คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Raphin Phraiwal
Verified User
โพสต์: 1342
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 31

โพสต์

ก่อนอื่นขอ  :bow:  :bow:  :bow: คุณหมอทุกท่าน และพี่หมอชาตรีที่อุตส่าห์พิมพ์อย่างละเอียดให้พวกเราได้เข้าถึงจิตใจและวิญญาณของหมอดีๆ

ผมก็คิดว่าหมอดีๆก็มีเยอะมาก หมอที่จำเป็นต้องรับใช้ระบบก็พอมี

ผมไม่มีอะไรจะสรุปนอกจากว่าเวลาตัวเองหรือคนที่เรารักเป็นอะไรอยากเจอหมอดีๆ (แบบพีหมอชาตรี ฯลฯ) เหนือกว่านั้นก็ขอให้เราสุขภาพแข็งแรงครับ
และขออวยพรสิ่งเดียวกันนี้ให้เพื่อนร่วมโลกทุกท่านด้วยครับ
รักในหลวงครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
drchatri
Verified User
โพสต์: 767
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 32

โพสต์

เพื่อน เขียน:มาถึงช่วงสำคัญที่ผมตัดสินใจเลิกไปโรงพยสบาลนี้ เนื่องจากผมจะทำประกันให้ลูกๆผม ทางประกันเค้าขอประวัติจากโรงพยาบาล พบว่าคุณหมอลงความเห็นว่าลูกผมทั้ง2คนเป็นหอบหืดขั้นเริ่มต้น....ทางประกันเค้าจะไม่ยอมคุ้มครองระบบทางเดินหายใจ(แล้วผมจะไปทำทำไม?) เท่าที่เคยอ่านหนังสือมาบ้างว่าเด็กเล็กขนาดนี้ หลอดลมยังไม่แข็งแรง บางคนอาจมีเสียงดังถือเป็นเรื่องปรกติทั่วไป พอโตขึ้นก็จะหายเอง ....ผมเลยไปขอพบคุณหมอพร้อมกับขอให้คุณหมอช่วยวิเคราะห์ทบทวนการเขียนความเห็นอีกครั้งหนึ่งว่าจำเป็นต้องระบุชัดเจนว่าเป็นหอบหืดเลยหรือ เพราะลูกๆผมก็ไม่เคยมีอาการหอบหืดเลย ยกเว้นอาการหายใจขัดช่วงเป็นหวัดมารักษากับคุณหมอเท่านั้น
คุณหมอโกรธมากครับ...ที่บังอาจไปคิดแย้งกับท่าน พูดจาโผงผางมาก ผมเลยลากลับ และไม่ไปที่นั่นอีกเลย
ต่อมาก็ไปรักษากับคุณหมอที่BH ก็เล่าเรื่องให้ท่านฟัง....คุณหมอท่านก็อธิบายให้ฟังครับว่าโดยปรกติจะไม่มีการบันทึกว่าเด็กเล็กขนาดนี้เป็นหอบหืด เพราะมันยากที่จะแยกได้จากอาการปรกติทั่วไป....ถ้าเด็กโตแล้วจึงจะแยกแยะได้แน่นอน ตรวจดูอาการลูกผมแล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีอาการหอบหืดที่ผิดปรกติจากเด็กทั่วๆไป

ทุกวันนี้ลูกๆผมก็ยังปรกติดี ไม่มีอาการหอบหืด และไม่เห็นคุณหมอที่นี่พยามให้เด็กดมยาดูดเสมหะเลย ในขณะที่เก่า เห็นเด็กรอคิวดมยากันแน่นขนัด
  พี่เพื่อนครับ สวัสดีครับ สบายดีเหมือนเดิมนะครับ ขอบคุณมากครับ ที่เข้ามาให้ความเห็น และเป็นประสพการณ์ที่มีคุณค่า สำหรับเหตุการณ์ที่พี่พบหมอคนแรกนั้น ผมก็ว่าถ้าก็น่าจะเลิกหาหมอท่านนั้นได้แล้วจริงๆ เพราะแสดงถึงการที่ ไม่มีความรู้ความสามารถที่ถูกต้อง ให้การรักษาไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ เรื่องเด็กหอบและมีเสียงหายใจเสียงหวีดหวือ( ทางการแพทย์เรียกว่า wheezing) ผมได้ถามภรรยาผมมาแล้ว เขาจะมี term การวินิจฉัย เรียกว่า WARY(Wheezing Associated Respiratory tract Infection) ซึ่งแต่ก่อน จะมีอีกคำเรียกว่า Hypersensitive Airway Disease ซึ่งภาวะหล่าวนี้ เป็นภาวะที่เกิดในเด็กเล็กๆ อย่างที่ว่าส่วนใหญ่ อายุยังไม่เกิน 2-5ปี ซึ่งกลุ่มเด็กเหล่านี้ เวลามีการติดเชื้อ ทางเดินหายใจ (Respiratory tract infection) มักจะตรวจพบจากการฟังปอดด้วย stethoscope หรือหูช่วยฟังของแพทย์ ว่ามีเสียงหวีดหวือ(ชาวบ้านบ้านนอก ถ้าหมอถามว่า เสียงฮืดๆ จะเข้าใจตรงกันได้มากกว่า) หรือที่เรียกว่า wheezing ซึ่งเป็นเสียงของอากาศที่ผ่านหลอดลมส่วนปลายที่ตีบแคบ มาจากการอักเสบของหลอดลม รวมถึงการตีบเกร็งจากกล้ามเนื้อของหลอดลมหดเกร็งที่เรียกกันว่า bronchospasm ซึ่งภาวะนี้ จะตอบสนองต่อการใช้ยาขยายหลอดลมทั้งชนิดกินและพ่นควันที่เรียกว่า nebulizer ซึ่งเด็กที่มีภาวะนี้ จะพบว่า มักจะมีอาการหอบจากภาวะดังกล่าวบ่อยๆ เวลามีการติดเชื้อในทางเดินหายใจ แพทย์ก็จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีดังกล่าว รวมถึงในบางราย หากการพ่นยาไม่ได้ผล แพทย์ก็อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยยากลุ่มสเตรียรอยอ์ แบบ short course หรือบางรายไม่อาจแยกแยะได้ว่ามีการติดเชื้อแบคที่เรียที่ค่อนข้างดื้อยาในหลอดลม ก็อาจมีความจำเป็นต้องใช้ ยา antibiotic ชนิดกินที่ครอบคลุมเชื้อดื้อยามากขึ้น หรือแม้กระทั่งอาจต้องแนะนำให้รับคนไข้ไว้เพื่อสังเกตุอาการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้น้ำเกลือ และให้ antibiotic ชนิดฉีดเข้าทางหลอดเลือด โดยทั่วไป กุมารแพทย์ จะยังไม่ตัดสินใจวินิจฉัยว่าเด็กเป็นกลุ่มอาการดังกล่าวจะเป็น Asthma หรือ โรคหอบหืดครับ แต่ เด็กกลุ่มนี้ จะมีความเสี่ยงสูงขึ้น ที่จะมาพบแพทย์ตอนโตว่าเป็นโรคหอยหืด (ซึ่งเป็นเพราะเด็กกลุ่มเหล่านี้มีปัจจัยทางพันธุกรรมที่เสี่ยง เช่นมีประวัติครอบครัวที่เป็นอยู่แล้ว) ส่วนในเด็กอายุน้อยกว่า 2ปี หมอเด็กก็จะไม่ใช้คำนี้ในการวินนิจฉัย แต่มักจะวินิจฉัยเฉพาะเจาะจงลงไปว่า เป็น โรคติดเชื้อหลอดลมอักเสบ (acute bronchitis or bronchiolitis ) ซึ่งถือเป็นโรคที่เกิดจาการติดเชื้อ ไม่ใช่ภูมิแพ้ที่เป็นโรคเรื้อรัง และพวกประกันชีวิตไม่ชอบ
  อีกทั้งแพทย์ท่านที่ว่านี้ ยังขาดเรื่องการควบคุมอารมณ์การแสดงออกที่ไม่เหมาะสม รวมทั้งไม่ให้เกียรติและยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้ป่วย ไม่ยอมรับในสิทธิของผู้ป่วย ซึ่งสิ่งต่างเหล่านี้ แพทย์จำเป็นต้องเข้าใจ และยอมรับว่าผู้ป่วย มีศักดิ์ศรีของตนเอง และผู้ป่วยมีสิทธิที่จะขอความเห็นที่ 2,3,4....ได้
  แพทย์ไม่ใช่ไม่อาจผิดพลาดได้ แพทย์ผิดพลาดได้ แต่ต้องยอมรับผิดหากได้ทำผลิดพลาดไป หรือหากมีทางช่วยเหลือกันได้ก็ต้องทำ
  สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์ และคนไข้ที่เรียกว่า petient-doctor relationship มีความสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการรักษา การรักษาจะไม่ราบรื่นได้เลย ถ้าขาดสิ่งนี้ ซึ่งสิ่งนี้ จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือของทั้งสองผ่าย คือแพทย์ และผู้ป่วย แพทย์ ก็ต้องมีความรู้ มีความสามารถรักษาที่ดี และupdate อยู่ตลอดเวลา ต้องมีความใส่ใจหวังดีต่อผู้ป่วยอยากให้เขาหายด้วยความรักและเมตตา ต้องมีความสามารถในการถ่ายทอดพูดคุยให้ความรู้ที่เข้าใจง่ายแก่ผู้ป่วย ต้องมีบุคคลิกที่ดีเป็นที่น่าเชื่อถือศรัทธาต่อผู้ป่วย การวางตัวที่ดี วะจีไพเราะ การควบคุมอารณ์ การยอมรับในความคิดเห็นและวิถีชีวิตของผู้ป่วย เพราะการรักษาต้องเป็นการรักษาแบบองค์รวม(Holistic appoach) ที่รักษาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และจิตวิณญาณ ขึ้นอยู่กับว่าแพทย์ท่านใด จะมีความตั้งใจจะพัฒนาทักษะต่างๆเหล่านี้มากเท่าใด ยิ่งมาก ก็ยิ่งเป็นผลดีต่อผู้ป่วย และตัวแพทย์เองซึ่งจะช่วยลดปัญหาความขัดแย้งได้มาก
  ด้านตัวผู้ป่วยเอง ก็ต้องมี่หน่าที่ที่จะหาความรู้เพิ่มเติม เพื่อพึ่งพาตนเองให้มากขึ้นด้วย ไม่ใช่อะไร ก็ยกให้เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของแพทย์แต่เพียงฝ่ายเดียว หากพิเคราะห์แล้ว สิ่งที่แพทย์แนะนำมีประโยชน์และจะดีต่อสุขภาพตนเองก็ต้อง ปฏิบัติตาม ความรู้ที่มากขึ้น จะนำไปสู่ การทำความเข้าใจ กับคำแนะนำของแพทย์ง่ายขึ้น และพึ่งพาตนเองมากขึ้น ความขัดแย้งก็จะลดลง สุดท้าย ต้องเข้าใจ และไว้ใจแพทย์ ว่าแพทย์ส่วนใหญ่ ยังเป็นแพทย์ที่ดี และหวังดีต่อผู้ป่วย การที่ผลการรักษาจะออกมาดี และเป็นไปตามความคาดหวังหรือไม่ ย่อมไม่ได้ขึ้นอยู่กับแพทย์ฝ่ายเดียว ย่อมขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง รวมถึงหลายๆกรณี เป็นเพราะ ความรุนแรงของโรคที่ แม้ว่าแพทย์ได้ตั้งใจทุ่มเทความพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วก็ไม่อาจช่วยไว้ได้ อย่างนี้ก็ต้องขอความเข้าใจ ให้แก่แพทย์ด้วย (แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น คงต้องขึ้นกับดุลพินิจ ของเราเอง หากเป็นอย่างที่พี่เพื่อนเล่ามา ผมก็เห็นด้วยครับที่จะเปลี่ยนหมอ และควรรีบด้วย ไม่ควรเกรงใจ เพราะชีวิตของเราและคนในครอบครัวของเราเอง) ขอให้ทุกคนโชคดี  8)
tech
Verified User
โพสต์: 331
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 33

โพสต์

อืมม ... เห็นบางคนเริ่มเห็นใจหมอ  เพราะหมอทำงานภายใต้ความกดดัน ??

อืมม ... ถ้าหมอทำงานภายใต้ภาวะกดดันแล้วได้ผลตอบแทนน้อย  ผมก็จะไม่บ่นเลย  
แต่นี่ค่าตอบแทนหมอไม่ใช้น้อยเลย กับการตรวจคนไข้แต่ละราย  
โดยฉพาะตาม รพ เอกชนชั้นนำ  นี่ไม่มีสิทธิ์บ่นเลย  ถ้าคุณเก็บค่าแพทย์แพง  แล้วยังไม่เก่ง วินิจฉัยผิด
ต้องปรึกษาหลายหมอนี่ ...  บอกตรงๆ ว่ารับไม่ได้ครับ

เราจ่ายแพง เพราะคาดหวังกับมาตรฐานที่สูงขึ้นครับ

-----------------------------------------

ขอเข้ามาชื่นชม BH ด้วยคน ค่าบริการทางการแพทย์ 110 บาท
แต่ถ้าเป็น BNH 180 บาทครับ  
แพงกว่ากันเยอะเลย
แถมถ้านัดหมอ แล้วหมอมาสาย  BNH ไม่โทรมาแจ้ง
แต่เป็น BH โทรมาบอกว่าไม่ต้องรีบ  หรือ ถ้าหมอมาเร็ว ก็บอกว่าถ้าว่าง มาได้เลย  

ในใบเสร็จรับเงิน BNH เวลาที่จ่ายเงิน เป็นเวลาที่นัดหมอ
แต่ของ BH ระบุเวลาที่จ่ายจริง  

เคยไปหาหมอที่ BGH พอถึงคิว  มีคนแทรกเข้าไป  แต่ไม่ใช่คนไข้นะ  เป็นคนเอาเสื้อยืดมียี่ห้อมาขายให้คุณหมอ  แล้วปล่อยให้เรารอ  ...  พอถึงเวลาตรวจ  ก้ม ๆ เงย ๆ 1 - 2 นาที  คิดค่าตรวจ 600 บาท  ( บอกเป็นหูดที่เท้า )  .... แพงมากในความรู้สึก

เทียบกับที่ BH ผมว่าค่าหมออยู่แค่ประมาณ 400 บาท โดยเฉลี่ย
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 34

โพสต์

8) เงินจำนวนเดียวกันของแต่ละคนค่าไม่เท่ากันนะครับ
    พวกเล่นสั้นเงินได้มาง่ายก็ใช้ง่าย
    พวกแวลยู่ อาจารย์ของเราๆยังอยู่บ้านแฟนอยู่เลย
    แต่ไม่อยากให้คิดว่าเงินของเราแพงมีค่ามากกว่าของคนอื่น
    คนอื่นเขาอาจจะคิดว่านิดเดียวก็ได้
    เราประหยัดก็ทำที่ตัวเองครับ
    คนอื่นเขาจะไม่ประหยัดก็เป็นเรื่องของเขาชีวิตเขา
   
    บางคนเขาไปโรงพยาบาลเอกชน
    อาจเป็นเพราะความสดวกสบายก็เป็นได้ครับ
    หรือที่เราไปที่ไหนเป็นประจำ
    ก็อาจเป็นเพราะคุ้นเคยกับแพทย์หรือสถานที่
    เงินอาจไม่ใช่ตัวตั้งตัวแรกก็เป็นได้นะครับ
    ผมไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้
    เขามีเป็นpackage ให้ด้วยซ้ำ
    เป็น brochure เลยเป็นอะไรรักษาเท่าไหร่
    อะไรที่เหมาะกับเราๆก็เลือกอย่างนั้น
    อะไรที่ไม่เหมาะกับตลาด
    มันก็จะค่อยๆ fade ออกไปเองแหละครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
BHT
Verified User
โพสต์: 1822
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 35

โพสต์

[quote="tech"]อืมม ... เห็นบางคนเริ่มเห็นใจหมอ
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 36

โพสต์

การที่จะแก้ปัญหาใดๆก็ตาม สมควรที่จะต้องยอมรับความจริงเสียก่อน  มิฉะนั้นจะแก้ได้ยากมาก  

ผมว่ากระทู้ของน้องคัดท้ายมีมูลครับ น่าจะเป็นเรื่องจริง  และโดยประสบการณ์ส่วนตัวผมก็เจอเรื่องเหล่านี้บ่อยๆด้วยตาด้วยหูตัวเองจริงๆ  

ระบบทางการแพทย์(ไม่ใช่ระบบสาธารณสุขนะครับ)ของเรามีแนวโน้มที่จะเดินไปในแนวทางของประเทศที่เจริญแล้วอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก และคาดว่าประเทศใดๆก็ตามก็มีโอกาสสูงที่จะเจริญรอยตามกระแสของโลกอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ที่อเมริกาเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมานานแล้วและนับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้น เพราะระบบเข้าไปสู่วงจรอุบาทว์เสียแล้ว ซึ่งได้สร้างความทุกข์ให้กับทั้งผู้ป่วยทั้งญาติและหมอ เสียเงินเสียทองเสียน้ำตาและเสียชีวิตไปกับระบบแบบนั้นอย่างมากมายมหาศาล แต่ผลลัพธ์ที่ได้นอกจากไม่ดีขึ้นแล้วกลับยิ่งแย่ลง

ระบบที่ว่านั้นจะเริ่มต้นจากใครฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือเกิดขึ้นพร้อมๆกันจากทุกฝ่ายนั้นยังไม่ทราบชัด  การที่จะแก้ปัญหาโดยการแก้ที่สาเหตุจึงไม่ใช่เรื่องง่าย
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 37

โพสต์

เท่าที่ทราบ  วงจรอุบาทว์นี้เริ่มเกิดขึ้นเมื่อ

1.สังคมเริ่มใหญ่ขึ้น เมื่อก่อนเป็นสังคมปฐมภูมิ เป็นสังคมเล็กๆ ทุกคนรู้จักกันหมด  นับหน้าถือตากันพอสมควร  คนไข้พึ่งหมอ หมอพึ่งคนไข้  ต่อมาเติบโตเป็นสังคมเมือง บางทีบ้านติดกันยังไม่รู้จักกันก็มี  ความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับหมอก็เปลี่ยนตามไปด้วย  ถามว่า เรายับยั้งการเติบโตของสังคมได้หรือไม่  ผมว่ายากมากครับ

2.ระบบทุนนิยมเป็นระบบที่ตอบสนองความต้องการที่ไม่มีขีดจำกัดของมนุษย์ได้ดีกว่าระบบอื่นๆ(เท่าที่ทราบในปัจจุบันนะครับ)  มีคนลองใช้ระบบคอมมิวนิสต์หลายประเทศ แต่สุดท้ายก็ไปไม่รอด  รัสเซียถึงกับล่มสลาย จีนต้องปรับตัวมาเปิดการค้าเสรี

3.เมื่อเอกชนเปิดโรงพยาบาลด้วยจุดประสงค์ทางธุรกิจ  การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ปัญหาเรื่อง overหลายๆอย่างย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  และผลกระทบไม่ได้เกิดเฉพาะ รพ.ของเอกชน  แต่ระบาดไปทุกแห่งและทุกคน เพราะเป็นสินค้าสาธารณสุข ซึ่งสินค้านี้มีความแตกต่างจากสินค้าอื่น  ถึงขั้นแยกต่างหากออกมาเป็นอีกหนึ่งวิชาเลยทีเดียว  การบริหารจัดการก็ต่างกัน การแก้ปัญหาก็ต่างกัน
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
สามัญชน
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 5162
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 38

โพสต์

4. คนไข้หนึ่งคนฟ้องหมอหนึ่งคน  ก่อให้เกิดการเรียนรู้ของหมอ คนอื่นๆที่จะต้องป้องกันตัวเอง  ของอเมริกานั้นหมอจะต้องเสียเงินทำประกัน  ทำให้ต้นทุนแพงขึ้น  ส่วนที่แพงก็ไปเก็บเพิ่มจากคนไข้คนอื่น ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ด้วย  ไม่ได้เก็บเฉพาะคนที่จะฟ้องเท่านั้น เพราะเราไม่มีทางรู้อนาคตว่าใครจะฟ้องหรือไม่ฟ้อง

5.สินค้าแพงขึ้น คนไข้ก็ต้องเรียกร้องมากขึ้น  ผิดนิดผิดหน่อยผิดเยอะผิดแยะก็ฟ้องหมด  เมื่อฟ้องมากขึ้น เบี้ยประกันก็เพิ่มขึ้น  ก็ต้องชาร์ตคนไข้มากขึ้นไปเรื่อยๆ  เป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำร้ายทุกๆคน    

6.จนบัดนี้อเมริกายังแก้ปัญหาไม่ได้  และในส่วนของเมืองไทยเองก็เป็นเรื่องยากมากที่จะหลีกหนีจากวงจรนี้ได้  ผมมองไม่เห็นทางจริงๆ

7. หรือว่าทางนี้อาจจะช่วยได้  คือว่าเมืองไทยเรามีระบบสาธารณสุขที่ดีกว่าหลายๆประเทศ
ระบบทางการแพทย์ ( medical care ) นั้นหมายถึง เรื่องที่เกี่ยวข้แงกับการบำบัดรักษาโรคเป็นส่วนใหญ่
ระบบสาธารณสุข ( public health care) เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบการเข้าถึงบริการ  การส่งเสริมสุขภาพ การควบคุมป้องกันโรค การฟื้นฟู ฯลฯ
และกำลังเจริญเติบโตถ้าเปรียบไปก็เหมือนกับหุ้นดี  การทุ่มเททรัพยากรลงไปตรงนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าหุ้นเน่าเยอะ

บางทีการนำระบบสาธารณสุขเป็นตัวเอก อาจจะดีกว่า  อย่างน้อยๆก็คงจะผ่อนหนักเป็นเบาได้  หรือยืดระยะเวลาที่จะเข่าสู่วงจรอุบาทว์ให้นานออกไปอีกหน่อย  จนกว่าจะพบวิธีอื่นที่ดีกว่า........
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
ภาพประจำตัวสมาชิก
เพื่อน
Verified User
โพสต์: 1826
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 39

โพสต์

drchatri เขียน:   พี่เพื่อนครับ สวัสดีครับ สบายดีเหมือนเดิมนะครับ ขอบคุณมากครับ ที่เข้ามาให้ความเห็น และเป็นประสพการณ์ที่มีคุณค่า สำหรับเหตุการณ์ที่พี่พบหมอคนแรกนั้น ผมก็ว่าถ้าก็น่าจะเลิกหาหมอท่านนั้นได้แล้วจริงๆ เพราะแสดงถึงการที่ ไม่มีความรู้ความสามารถที่ถูกต้อง ให้การรักษาไม่เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ เรื่องเด็กหอบและมีเสียงหายใจเสียงหวีดหวือ( ทางการแพทย์เรียกว่า wheezing) ผมได้ถามภรรยาผมมาแล้ว เขาจะมี term การวินิจฉัย เรียกว่า WARY(Wheezing Associated Respiratory tract Infection)
สวัสดีครับคุณหมอชาตรี หวังว่าคงสบายดีเช่นกันนะครับ
ขอบคุณสำหรับความรู้ที่คุณหมอและภรรยานำมาฝากในกระทู้นี้ด้วยนะครับ ละเอียดดีจัง ผมคงเข้าใจไม่ทั้งหมดหรอกครับ แต่เห็นความตั้งใจของคุณหมอและภรรยาแล้วอดชื่นชมในความเป็นหมอไม่ได้จริงๆครับ...ขอบคุณอีกครั้ง

ตั้งแต่ผมเปลี่ยนโรงพยาบาลแล้ว ลูกๆยังไม่เคยต้องแอดมิตด้วยโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจอีกเลยครับ....หมอคนใหม่เค้ารักษาตามอาการ ให้พามาดูถึ่ๆหน่อยในช่วงแรกเพื่อติดตามผลการใช้ยา และให้คอยสังเกตุอาการ(ไม่ค่อยโดนขู่เท่าไหร่...ไม่ต้องพ่นยา ไม่ต้องดูดเสมหะ) การทำประกันให้ลูกแบบไม่คุ้มครองระบบทางเดินหายใจเลยไม่มีความหมายไปด้วยครับ...เคยแอดมิตเฉพาะเวลาซีเรียสจริงๆเช่นอาเจียนไม่หยุดหรือท้องร่วงอย่างแรงครับ....กรณีนี้เบิกประกันได้ เพราะหมอคนเก่าคงยังไม่ได้ระบุในประวัติว่าเป็นโรคระบบทางเดินอาหารเรื้อรังมั้งครับ....(แซวหมอเล่นนะ ถ้าหมอบังเอิญเข้ามาอ่าน)... :lol:

ส่วนความเห็นของคุณหมอสามัญชนก็น่าสนใจนะครับ...ถ้าแนวโน้มเป็นแบบนั้นก็น่าห่วงเหมือนกัน
แต่ผมว่าคนไทยเรามีนิสัยถ้อยทีถ้อยอาศัยมากกว่าชาวเมกันนะครับ...คนทางนั้นเค้าจะถือสิทธิส่วนบุคคลสูงมาก ทำให้มีปัญหาหลายอย่างไม่เหมือนเรา แต่ก็มีข้อดีหลายอย่างด้วยในขณะเดียวกัน....เช่นผลิตภัณฑ์ที่ส่งไปขายที่อเมริกามักจะมีมาตรฐานสูงกว่าที่ขายอยู่ในบ้านเรา และให้ประกันนานกว่าด้วย...ของที่ซื้อที่นู้นนำไปใช้เป็นสัปดาห์หรือบางทีเป็นเดือนยังเอาไปคืนได้เลยครับ ...แสดงถึงมาตรฐานเค้ามีสูงมาก(ทั้งของและคน)....ในขณะเดียวกัน การฟ้องร้องก็มีมากเช่นกัน แค่หน้าบ้านรกเพราะไม่ตัดหญ้า ก็อาจถูกเพื่อนบ้าน(ที่เมื่อเช้ายังส่งยิ้มทักทายกันอยู่)ฟ้องร้องได้...ที่นั่นเค้าฟ้องร้องเป็นเรื่องที่เห็นกันทั่วไปครับ

ผมว่าอยู่แบบไทยๆก็สบายใจดี....ขอให้คุยกันดีๆ อธิบายกันได้ ทำความเข้าใจกันได้ ปัญหาก็คงคลี่คลายไปเยอะครับ
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 40

โพสต์

เมื่อหลาย 5-6 เดือนก่อนมีน้องที่ทำงาน แม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หมอบอกเป็นเนื้องอกในมดลูก ขนาดเท่าไข่เป็ด ต้องผ่าตัดออกเท่านั้น บอกให้ admit ผ่าเลย แต่แม่น้องไม่ยอม

ไปตรวจอีกครั้งในโรงพยาบาลรัฐอีกแห่ง หมอบอกเป็นเนื้องอก แต่เล็กมากๆ ไม่ถึง ซม. ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย ไม่ต้องผ่าออกก็ได้ ติดตามเป็นระยะถ้ามันไม่ขยายออก มันก็ยุบไปเองได้ นัดดูผลอีก 6 เดือนข้างหน้า

แต่ตอนนี้โชคดีมีน้องที่ทำงานอีกคน มีพี่สาวเป็นอาจารย์หมออยู่ที่โรงพยาบาลรัฐนั้นด้วย เลยเอาผลมาดูได้ ก็ยืนยันว่าเล็ก แต่ก็ให้ชื่ออาจารย์หมอมาอีกท่านที่เชี่ยวชาญได้นี้ ให้ไปยืนยันอีกครั้ง เห็นว่าวันจันทร์นี้จะไปลองดูคิวหมอ ถ้าได้ตรวจก็คงดี จะได้ยืนยันได้
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
ภาพประจำตัวสมาชิก
Eyore
Verified User
โพสต์: 606
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 41

โพสต์

เมื่อหลาย 5-6 เดือนก่อนมีน้องที่ทำงาน แม่ไปตรวจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หมอบอกเป็นเนื้องอกในมดลูก ขนาดเท่าไข่เป็ด ต้องผ่าตัดออกเท่านั้น บอกให้ admit ผ่าเลย แต่แม่น้องไม่ยอม

ไปตรวจอีกครั้งในโรงพยาบาลรัฐอีกแห่ง หมอบอกเป็นเนื้องอก แต่เล็กมากๆ ไม่ถึง ซม. ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย ไม่ต้องผ่าออกก็ได้ ติดตามเป็นระยะถ้ามันไม่ขยายออก มันก็ยุบไปเองได้ นัดดูผลอีก 6 เดือนข้างหน้า
เจอบ่อยเลยครับ หมอแบบนี้

บ่อนทำลายวงการแพทย์จริงๆ

สุภาษิตไทยว่าไว้ "สนิมเกิดแต่เนื้อในตน"
ภาพประจำตัวสมาชิก
เพื่อน
Verified User
โพสต์: 1826
ผู้ติดตาม: 0

คุณหมอครับ ... ที่หนังสือพิมพ์กล่าวหานี่มีมูลหรือเปล่าครับ

โพสต์ที่ 42

โพสต์

เคยมีเพื่อนเจอเหตุการณ์คล้ายๆแบบนี้มาเหมือนกันครับ
เศร้าซึมไปหลายวันเลยครับ

ลองเปลี่ยนหมอใหม่ดู
ปรากฎว่าไม่ใช่ เป็นอาการหนึ่งในช่วงวันนั้นของเดือนครับ...จะมีลักษณะเหมือนบวมๆขึ้นมาเท่านั้น....เกือบได้ผ่าแล้วเหมือนกัน