เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
- Nevercry.boy
- Verified User
- โพสต์: 4626
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 31
คุณก้าวหน้าไปมากครับ คุณกล้วยไม้ขาว
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
ค้นพบตัวเองสำเร็จไปแล้วหนึ่งขั้น แนวคิดของเราไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น
เราไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนสิ่งที่คนอื่นมองเรา
เราเป็นตัวเราที่ประสบความสำเร็จในแบบของเรา
แม้จะไม่มากมายเท่าใครต่อใคร
แต่ก็ทำให้เราภูมิใจในสิ่งที่ตัวเราเองมี และไม่มีใครมีเหมือนเรา
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
ค้นพบตัวเองสำเร็จไปแล้วหนึ่งขั้น แนวคิดของเราไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น
เราไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนสิ่งที่คนอื่นมองเรา
เราเป็นตัวเราที่ประสบความสำเร็จในแบบของเรา
แม้จะไม่มากมายเท่าใครต่อใคร
แต่ก็ทำให้เราภูมิใจในสิ่งที่ตัวเราเองมี และไม่มีใครมีเหมือนเรา
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้
http://nevercry-boy.blogspot.com/
http://nevercry-boy.blogspot.com/
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 34
พี่เป็นหนึ่งในอาจารย์ของผมเหมือนกันครับ และในช่วงที่ผมกำลังสับสนกับแนวทางของตัวเองNevercry.boy เขียน:คุณก้าวหน้าไปมากครับ คุณกล้วยไม้ขาว
ขอเป็นกำลังใจให้ครับ
ค้นพบตัวเองสำเร็จไปแล้วหนึ่งขั้น แนวคิดของเราไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น
เราไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนสิ่งที่คนอื่นมองเรา
เราเป็นตัวเราที่ประสบความสำเร็จในแบบของเรา
แม้จะไม่มากมายเท่าใครต่อใคร
แต่ก็ทำให้เราภูมิใจในสิ่งที่ตัวเราเองมี และไม่มีใครมีเหมือนเรา
ก็ได้กระทู้ Canslim ของพี่นี่หล่ะที่จุดประกายให้ผม เติมเต็มจุดที่ผมขาด
และเห็นภาพชัดเจนขึ้น ในเรื่องของVI การวิเคราะห์พื้นฐาน และเทคนิคอล
ขอบคุณพี่มากๆครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 36
วิเคราะห์พื้นฐานและการประเมินมูลค่าอย่างง่าย
เรามาเข้าเนื้อหาแบบวิชาการกันมั่งดีกว่าครับ
นักลงทุนรุ่นใหม่ๆจะได้เพิ่มความเป็น VI กันอีกสักนิด
รู้ใหมครับว่าเราวิเคราะห์พื้นฐานไปทำไม?
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เพราะยังงงๆกันอยู่ ไม่เป็นไรครับตอนนี้ยังทันที่จะรู้
เราวิเคราะห์พื้นฐานเพื่อจุดประสงค์สามอย่างหลักๆคือ
- เพื่อดูว่าธุรกิจที่เราสนใจมันเป็นธุรกิจที่ดีรึเปล่า
- เพื่อหาว่าตัวแปรอะไรที่จะทำให้ธุรกิจดีขึ้นหรือแย่ลง
- เพื่อวิเคราะห์ว่าที่ผ่านมานั้นผู้บริหารทำได้ดีหรือไม่ และเชื่อถือได้แค่ไหน
แล้ววิเคราะห์กันอย่างไรล่ะ?
ก่อนจะตอบข้อนี้ผมต้องขอถามกลับก่อนว่า แล้วเราอยากรู้เรื่องอะไร?
ถ้ายังไม่รู้จะถามอะไร จุดเริ่มต้นคือการอ่าน 56-1 ก่อนเลยครับ
เพื่อที่จะเข้าใจลักษณะการทำธุรกิจของบริษัทที่เราสนใจ ว่าเขาทำอะไร
มีใครเป็นลูกค้า เก็บเงินยังไง เก็บสินค้ายังไง ส่งสินค้ายังไง etc.
เมื่อเราทราบแล้วเราก็จะสามารถตั้งคำถามได้เช่น
ธุรกิจนี้มันดีรึเปล่า? เราก็อาจจะใช้ Five Force Model ในการดูความแข็งแกร่งในแต่ระด้านของธุรกิจ
บริษัทนี้มีอะไรที่แตกต่างจากคู่แข่งไหม? เราก็จะรู้จากการอ่าน 56-1
ว่าบริษัทที่เราดูอยู่วางกลยุทธ์อย่างไร แล้วเทียบกับของคู่แข่งใครดีกว่ากัน
โดยสรุปแล้ว 56-1 มีประโยชน์มากในด้านการทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัท
เข้าใจวิธีการบริหารที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เข้าใจตัวแปรที่สำคัญที่มีผลต่อบริษัท
เรียกได้ว่าเก็บคะแนนสองในสามได้หมดเลย
หลังจากนั้นจึงมาดูเรื่องของผู้บริหารและการบริหาร
ในส่วนนี้มีเครื่องมือสองอย่างที่สำคัญคือ
1งบการเงินและ 2ข่าวการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหาร
งบการเงินเราใช้ในการตรวจสอบกลยุทธ์ที่เราหาได้จาก 56-1 หรือข่าวที่ผู้บริหารเคยให้สัมภาษณ์
ว่ามีการทำได้จริงหรือไม่ แล้วทำตามกลยุทธ์จริงๆหรือเปล่า หรือเพียงแค่เพ้อฝันโม้่ไปวันๆ
ซึ่งหลังจากวิเคราะห์งบเราก็จะทราบได้ เช่นบริษัทมุ่งทำตลาดที่มีการแข่งขันน้อย
ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะเห็นจากการวิเคราะห์งบคืออัตรากำไรที่ควรเพิ่มขึ้น ไม่ใช่โตแต่ยอดขายแต่มาจิ้นลดลง
หรือบริษัทเน้นขยายสาขาโดยระบบแฟรนไชส์ก็จะต้องเห็นยอดขายเำพิ่มขึ้น แต่ทรัพย์สินไม่หมุนเวียนคงที่
ไม่มีการเพิ่มขึ้นตามเป็นต้น ซึ่งงบการเงินจะเป็นคนตอบข้อสงสัยตรงนี้
เหมือนกับ log ในระบบคอมที่คอยบันทึกข้อมูลต่างๆำไว้ อยู่ที่ว่าเราจะดูเป็นรึเปล่า
หลังจากวิเคราะห์แล้วเราก็จะเห็นแนวโน้มอนาคตของธุรกิจได้จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหาร การสอบถาม IR
และเรายังให้คะแนนความน่าเชื่อถือของผู้บริหารได้ด้วยว่าเป็นคนอย่างไร ชอบให้ข้อมูลเกินความจริงไหม
หรือ conservative ระมัดระวัง ชอบปกปิดอะไรหรือเปล่า ที่สำคัญเรายังสามารถนำข้อมูลที่ได้จากบทสัมภาษณ์ผู้บริหาร
มาทำการประเมินมูลค่าอย่างง่ายๆ ได้อีกด้วยทั้ง PE PEG DCF DivYiled หรืออื่นๆตามแต่ใจเราต้องการ
เรามาเข้าเนื้อหาแบบวิชาการกันมั่งดีกว่าครับ
นักลงทุนรุ่นใหม่ๆจะได้เพิ่มความเป็น VI กันอีกสักนิด
รู้ใหมครับว่าเราวิเคราะห์พื้นฐานไปทำไม?
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ เพราะยังงงๆกันอยู่ ไม่เป็นไรครับตอนนี้ยังทันที่จะรู้
เราวิเคราะห์พื้นฐานเพื่อจุดประสงค์สามอย่างหลักๆคือ
- เพื่อดูว่าธุรกิจที่เราสนใจมันเป็นธุรกิจที่ดีรึเปล่า
- เพื่อหาว่าตัวแปรอะไรที่จะทำให้ธุรกิจดีขึ้นหรือแย่ลง
- เพื่อวิเคราะห์ว่าที่ผ่านมานั้นผู้บริหารทำได้ดีหรือไม่ และเชื่อถือได้แค่ไหน
แล้ววิเคราะห์กันอย่างไรล่ะ?
ก่อนจะตอบข้อนี้ผมต้องขอถามกลับก่อนว่า แล้วเราอยากรู้เรื่องอะไร?
ถ้ายังไม่รู้จะถามอะไร จุดเริ่มต้นคือการอ่าน 56-1 ก่อนเลยครับ
เพื่อที่จะเข้าใจลักษณะการทำธุรกิจของบริษัทที่เราสนใจ ว่าเขาทำอะไร
มีใครเป็นลูกค้า เก็บเงินยังไง เก็บสินค้ายังไง ส่งสินค้ายังไง etc.
เมื่อเราทราบแล้วเราก็จะสามารถตั้งคำถามได้เช่น
ธุรกิจนี้มันดีรึเปล่า? เราก็อาจจะใช้ Five Force Model ในการดูความแข็งแกร่งในแต่ระด้านของธุรกิจ
บริษัทนี้มีอะไรที่แตกต่างจากคู่แข่งไหม? เราก็จะรู้จากการอ่าน 56-1
ว่าบริษัทที่เราดูอยู่วางกลยุทธ์อย่างไร แล้วเทียบกับของคู่แข่งใครดีกว่ากัน
โดยสรุปแล้ว 56-1 มีประโยชน์มากในด้านการทำความเข้าใจธุรกิจของบริษัท
เข้าใจวิธีการบริหารที่ทำอยู่ในปัจจุบัน เข้าใจตัวแปรที่สำคัญที่มีผลต่อบริษัท
เรียกได้ว่าเก็บคะแนนสองในสามได้หมดเลย
หลังจากนั้นจึงมาดูเรื่องของผู้บริหารและการบริหาร
ในส่วนนี้มีเครื่องมือสองอย่างที่สำคัญคือ
1งบการเงินและ 2ข่าวการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหาร
งบการเงินเราใช้ในการตรวจสอบกลยุทธ์ที่เราหาได้จาก 56-1 หรือข่าวที่ผู้บริหารเคยให้สัมภาษณ์
ว่ามีการทำได้จริงหรือไม่ แล้วทำตามกลยุทธ์จริงๆหรือเปล่า หรือเพียงแค่เพ้อฝันโม้่ไปวันๆ
ซึ่งหลังจากวิเคราะห์งบเราก็จะทราบได้ เช่นบริษัทมุ่งทำตลาดที่มีการแข่งขันน้อย
ดังนั้นสิ่งที่เราควรจะเห็นจากการวิเคราะห์งบคืออัตรากำไรที่ควรเพิ่มขึ้น ไม่ใช่โตแต่ยอดขายแต่มาจิ้นลดลง
หรือบริษัทเน้นขยายสาขาโดยระบบแฟรนไชส์ก็จะต้องเห็นยอดขายเำพิ่มขึ้น แต่ทรัพย์สินไม่หมุนเวียนคงที่
ไม่มีการเพิ่มขึ้นตามเป็นต้น ซึ่งงบการเงินจะเป็นคนตอบข้อสงสัยตรงนี้
เหมือนกับ log ในระบบคอมที่คอยบันทึกข้อมูลต่างๆำไว้ อยู่ที่ว่าเราจะดูเป็นรึเปล่า
หลังจากวิเคราะห์แล้วเราก็จะเห็นแนวโน้มอนาคตของธุรกิจได้จากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหาร การสอบถาม IR
และเรายังให้คะแนนความน่าเชื่อถือของผู้บริหารได้ด้วยว่าเป็นคนอย่างไร ชอบให้ข้อมูลเกินความจริงไหม
หรือ conservative ระมัดระวัง ชอบปกปิดอะไรหรือเปล่า ที่สำคัญเรายังสามารถนำข้อมูลที่ได้จากบทสัมภาษณ์ผู้บริหาร
มาทำการประเมินมูลค่าอย่างง่ายๆ ได้อีกด้วยทั้ง PE PEG DCF DivYiled หรืออื่นๆตามแต่ใจเราต้องการ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 37
เนื้อหาข้างบนเป็นธีการอย่างง่ายๆ นะครับ
อาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่สุด แต่เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีครับ
อาจไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องที่สุด แต่เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลดีครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 38
จะซื้อเมื่อไหร่? จะขายเมื่อไหร่?
อีกหนึ่งปัญหาโลกแตกที่ยังไม่มีบทสรุป แต่ผมมั่นใจว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนอยากรู้
คำถามนี้ก็เหมือนกับการถามว่าซื้อกางเกง size ไหนดี แน่นอนครับก็ต้องเป็น size ที่คุณพอใจ
บางคนชอบหลวมหน่อย บางคนชอบพอดี บางคนชอบเดฟ
การที่จะซื้อหุ้นเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นนักลงทุนประเำภทไหน หรือคุณมีเป้าหมายในการลงทุนอย่างไร
เหตุผลที่คุณลงทุนจะเป็นเหตุผลที่คุณใช้เพื่อตัดสินใจว่าจะซื้อเมื่อไหร่
เพราะเหตุนี้การที่รู้จักความต้องการของตัวเอง ค้นพบตัวตนของตัวเองจึงเป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรหาคำตอบ
เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าขนาดตัวเราใส่กางเกง size ไหนได้บ้าง
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบ VI#1 คุณก็จะรู้ว่าคุณจะซื้อเมื่อคุณเจอธุรกิจที่คุณอยากเป็นเจ้าของตลอดชีวิต
ในราคาที่คุณเต็มใจจ่าย
ถ้าคุณเป็น VI#2 หรือ VS (สองกลุ่มนี้จะมีส่วนคล้ายๆกันในเรื่องเป้าหมายการลงทุน) คุณก็จะซื้อเมื่อเจอ
หุ้นที่คิดว่ามีความเป็นได้ที่จะทำกำไรให้คุณมหาศาล ในราคาที่ถูกกว่าราคาในอนาคตที่คาดไว้
ถ้าคุณเป็น Wizard คุณก็จะซื้อเมื่อมีสัญญาณซื้อตามสูตรที่คุณเลือกใช้
ถ้าเป็นเหาฉลามก็ต้องซื้อเมื่อมีเซียนบอกให้ซื้อ
ถ้าคุณเป็นแมลงเม่าคุณก็ต้องซื้อเมื่อเห็นกองไฟ :lol:
สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องคือแล้วจะขายเมื่อไหร่?
ความผิดพลาดส่วนใหญ่ของนักลงทุนคือ ซื้อหุ้นก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องขายทีหลัง
ซึ่งมันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่กลายเป็น "VI จำเป็น"
ติดดอย หรือขายหมูได้
ผมชอบประโยคนึงจากหนังสือเรื่อง พ่อรวยสอนลูก
"กำไรเมื่อซื้อ"
ประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก เป็นประโยคทองเลยทีเดียว
ความหมายของมันก็คือคุณต้องรู้ตั้งแต่ตอนซื้อแล้วว่าคุณจะขายได้อย่างไร
ขายได้เท่าไหร่ และขายได้เมื่อไร เพื่อที่คุณจะรู้ว่าคุณจะซื้อเท่าไหร่
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบ VI#1 คุณก็จะรู้ตั้งแต่ตอนซื้อว่าคุณจะขายเมื่อพบว่าธุรกิจไม่ดีจริง
หรือมีการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง หรือความได้เปรียบหมดไปแล้ว
ถ้าคุณเป็น VI#2 หรือ VS คุณก็จะรู้ตั้งแต่ตอนซื้อว่าคุณจะขายเมื่อราคาหุ้นเพิ่มถึงจุดที่คาดการณ์ำหรือมากกว่า
ถ้าคุณเป็น Wizard คุณก็จะรู้ตั้งแต่ซื้อว่าเมื่อมีสัญญาณขายหรือราคาหุ้นไม่ได้วิ่งไปอย่างที่คิดคุณก็จะขายตามสูตรที่คุณเลือกใช้
ถ้าเป็นเหาฉลามก็ต้องรู้ตั้งแต่ตอนซื้อเมื่อมีเซียนบอกให้ซื้อ ว่าคุณจะขายเมื่อเซียนขาย
ถ้าคุณเป็นแมลงเม่าคุณก็ต้องขายเมื่อหมดไฟ :lol:
ในโลกของการลงทุนไม่มีสูตรตายตัวที่ทุกคนจะต้องทำตาม
มีเพียงสิ่งที่เหมาะกับแต่ละคนเท่านั้น ดังนั้นจงเลือกหนทางของตัวเอง
แล้ววิธีการที่เหมาะก็จะปรากฎขึ้นมาให้เห็นเอง
อีกหนึ่งปัญหาโลกแตกที่ยังไม่มีบทสรุป แต่ผมมั่นใจว่าคนไทยเกินหนึ่งล้านคนอยากรู้
คำถามนี้ก็เหมือนกับการถามว่าซื้อกางเกง size ไหนดี แน่นอนครับก็ต้องเป็น size ที่คุณพอใจ
บางคนชอบหลวมหน่อย บางคนชอบพอดี บางคนชอบเดฟ
การที่จะซื้อหุ้นเมื่อไหร่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นนักลงทุนประเำภทไหน หรือคุณมีเป้าหมายในการลงทุนอย่างไร
เหตุผลที่คุณลงทุนจะเป็นเหตุผลที่คุณใช้เพื่อตัดสินใจว่าจะซื้อเมื่อไหร่
เพราะเหตุนี้การที่รู้จักความต้องการของตัวเอง ค้นพบตัวตนของตัวเองจึงเป็นสิ่งแรกๆ ที่ควรหาคำตอบ
เพื่อที่เราจะได้รู้ว่าขนาดตัวเราใส่กางเกง size ไหนได้บ้าง
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบ VI#1 คุณก็จะรู้ว่าคุณจะซื้อเมื่อคุณเจอธุรกิจที่คุณอยากเป็นเจ้าของตลอดชีวิต
ในราคาที่คุณเต็มใจจ่าย
ถ้าคุณเป็น VI#2 หรือ VS (สองกลุ่มนี้จะมีส่วนคล้ายๆกันในเรื่องเป้าหมายการลงทุน) คุณก็จะซื้อเมื่อเจอ
หุ้นที่คิดว่ามีความเป็นได้ที่จะทำกำไรให้คุณมหาศาล ในราคาที่ถูกกว่าราคาในอนาคตที่คาดไว้
ถ้าคุณเป็น Wizard คุณก็จะซื้อเมื่อมีสัญญาณซื้อตามสูตรที่คุณเลือกใช้
ถ้าเป็นเหาฉลามก็ต้องซื้อเมื่อมีเซียนบอกให้ซื้อ
ถ้าคุณเป็นแมลงเม่าคุณก็ต้องซื้อเมื่อเห็นกองไฟ :lol:
สิ่งที่สำคัญอีกเรื่องคือแล้วจะขายเมื่อไหร่?
ความผิดพลาดส่วนใหญ่ของนักลงทุนคือ ซื้อหุ้นก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องขายทีหลัง
ซึ่งมันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่กลายเป็น "VI จำเป็น"
ติดดอย หรือขายหมูได้
ผมชอบประโยคนึงจากหนังสือเรื่อง พ่อรวยสอนลูก
"กำไรเมื่อซื้อ"
ประโยคนี้มีความหมายลึกซึ้งมาก เป็นประโยคทองเลยทีเดียว
ความหมายของมันก็คือคุณต้องรู้ตั้งแต่ตอนซื้อแล้วว่าคุณจะขายได้อย่างไร
ขายได้เท่าไหร่ และขายได้เมื่อไร เพื่อที่คุณจะรู้ว่าคุณจะซื้อเท่าไหร่
ถ้าคุณเป็นนักลงทุนแบบ VI#1 คุณก็จะรู้ตั้งแต่ตอนซื้อว่าคุณจะขายเมื่อพบว่าธุรกิจไม่ดีจริง
หรือมีการดำเนินธุรกิจเปลี่ยนไปในทางที่แย่ลง หรือความได้เปรียบหมดไปแล้ว
ถ้าคุณเป็น VI#2 หรือ VS คุณก็จะรู้ตั้งแต่ตอนซื้อว่าคุณจะขายเมื่อราคาหุ้นเพิ่มถึงจุดที่คาดการณ์ำหรือมากกว่า
ถ้าคุณเป็น Wizard คุณก็จะรู้ตั้งแต่ซื้อว่าเมื่อมีสัญญาณขายหรือราคาหุ้นไม่ได้วิ่งไปอย่างที่คิดคุณก็จะขายตามสูตรที่คุณเลือกใช้
ถ้าเป็นเหาฉลามก็ต้องรู้ตั้งแต่ตอนซื้อเมื่อมีเซียนบอกให้ซื้อ ว่าคุณจะขายเมื่อเซียนขาย
ถ้าคุณเป็นแมลงเม่าคุณก็ต้องขายเมื่อหมดไฟ :lol:
ในโลกของการลงทุนไม่มีสูตรตายตัวที่ทุกคนจะต้องทำตาม
มีเพียงสิ่งที่เหมาะกับแต่ละคนเท่านั้น ดังนั้นจงเลือกหนทางของตัวเอง
แล้ววิธีการที่เหมาะก็จะปรากฎขึ้นมาให้เห็นเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 87
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 39
เยี่ยมยอดมากครับ
-----------------------
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้
และก็มีหลายสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
สุดท้าย หลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้ เราอาจจะไม่รู้ก็ได้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้
มีหลายสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้
และก็มีหลายสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้
สุดท้าย หลายสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้ เราอาจจะไม่รู้ก็ได้
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 40
ตรงตามชื่อกระทู้เลยครับ
คนที่หมั่นทบทวนแนวคิดของตัวเอง
ด้วยการโพสมันออกมาสู่มวลชน
ถือเป็นการทบทวนที่ดีคือตัวเองก็ได้ คนอื่นก็ได้
แล้วก็มีคนสอบทานให้ด้วย
แต่เอ...วีไอเหาฉลามนี่ตั้งใจจะว่าใครเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ...ฮ่า...
คนที่หมั่นทบทวนแนวคิดของตัวเอง
ด้วยการโพสมันออกมาสู่มวลชน
ถือเป็นการทบทวนที่ดีคือตัวเองก็ได้ คนอื่นก็ได้
แล้วก็มีคนสอบทานให้ด้วย
แต่เอ...วีไอเหาฉลามนี่ตั้งใจจะว่าใครเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ...ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- jo7393
- Verified User
- โพสต์: 2486
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 41
จำได้ว่าพี่พอใจชอบพูดว่าตัวเองซื้อตามเซียน พี่พอใจชอบถล่มตัวอยู่เรื่อยอ่ะครับ ถ้าพี่เป็นเหาฉลามสงสัยผมเป็นเหาปลาทู หาฉลามให้เกาะไม่เจอครับ :lol: :lol:por_jai เขียน: ตรงตามชื่อกระทู้เลยครับ
คนที่หมั่นทบทวนแนวคิดของตัวเอง
ด้วยการโพสมันออกมาสู่มวลชน
ถือเป็นการทบทวนที่ดีคือตัวเองก็ได้ คนอื่นก็ได้
แล้วก็มีคนสอบทานให้ด้วย
แต่เอ...วีไอเหาฉลามนี่ตั้งใจจะว่าใครเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ...ฮ่า...
“ถ้าราคาหุ้นแยกออกไปจากเส้นกำไร ไม่ช้าก็เร็วมันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไรเสมอ”
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
เลือกบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่
อย่าอายที่จะถาม ไม่มีใครรู้ลึกทุก บ. ถ้าไม่รู้แล้วไม่ถามก็จะยิ่งไม่ฉลาด
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 44
ผมก็เป็นเหาฉลามในบางครั้งครับพี่ แต่พี่พอใจเนี่ยไม่ใช่เหาฉลามแล้วครับpor_jai เขียน: ตรงตามชื่อกระทู้เลยครับ
คนที่หมั่นทบทวนแนวคิดของตัวเอง
ด้วยการโพสมันออกมาสู่มวลชน
ถือเป็นการทบทวนที่ดีคือตัวเองก็ได้ คนอื่นก็ได้
แล้วก็มีคนสอบทานให้ด้วย
แต่เอ...วีไอเหาฉลามนี่ตั้งใจจะว่าใครเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ...ฮ่า...
เพราะวันนั้นพี่เล่นซื้อต่ำกว่าเซียน แถมยังขายได้แำพงกว่าอีก :lovl:
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 45
ขอบคุณมากๆครับ สำหรับสิ่งดีๆ ที่มาถ่ายทอดให้ได้อ่าน จะรออ่านผลงานของท่านกล้วยไม้ขาวไปเรื่อย ๆ นะครับ
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 47
นั่นดิ ตอนแรกคิดว่าคนแก่ ไม่รับมุขศัพท์ใหม่ๆของวัยรุ่น แต่ไม่กล้าถาม :lol: 555tingku เขียน:กระทู้ดีมีประโยชน์ครับ.... เกี่ยวอะไรกับมาม่าอ่ะครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- newbie_12
- Verified User
- โพสต์: 2904
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 48
http://drama-addict.com/naris เขียน:นั่นดิ ตอนแรกคิดว่าคนแก่ ไม่รับมุขศัพท์ใหม่ๆของวัยรุ่น แต่ไม่กล้าถาม :lol: 555tingku เขียน:กระทู้ดีมีประโยชน์ครับ.... เกี่ยวอะไรกับมาม่าอ่ะครับ
เว็บมาม่าครับ ว่างๆไปอ่าน หนุกหนานมากมาย
.
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
.
อดีตอันรุ่งโรจน์ ไม่ได้การันตีอนาคตจะรุ่งเรือง
----------------------------
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 49
มาม่า แผลงมาจาก ดราม่า ครับพอดีช่วงนี้มันอินเทรนด์ :lovl:naris เขียน:นั่นดิ ตอนแรกคิดว่าคนแก่ ไม่รับมุขศัพท์ใหม่ๆของวัยรุ่น แต่ไม่กล้าถาม :lol: 555tingku เขียน:กระทู้ดีมีประโยชน์ครับ.... เกี่ยวอะไรกับมาม่าอ่ะครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 384
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 51
ฮ่าๆๆกล้วยไม้ขาว เขียน:มาม่า แผลงมาจาก ดราม่า ครับพอดีช่วงนี้มันอินเทรนด์ :lovl:naris เขียน:นั่นดิ ตอนแรกคิดว่าคนแก่ ไม่รับมุขศัพท์ใหม่ๆของวัยรุ่น แต่ไม่กล้าถาม :lol: 555tingku เขียน:กระทู้ดีมีประโยชน์ครับ.... เกี่ยวอะไรกับมาม่าอ่ะครับ
ตอนแรกผมนึกว่า "เบื่อมาม่า" หมายถึง เบื่อแนวคิดที่มันสำเร็จรูปมาแล้ว
พี่กล้วยไม้ขาว เลยขอทบทวนแนวคิด เพื่อสรุปแนวทางของตนเอง
ผมนี่มั่วไปไกลเลย 555+
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 52
การตัดสินใจครั้งสุดท้าย
ในการตัดสินใจขายนั้น หลายคนจะรู้สึกสับสนมากว่าจะขายหรือถือ
ประโยคที่หลายคนมักจะยกมาอ้างคือคำพูดของบัพเฟตที่ว่า
"ถ้าทนเห็นหุ้นที่ตัวเองถือตกลงไป 50% ไม่ได้ก็อย่าลงทุน"
เพื่อที่จะไม่ขายหุ้นที่คิดว่าดีออกไปในตอนที่รู้สึกกลัว
ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง ที่ผมเองก็เคยเป็นมาก่อน
เพราะการคิดเพียงจุดเดียวในกระบวนการ แล้วนำมาตัดสินใจเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย
ในกระบวนการลงทุนนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ ค้นหา->วิเคราะห์->วางแผน->และทำตามแผน
ซึ่งการซื้อถือและขายจะอยู่ในขั้นการทำตามแผน และจะต้องมาด้วยกัน
หลายคนนั้นไม่ได้วางแผนไว้ก่อนทำให้ตอนซื้อนั้นทำตามหลักการหนึ่ง
แต่ตอนที่เห็นหุ้นตกกลับคิดตามอีกหลักการหนึ่ง
ดังนั้นความลังเลและไม่มันใจจึงเกิดขึ้นได้ง่ายและสุดท้ายอารมณ์ก็จะชนะเสมอ
จริงอยู่ที่บัพเฟตพูดอย่างนั้น แต่นั่นเป็นเพียงความเห็น (Opinion)
อย่าลืมว่าบัพเฟตมีกฏอยู่สองข้อคือ 1อย่าขาดทุนและ 2อย่าลืมกฏข้อหนึ่ง
ซึ่งมันใช้ได้กับทุกกรณี ถ้าสิ่งที่คุณทำตอนซื้อเป็นการลงทุนต้องอย่าซื้อแพงกว่ามูลค่า
ถ้าสิ่งที่คุณทำตอนซื้อเป็นการเกร็งกำไรต้องอย่ายอมให้พอร์ทลบจนเกินจุดที่รับได้
และถ้าจะว่ากันตามลำดับความสำคัญ กฏย่อมสำคัญกว่าความเห็น
ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้เริ่มต้นอย่างถูกต้อง ทำตามกฏดีกว่าครับ
ในการตัดสินใจขายนั้น หลายคนจะรู้สึกสับสนมากว่าจะขายหรือถือ
ประโยคที่หลายคนมักจะยกมาอ้างคือคำพูดของบัพเฟตที่ว่า
"ถ้าทนเห็นหุ้นที่ตัวเองถือตกลงไป 50% ไม่ได้ก็อย่าลงทุน"
เพื่อที่จะไม่ขายหุ้นที่คิดว่าดีออกไปในตอนที่รู้สึกกลัว
ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างรุนแรง ที่ผมเองก็เคยเป็นมาก่อน
เพราะการคิดเพียงจุดเดียวในกระบวนการ แล้วนำมาตัดสินใจเป็นเรื่องที่ทำให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย
ในกระบวนการลงทุนนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ ค้นหา->วิเคราะห์->วางแผน->และทำตามแผน
ซึ่งการซื้อถือและขายจะอยู่ในขั้นการทำตามแผน และจะต้องมาด้วยกัน
หลายคนนั้นไม่ได้วางแผนไว้ก่อนทำให้ตอนซื้อนั้นทำตามหลักการหนึ่ง
แต่ตอนที่เห็นหุ้นตกกลับคิดตามอีกหลักการหนึ่ง
ดังนั้นความลังเลและไม่มันใจจึงเกิดขึ้นได้ง่ายและสุดท้ายอารมณ์ก็จะชนะเสมอ
จริงอยู่ที่บัพเฟตพูดอย่างนั้น แต่นั่นเป็นเพียงความเห็น (Opinion)
อย่าลืมว่าบัพเฟตมีกฏอยู่สองข้อคือ 1อย่าขาดทุนและ 2อย่าลืมกฏข้อหนึ่ง
ซึ่งมันใช้ได้กับทุกกรณี ถ้าสิ่งที่คุณทำตอนซื้อเป็นการลงทุนต้องอย่าซื้อแพงกว่ามูลค่า
ถ้าสิ่งที่คุณทำตอนซื้อเป็นการเกร็งกำไรต้องอย่ายอมให้พอร์ทลบจนเกินจุดที่รับได้
และถ้าจะว่ากันตามลำดับความสำคัญ กฏย่อมสำคัญกว่าความเห็น
ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้เริ่มต้นอย่างถูกต้อง ทำตามกฏดีกว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1400
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 53
กล้วยไม้ขาว เขียน:[bประโยคที่หลายคนมักจะยกมาอ้างคือคำพูดของบัพเฟตที่ว่า
"ถ้าทนเห็นหุ้นที่ตัวเองถือตกลงไป 50% ไม่ได้ก็อย่าลงทุน"
เพื่อที่จะไม่ขายหุ้นที่คิดว่าดีออกไปในตอนที่รู้สึกกลัว
ในกระบวนการลงทุนนั้นต้องเริ่มตั้งแต่ ค้นหา->วิเคราะห์->วางแผน->และทำตามแผน
ซึ่งการซื้อถือและขายจะอยู่ในขั้นการทำตามแผน และจะต้องมาด้วยกัน
หลายคนนั้นไม่ได้วางแผนไว้ก่อนทำให้ตอนซื้อนั้นทำตามหลักการหนึ่ง
แต่ตอนที่เห็นหุ้นตกกลับคิดตามอีกหลักการหนึ่ง
จริงอยู่ที่บัพเฟตพูดอย่างนั้น แต่นั่นเป็นเพียงความเห็น (Opinion)
อย่าลืมว่าบัพเฟตมีกฏอยู่สองข้อคือ 1อย่าขาดทุนและ 2อย่าลืมกฏข้อหนึ่ง
ซึ่งมันใช้ได้กับทุกกรณี ถ้าสิ่งที่คุณทำตอนซื้อเป็นการลงทุนต้องอย่าซื้อแพงกว่ามูลค่า
ถ้าสิ่งที่คุณทำตอนซื้อเป็นการเกร็งกำไรต้องอย่ายอมให้พอร์ทลบจนเกินจุดที่รับได้
และถ้าจะว่ากันตามลำดับความสำคัญ กฏย่อมสำคัญกว่าความเห็น
ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้เริ่มต้นอย่างถูกต้อง ทำตามกฏดีกว่าครับ
เราต่างตื่นขึ้นมาทุกวัน เพื่อสร้างผลงานให้ได้ เราควรรู้ว่า ในทุกวันมีอะไรที่ต้องทำเพื่อให้เกิดผลงาน หากการตื่นขึ้นมา ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลงาน เราก็ไม่สมควรที่จะตื่นขึ้นมาให้รกหูรกตาคนรอบข้าง
-
- Verified User
- โพสต์: 88
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เำบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 54
อย่าว่าแต่พี่นริศเลยครับ ผมว่า ผมวัยรุ่นแล้วนะครับ แต่ก็ยังงงเหมือนกันว่า มาม่าอะไรว้าnaris เขียน:นั่นดิ ตอนแรกคิดว่าคนแก่ ไม่รับมุขศัพท์ใหม่ๆของวัยรุ่น แต่ไม่กล้าถาม :lol: 555tingku เขียน:กระทู้ดีมีประโยชน์ครับ.... เกี่ยวอะไรกับมาม่าอ่ะครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เบื่อมาม่า! มานั่งทบทวนแนวคิดของตัวเองดีกว่า
โพสต์ที่ 57
ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากสรุปแนวคิดไว้อ่าน
แต่ตอนนี้นึกหัวข้อไม่ออกเลย
ใครกินวิตามิน B12(มีความคิดดีๆ :lovl: ) แนะนำมั่งครับ ว่าเขียนเรื่องอะไรดี
อีกอย่างนึงที่ผมอยากจะบอกทุกคนที่ได้อ่านว่า
หลายคนอาจจะคิดว่าผมเขียนสอนคนอื่น แต่จริงๆแล้วผมเขียนเพื่อสอนตัวเองครับ
แต่ตอนนี้นึกหัวข้อไม่ออกเลย
ใครกินวิตามิน B12(มีความคิดดีๆ :lovl: ) แนะนำมั่งครับ ว่าเขียนเรื่องอะไรดี
อีกอย่างนึงที่ผมอยากจะบอกทุกคนที่ได้อ่านว่า
หลายคนอาจจะคิดว่าผมเขียนสอนคนอื่น แต่จริงๆแล้วผมเขียนเพื่อสอนตัวเองครับ