พฤหัสฯ. ส.ค. 10, 2006 8:40 pm | 0 คอมเมนต์
เพื่อน เขียน: มาถึงช่วงสำคัญที่ผมตัดสินใจเลิกไปโรงพยสบาลนี้ เนื่องจากผมจะทำประกันให้ลูกๆผม ทางประกันเค้าขอประวัติจากโรงพยาบาล พบว่าคุณหมอลงความเห็นว่าลูกผมทั้ง2คนเป็นหอบหืดขั้นเริ่มต้น....ทางประกันเค้าจะไม่ยอมคุ้มครองระบบทางเดินหายใจ(แล้วผมจะไปทำทำไม?) เท่าที่เคยอ่านหนังสือมาบ้างว่าเด็กเล็กขนาดนี้ หลอดลมยังไม่แข็งแรง บางคนอาจมีเสียงดังถือเป็นเรื่องปรกติทั่วไป พอโตขึ้นก็จะหายเอง ....ผมเลยไปขอพบคุณหมอพร้อมกับขอให้คุณหมอช่วยวิเคราะห์ทบทวนการเขียนความเห็นอีกครั้งหนึ่งว่าจำเป็นต้องระบุชัดเจนว่าเป็นหอบหืดเลยหรือ เพราะลูกๆผมก็ไม่เคยมีอาการหอบหืดเลย ยกเว้นอาการหายใจขัดช่วงเป็นหวัดมารักษากับคุณหมอเท่านั้น
คุณหมอโกรธมากครับ...ที่บังอาจไปคิดแย้งกับท่าน พูดจาโผงผางมาก ผมเลยลากลับ และไม่ไปที่นั่นอีกเลย
ต่อมาก็ไปรักษากับคุณหมอที่BH ก็เล่าเรื่องให้ท่านฟัง....คุณหมอท่านก็อธิบายให้ฟังครับว่าโดยปรกติจะไม่มีการบันทึกว่าเด็กเล็กขนาดนี้เป็นหอบหืด เพราะมันยากที่จะแยกได้จากอาการปรกติทั่วไป....ถ้าเด็กโตแล้วจึงจะแยกแยะได้แน่นอน ตรวจดูอาการลูกผมแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอาการหอบหืดที่ผิดปรกติจากเด็กทั่วๆไป
ทุกวันนี้ลูกๆผมก็ยังปรกติดี ไม่มีอาการหอบหืด และไม่เห็นคุณหมอที่นี่พยามให้เด็กดมยาดูดเสมหะเลย ในขณะที่เก่า เห็นเด็กรอคิวดมยากันแน่นขนัด
พี่เพื่อนครับ สวัสดีครับ สบายดีเหมือนเดิมนะครับ ขอบคุณมากครับ ที่เข้ามาให้ความเห็น และเป็นประสพการณ์ที่มีคุณค่า สำหรับเหตุการณ์ที่พี่พบหมอคนแรกนั้น ผมก็ว่าถ้าก็น่าจะเลิกหาหมอท่านนั้นได้แล้วจริงๆ เพราะแสดงถึงการที่ ไม่มีความรู้ความสามารถที่ถูกต้อง ให้การรักษาไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ เรื่องเด็กหอบและมีเสียงหายใจเสียงหวีดหวือ( ทางการแพทย์เรียกว่า wheezing) ผมได้ถามภรรยาผมมาแล้ว เขาจะมี term การวินิจฉัย เรียกว่า WARY(Wheezing Associated Respiratory tract Infection) ซึ่งแต่ก่อน จะมีอีกคำเรียกว่า Hypersensitive Airway Disease ซึ่งภาวะหล่าวนี้ เป็นภาวะที่เกิดในเด็กเล็กๆ อย่างที่ว่าส่วนใหญ่ อายุยังไม่เกิน 2-5ปี ซึ่งกลุ่มเด็กเหล่านี้ เวลามีการติดเชื้อ ทางเดินหายใจ (Respiratory tract infection) มักจะตรวจพบจากการฟังปอดด้วย stethoscope หรือหูช่วยฟังของแพทย์ ว่ามีเสียงหวีดหวือ(ชาวบ้านบ้านนอก ถ้าหมอถามว่า เสียงฮืดๆ จะเข้าใจตรงกันได้มากกว่า) หรือที่เรียกว่า wheezing ซึ่งเป็นเสียงของอากาศที่ผ่านหลอดลมส่วนปลายที่ตีบแคบ มาจากการอักเสบของหลอดลม รวมถึงการตีบเกร็งจากกล้ามเนื้อของหลอดลมหดเกร็งที่เรียกกันว่า bronchospasm ซึ่งภาวะนี้ จะตอบสนองต่อการใช้ยาขยายหลอดลมทั้งชนิดกินและพ่นควันที่เรียกว่า nebulizer ซึ่งเด็กที่มีภาวะนี้ จะพบว่า มักจะมีอาการหอบจากภาวะดังกล่าวบ่อยๆ เวลามีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ แพทย์ก็จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีดังกล่าว รวมถึงในบางราย หากการพ่นยาไม่ได้ผล แพทย์ก็อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยยากลุ่มสเตรียรอยอ์ แบบ short course หรือบางรายไม่อาจแยกแยะได้ว่ามีการติดเชื้อแบคที่เรียที่ค่อนข้างดื้อยาในหลอดลม ก็อาจมีความจำเป็นต้องใช้ ยา antibiotic ชนิดกินที่ครอบคลุมเชื้อดื้อยามากขึ้น หรือแม้กระทั่งอาจต้องแนะนำให้รับคนไข้ไว้เพื่อสังเกตุอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้น้ำเกลือ และให้ antibiotic ชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือด โดยทั่วไป กุมารแพทย์ จะยังไม่ตัดสินใจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นกลุ่มอาการดังกล่าวจะเป็น Asthma หรือ โรคหอบหืดครับ แต่ เด็กกลุ่มนี้ จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น ที่จะมาพบแพทย์ตอนโตว่าเป็นโรคหอยหืด (ซึ่งเป็นเพราะเด็กกลุ่มเหล่านี้มีปัจจัยทางพันธุกรรมที่เสี่ยง เช่นมีประวัติครอบครัวที่เป็นอยู่แล้ว) ส่วนในเด็กอายุน้อยกว่า 2ปี หมอเด็กก็จะไม่ใช้คำนี้ในการวินนิจฉัย แต่มักจะวินิจฉัยเฉพาะเจาะจงลงไปว่า เป็น โรคติดเชื้อหลอดลมอักเสบ (acute bronchitis or bronchiolitis ) ซึ่งถือเป็นโรคที่เกิดจาการติดเชื้อ ไม่ใช่ภูมิแพ้ที่เป็นโรคเรื้อรัง และพวกประกันชีวิตไม่ชอบ
อีกทั้งแพทย์ท่านที่ว่านี้ ยังขาดเรื่องการควบคุมอารมณ์การแสดงออกที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งไม่ให้เกียรติและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้ป่วย ไม่ยอมรับในสิทธิของผู้ป่วย ซึ่งสิ่งต่างเหล่านี้ แพทย์จำเป็นต้องเข้าใจ และยอมรับว่าผู้ป่วย มีศักดิ์ศรีของตนเอง และผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นที่ 2,3,4....ได้
แพทย์ไม่ใช่ไม่อาจผิดพลาดได้ แพทย์ผิดพลาดได้ แต่ต้องยอมรับผิดหากได้ทำผลิดพลาดไป หรือหากมีทางช่วยเหลือกันได้ก็ต้องทำ
สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ และคนไข้ที่เรียกว่า petient-doctor relationship มีความสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการรักษา การรักษาจะไม่ราบรื่นได้เลย ถ้าขาดสิ่งนี้ ซึ่งสิ่งนี้ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งสองผ่าย คือแพทย์ และผู้ป่วย แพทย์ ก็ต้องมีความรู้ มีความสามารถรักษาที่ดี และupdate อยู่ตลอดเวลา ต้องมีความใส่ใจหวังดีต่อผู้ป่วยอยากให้เขาหายด้วยความรักและเมตตา ต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดพูดคุยให้ความรู้ที่เข้าใจง่ายแก่ผู้ป่วย ต้องมีบุคคลิกที่ดีเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธาต่อผู้ป่วย การวางตัวที่ดี วะจีไพเราะ การควบคุมอารณ์ การยอมรับในความคิดเห็นและวิถีชีวิตของผู้ป่วย เพราะการรักษาต้องเป็นการรักษาแบบองค์รวม(Holistic appoach) ที่รักษาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิณญาณ ขึ้นอยู่กับว่าแพทย์ท่านใด จะมีความตั้งใจจะพัฒนาทักษะต่างๆเหล่านี้มากเท่าใด ยิ่งมาก ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วย และตัวแพทย์เองซึ่งจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งได้มาก
ด้านตัวผู้ป่วยเอง ก็ต้องมี่หน่าที่ที่จะหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อพึ่งพาตนเองให้มากขึ้นด้วย ไม่ใช่อะไร ก็ยกให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของแพทย์แต่เพียงฝ่ายเดียว หากพิเคราะห์แล้ว สิ่งที่แพทย์แนะนำมีประโยชน์และจะดีต่อสุขภาพตนเองก็ต้อง ปฏิบัติตาม ความรู้ที่มากขึ้น จะนำไปสู่ การทำความเข้าใจ กับคำแนะนำของแพทย์ง่ายขึ้น และพึ่งพาตนเองมากขึ้น ความขัดแย้งก็จะลดลง สุดท้าย ต้องเข้าใจ และไว้ใจแพทย์ ว่าแพทย์ส่วนใหญ่ ยังเป็นแพทย์ที่ดี และหวังดีต่อผู้ป่วย การที่ผลการรักษาจะออกมาดี และเป็นไปตามความคาดหวังหรือไม่ ย่อมไม่ได้ขึ้นอยู่กับแพทย์ฝ่ายเดียว ย่อมขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงหลายๆกรณี เป็นเพราะ ความรุนแรงของโรคที่ แม้ว่าแพทย์ได้ตั้งใจทุ่มเทความพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วก็ไม่อาจช่วยไว้ได้ อย่างนี้ก็ต้องขอความเข้าใจ ให้แก่แพทย์ด้วย (แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น คงต้องขึ้นกับดุลพินิจ ของเราเอง หากเป็นอย่างที่พี่เพื่อนเล่ามา ผมก็เห็นด้วยครับที่จะเปลี่ยนหมอ และควรรีบด้วย ไม่ควรเกรงใจ เพราะชีวิตของเราและคนในครอบครัวของเราเอง) ขอให้ทุกคนโชคดี 8)