท มูลค่ารวม 1.38 หมื่นล้านบาท

ดัชนีกลุ่มธนาคาร บวก 0.36% แต่หุ้น KTB ลบ 3.93% หลังโบรกเกอร์มองว่า

ตลาดกังวลต่อการตั้งสำรองพิเศษ จากมูลหนี้ของบมจ.สหวิริยาสตีลอินดัสตรี(SSI) หลัง

SSI ขายหุ้นเพิ่มทุนไม่หมด

ดัชนีกลุ่มเทคโนโลยีบวก 1.02% นำโดยหุ้นจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล(JAS)

บวก 3.88%, กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ บวก 1.06% และพลังงาน ลบ 0.32%


"ตลาดรีบาวด์จากที่ปรับลงแรงเมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ไม่มีอะไรใหม่ แต่ตลาด

คาดหวังเชิงบวกมากขึ้น จากข่าวผู้นำเยอรมนีระบุว่าวันจันทร์นี้จะหารือถึงเรื่องการ

ช่วยเหลือกรีซ...แต่เรื่องดังกล่าวก็ยังไม่ชัดเจน ทำให้ตลาดยังแกว่งตัวผันผวน"


นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าว

นายกรัฐมนตรี แองเจลา เมอร์เคล ของเยอรมนี กล่าวว่า ข้อตกลงเพื่อ

เบิกจ่ายเงินช่วยเหลือฉุกเฉินให้แก่กรีซ ยังคงมีความเป็นไปได้ในวันจันทร์หน้า ซึ่ง

รมว.คลังยูโรโซน จะประชุมกันอึกครั้ง

นายสมชาย ยังคาดว่า บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยวันพรุ่งนี้ จะ

คล้ายกับวันนี้ที่จะยังผันผวน และมีโอกาสแกว่งตัวในแดนลบ ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐจะปิด

ทำการในคืนนี้ เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า อีกทั้งพรุ่งนี้จะเป็นวันทำการสุดท้าย ก่อน

จะมีการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในวันเสาร์นี้ ทำให้นักลงทุนบางส่วนอาจลดความเสี่ยง

การลงทุน

โดยมองแนวรับบริเวณ 1,277 และ 1,273 ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,282-

1,285 จุด


หลักทรัพย์ 5 อันดับแรก ที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุด


KTB ลบ 0.70 บาท มาที่ 17.10 บาท

BBL บวก 2.00 บาท มาที่ 178.00 บาท

CPALL ลบ 1.00 บาท มาที่ 39.00 บาท

SCB บวก 2.00 บาท มาที่ 159.00 บาท

JAS บวก 0.18 บาท มาที่ 4.82 บาท

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 354

โพสต์

“ทีเอสเอฟ”คว้าสิทธิ์ ป้ายโฆษณาทั่วกรุงฯ

“ทีเอสเอฟ” คว้าสัญญาสัมปทานป้ายโฆษณาจาก กทม. กว่า 3,500 จุด เฉือนคู่แข่ง สัญญายาว 9 ปี

นางวิมลวรรณ มิลินทจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรีซิกตี้ไฟว์ จำกัด (มหาชน) หรือ TSF ผู้ประกอบธุรกิจประเภทสื่อโฆษณาและประชาสัมพันธ์ เอ้าท์ดอร์ มีเดีย ของไทย เปิดเผยว่า บริษัทฯได้รับสัมปทานดูแลป้ายโฆษณาบริเวณที่พักผู้โดยสารหรือป้ายรถเมล์ประมาณ 3,500 ป้ายในเขตกรุงเทพฯ เป็นเวลา 9 ปี จากกรุงเทพมหานคร โดยสัญญาสัมปทานที่บริษัทฯได้รับส่วนใหญ่จะอยู่ใจกลางเมืองซึ่งเป็นย่านสาทร สีลม สุขุมวิท ลาดพร้าว จตุจักร พญาไท ประตูน้ำ ปทุมวัน และพื้นที่อื่นครอบคลุมทั้ง กทม. เป็นต้น โดยจะเริ่มเข้ามาบริหารงานตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2555 เป็นต้นไป

“สัญญาสัมปทานโครงการนี้ทั้งหมดแบ่งออกเป็น 4 สัญญาคือ A, B, C และ 691 โดยทางบริษัทได้รับมา 3 สัญญาคือ A, C และ 691 โดยทางบริษัทได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านทั้งในการด้านดูแลความสะอาด ความปลอดภัย ความสว่าง ของพื้นที่ป้ายโฆษณาตามเป้าหมายของกทม.และทีมลูกค้าสัมพันธ์สำหรับรองรับด้านการให้บริการ ซึ่งมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่ดีกว่าเดิม ซึ่งการได้รับสัมปทานจากกรุงเทพมหานครทั้ง 3 สัญญาในครั้งนี้ทำให้ บริษัทสามารถขยายฐานธุรกิจได้กว้างขวางขึ้นเมื่อไปรวมกับสัปทานอื่นที่บริษัทมีอยู่แล้ว”

นางวิมลวรรณกล่าวต่ออีกว่า ธุรกิจโฆษณาเอ้าดอร์ มีเดีย ของประเทศนั้นสามารถพัฒนาไปได้อีกมาก เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในรอบสิบปีที่ผ่านมา มีความต่อเนื่องแม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายในและภายนอกเป็นระยะๆ แต่ด้วยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มั่นคงทำให้ทุกภาคธุรกิจยังสามารถเติบโตไปได้ ที่สำคัญธุรกิจโฆษณามีการพัฒนาจากในอดีตที่เน้นสื่อหลักทั้งโทรทัศน์, สิ่งพิมพ์และวิทยุ ก็ขยายมาสู่สื่ออิเล็คโทรนิกส์ และสื่อเอ้าท์ดอร์มากขึ้นในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั่นจึงเป็นโอกาสที่บริษัทมองเห็น

แหล่งข่าวในวงการสื่อโฆษณา การที่ทีเอสเอฟสามารถโค่นผู้ได้รับสัมปทานรายเก่าที่ครองตลาดมากว่า 10 ปีถือเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายพอสมควร ว่ากันว่ามูลค่าสัมปทานที่จ่ายให้กรุงเทพฯ ในครั้งนี้มากกว่าผู้รับสัมปทานรายเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะป้ายโฆษณาแบบมัพปี้ ที่ได้รับความนิยม สำหรับราคาเฉลี่ยต่อป้ายนั้นน่าจะอยู่ที่ประมาณ 20,000-30,000 บาทต่อเดือนต่อป้าย

สำหรับบริษัท ทีเอสเอฟ ดำเนินธุรกิจบริการด้านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ทุกชนิดรวมถึงการรับจัดงานโครงการต่างๆ ทั้งของภาครัฐและเอกชน ได้รับสิทธิ์สัมปทานป้ายสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์บนทางด่วน ได้รับสิทธิ์ในสื่อโฆษณาบนรถเข็นสัมภาระผู้โดยสารและพื้นที่จัดแสดงสินค้าและประชาสัมพันธ์ในสนามบินสุวรรณภูมิ รวมถึงสิทธิ์ในสื่อป้ายโฆษณาขนาดเล็กในเขตเทศบาลนครเชียงใหม่และพัทยา เป็นต้น

รูปภาพ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 355

โพสต์

รูปภาพ
หุ้นไทยปิดบวก 3.12 จุด

ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนในกรอบแคบๆ แต่ยืนแดนบวกได้ ตามตลาดหุ้นต่างประเทศสดใส แนะจับตาชุมนุมการเมือง


สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยวันที่ 22 พ.ย. ดัชนีแกว่งตัวผันผวน แต่ส่วนใหญ่ยืนในแดนบวกได้ ตามแรงเข้าซื้อกลับ รวมถึงเคลื่อนไหวตามตลาดหุ้นสหรัฐฯ และภูมิภาคที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังนักลงทุนมีความคาดหวังในเชิงบวกจากการประชุมของสหรัฐฯ เรื่องภาวะหน้าผาทางการคลัง รวมถึงรอผลการพิจารณาให้ความช่วยเหลือทางการเงินกรีซในวันจันทร์หน้าด้วย ส่งผลให้ระหว่างวัน
ดัชนีทะยานขึ้นสูงสุดที่ 1,282.73 จุด ลดลงต่ำสุดที่ 1,276.92 จุด
จนมาปิดตลาดที่ 1,279.51 จุด เพิ่มขึ้น 3.12 จุด หรือ 0.24%
ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 40,864.11 ล้านบาท
ส่วนตลาดเอ็มเอไอ ปิดที่ 379.84 จุด ลดลง 0.47 จุด มูลค่าการซื้อขาย 2,527.27 ล้านบาท


นายสมชาย เอนกทวีผล ผอ.ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส มองว่า หุ้นไทยฟื้นตัวทางเทคนิคได้ หลังปรับลดลงมา 2 วันทำการแล้ว แต่ดัชนีแกว่งตัวในกรอบแคบๆ เพราะยังไม่มีปัจจัยบวกกระตุ้นการลงทุน


ส่วนแนวโน้มวันที่ 23 พ.ย.นี้ มองว่า หุ้นไทยยังแกว่งตัวผันผวนทั้งบวกและลบ โดยต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐกับผู้นำสภาคองเกรส เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องปัญหาหน้าผาการคลัง และการชุมนุมทางการเมืองในประเทศ ประเมินแนวรับที่ 1,277 - 1,273 จุด และแนวต้านที่ 1,282 - 1,285 จุด ด้านกลยุทธ์ แนะนำเก็งกำไรระยะสั้น โดยเน้นหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่คาดว่าการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาดี

รูปภาพ
วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 356

โพสต์

รูปภาพ

หุ้นไทยบวกน้อยกว่าภูมิภาคเหตุม็อบทำพิษ

ภาวะตลาดหุ้นไทยปิดบวก 3.12 จุด
น้อยกว่าภูมิภาคเหตุนักลงทุนชะลอลงทุน-รอดูการชุมนุมสุดสัปดาห์


วันนี้ (22 พ.ย. 55)ตลาดหุ้นไทยปิดช่วงบ่ายที่ระดับ 1,279.51 จุด เพิ่มขึ้น 3.12 จุด(+0.24%)มูลค่าการซื้อขาย 40,864.11 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งแคบในแดนบวก แต่น้อยกว่าตลาดภูมิภาค เหตุนักลงทุนชะลอดูการชุมนุมทางการเมืองสุดสัปดาห์นี้ ส่วนการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เป็นการดูแลความสงบเรียบร้อย ไม่ได้มองเป็นลบ อีกทั้งจันทร์หน้ายังมีลุ้นการพิจารณาช่วยเหลือกรีซ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะผ่านไปด้วยดดี ทำให้เป็นปัจจัยบวกให้ตลาดฯได้บ้าง ช่วงนี้จึงแนะทยอยสะสมหลังตลาดฯลงไปค่อนข้างมากแล้ว พรุ่งนี้ตลาดฯคงแกว่งแคบหลังนักลงทุนยังชะลอการลงทุน และคืนนี้ตลาดสหรัฐฯก็ปิดทำการในเทศกาล Thanks Giving ดังนั้น Flow คงเงียบ พร้อมให้กรอบแกว่งไว้ที่ 1,275-1,285 จุด

ตลาดหลักทรัพย์ปิดตลาดช่วงบ่ายวันนี้ที่ระดับ 1,279.51 จุด เพิ่มขึ้น 3.12 จุด(+0.24%)มูลค่าการซื้อขาย 40,864.11 ล้านบาท การซื้อขายหุ้นวันนี้ ดัชนีหุ้นไทยแกว่งตัวในแดนบวกตลอดทั้งวัน โดยขยับขึ้นแตะจุดสูงสุดของวันที่ระดับ 1,282.73 จุด ส่วนดัชนีจุดต่ำสุดของวันอยู่ที่ 1,276.92 จุด

ส่วนหลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 295 หลักทรัพย์ ลดลง 251 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 164 หลักทรัพย์ นายภาดล วรรณรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย)กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้แกว่งแคบในแดนบวก แต่บวกน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียส่วนใหญ่ เนื่องจากนักลงทุนชะลอการลงทุนเพื่อรอดูเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองในช่วงสุดสัปดาห์นี้ สำหรับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไม่ได้มองเป็นลบ เพราะเห็นว่าเป็นการดูแลความสงบเรียบร้อยระหว่างการชุมนุมเท่านั้น

ทั้งนี้ หากดูการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ รอบที่แล้วใช้ 7 เขต ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ปรับตัวลงเท่าไร ดังนั้น จึงมองเป็นช่วงสั้นเท่านั้น ถ้าการชุมนุมเป็นไปโดยสงบตลาดฯก็น่าจะกลับมาดีขึ้นได้ อีกทั้งในวันจันทร์หน้าก็จะมีการพิจารณาการช่วยเหลือทางการเงินให้แก่กรีซ เชื่อว่าน่าจะมีการอนุมัติให้การช่วยเหลือกรีซ น่าจะเป็นปัจจัยบวกให้กับตลาดฯได้บ้าง ดังนั้น ช่วงนี้จึงแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นได้บ้าง เนื่องจากตลาดฯได้ปรับตัวลงไปค่อนข้างมากแล้วด้วย

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้(23 พ.ย.)นายภาดล กล่าวว่า ตลาดฯคงจะแกว่งแคบ เพราะนักลงทุนคงจะยังชะลอการลงทุน อีกทั้งคืนนี้ตลาดสหรัฐฯก็ปิดทำการด้วย เนื่องในวันขอบคุณพระเจ้า(Thanks Giving) ซึ่ง Flow ก็คงจะเงียบ ๆ พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,275-1,285 จุด

ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่

KTB มูลค่าการซื้อขาย 2,415.58 ล้านบาท ปิดที่ 17.10 บาท ลดลง 0.70 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 1,454.92 ล้านบาท ปิดที่ 178.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
CPALL มูลค่าการซื้อขาย 1,145.41 ล้านบาท ปิดที่ 39.00 บาท ลดลง 1.00 บาท
SCB มูลค่าการซื้อขาย 1,130.44 ล้านบาท ปิดที่ 159.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท
JAS มูลค่าการซื้อขาย 1,087.55 ล้านบาท ปิดที่ 4.82 บาท เพิ่มขึ้น 0.18 บาท

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 357

โพสต์

TOPNEWS:ข่าวเด่นในประเทศวันนี้

กรุงเทพฯ--22 พ.ย.--รอยเตอร์


ข่าวตลาดเงิน-ตลาดทุน


*โทรีเซนไทยฯ เผยเมอร์เมดฯ ได้งาน 3 สัญญา มูลค่ารวมประมาณ 2 หมื่นลบ.

(9520)

*ผู้บริหาร ธ.กรุงไทย เผยไม่กังวลภาระหนี้ SSI, ยังตั้งสำรองปกติ

(9519)

*ตลาดอนุพันธ์ สรุปการซื้อขายสัญญาฟิวเจอร์ส SET50 วันนี้(9518)

*ระยองเพียวฯ ซื้อหุ้น 22% ในสัมมากร, ซื้อจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่(9516)

*ฟิวเจอร์ส SET50 ภาคบ่ายปิดบวก ปรับขึ้นทางเทคนิค, แนวโน้มยังเป็นขาลง

(9515)

*หุ้นไทยปิดบวกเล็กน้อย ตามตลาดต่างประเทศ, แรงขายหุ้น KTB ถ่วงตลาด(900)

*BANPU คาดกำไรปี 56 ลดลงจากราคาถ่านหินอ่อนแอ, ยอดขายระยะยาวโต(9508)

*GBX คาดกำไรสุทธิปี 55-56 ใกล้เคียงปี 54, มาร์จิ้นทองยังต่ำ(9507)

*TTCL คาดรายได้ปี 55 โต 30% ตามเป้า, รู้ผลประมูลงานที่กาตาร์ในปีนี้(9506)

*ทริสฯคงเครดิตองค์กร-หุ้นกู้ไม่มีประกัน"บ้านปู"ที่ "AA-"แนวโน้ม"คงที่"(9505)

*KTB ต่ำสุดกว่า 2 เดือน โบรกฯมองตลาดกังวลตั้งสำรองพิเศษกรณี SSI(9504)

*SIRI คาดกำไรสุทธิปี 56 ดีกว่าปีนี้, ยอดขายรอรับรู้รายได้มาก(9502)

*MBKET คาดปี 56 รายได้ดีขึ้น,รักษามาร์เก็ตแชร์ใกล้เคียงปีนี้ที่ 12-13%(9501)

*โกลเบล็กฯ คาดกำไรสุทธิปี 55-56 ใกล้เคียงปี 54, มาร์จิ้นทองยังต่ำ(9498)

*โตโย-ไทยฯ คาดรายได้ปี 55 ที่ 1.15 หมื่นลบ.โต 30%, ปีหน้าโตต่อเนื่อง(9479)

*TCMC ร่วง 3.1% หลังชี้แจงไม่มีพัฒนาการของธุรกิจ, กำไรเพิ่มจากเคลมประกัน

(9478)

*UV บวกช่วงสั้น โบรกฯคาดฐานกำไรเปลี่ยนเชิงบวก หลังจะตั้งกองทุนอสังหาฯ(9472)

*กฤษดามหานคร เล็งใช้เงินราว 540 ลบ.ซื้อคอนโดฯภูเก็ต-กทม.,สรุปใน Q1/56

(9467)

*ERW นิวไฮกว่า 4 ปี โบรกฯเล็งเพิ่มประมาณการกำไร, มองผ่านจุดต่ำสุดแล้ว(9465)

*AMATA บวก 1.32% โบรกฯคาดกำไรปีนี้เพิ่ม แต่จับตาการเมืองอาจกระทบ(9464)

*CPN บวกมากกว่าตลาด, โบรกฯมองเปิดศูนย์การค้าใหม่ช่วยหนุนกำไรเพิ่ม(9462)

*พีเออีฯ จะเพิ่มทุน 450 ล้านหุ้น รองรับหุ้นกู้แปลงสภาพ(9458)

*แอล.วี.ฯจะเพิ่มทุน 396.69 ล้านหุ้น ขายผู้ถือหุ้นเดิม-PP-รองรับวอร์แรนท์(9457)


ข่าวตลาดเงิน-เศรษฐกิจ


*บาท/ดอลลาร์ท้ายภาคบ่าย ซื้อขายกรอบแคบ, จับตาชุมนุมในไทย-เงินวอนเกาหลีใต้(901)

*"กิตติรัตน์"มั่นใจจีดีพีไทยปีนี้โตกว่า 5%, ปัญหาการคลังสหรัฐ ไม่กระทบ(9497)

*รมว.พลังงาน เล็งเพิ่มข้อตกลงเอ็มโอยูซื้อไฟฟ้าจากลาว-พม่าเพิ่ม(9466)

*ทองแท่งในปท.ปรับขึ้น ตามราคาทองต่างประเทศ, มองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย(9461)

*ผลประมูลพันธบัตร ธปท. 2.64 ปี ในวันนี้(9460)


ข่าวทั่วไป

*กอ.รมน.เห็นชอบตั้งศอ.รส.ให้ ผบ.ตร.ดูแล, ใช้ตำรวจ 1.68 หมื่นนาย คุมการชุมนุม

(9517)

*ศาลรธน.ไม่รับคำร้อง กรณีมีผู้ขอให้ศาลสั่งระงับการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม(9509)

*รัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.มั่นคงฯ 22-30 พ.ย.ใน 3 เขตของกทม. คุมชุมนุม(9499)

*นายกฯประชุมครม.ย่อยช่วงสายวันนี้,เตรียมประกาศใช้พ.ร.บ.มั่นคงฯดูแลชุมนุม(9468)

รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 358

โพสต์

รูปภาพ

ซีพีเอฟ คว้ารางวัลนักลงทุนสัมพันธ์ดีเด่น

นายจรัมพร โชติกเสถียร (ที่ 2 จากซ้าย), กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีกับ

นางสาวปรีณัน ณีศะนันท์ ผู้แทนบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
หรือ ซีพีเอฟ ในโอกาสได้รับรางวัลดีเด่น ประเภทบริษัทจดทะเบียน ด้านนักลงทุนสัมพันธ์
จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในงานประกาศผลรางวัล SET Awards 2012
ครั้งที่ 9 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถนนรัชดาภิเษก

รูปภาพ

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2012
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 359

โพสต์

รูปภาพ

.: บมจ. ที เอส ฟลาวมิลล์ เริ่มซื้อขายใน mai 23 พ.ย.นี้ :.

บมจ. ที เอส ฟลาวมิลล์ (TMILL) พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 23 พฤศจิกายนนี้ เป็นบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ลำดับที่ 8 ใน mai ปีนี้ หลังระดมทุน 263.50 ล้านบาท

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ.ที เอส ฟลาวมิลล์ (TMILL) ผู้ผลิตและจำหน่ายแป้งสาลี จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2555 นี้โดย TMILL เป็นบริษัทย่อยของ บมจ. ไทยชูการ์ เทอร์มิเนิ้ล (TSTE) ที่เล็งเห็นประโยชน์ในการนำบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียน (Spin off) เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน รองรับการขยายตัวทางธุรกิจ


TMILL ประกอบธุรกิจโรงงานผลิตและจำหน่ายแป้งสาลี ภายใต้ตราสินค้าของบริษัทกว่า 10 ตราสินค้า อาทิ แป้งบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตราเส้นทอง แป้งบะหมี่สดตราเส้นหยก แป้งบะหมี่สดตราเส้นเหลือง แป้งขนมปังตราปังแดง แป้งขนมปังตราปังเหลือง เป็นต้น “ธุรกิจของ TMILL เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร จึงถือว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตไปพร้อมกับความต้องการในการบริโภคของประเทศ" นายชนิตรกล่าว


TMILL มีทุนชำระแล้ว 285 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 200 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 85 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อผู้ถือหุ้นเดิมของ บมจ. ไทยชูการ์ เทอร์มิเนิ้ล (TSTE) จำนวน 16,747,160 หุ้น เมื่อวันที่ 9-13 พฤศจิกายน 2555 และเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 68,252,840 หุ้น เมื่อวันที่ 14–16 พฤศจิกายน 2555 ในราคาหุ้นละ 3.10 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 263.50 ล้านบาท โดยมีบริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

ดร. ชาญกฤช เดชวิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ TMILL เปิดเผยว่า “การระดมทุนครั้งนี้ บริษัทจะนำเงิน 140 ล้านบาท ไปชำระคืนเงินกู้ และอีก 123.50 ล้านบาท ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน อีกทั้งเตรียมพร้อมขยายกำลังการผลิต ซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์สำหรับผลิตแป้งสาลี รวมทั้งถังไซโลสำหรับเก็บวัตถุดิบข้าวสาลีและแป้งสาลี เพื่อรองรับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจาก 250 ตันข้าวสาลีต่อวัน เป็น 500 ตันข้าวสาลีต่อวัน”

หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TMILL 3 รายแรก ได้แก่ บริษัท ไทยชูการ์ เทอร์มิเนิ้ล จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 69.34 % บริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 2.19 % นายวัชระ แก้วสว่าง ถือหุ้น 1.11 % ราคา IPO ของ TMILL ในราคาหุ้นละ 3.10 บาท ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 13.76 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้น 8 ไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจาก 4 ไตรมาสที่ผ่านมามีเหตุการณ์น้ำท่วม และไฟไหม้เกิดขึ้น ทำให้ผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามปกติของบริษัท จึงคำนวณกำไรสุทธิ เฉลี่ย 8 ไตรมาส ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2553 – 30 มิถุนายน 2555 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัท หลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ ซึ่งเท่ากับ 285 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.23 บาท บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลของงบการเงินเฉพาะ และหลังหักสำรองตามกฎหมาย และเงินสะสมอื่นๆ ตามที่บริษัทกำหนด

ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.tmill.co.th และที่เว็บไซต์ www.mai.or.th

รูปภาพ
บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 พ.ย. 2555
ภาพประจำตัวสมาชิก
ปรัชญา
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 18252
ผู้ติดตาม: 0

Re: สรุปข่าว ประจำวัน บันเทิง วาไรตี้

โพสต์ที่ 360

โพสต์

รูปภาพ

.: TMI โชว์กำไรไตรมาส 3 พุ่งกว่า 41% :.

TMI เผยผลงาน 9 เดือน รายได้เติบโตกว่า 25% ในขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส ­­­­3/2555 เติบโต 41.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดโมเดิร์นเทรดมีการเติบโตสูง พร้อมผลิตสินค้าแบรนด์ตัวเอง"GATA" ดันออกตลาดมากขึ้น

นายธีระชัย ประสิทธิ์รัตนพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธีระมงคล อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMI ผู้นำธุรกิจออกแบบ ผลิต และจัดจำหน่าย อุปกรณ์ไฟฟ้าส่องสว่าง อุปกรณ์ควบคุม หลอดไฟ และโคมไฟ ภายใต้แบรนด์ “GATA” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนของปี 2555 เป็นไปในทิศทางที่พึงพอใจด้วยรายได้เติบโตกว่า 337 ล้านบาท คิดเป็น25 % และมีกำไร 28 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 102% ซึ่งเกินเป้าจากที่บริษัทฯได้วางแผนไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี

ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2555 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2555 มีการเติบโตทั้งกำไรสุทธิและยอดขาย โดยบริษัทฯมีรายได้รวม 107.98 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 4.26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 5.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.85% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีกำไรอยู่ที่ 3.9 ล้านบาท

“บริษัทฯมีกำไรสุทธิเติบโตสูงกว่ารายได้รวม เนื่องจากได้ปรับช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้ามายังส่วนที่เป็นร้านค้าโมเดิร์นเทรดมากขึ้น และบวกกับช่วงที่ผ่านมาตลาดโมเดิร์นเทรดมีการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สินค้าของบริษัทฯมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงเน้นการให้ความสำคัญด้านการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์กาต้า ซึงเป็นสินค้าที่บริษัทฯผลิตขึ้นเองทำให้มีอัตรากำไรต่อหน่วยมากขึ้น”

นายธีระชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯได้พัฒนาออกแบบและวิจัยสินค้าส่องสว่างมากขึ้น โดยเน้นในเรื่องของการเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้บริโภค และพร้อมใช้งานได้อย่างง่ายดายมากขึ้น ซึ่งสินค้าล่าสุดที่บริษัทฯพัฒนาออกสู่ตลาด คือ รางปลั๊กไฟอัจฉริยะและคาร์ชาร์ตเจอร์ เป็นต้น


รูปภาพ
บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 พ.ย. 2555