ภาพรวมเศรษฐกิจ

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news10/09/07

โพสต์ที่ 271

โพสต์

เปิดโพยหุ้นเด่น ก่อนวันเลือกตั้ง

โพสต์ทูเดย์ บล.เอเซีย พลัส เปิดโอกาสทองซื้อ-โพยหุ้นก่อนเลือกตั้ง ฟันธงหุ้นหลังเลือกตั้งไม่เลิศหรู รอพิสูจน์ฝีมือรัฐบาลใหม่


นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวในการปาฐกถาพิเศษเรื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจตลาดหุ้นหลังเลือกตั้ง ว่า ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงไม่ต่างจากปีนี้ เนื่องจากจะมีทั้งข่าวดีและข่าวร้ายเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะความกังวลจากปัจจัยภายนอกประเทศ

หลังเลือกตั้งหุ้นจะขึ้นได้ ถ้ารัฐบาลทำให้การบริโภคของประชาชนและการลงทุนภาคเอกชนกระโดดขึ้นมาได้ภายใน 3 เดือน แต่หาก 3 เดือนแล้วยังไม่ดีขึ้น ตลาดหุ้นก็คงเหนื่อย นายก้องเกียรติ กล่าว และว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นรัฐบาลผสม มีอายุอยู่ได้เพียงปีกว่าเท่านั้น

ประธาน บล.เอเซีย พลัส แนะนำกลยุทธ์การลงทุนในปี 2551 ว่าควรเลือกหุ้นใน 3 กลุ่มหลักคือ
1.กลุ่มที่มีการปรับโครงสร้างกิจการ มีผู้ถือหุ้นกลุ่มใหม่ เปลี่ยนฐานการผลิตไปต่างประเทศ หรือเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ
2.กลุ่มพลังงานและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และ
3.กลุ่มโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ เช่น การสร้างโรงไฟฟ้า

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.เอเซีย พลัส แนะนำหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงก่อนเลือกตั้งจนถึงหลังการเลือกตั้งออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

กลุ่มที่ 1 ลงทุนก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก บริษัท ปตท. (PTT), ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), ปตท.เคมิคอล (PTTCH) และไทยออยล์ (TOP) ซึ่งราคาผันผวนสูงกว่ากลุ่ม 2 ได้แก่ บ้านปู (BANPU), ผลิตไฟฟ้า (EGCO) และผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH)

กลุ่มที่ 2 การลงทุนเพื่อเก็งกำไรในช่วงก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเริ่มลงทุนได้ตั้งแต่ช่วงนี้คือ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ) และ เจนเนอรัล เอนจิเนียริ่ง (GEN) และ
กลุ่มที่ 3 ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นเช่นกัน แต่ต้องรอให้มีปริมาณซื้อขายมากขึ้นก่อนจึงจะเริ่มต้นลงทุนได้ คือ อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) และ อีสเทิร์นไวร์ (EWC)

กลุ่มที่ 4 สำหรับการลงทุนใกล้การเลือกตั้ง ได้แก่ บริษัท ทีพีไอ โพลีน (TPIPL), ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL), จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS), ดราก้อน วัน (D1), เอสวีโอเอ (SVOA) และ (TWP) ไทยไวร์โพรดัคท์

กลุ่มที่ 5 การลงทุนหลังการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่ บริษัท ซีฟโก้ (SEAFCO), ช.การช่าง (CK), ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) และ อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD)

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยไทย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า การลงทุนหลังเลือกตั้งเป็นเรื่องยาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่สำคัญคือปัญหาสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับไพรม์) ยังวางใจไม่ได้

บล.เอเซีย พลัส ระบุว่าช่วงเดือน ก.ย.-ต.ค. ก่อนเลือกตั้ง เป็นจังหวะซื้อหุ้น ดูจากสถิติการเลือกตั้ง 8 ครั้งใน 9 ครั้งที่ผ่านมา พบว่า 3 เดือนก่อนเลือกตั้งตลาดหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% นอกจากนี้ช่วงเดือน ก.ย. เป็นเดือนที่ตลาดหุ้นลงมากที่สุด จากนั้นจึงขายทำกำไรในเดือน ม.ค. ซึ่งเป็นช่วงหลังการเลือกตั้งที่มีรัฐบาลใหม่

นายวัชระ แก้วสว่าง นักลงทุนรายใหญ่กล่าวว่า ปี 2551 จะเป็นปีทองของตลาดหุ้นไทย และครึ่งหลังเดือน ก.ย.นี้ ตลาดหุ้นน่าจะตกหนัก เป็นจังหวะทยอยซื้อ แต่ทุกครั้งที่เลือกตั้งเสร็จหุ้นจะลงทุกครั้ง และหลังจากประกาศนโยบายรัฐบาลจะค่อยๆ ฟื้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=190472
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/09/07

โพสต์ที่ 272

โพสต์

ผู้บริหารตลท.หวังปีหน้ามีหุ้นใหม่เข้าจดทะเบียนกว่า100 ราย

11 กันยายน พ.ศ. 2550 11:29:00

ผู้บริหารตลท.มั่นใจงานไทยแลนด์โฟกัส วันพรุ่งนี้ (12 ก.ย.) จะช่วยสร้างความเข้าใจและเพิ่มบรรยากาศการลงทุนให้กับนักลงทุนต่างประเทศมากขึ้น

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
นายวิเชฐ ตันติวานิช รองผู้จัดการ ตลท. แสดงความมั่นใจผ่านรายการ จับเงินชนทอง ทางโมเดิร์นไนน์ ทีวี ว่า การจัดงานไทยแลนด์โฟกัส ครั้งที่ 3 วันพรุ่งนี้จะส่งผลดีต่อภาพรวมการลงทุนและสร้างความเชื่อมั่นให้กองทุนต่างประเทศได้มากขึ้น หลังจากที่ผ่านมา ประเทศไทยมีปัญหาทางการเมืองมานาน จนทำให้ปีที่แล้วไม่ได้จัดงานไทยแลนด์โฟกัส เนื่องจากนักลงทุนจะได้รับทราบว่าทิศทางการเมืองไทยและแนวนโยบายของรัฐบาลในอนาคตจะเป็นอย่างไร

งานไทยแลนด์โฟกัสครั้งนี้ จะมีผู้จัดการกองทุนจากทั่วโลกเข้าร่วมงานประมาณ 250 คน และมีบริษัทจดทะเบียนของไทยที่กองทุนต่าง ๆ อยากพบเข้าร่วมงานประมาณ 63 บริษัท ครอบคลุมมูลค่าของตลาดกว่าร้อยละ 60 โดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะปาฐกถาถึงนโยบายของรัฐบาลปัจจุบันและการส่งต่อให้กับรัฐบาลใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง จากนั้นจะมีแกนนำของพรรคใหญ่คือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เลขาธิการพรรคพลังประชาชน และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มาแสดงวิสัยทัศน์หากได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

นายวิเชฐ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีทุนต่างชาติลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นไทยคิดเป็น 1 ใน 3 ของมูลค่ารวม หรือ 1.5 ล้านล้านบาท จาก 6 ล้านล้านบาท และเฉพาะปีนี้มีเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติซื้อสุทธิล่าสุดกว่า 90,000 ล้านบาท ในบางช่วงบางเวลาที่มองว่าตลาดหุ้นซบเซานั้น ถ้ามองยอดการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาทตลอดมา แต่ที่เห็นซบเซาลงไปคือการลงทุนของรายย่อยที่อาจซึมซับข่าวในประเทศมากกว่าชาวต่างประเทศ

สำหรับปัญหาการเพิ่มหลักทรัพย์ใน ตลท.นั้น รองผู้จัดการ ตลท.ยอมรับว่า ปีนี้ยอดบริษัทเข้าจดทะเบียนใหม่คงน้อยกว่าเป้าหมาย แต่คาดว่าปี 2551 น่าจะมีบริษัทจดทะเบียนใหม่เข้ามามากขึ้น ซึ่งทาง ตลท.จะเข้าไปสร้างแรงจูงใจให้มากขึ้น โดยขณะนี้มีบริษัทเป้าหมายแล้วกว่า 100 บริษัท ส่วนเรื่องเม็ดเงินที่ไหลเข้าลงทุนตลาดหุ้น ซึ่งบางคนอาจมองว่ามีเฉพาะผู้เกี่ยวข้องได้ประโยชน์นั้นไม่จริง เพราะบริษัทจดทะเบียนใน ตลท.มียอดการเสียภาษีให้รัฐสูงมากในแต่ละปี อีกทั้งเมื่อมีทุนเข้ามาส่งผลให้บริษัทมีทุนขยายธุรกิจและขยายการจ้างงาน ดังนั้น การสร้างบรรยากาศการลงทุนใน ตลท. จึงมีผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศด้วย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/1 ... wsid=93897
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/09/07

โพสต์ที่ 273

โพสต์

โผหุ้นกำไรโตพรวด
โบรกคัดสรรหุ้นพรีเมี่ยมมีแนวโน้มขยับประมาณการณ์สูงขึ้น แนะกลยุทธ์ลงทุนตลาดขาเสี่ยงเลือกกลุ่มพลังงานยังครองแชมป์ ชู PTT , PTTEP และ BANPU ตามติดด้วยกลุ่มเกษตร CPF ,GFPT และUVAN ขณะที่ใครเหมาะสไตล์ถือยาวเลือกเก็บ BEC , CCET และ MAJOR


นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยได้มีการปรับประมาณการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยสูงขึ้นจากตัวเลขประเมินในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาที่ 3.40% เพิ่มเป็น 5.30% ในปีนี้ ในขณะที่กำไรในปี 2551 ก็ปรับขึ้นจาก 9.30% เป็น 10.10%

ตลาดหุ้นบ้านเรายังมีความน่าสนใจ ซึ่งยังเป็นตลาดหุ้นที่ถูกที่สุดในภูมิภาค ประกอบกับเราคาดว่าผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยคงจะมีจำกัดแล้ว นักวิเคราะห์กล่าว

สำหรับสไตล์การลงทุนระยะสั้น 1-3 เดือน แนะนำให้เลือกเก็งกำไรหุ้นในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และหลักทรัพย์ที่คาดว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการณ์สูงขึ้น คือกลุ่มพลังงานและกลุ่มซอร์ฟคอมมูดิตี้ เช่น UMS  , BANPU , PTT , PTTEP , CPF , GFPT และ UVAN

ขณะที่สไตล์การลงทุนที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีที่สุด ภายใต้ความผันผวนที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง และอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าคาดการณ์    
ฝ่ายวิจัยแนะนำเลือกหุ้นขนาดใหญ่ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ราคาถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าเหมาะสม มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ในระดับสูง และมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำ เช่น BEC ,CCET ,HANA ,MAJOR ,PTTCH  , RATCH  , TUF และ UMS
     
ระยะสั้นยังแนะนำเก็งกำไรกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และหุ้นที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มประมาณการณ์สูงขึ้น ส่วนระยะยาวเรามองว่าการลงทุนที่เหมาะสมกับตลาดหุ้นไทยยังเป็นหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับสูง โดยเราอิงจาก EV/EBIDA ต่ำกว่า 7% ผลตอบแทนปันผลสูงกว่า 4% ROE สูงกว่า 15% และหนี้สินต่อทุนต่ำกว่า 1 เท่า นักวิเคราะห์กล่าว
   
ส่วนบริษัทที่คาดว่าจะมีแนวโน้มผลการดำเนินงานปรับตัวลดลง คือ VNG ,  THAI ,  NOBLE และMODERN โดยแนะนำนักลงทุนให้ขายทำกำไร

สำหรับในช่วงเดือนสิงหาคม 2550 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเฉลี่ยที่ 5.10% ซึ่งถือว่าปรับตัวลดลงมากกว่าค่าเฉลี่ยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค ขณะที่สไตล์การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา จะเป็นหุ้นขนาดใหญ่ที่มีราคาถูก

นักวิเคราะห์เทคนิค บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า สำหรับสัญญาณเทคนิคหุ้น UMS  ระยะสั้นยังเป็นไซต์เวย์อัพ มีลุ้นหากผ่านไฮเดิมที่ 24.10 บาท จะเกิดสัญญาณซื้อ แนะเก็งกำไร  ให้แนวต้านที่ 24.10 บาท แนวรับที่ 22.00 บาท

ส่วน BANPU สัญญาณเทคนิคยังเป็นขาขึ้น ถึงแม้ระยะสั้นจะมีแรงขายออกมาหลังจากราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาเยอะ จึงแนะนำซื้อเมื่ออ่อนตัว  ให้แนวรับที่ 294-290 บาท แนวต้านที่ 310-316 บาท ขณะที่ PTT ยังเป็นสัญญาณบวก ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้อีก โดยแนะนำซื้อ ให้แนวรับที่ 310-306 บาท แนวต้านที่ 320-326 บาท

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น PTT  วานนี้( 13 ก.ย.2550) ปิดที่ราคา 320 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท หรือ 1.91%   มูลค่าการซื้อขาย 935.30   ล้านบาท  BANPU ปิดที่ราคา 298  บาท ลดลง 2.00  บาท หรือ 0.67% มูลค่าการซื้อขาย 367.38  ล้านบาท และ PTTEP ปิดที่ราคา 127 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท หรือ 1.60%  มูลค่าการซื้อขาย 336.37 ล้านบาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 818&ch=225
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/09/07

โพสต์ที่ 274

โพสต์

เปิดโผหุ้นเด็ดช่วงเลือกตั้ง - ก่อสร้าง-พลังงานแจ่ม ค้าปลีกซื้อเก็บได้

เอเซียพลัส ควงแขน "กิมเอ็ง" แจกหุ้นเด็ดก่อนและหลังเลือกตั้ง ASP ชี้ก่อนกาบัตร 7 ครั้งที่ผ่านมาหุ้นขึ้น 6 ครั้ง แนะเล่นหุ้นที่ได้รับผลดีจากเมกะโปรเจกต์ ไอพีพี ทั้ง ITD STEC RATCH EGCO ด้าน KEST เชียร์ซื้อหุ้นสื่อ-โทรทัศน์ และค้าปลีก ทั้ง BEC MCOT CP7-11 DTAC SAT

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP ระบุว่า ก่อนการเลือกตั้งดัชนีหุ้นไทยน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เพราะจากข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างการเลือกตั้งกับดัชนีตลาดหุ้นช่วงปี 2531 จนถึงปัจจุบัน พบว่าในการเลือกตั้ง 7 ครั้งมี 6 ครั้งที่ช่วงก่อนการเลือกตั้ง (ช่วงระยะเวลา 3 เดือน) ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ เอเซียพลัสมองว่า ไม่ว่าพรรคการเมืองใดจะเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ นโยบายเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจที่ต้องดำเนินต่อ คือ การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ( Mega Projects) ทั้งรถไฟฟ้า การประมูลโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) นอกจากนี้ยังต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ซึ่งแนวทางดังกล่าว จะทำให้กลุ่มอุตสาหกรรม และหุ้นเด่นในกลุ่มต่อไปนี้น่าจับตามอง กลุ่มรับเหมาฯ ได้แก่ ITD, STEC กลุ่มที่อยู่อาศัย ได้แก่ PS, AP, LPN, QH กลุ่มพลังงานได้แก่ RATCH, EGCO, TOP และ MAKRO

นอกจากนี้ ยังได้กำหนดกลยุทธ์การลงทุนในหุ้นที่น่าสนใจ ตั้งแต่ช่วงก่อนการเลือกตั้งจนถึงหลังเลือกตั้งไว้ 5 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มแรก ลงทุนก่อนเลือกตั้ง มีหุ้นที่น่าสนใจได้แก่ PTT PTTEP PTTCH และ TOP ซึ่งหุ้นทั้ง 4 ตัวนี้ราคาจะผันผวนสูงกว่า BANPU EGCO และ RATH กลุ่มที่สองซื้อเพื่อเก็งกำไรก่อนเลือกตั้งได้ตั้งแต่ช่วงนี้ คือ HEMRAJ GEN กลุ่มที่สามเก็งกำไรระยะสั้น แต่จะเข้าลงทุนก็ต่อเมื่อมีการซื้อขายหนาแน่นก่อน คือ APURE และ EWC ส่วนกลุ่มที่สี่ รอเข้าซื้อเมื่อช่วงใกล้ๆการเลือกตั้ง มีหุ้นที่น่าสนใจดังนี้ TPIPL CSL JAS D1 SVOA และ TWP และกลุ่มสุดท้ายลงทุนหลังเลือกตั้งและมีการจัดตั้งรัฐบาล ได้แก่หุ้น SEAFCO CK STEC และ ITD

ด้านบทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หุ้นที่จะได้รับประโยชน์ในฤดูเลือกตั้งนั้นน่าจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับสื่อและโทรทัศน์ ร้านค้าปลีก โทรศัพท์มือถือ และรถยนต์ โดยมีหุ้นที่น่าสนใจลงทุนและได้รับอานิสงส์ทางตรงและทางอ้อมจากการใช้จ่ายเลือกตั้งและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องดังนี้ BEC, CP7-11, DTAC, MCOT และ SAT โดยปัจจุบันราคาหุ้นเหล่านี้มีส่วนต่างจากราคาเหมาะสมอยู่ราว 6-44%

สำหรับ BEC คาดว่ากำไรสุทธิในปีนี้จะเติบโต 29% และปีหน้า 11% โดยไม่ได้รวมอัตราค่าโฆษณาทางช่อง 3 ที่อาจจะมีการปรับขึ้นหลายรายการ และคาดว่าการรณรงค์หาเสียง โดยใช้การโฆษณาทางทีวีจะเป็นปัจจัยผลักดันผลประกอบการของ BEC ให้เติบโตขึ้นได้

ขณะที่ MCOT หลังจากที่ผลประกอบการได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยมองว่าการปรับผังรายการหลังจากที่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของช่อง 9 ได้เข้ามารับตำแหน่งแล้วก็จะส่งผลบวกต่อทิศทางของบริษัทอย่างชัดเชนขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งหลังปีนี้การโหมประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง ทั้งในส่วนของรัฐบาลและพรรคการเมือง จะเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ปัจจุบันหุ้น MCOT นับว่าน่าสนใจ ด้วยระดับ PE เพียง 12 เท่าในปีหน้ารวมทั้งการมีคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี

ด้าน CP7-11 แม้ว่าการขาดทุนจากโลตัสที่ประเทศจีนจะยังส่งผลลบต่อผลประกอบการของ CP7-11 แต่ผลกำไรของธุรกิจในประเทศไทยยังคงโดดเด่น โดยเฉพาะร้านซื้อสะดวกและการบริการของเคาน์เตอร์เซอร์วิส ซึ่งมีการเติบโตดี จากการที่ 7-Eleven มีการเปิดสาขา 143 สาขาในไตรมาส 2/50 ขณะที่ยอดขายของสาขาเดิม เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน เป็น 66,712 บาท/วัน การใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคน เพิ่มขึ้นจาก 55 บาทในไตรมาส 2/49 เป็น 56 บาท และในช่วงรณรงค์หาเสียง จะมีกลุ่มหัวคะแนนและผู้หาเสียงออกมาเดินถนนมากขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้ปริมาณคนเข้าร้านสะดวกซื้อมากขึ้นไปด้วย

สำหรับ DTAC เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับสองของประเทศ ซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 31% หรือมีลูกค้าทั้งหมด 14.5 ล้านคน ณ กลางปี 50 โดยมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งช่วงปลายปี 50 อาจได้รับการกระตุ้นจากการใช้งานช่วงหาเสียงเลือกตั้งด้วย ซึ่งคาดว่ากำไรของ DTAC จะมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในปี 2550-2551 โดยครึ่งปีแรกของปีนี้กำไรเติบโตแล้ว 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ส่วน SAT งวดครึ่งแรกของปี 50 ได้รายงานกำไรสุทธิ 267 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% จากปีก่อน ในขณะที่การผลิตรถยนต์โดยรวมโตขึ้นเพียง 3% โดยในระยะสองปีนี้ SAT ได้ทำการขยายกำลังการผลิต ประเภทของผลิตภัณฑ์ และฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง มองว่าโอกาสฟื้นตัวของตลาดรถยนต์ในประเทศในครึ่งปีหลัง คาบเกี่ยวกับการเลือกตั้งทั่วไป และปัจจุบันตลาดยังคงมองศักยภาพธุรกิจของบริษัทต่ำไป โดยคาดว่า SAT จะมีการเจริญเติบโตได้ปีละ 10
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... egoryId=16
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news15/09/07

โพสต์ที่ 275

โพสต์

บี้ลงทุนเดือนละ2หมื่นล.

โพสต์ทูเดย์ เบิกจ่ายงบลงทุน รัฐวิสาหกิจไปไม่รอดต่ำกว่าเป้า เสี่ยงทำเศรษฐกิจขยายตัวไม่ถึง 4% ตั้งเป้าหลังจากนี้เดือนละ 2 หมื่นล้าน


นายอารีพงศ์ ภู่ชอุ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบาย รัฐวิสาหกิจ (สคร.) กล่าวว่า การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ 17 แห่ง ในเดือน ส.ค. สามารถเบิกจ่ายได้แล้ว 1.5 แสนล้านบาท คิดเป็น 45.40% ของงบลงทุนทั้งหมดที่ได้รับอนุมัติในปีนี้ 3.3 แสนล้านบาท

คาดว่าภายในสิ้นปีนี้รัฐวิสาหกิจจะเบิกจ่ายงบลงทุนได้ 2.2 แสนล้านบาท หรือ 68% ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมาที่เบิกได้ 2.2 แสนล้านบาท หรือ 70.5% แต่วงเงินเบิกจ่ายใกล้เคียงกันถือเป็นระดับที่น่าพอใจภายใต้ภาวะปัจจุบัน

ตั้งแต่เดือน ก.ย.ธ.ค. คาดว่า จะมีการเบิกจ่ายงบลงทุนอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประมาณเดือนละ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้รัฐวิสาหกิจมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้มากยิ่งขึ้น นายอารีพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้ประมาณการเศรษฐกิจปี 2550 โต 4% ภายใต้เงื่อนไขการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2550 ได้ 93% และงบลงทุนรัฐวิสาหกิจได้ 85% ของที่ได้รับอนุมัติ หากเบิกจ่ายได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าไว้ จะทำให้เศรษฐกิจมีความเสี่ยงโตน้อยกว่า 4% เพราะการใช้จ่ายภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ ในยามที่การบริโภคและการลงทุนเอกชนไม่ฟื้นตัว

นายอารีพงศ์ กล่าวว่า รัฐวิสาหกิจที่มีการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การประปานครหลวง สามารถเบิกจ่ายได้ถึง 4.5 พันล้านบาท คิดเป็น 79.87% ของจำนวนเงินที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด 5.7 พันล้านบาท การเคหะแห่งชาติ เบิกจ่ายได้ถึง 3.6 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 73.67% ของจำนวนเงินที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด 4.9 หมื่นล้านบาท และการประปาส่วนภูมิภาค เบิกจ่ายได้ถึง 3.6 พันล้านบาท คิดเป็น 70.24% ของจำนวนเงินที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด 5.2 พันล้านบาท

นายอารีพงศ์ กล่าวว่า การนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณนำส่งรายได้รวมทั้งสิ้น 8.5 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย 14.17% คาดว่าเมื่อถึงสิ้นปีจะสามารถนำส่งรายได้ 9 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ในเดือน ส.ค. มีการส่งมอบรายได้ทั้งสิ้น 2.8 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=191588
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news15/09/07

โพสต์ที่ 276

โพสต์

'โฆสิต'สั่งเบิกจ่ายงบปี51พยุงเศรษฐกิจ เหตุครึ่งปีหลัง'ส่งออก-เชื่อมั่น'ลด

15 กันยายน พ.ศ. 2550 07:05:00

"โฆสิต"วางยุทธศาสตร์เบิกจ่ายงบปี 51 สูงถึง 94% และเบิกจ่ายงบลงทุน 74% หวังใช้นโยบายการคลังพยุงเศรษฐกิจในช่วงภาวะความเชื่อมั่นลดลง หวั่นส่งออกครึ่งปีหลังทรุดหนัก หวังการบริโภคและการลงทุนจะฟื้นตัวในไม่ช้า

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยหลังประชุมคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณว่าที่ประชุมกำหนดเป้าหมายเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายปี 2551 วงเงิน 1.66 ล้านล้านบาท ไว้ที่ 94% โดยแบ่งเป็นเป้าหมายเบิกจ่ายงบลงทุน 74% ของงบลงทุนทั้งสิ้น 4.04 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายการเบิกจ่ายประมาณภาครัฐที่สูงสุดในรอบ 4-5 ปีงบประมาณที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2551 ก่อนจะมีการเบิกจ่ายงบประมาณจริงนั้น เพื่อให้ส่วนราชการมีเวลาเตรียมตัวอย่างเพียงพอ ซึ่งจะมีการเสนอการกำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2551 ให้ที่ประชุมครม.พิจารณาอนุมัติในสัปดาห์หน้า

พร้อมกันนั้น ที่ประชุมยังกำหนดเป้าหมายเบิกจ่ายงบประมาณไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2551 หรือไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ไว้ที่ 22.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีการเบิกจ่ายเพียง 6% เนื่องจากความล่าช้าในการผ่านร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2550 ซึ่งเม็ดเงินจากงบประมาณที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจช่วงท้ายของปีนี้ ในภาวะที่ภาคเอกชนยังมีความมั่นใจน้อย และการส่งออกช่วงครึ่งปีหลังที่คาดว่าจะขยายตัว 6-7%

"ระยะนี้เราจำเป็นต้องใช้นโยบายการคลังดูแลให้เกิดการใช้จ่ายพอสมควร ในขณะที่เอกชนยังมีความเชื่อมั่นน้อย ซึ่งช่วงเวลาที่ผ่านมาเราทำได้ดี ที่ทำให้นโยบายการคลังมีส่วนช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นมา ขณะที่การเบิกจ่ายงบในไตรมาสที่ 3 และ 4 ของปี 2550 ก็ดีกว่าปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าการลงทุนจะเข้ามาเสริมเศรษฐกิจในระยะต่อไป เพราะเราได้สร้างไพไลน์การลงทุนได้ดี เห็นได้จากคำขอส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ" นายโฆสิตกล่าว

ยอมรับการบริโภคยังไม่ดีขึ้น

นายโฆสิต เชื่อมั่นว่า เศรษฐกิจปี 2550 จะขยายที่ 4-4.5% ส่วนจะเป็นเท่าใดต้องขึ้นกับการบริโภคโดยรวมว่าจะเป็นอย่างไร แม้การบริโภคสินค้าคงทนไตรมาส 3 จะปรับตัวดีขึ้น แต่ระดับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่ค่อยดีนัก ส่วนตัวมองว่าการบริโภคที่ลดลงเกิดจากความจำเป็นของครัวเรือนที่ต้องชะลอการบริโภค เพราะ 4-5 ปีที่แล้ว มีกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคที่เกินเกณฑ์ความพอดี แต่เชื่อว่าการชะลอใช้จ่ายคงเกิดไม่ได้นาน เมื่อถึงเวลาก็จะปรับตัวดีขึ้นเอง

"ถ้าพูดถึงความพร้อมก็ถือว่าดีกว่าปีก่อน งบประมาณก็ดีกว่า การลงทุนก็ดีกว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้น เราเตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยโตด้วยปัจจัยที่ครบถ้วนและเข้มแข็ง คาดว่าปี 2551 เศรษฐกิจน่าจะขยายตัวได้ที่ 5%" นายโฆสิตกล่าว

ส่วนความคืบหน้าในการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2550 ล่าสุดเดือนส.ค.ที่ผ่านมา ส่วนราชการสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้ทั้งสิ้น 89% ของงบประมาณรายจ่ายปี 2550 ที่ 1.566 ล้านล้านบาท คาดว่าเมื่อสิ้นปีงบประมาณจะเบิกจ่ายงบประมาณได้ใกล้เคียงเป้าหมายที่ 93% แม้ว่าการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2550 จะมีการเบิกจ่ายได้ล่าช้ากว่าปีที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากปัญหาการเมือง

หนุนกู้ภายในลงทุนสายสีม่วง

นายโฆสิต กล่าวถึง ความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงช่วงบางซื่อ-บางใหญ่ว่า ขณะนี้ ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 วัน เร็วๆ นี้ จะเสนอโครงการให้ครม.พิจารณาอนุมัติได้ก่อน

สำหรับแหล่งเงินกู้โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ที่เจบิคกำหนดเงื่อนไขการกู้เงินโดยเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจาก 0.75% เป็น 1% นั้น นายโฆสิต กล่าวว่า ตนให้ความเห็นมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า อยากให้มีการใช้แหล่งเงินในประเทศมากกว่า และมีเหตุผลมากมายที่ควรสนับสนุนการใช้เงินกู้ในประเทศ ส่วนข้อเสนอของ ดร.ปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ที่เสนอให้ใช้แหล่งเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่ต้องหารือกัน

เร่งประมูลรถไฟฟ้ากระตุ้นลงทุน

ดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในเรื่องดังกล่าวว่า ควรกู้เงินในประเทศสร้างรถไฟฟ้าสายสีม่วง เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำคือการลงทุนระบบราง รัฐบาลพร้อมที่จะกู้เงินในประเทศมาลงทุน หรือรัฐบาลอาจจะออกพันธบัตรก็ได้ สัปดาห์หน้ากระทรวงการคลังจะหารือกับกระทรวงพลังงานเรื่องการใช้เงินกองทุนน้ำมันมาใช้ก่อสร้าง

"ประเด็นสำคัญขณะนี้อยู่ที่การเร่งลงทุนภาครัฐให้เร็ว เพราะการส่งออกชะลอตัว และถ้าเร่งการลงทุนระบบรางได้จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ โดยนายโฆสิตรับทราบแนวทางนี้แล้ว และจะเร่งหารือกับ สศช.เพื่อนำเรื่องเสนอครม.อนุมัติ" ดร.ฉลองภพกล่าว

ดร.ฉลองภพ กล่าวว่า รัฐบาลวางเป้าหมายว่า จะเริ่มประมูลในเดือน ส.ค.หรือช้าที่สุดเดือน ก.ย.ปีนี้ เป็นไปได้ที่เริ่มที่ระบบรางก่อน ส่วนเรื่องแหล่งเงินกู้ไม่ใช่ข้อจำกัด เพราะสามารถกู้เงินในประเทศได้ เพราะยังมีสภาพคล่องอีกมาก และการกู้เงินจากเจบิคยังมีความเสี่ยงหากค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้น การกู้เงินในประเทศจะมีดอกเบี้ยสูง แต่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวยังอยู่ในระดับต่ำ จึงไม่จำเป็นต้องรอเงินกู้จากเจบิคที่ต้องการให้ไทยระบุให้ชัดว่า เอกชนจะมีรูปแบบเข้ามาร่วมลงทุนอย่างไร แต่เรื่องนี้ไทยยังไม่พร้อม

"ได้ชี้แจงญี่ปุ่นไปว่าไทยพร้อมที่จะลงทุนระบบรางก่อน ถ้าเจบิคพร้อมให้เราลงทุนระบบรางก่อนเราก็จะทำ แต่ถ้าเจบิคไม่พร้อมเราจะลงทุนเอง นอกจากนี้ การพิจารณาของเจบิคมีความล่าช้า เพราะนายกฯ ญี่ปุ่นลาออก จึงต้องรอการพิจารณาของรัฐบาลชุดใหม่ รวมทั้งเจบิคอยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างองค์กรเป็น 2 องค์กร"

สำหรับการลงทุนระบบการเดินรถเป็นเรื่องที่ยังมีเวลากำหนดรูปแบบรายละเอียด เพราะต้องรอให้ระบบรางเสร็จก่อน โดยขณะนี้มี 2 ทางเลือก คือ 1.เอกชนเข้ามาลงทุนตัวรถแบบมีเงื่อนไข 2.รัฐเป็นผู้ลงทุนตัวรถเอง

หนุนลงทุนเมกะโปรเจคฟื้นศก.

ดร.สมชัย ฤชุพันธุ์ ผู้แทนคณะทำงานเศรษฐกิจมหภาค การเงิน การคลัง สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวถึง การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ (เมกะโปรเจค) ผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจและแนวทางสู่ความสมดุลตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ว่า เมกะโปรเจคเป็นโครงการที่สนับสนุนการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่อาจมีผลต่อดุลบัญชีเดินสะพัด เงินเฟ้อและสถานะทางการคลังของรัฐบาล

นอกจากนี้ ควรมีการจัดตั้งคณะกรรมการนโยบายและกำกับโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณาที่เกี่ยวข้องทั้งทางเศรษฐกิจและการเงิน รวมทั้งจัดทำแผนประจำปี กลั่นกรองโครงการ เสนอครม. และกำหนดหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนกับภาครัฐ การเข้าร่วมของเอกชนต้องทำตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง

สำหรับงบประมาณในการลงทุนเห็นว่า ควรพิจารณาใช้แหล่งเงินทุนภายในประเทศก่อน เพราะขณะนี้ มีเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาจำนวนมาก ส่งผลกระทบต่อตลาดเงินและอัตราแลกเปลี่ยนของไทย การใช้เงินทุนในประเทศจะช่วยลดเงินตราต่างประเทศในไทย และลดปัญหาเงินบาทแข็งค่า

ดร.สมชัย กล่าวว่า รัฐบาลควรหลีกเลี่ยงการจัดสรรเม็ดเงินลงทุน ด้วยวิธีงบประมาณขาดดุลทางอ้อม เพราะจะทำให้ระบบการทำงบประมาณของประเทศบิดเบือนไปจากความจริง รวมทั้งเป็นการสร้างภาระผูกพันทางการคลังในอนาคต ควรปรับนโยบายการจัดทำงบประมาณประจำปี ยอมรับการขาดดุลงบประมาณอย่างมีเหตุผลและพอประมาณ เช่น การยอมรับการขาดดุลงบประมาณไม่เกิน 2% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี)

สภาที่ปรึกษาตัวหลักทบทวนโครงการ

นางสาววิไลพร ลิ่วเกษมศานต์ รองเลขาธิการสศช. กล่าวว่า สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ควรมีบทบาทในการทบทวนโครงการเมกะโปรเจคแต่ละโครงการ เช่น ด้านคมนาคม พลังงาน น้ำ โดยพิจารณาว่าโครงการที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร เพื่อให้สอดคล้องกับปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และความยากจน

ยุทธศาสตร์เมกะโปรเจคใหม่ ควรเป็นโครงการที่คิดนอกกรอบจากเดิม ปัจจุบันที่คิดมาจากหน่วยงานภาครัฐระดับกรมหรือระดับกระทรวง รวมทั้งไม่ได้เกิดจากยุทธศาสตร์ โดยเห็นว่าเมกะโปรเจคจะต้องเป็นยุทธศาสตร์ระดับประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบ่อย ถ้าพิจารณาเมกะโปรเจคที่เป็นระบบขนส่งมวลชน ไม่ควรมองเฉพาะระบบการขนส่ง แต่จะพิจารณารวมถึงความเป็นชุมชนเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ นครราชสีมา
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/1 ... wsid=98374
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news19/09/07

โพสต์ที่ 277

โพสต์

บี้เร่งเบิกงบดันศก.ปี51

โพสต์ทูเดย์ ครม.ฤาษีเลี้ยงเต่า ไล่กวดงบปี 51 ตั้งแต่หัววัน สั่งเบิกจ่ายไม่น้อยกว่า 94% ของงบ 1.66 ล้านล้านบาท กระตุ้นการบริโภค พยุงเศรษฐกิจปีหน้าโต 4.5- 5%


นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอนุมัติมาตรการและแนวทางในการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551 โดยตั้งเป้าหมายเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้ ไม่น้อยกว่า 74% ของวงเงินรายจ่าย งบลงทุนของแต่ละส่วนราชการ

หากหน่วยงานราชการดำเนินการเร่งรัดการเบิกเงินลงทุนตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจะส่งผลให้การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณในภาพรวมในปีหน้าได้ไม่น้อยกว่า 94% ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายทั้งสิ้น 1.66 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้ตั้งเป้าหมายให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดเบิกจ่ายงบ ประมาณให้เพิ่มขึ้นเฉลี่ยไตรมาสละ 8-9 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2551 อยู่ที่ระดับ 4.5-5%

สำหรับงบประมาณที่จะเร่งเบิกจ่ายในไตรมาสแรก 3.73 แสนล้านบาท ไตรมาสสอง 3.9 แสนล้านบาท ไตรมาสสาม 3.98 แสนล้านบาท และไตรมาสสี่ 3.98 แสนล้านบาท

คิดว่าในไตรมาสแรก ของปีงบฯ 2551 จะมียอดเบิกจ่ายสูง เนื่องจาก มีการปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ 2 หมื่นล้านบาท ที่กำลัง จะออกไปกระตุ้นการใช้จ่ายภาคประชาชน นายโชติชัย กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังอนุมัติแผนการก่อหนี้สาธารณะปีงบประมาณ 2551 มีวงเงินกว่า 9.73 แสนล้านบาท แยกเป็นการบริหารหนี้เดิม 6.21 แสนล้านบาท ประกอบด้วยการบริหารหนี้ในประเทศ 5.22 แสนล้านบาท เช่น การกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 1.65 แสนล้านบาท กู้เพื่อชดใช้ความเสียหายให้กับกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ 2.5 หมื่นล้านบาท

รวมทั้งเป็นการบริหารหนี้ต่างประเทศ 9.3 หมื่นล้านบาท และการก่อหนี้ใหม่ 3.52 แสนล้านบาท ประกอบด้วยการกู้เงินในประเทศ 3.25 แสนล้านบาท และการกู้เงินต่างประเทศ 2.7 หมื่นล้านบาท

สำหรับแผนเงินกู้เงินบาทสมทบโครงการเงินกู้ต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจมีวงเงินทั้งสิ้นกว่า 1.18 หมื่นล้านบาท มีโครงการที่น่าสนใจได้แก่ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยขอกู้ 4.01 พันล้านบาทเพื่อดำเนินโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง 1.92 พันล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้าสาย สีน้ำเงิน 2.09 พันล้านบาท

ขณะที่แผนเงินกู้เพื่อลงทุนของรัฐวิสาหกิจมีโครงการที่น่าสนใจได้แก่ การเคหะแห่งชาติ กู้เพื่อทำโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3, 4 และ 5 รวม 3.02 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง 3.3 พันล้านบาท โครงการแอร์พอร์ตลิงก์ 2.65 หมื่นล้านบาท

วันเดียวกัน คณะกรรมการ บริษัทการบินไทย ที่มี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข เป็นประธาน มีมติอนุมัติปรับ โครงสร้างฝูงบินด้วยการปลดระวางเครื่องบินที่มีอายุมาก 47 ลำ และหาเครื่องบินมาทดแทนเครื่องเดิมในระยะ 10 ปีข้างหน้ารวม 65 ลำ ด้วยการซื้อและเช่าระหว่างปี 2551-2560 ประกอบด้วยเครื่องบินขนาดความจุ 250-300 ที่นั่ง 29 ลำ เครื่องบินความจุ 150-250 ที่นั่ง 20 ลำ มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 4 แสนล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=192326
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/09/07

โพสต์ที่ 278

โพสต์

ปิยะบุตรลดเป้าจีดีพีอุตฯโตแค่4.5จาก5%

20 กันยายน พ.ศ. 2550 17:08:00

กระทรวงอุตสาหกรรม ปรับเป้าจีดีพีอุตฯปี 50 ใหม่ลดจาก 5%เหลือ 4.5% ส่งผลมูลค่าอุตสาหกรรมหายไปกว่า 5 หมื่นล้านบาท หลังประเมินเศรษฐสหรัฐชะลอตัวจากปัญหาซับไพร์ม

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :  

นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะมีการปรับตัวเลขอัตราการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม(จีดีพี)ปี 2550 ใหม่ โดยคาดว่าจะขยายตัว 4.5% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท ลดลงจากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ทั้งปีจะจะขยายตัว 5% มูลค่า 3.05 ล้านล้านบาท หรือมูลค่าอุตสาหกรรมลดลงจากเดิมประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมสำคัญของไทยที่มีแชร์ประมาณ 15%ของการส่งออกทั้งหมด ชะลอตัวจากปัญหาซับไพร์ม ทำให้การบริโภคชะลอตัวการนำเข้าสินค้าจึงลดตามไปด้วย โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมากสุด อาทิ สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม อาหารเพราะมีตลาดใหญ่อยู่ที่สหรัฐ และเป็นอุตสาหกรรมที่มีส่วนสำคัญต่อการผลักดันการเติบโตของจีดีพีอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมทั้งตลาดในประเทศที่หดตัวอย่างมากในปีนี้ ทำให้การบริโภคสินค้าคงทน อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ ยอดขายลดลงไปค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นและอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แข็งค่า จากที่ใช้ในการประเมินจีดีพีเดิมจะอยู่ที่ประมาณ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแต่ขณะนี้ค่าเงินบาทแข็งค่ามาอยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ทำให้โอกาสจะผลักดันให้จีดีพีอุตสาหกรรมโตได้ 5% คงยากเพราะจีดีพีเฉลี่ย 6 เดือนแรกขยายตัวเพียง 4.5% เท่านั้น

ส่วนแนวโน้มดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาส4 นั้นสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ได้ประเมินว่าจะขยายตัว 7.2%เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่ขยายตัว5.7% โดยมีปัจจัยสำคัญมาจากรัฐบาลได้มีการกำหนดวันเลือกตั้ง ทำให้ทั้งภาคการบริโภคและการลงทุนเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้นขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมทั้งปีคาดว่าจะขยายตัว 5.8%ลดลงจากปี 2549 ซึ่งขยายตัวอยู่ที่6.4% ซึ่งดัชนีอุตสาหกรรมและจีดีพีอุตสาหกรรมการขยายตัวมีทิศทางที่สอดคล้องกันคือขยายตัวในอัตราที่ลดลง

ภาวะอุตสาหกรรมในภาพรวมไตรมาสที่ 3 ปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมจะขยายตัว 5.6% ซึ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขยาย 5.1% โดยกลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมขยายตัวได้ดี ได้แก่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในสินค้าประเภทเครื่องปรับอากาศ และรถยนต์
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=184474
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/09/07

โพสต์ที่ 279

โพสต์

ธปท.เผยหลังเฟดหั่นดอกเบี้ย เงินทุนไหลเข้ายังเป็นปกติ

20 กันยายน พ.ศ. 2550 16:33:00

แบงก์ชาติเผยหลังเฟดทำเซอร์ไพรส์หั่นดอกเบี้ย 0.50% สัญญาณเงินทุนไหลเข้ายังเป็นปกติ ค่าเงินบาทค่อนข้างนิ่ง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางนิตยา พิบูลรัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้การไหลเข้าของเงินทุนยังคง เป็นปกติ แม้เมื่อเร็วๆ นี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เพิ่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น และดอกเบี้ยมาตรฐานลง ขณะที่ค่าเงินบาทขณะนี้ยังค่อนข้างนิ่ง

"เงินบาทก็นิ่งดี ดูจากลักษณะค่าเงินตอนนี้ยังคงปกติ"

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 18 ก.ย. เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลงอีก 0.50% มาที่ 4.75% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.ปีที่แล้วจาก 5.25% รวมทั้งลดอัตราดอก เบี้ยมาตรฐานลงอีก 0.50% มาที่ 5.25% จาก 5.75%

ส่วนปัจจัยดังกล่าว จะทำให้มีเงินทุนไหลเข้าเพิ่มขึ้นหรือไม่ นางนิตยา กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่เห็นข้อมูลล่าสุด แต่เมื่อดูลักษณะค่าเงินบาทแล้วยังคงปกติ โดยมองว่า การที่เฟดลดดอกเบี้ยในระดับดังกล่าว อาจเป็นสิ่งที่ตลาดบางส่วนคาดการณ์ไว้แล้ว จึงมีการปรับตัวไปแล้วตั้งแต่แรก

นางนิตยา กล่าวว่า มาตรการของธปท.ในขณะนี้ มีเพียงพอจะรับมือหากมีเงินทุนไหลเข้ามาก ขณะที่อัตราดอกเบี้ยของไทยนั้น ถือว่ายังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับต่างประเทศ แต่ก็ไม่ได้ต่ำกว่าประเทศอื่นอย่างผิดปกติ ถือว่ากำลังดีภายใต้สถานการณ์ขณะนี้

ดร.อัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงกรณีที่สถาบันการเงินบางแห่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากบางประเภท ขณะที่แนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายมีทิศทางลดลงนั้น อาจเป็นการรักษาฐานลูกค้าของแต่ละสถาบันการเงิน และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสถาบันการเงินบางแห่งเท่านั้น จึงไม่กังวลว่า จะส่งผลให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=184449
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news20/09/07

โพสต์ที่ 280

โพสต์

นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อหุ้นกลุ่มเดียว 1.4 พันล้านบาท ลดยอดขายสุทธิเดือน กย.หดเหลือ 1.9 พันล้านบาท
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Thursday, September 20, 2007

นักลงทุนต่างชาติ ซื้อหุ้นอีกครั้ง วันนี้วันเดียว ซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาท ลดยอดขายสุทธิตลอดเดือนเหลือ 1.9 พันล้านบาทแล้ว ส่วนสถาบันในประเทศ ขายทำกำไรตามฟอร์ม วันนี้เบาะ ๆ 380 ล้านบาท

ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ประจำวันพฤหัสบดี 20 กันยายน 2550

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 7,303.97 ขาย 8,337.90 รวม ขายสุทธิ 1,033.93
สถาบันในประเทศ ซื้อ 1,968.11 ขาย 2,348.20 รวม ขายสุทธิ 380.09
ต่างประเทศ ซื้อ 5,392.32 ขาย 3,978.30 รวม ซื้อสุทธิ 1,414.02

ยอดสะสม ตลอดเดือนกันยายน 2550

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 102,682.53 ขาย 99,960.91 รวม ซื้อสุทธิ 2,721.62
สถาบันในประเทศ ซื้อ 25,632.88 ขาย 26,372.94 รวม ขายสุทธิ 740.06
ต่างประเทศ ซื้อ 55,710.11 ขาย 57,691.67 รวม ขายสุทธิ 1,981.56

ตัวเลขซื้อขายแยกประเภท ตลอดปี 2550

ลูกค้าทั่วไป ซื้อ 1,494,544.30 ขาย 1,566,280.44 รวม ขายสุทธิ 71,736.14
สถาบันในประเทศ ซื้อ 376,600.03 ขาย 394,315.34 รวม ขายสุทธิ 17,715.31
ต่างประเทศ ซื้อ 1,030,676.51 ขาย 941,225.06 รวม ซื้อสุทธิ 89,451.45

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์
โทรศัพท์ - 02- 229 - 2000 ต่อ 2616
อีเมล - [email protected]

http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/09/07

โพสต์ที่ 281

โพสต์

พาณิชย์ระดมกึ๋นทำแผนดันส่งออก  
 
โดย ข่าวสด
วัน ศุกร์ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550 09:18 น.

นายราเชนทร์ พจนสุนทร อธิบดีกรมส่งเสริมการส่งอออก เปิดเผยว่า ภายใน 2 เดือนนับจากนี้ กรมจะร่วมกับที่ปรึกษากิตติมศักดิ์กระทรวงพาณิชย์ด้านการค้าระหว่างประเทศ (Honorary Trade Adviser : HTA หรือ เอชทีเอ) ร่วมกันจัดทำยุทธศาสตร์เพื่อผลักดันการส่งออก เริ่มจากตลาดที่ไทยมีข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) แล้ว เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินเดีย จีน และญี่ปุ่น ซึ่งความตกลงจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พ.ย. 50 โดยจะเร่งจัดกิจกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากข้อตกลง ส่วนสหรัฐ มีสัดส่วนการส่งออก 13% จะเน้นทำแผนปฏิบัติการขยายการส่งออกรายภูมิภาค รวมทั้งเสนอแนะให้ผู้ส่งออกไทยเร่งตอบสนองความต้องการลูกค้าให้เร็วขึ้น ขณะที่ยุโรปจะเน้นการส่งออกสินค้าคุณภาพ แอฟริกาเน้นกิจกรรม โดยจะเปิดสำนักงานทูตพาณิชย์ เพิ่ม 2 แห่ง คือ เคนยา และไนจีเรีย ด้านจีนและฮ่องกงเน้นส่งเสริมการขายสินค้าที่ไทยมีจุดแข็ง เช่น ข้าวหอมมะลิ เอเชียตะวันตะวันออกเฉียงใต้จะเน้นขยายตลาดอาหารที่ไทยมีจุดแข็ง

รายงานข่าวแจ้งว่า เอชทีเอคาดการณ์เป้าหมายการส่งออกรายตลาดเปรียบเทียบปี50 กับ ปี51 ว่า ตลาดจีนจะขยายตัวเป็น 22% จาก 20% ตะวันออกลางเป็น 19.7% จาก 20% ตลาดเอเชียตะวันออกเพิ่มเป็น 15% จาก 12.39% อินเดียเพิ่มเป็น 50% จาก 20% เป็นต้น
http://news.sanook.com/economic/economic_185030.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/09/07

โพสต์ที่ 282

โพสต์

แนะเอกชนเร่งปรับตัวรับมือบาทแข็ง  

โดย ข่าวสด
วัน ศุกร์ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2550 09:18 น.

น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา หลังจากไทยได้เริ่มเปิดการค้าเสรี อุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มมีการปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขัน แต่ยังมีบางธุรกิจที่ยังไม่ได้ดำเนินการ จึงขอแนะนำว่าควรเริ่มได้แล้ว โดยเฉพาะเวลานี้ที่ค่าเงินบาทแข็งตัวจะเป็นโอกาสที่จะสามารถปรับเปลี่ยนเครื่องจักรหรือเทคโนโลยีที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศได้

อย่างไรก็ตาม แนวทางในการปรับตัวที่สำคัญควรมองทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านการผลิต ด้านการบริหาร และด้านการตลาด โดยด้านการผลิตควรมีการปรับสายการผลิตสินค้าให้สั้นและรวดเร็วปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ใช้เวลาในการผลิตลดลง หรือนำเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูงมาใช้เพื่อความรวดเร็วในการส่งมอบ นอกจากนี้ ควรมีการรวมกลุ่มกันเป็นคลัสเตอร์ เพื่อลดต้นทุนวัตถุดิบ รวมถึงพัฒนาคุณภาพผลผลิต เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน และการนำระบบการผลิตแบบลดการสูญเสียหรือขจัดต้นทุนส่วนเกินมาใช้ เพื่อลดของเสียในการผลิต รวมถึงการลดการเก็บสต๊อกสินค้าและเปลี่ยนการผลิตและสินค้าให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ในด้านการบริหารควรนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารเพื่อความรวดเร็วและประหยัดเวลา ตลอดจนการพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มพูนความรู้ การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย การเรียนรู้วัฒนธรรมและภาษาในการติดต่อกับประเทศที่จะไปค้าขายด้วย รวมถึงควรหมั่นทำการวิจัยด้านการผลิตหรือการตลาดและติดตามข่าวสารการค้าและการบริหารให้ทันสมัยอยู่เสมอ ส่วนด้านการตลาดควรมีการมองหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดเดิมด้วย รวมถึงการส่งเสริมการขายภายในประเทศให้มากขึ้น การพัฒนารูปแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์ การเปลี่ยนจากรับจ้างผลิตมาเป็นการผลิตที่รับออกแบบให้ด้วยและการสร้างตราสินค้า (Brand) เป็นของตนเอง ทั้งนี้ หากสินค้าไทยที่ต้องการจะเป็นแบรนด์ของโลกน่าจะพิจารณาใช้สินค้าของตนเป็นผู้สนับสนุนในกิจกรรมระหว่างประเทศ
http://news.sanook.com/economic/economic_185031.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/09/07

โพสต์ที่ 283

โพสต์

เก็บพลังงาน-แบงก์-สื่อรับเลือกตั้ง โดย กระแสหุ้น

ได้เวลาเก็บหุ้นพื้นฐานแกร่ง รอรับผลดี 2 เด้ง จากภาวะหุ้นขึ้นก่อนเลือกตั้งและแจนยัวรี่ เอฟเฟ็ก เผยสถิติระบุชัดดัชนีพุ่งประมาณ 6-11% โบรกฯแนะรีบตุนเข้าพอร์ตก่อนตกขบวน ชี้กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคาร และสื่อ-สิ่งพิมพ์เด่น TOP PTT PTTEP BANPU BAY KBANK MCOT น่าสนใจ

นักวิเคราะห์หลายสำนักแนะนำให้นักลงทุนรีบเข้าไปเก็บหุ้นพื้นฐานดีในช่วงนี้ เพื่อรอรับผลดี 2 ต่อ จากภาวะหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งปกติดัชนีจะพุ่งขึ้นประมาณ 6-11% และภาวะหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรงในเดือนมกราคม (แจนยัวรี่ เอฟเฟ็ก) โดยหุ้นที่น่าสนใจส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่ม พลังงาน ปิโตรเคมี ธนาคารพาณิชย์ และสื่อ-สิ่งพิมพ์

นายอดิพงษ์ ภัทรวิกรม ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัท หลักทรัพย์ (บล.)ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า จากสถิติที่มีการประเมินไว้ ก่อนการเลือกตั้งดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทุกครั้ง โดยเฉลี่ยอยู่ที่ ประมาณ 11% หลังจากนั้นก็จะมีปรากฎการณ์ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อนแรงในเดือนมกราคม (แจนยัวรี่ เอฟเฟ็ก) ดังนั้นหากนักลงทุนต้องการลงทุนเพื่อรับผลดีจาก 2 ภาวะนี้ ก็ต้องรีบตัดสินใจลงทุนโดยไม่จำเป็นต้องรอผลจากภาวะดังกล่าว เพราะจากที่ประเมินมาพบว่านักลงทุนที่ชอบลงทุนภายหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ 2 ภาวะสำคัญนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นการตัดสินใจผิดพลาดเสมอ ฉะนั้น เมื่อมองหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับ 2 ปัจจัยนี้ควรที่จะรีบลงทุนไปเลย

สำหรับหุ้นที่มีความน่าสนใจ ณ ปัจจุบันไปจนถึงภาวะสำคัญอย่างการเลือกตั้งและ แจนยัวร์รี่ เอฟเฟ็กคือ หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี รองลงมาคือ หุ้นกลุ่มธนาคารขนาดเล็กหรือกลุ่มสถาบันการเงินที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจเช่าซื้อ และกลุ่มสุดท้ายคือ หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ส่วนหุ้นที่จำเป็นต้องเฝ้าระวังเป็นกรณีพิเศษจะเป็นหุ้นกลุ่มที่มีแรงกดดันจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน (RP1 วัน) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และการหาเสียงในช่วงเลือกตั้ง

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงายวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถิติที่ผ่านมาในช่วงก่อนมีการเลือกตั้งดัชนีหุ้นไทยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 6% ซึ่งนักลงทุนสามารถเข้ามาเก็บหุ้นก่อนได้ และหลังจากนั้นก็จะมีภาวะแจนยัวรี่เอฟเฟ็ก ซึ่งจะส่งผลดีกับราคาหุ้นที่ซื้อไว้ก่อนหน้านี้ด้วย

จากสถิติที่ทำในช่วงก่อนการเลือกตั้งและในเดือนมกราคมดัชนีหุ้นขึ้นทุกครั้ง โดยก่อนการเลือกตั้งดัชนีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 6% แต่พอหลังเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว ดัชนีหุ้นก็มีโอกาสปรับตัวลงมาเหมือนกัน เนื่องจากคาดว่ารัฐบาลที่เข้ามาใหม่อาจมีความแข็งแกร่งไม่พอ นายภูวดล กล่าว

ทั้งนี้ แนะนำว่าก่อนการเลือกตั้งแนะนำให้เก็งกำไรมากกว่า ส่วนหุ้นที่น่าลงทุนใน 2 ช่วงนี้ ควรเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานดี มีผลตอบแทน โดยหุ้นเด่นที่น่าลงทุน คือ หุ้นกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ประกอบด้วย หุ้นไทยออยล์ (TOP) หุ้นปตท.(PTT) หุ้นปตท.สผ.(PTTEP) หุ้นปตท.เคมีคอล (PTTCH) และหุ้นบ้านปู (BANPU) เพราะมองว่า หุ้นกลุ่มดังกล่าวมีพื้นฐานดี ที่สำคัญผลประกอบการดีมาก

ด้านนางสาวมยุรี โชวิกรานติ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท หลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงก่อนการเลือกตั้งและแจนยัวรี่ เอฟเฟ็ก จะส่งผลบวกต่อการไหลเวียนของค่าโฆษณาและเงินทุนไหลเข้า(ฟันด์โฟลว์) ซึ่งจะเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มสื่อ-สิ่งพิมพ์ชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หรือ MCOT เนื่องจากจะรับรู้ค่าโฆษณาเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ MCOT จะมีการปรับขึ้นราคาโฆษณาอีก 20% ของเวลาออกอากาศทั้งหมดตั้งแค่เดือนตุลาคมนี้ส่งผลให้รายได้เพิ่มขึ้นอีก 4-5% จากการปรับผังเดิมเมื่อวันที่ 23 ก.ค.50 ที่ผ่านมามีผลต่อรายได้เพียง 1.15% ดังนั้นคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 34.17 บาท

นอกจากนี้คงเห็นผลบวกต่อหุ้นที่มีมูลค่าขนาดใหญ่ในกลุ่มสถาบันการเงิน ทั้งธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2551 ที่ 31.22 บาทต่อหุ้น ซึ่งได้รับผลดีจากการเข้าซื้อหุ้น 100% มูลค่า 17,000 ล้านบาท ของบริษัท จีอี แคปปิตอล ออโต ลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GECAL ทำให้พอร์ตสินเชื่อของ BAY ในปีนี้ เติบโตอย่างก้าวกระโดด ประมาณ 92,000 ล้านบาท ขณะที่สินทรัพย์รวมคาดเพิ่มขึ้นจากเดิม 6% เป็น 12% เทียบจากปีก่อน

นอกจากนั้นเชื่อว่าช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ BAY จะเร่งการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะการรุกรายย่อย ภายใต้เงินกองทุนที่สูงถึง 19% และภาระการตั้งสำรองในช่วงที่เหลือของปีมีไม่มากนักหลังสำรองไปในไตรมาส 2/2550 ดังนั้นแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของผลการดำเนินงานในปี 2551 คาดกำไรสุทธิเติบโตก้าวกระโดด อยู่ที่ 6,565 ล้านบาท โดยประเมินมูลค่าทางบัญชีที่เพิ่มขึ้นเบื้องต้นจาก 15.61 บาทเป็น 16.84 บาทและทำให้มูลค่าเหมาะสมมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นเป็น 33.67 บาทต่อหุ้น

ขณะที่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK คงแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 96.20 บาทต่อหุ้น จากการที่ KBANK เป็นธนาคารที่มีอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ต่อเนื่อง ทำให้คาดว่าจะสามารถขยายสินเชื่อได้ตามเป้าที่ 8% ในปี 2550 นี้ ประกอบกับการเป็นธนาคารที่มีความโดดเด่นสินเชื่อ SME และเป็นธนาคารที่มีส่วนต่างดอกเบี้ยสูงสุดในกลุ่ม รวมถึงมีการจัดการควบคุมความเสี่ยงที่ดี

นอกจากนี้คงมีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่จะได้รับผลบวกด้านการเมืองและการเปิดประมูลโครงการเมกะโปรเจกต์ อย่างไรก็ดีช่วงก่อนการเลือกตั้งและแจนยัวรี่ เอฟเฟ็กถือเป็นจังหวะของการซื้อลงทุน โดยนักลงทุนอาจพิจารณาผลประกอบการเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาลงทุน และรอจังหวะซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 800 จุด
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/09/07

โพสต์ที่ 284

โพสต์

ยอดส่งออก ส.ค.50 พลิกฟื้นเติบโตเกือบร้อยละ 18  

โดย ผู้จัดการออนไลน์
21 กันยายน 2550 16:29 น.
 
      รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลื้มยอดส่งออกเดือนสิงหาคมพลิกฟื้นมาขยายตัวเหมือนครึ่งปีแรก โดยมียอดเติบโตเกือบร้อยละ 18 และมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์เฉียด 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มั่นใจการส่งออกช่วงที่เหลือปีนี้มีมูลค่าเฉลี่ยเดือนละ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

      นายเกริกไกร จีระแพทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การส่งออกเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีมูลค่า 13,911.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 17.9 ถือเป็นตัวเลขการส่งออกที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หากคิดในรูปเงินบาท การส่งออกอยู่ที่ 464,074.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ขยายตัวทั้งหมวดสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมการเกษตร ร้อยละ 12.3 สินค้าอุตสาหกรรมร้อยละ 17.6 และสินค้าอื่นๆ ร้อยละ 23.2 ทำให้ 8 เดือนแรกปีนี้ ไทยสามารถส่งออกมูลค่า 97,321 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9
     
      ขณะที่การนำเข้าเดือนสิงหาคม มีมูลค่า 13,140.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.1 โดยนำเข้าเพิ่มขึ้นทุกหมวด ได้แก่ เชื้อเพลิงร้อยละ 11.4 สินค้าทุนร้อยละ 7.1 สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปร้อยละ 17.2 สินค้าอุปโภคบริโภคร้อยละ 25 สินค้ายานพาหนะและอุปกรณ์ขนส่งร้อยละ 11.3 และสินค้าอาวุธยุทธปัจจัยร้อยละ 52 ทำให้การนำเข้าช่วง 8 เดือนแรก มีมูลค่าทั้งสิ้น 90,833.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.3 และไทยเกินดุลการค้า เดือนสิงหาคม 770.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ดุลการค้า 8 เดือนแรกปีนี้ เกินดุลแล้ว 6,487.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ไทยขาดดุลการค้า 2,176.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเชื่อว่า ปีนี้ไทยน่าจะเกินดุลการค้าประมาณ 7,000-8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
     
      นายเกริกไกร กล่าวว่า ในช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ กระทรวงพาณิชย์ มั่นใจว่า การส่งออกเฉลี่ยแต่ละเดือนยังมีอัตราขยายตัวดีต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีมูลค่าส่งออกแต่ละเดือนประมาณ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้การส่งออกตลอดปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์คาดการณ์ไว้ จะมีอัตราเติบโตไม่ต่ำกว่าร้อยละ 12.5 มูลค่า 145,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการส่งออกขณะนี้ยังน่าพอใจ อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอัตราเติบโตสูงขึ้น แต่สิ่งที่ไว้วางใจไม่ได้ขณะนี้ คือ เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯยังมีปัญหาหลายด้าน แต่เชื่อมั่นว่า เมื่อข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (เจเทปป้า) มีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบจะผลักดันการค้าไทย-ญี่ปุ่น ดีขึ้น และผลการเจรจาการค้าเสรีเพิ่มเติมกับอินเดียจะทำให้การค้าของไทยสามารถชดเชยตลาดหลักอย่างสหรัฐฯได้
     
      ขณะที่สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการ คือ ประชุมหารือกับผู้ส่งออกแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่องและเห็นว่ากลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ยังมีคำสั่งซื้อค่อนข้างมาก แม้ว่าหากดูตัวเลขผลกระทบเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นจะมีเสียงบ่นของผู้ส่งออก ว่า ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ แต่ตัวเลขการส่งออกที่ออกมาแต่ละเดือนช่วงที่ผ่านมา มีอัตราเติบโตตลอด ยกเว้นเดือนกรกฎาคมที่การส่งออกขยายตัวร้อยละ 5.9 ซึ่งกระทรวงพาณิชย์กำลังศึกษารายละเอียด ว่า การส่งออกเดือนกรกฎาคมที่เติบโตชะลอตัวมากมาจากสาเหตุอะไร นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังประเมินร่วมกับผู้ส่งออกและมองการส่งออกปีหน้าจะขยายตัวได้ใกล้เคียงกับการส่งออกปีนี้ เพราะปัจจุบันไทยมีกลุ่มที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการค้าต่างประเทศ 44 แห่งทั่วโลก และมีทูตพาณิชย์ 56 แห่งทั่วโลก ทำให้มีผู้ช่วยเจาะตลาดถึง 100 แห่ง น่าจะทำให้การส่งออกของไทยขยายตัวได้ตามเป้าหมาย
http://www.manager.co.th/Business/ViewN ... 0000111937
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news21/09/07

โพสต์ที่ 285

โพสต์

ดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตฯเดือนส.ค. ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ 76

21 กันยายน พ.ศ. 2550 13:28:00

ค่าเงินบาทที่อ่อนค่า การบริโภคมีแนวโน้มฟื้นตัว ความชัดเจน ทางการเมือง กระตุ้นความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม 50 ปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดอีก 3 เดือนมีแนวโน้มดีขึ้น

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :   นายอดิศักดิ์  โรหิตะศุน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย (Thai Industries Sentiment Index: TISI)  ในเดือนสิงหาคม 2550 ที่ได้จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 525 ตัวอย่าง ครอบคลุม 35 กลุ่มอุตสาหกรรมของสภาอุตสาหกรรมฯ ว่า  ค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 76.0 จาก 72.7 ในเดือนกรกฎาคม 2550 ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลดีจากยอดคำสั่งซื้อและยอดขาย  ทั้งในและต่างประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม  2550   โดยยอดคำสั่งซื้อและยอดขายในประเทศได้รับผลดีจากการบริโภคที่เริ่มมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้น

  จากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย  และความชัดเจนทางการเมืองที่มีมากขึ้น  เห็นได้จากการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550  และนายกรัฐมนตรีได้กำหนดวันเลือกตั้งไว้เบื้องต้น (23 ธ.ค. 2550) ที่คาดว่าจะสามารถจัดการเลือกตั้งได้ภายในปีนี้  รวมทั้งการปรับเพิ่มเงินเดือนข้าราชการก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำดัชนีความเชื่อมั่นในยอดคำสั่งซื้อและยอดขายในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น  สำหรับยอดคำสั่งซื้อและยอดขายต่างประเทศปรับตัวดีขึ้นจากค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา   ด้านปริมาณการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งในปัจจุบันและในอีก 3 เดือนข้างหน้า  สืบเนื่องจากยอดคำสั่งซื้อและยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ

   ทั้งนี้  ความเชื่อมั่นของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่และขนาดกลางปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยได้รับผลดีมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า  ต้นทุนพลังงานที่ลดลง  และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ  ส่วนอุตสาหกรรมขนาดเล็ก  ดัชนีฯ ปรับลดลงจากเดือนกรกฎาคม  ได้รับผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่มีความผันผวน  ประกอบกับลักษณะของอุตสาหกรรมไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ยังขาดความเชื่อมโยงในทุกระดับ  ขาดการรวมตัวกันจึงทำให้ความผันผวนของราคาวัตถุดิบส่งผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน

   ด้านปัจจัยสำคัญที่ทำให้กิจการของไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันคือ  การมีต้นทุนอยู่ในระดับสูง  และการแข็งค่าของเงินบาท  โดยต้นทุนที่อยู่ในระดับสูงที่สำคัญ คือ ต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งเกิดจากการผันผวนและปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาวัตถุดิบหลายๆ ชนิด  ประกอบกับกิจการไทยมีการจัดการกับความผันผวนของราคาวัตถุดิบอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก ขาดการเชื่อมโยงภายในอุตสาหกรรมหรือภายในคลัสเตอร์ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตอยู่ในระดับสูง  ประกอบกับการแข็งค่าของเงินบาทที่อยู่ในระดับสูงกว่าประเทศคู่แข่งที่สำคัญอย่างจีนและเวียดนามจึงทำให้อุตสาหกรรมของไทยเริ่มสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน

  ดังนั้น  สิ่งที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับที่เพิ่มสูงขึ้นคือ  ความสามารถในการควบคุมราคาวัตถุดิบ  ซึ่งการรวมตัวกันเป็นคลัสเตอร์จะช่วยลดความเสี่ยงจาก ราคาวัตถุดิบ

   ด้านข้อเสนอแนะของผู้ประกอบการต่อภาครัฐ  พบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เห็นว่า รัฐบาลควรดูแลค่าเงินบาทมิให้แข็งค่าและมีเสถียรภาพ  เร่งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ/การบริโภค  ส่งเสริมบรรยากาศทางการเมืองให้มีเสถียรภาพ  และกำหนดวันเลือกตั้งให้ชัดเจน  ส่งเสริมการแข่งขันด้านตลาดกับต่างประเทศ  และเร่งแก้ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้  

ข้อมูลเพิ่มเติม  
ปัจจัยการสูญเสียขีดความสามารถในการแข่งขัน  
ดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม

http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=184731
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/09/07

โพสต์ที่ 286

โพสต์

ศก.ไทยผันผวนแน่ รับมือสินค้าจีนบุก

โพสต์ทูเดย์ โฆสิต เตือนเศรษฐกิจไทยต้องรับมือ ราคาสินค้าจีน บี้ดูแลค่าเงิน


นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.อุตสาห กรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ การ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในสถานการณ์ปัจจุบันและการปรับตัวของภาคเอกชน ว่า เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะต้องเผชิญกับความไม่สมดุลในโครงสร้างเศรษฐกิจโลก ทั้งจากจีน สหรัฐ และเงินทุนไหล เข้าออกอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับปรากฏการณ์ไชนาไพร์ซเซส หรือราคาสินค้าจีน จนทำให้หลายประเทศต้องปรับตัวเพื่อแข่งขัน

นายโฆสิต กล่าวว่า รัฐบาลนี้ จะสร้างความเข้มแข็งและรักษาระดับอัตราการเติบโตที่ 4-4.5% และจะพยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ ดูแลด้านการส่งออกและมั่นใจว่าทั้งปีการส่งออกของไทยยังเติบโตได้ตามเป้าหมาย 12.5% แม้ว่าในเดือน ก.ค.จะเติบโต 5.9%

ขณะที่ด้านการคลังได้รับการปรับปรุงให้มีการกระจายการใช้เงินมากขึ้น ซึ่งตั้งแต่ไตรมาส 315 ก.ย.ที่ผ่านมา รัฐบาลได้ขับเคลื่อนด้านการคลังไปสู่ 7 หมื่นล้านบาทลง ไปสู่ชุมชน และเป็นไตรมาสแรก ที่มีการใช้จ่ายตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข และการพัฒนาหมู่บ้านตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง รวมเป็น 5 พันล้านบาท

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกในเดือน ส.ค ที่ขยายตัว 17.9% แสดงให้เห็นว่าการส่งออกที่ชะลอตัวลงในเดือน ก.ค. มีปัญหาในระยะสั้นที่เกิดจากการแข็งค่าขึ้นของค่าเงินบาทอย่างรวดเร็ว และการที่ทางสหรัฐปรับ ลดอัตราดอกเบี้ย อาจส่งผลให้ ค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ ในปลายปีนี้อาจส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในระดับ 32-33 บาท/เหรียญสหรัฐ ได้จึงควรหามาตรการดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับ 33.5 - 34.5 บาท/เหรียญสหรัฐ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=192978
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/09/07

โพสต์ที่ 287

โพสต์

ขวางขึ้นเงินเดือนรัฐวิสาหกิจ4%

โพสต์ทูเดย์ สคร.ดับฝันรัฐวิสาหกิจ ค้านขึ้นเงิน 4% เตรียมเสนอ ครม. 25 ก.ย.นี้ หวั่นสิ้นเปลืองงบประมาณ ปี 2551 ถึง 3.6 พันล้าน


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 25 ก.ย.นี้ จะเสนอผลกระทบจากข้อเสนอให้ปรับขึ้นเงินเดือนของรัฐวิสาหกิจ 4% ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา

ทั้งนี้ จากการศึกษาเปรียบเทียบรายจ่ายค่าจ้างและผลตอบแทนรวมของรัฐวิสาหกิจ 59 แห่ง ซึ่งมีพนักงานรวมกว่า 2.7 แสนคน มียอดขายรวมประมาณ 1.7 ล้านล้านบาทต่อปี เปรียบเทียบกับตลาดการจ้างงานของบริษัทเอกชนชั้นนำจำนวน 92 แห่ง ซึ่งมีพนักงานรวม 5.5 แสนคน และมียอดขายรวม 9 แสนล้านบาท

ผลการศึกษาค่าจ้างเฉลี่ยของพนักงานรัฐวิสาหกิจในระดับต้นจนถึงระดับกลางพบว่า มีค่าจ้างเฉลี่ยสูงกว่าตลาดการจ้างงานของภาคเอกชน อย่างเช่น กลุ่มวุฒิแรกเข้าระดับมัธยมต้นมีค่าจ้างเฉลี่ยสูงกว่าตลาดเฉลี่ยประมาณ 32%

ทั้งนี้ กลุ่มวุฒิแรกเข้าระดับ ปวส. มีค่าจ้างเฉลี่ยสูงกว่าตลาดเฉลี่ยประมาณ 47% กลุ่มพนักงานระดับ ปวส. และมีประสบการณ์ 4 ปี มี ค่าจ้างเฉลี่ยสูงกว่าตลาดเฉลี่ยประมาณ 30% และกลุ่มพนักงานแรกเข้ามีค่าจ้างเฉลี่ยสูงกว่าตลาดเฉลี่ยประมาณ 12%

ดังนั้น หากในปีงบประมาณ 2551 จะให้มีการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างให้ รัฐวิสาหกิจอีก 4% จะทำให้รัฐวิสาหกิจมีค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3.6 พันล้านบาทต่อปี ซึ่ง ถือว่าขัดต่อหลักการปรับขึ้นเงินเดือนซึ่งควรจะควบคู่กับการพัฒนาความสามารถของรัฐวิสาหกิจในการทำกำไรให้สูงขึ้น หรือลดค่าใช้จ่ายขององค์กรเพื่อให้เพียงพอต่อรายจ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้น

รวมถึงการตั้งมาตรฐานการทำงานให้มีประสิทธิภาพ (KPI) เพื่อวัดผล การทำงานของรัฐวิสาหกิจ และจะเป็นการพัฒนาบุคลากรของรัฐวิสาหกิจให้เติบโตไปกับค่างานที่สูงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ ผลของการปรับอัตราค่าจ้างของรัฐวิสาหกิจที่ผ่านมา 2 ครั้ง ประกอบด้วย ครั้งที่ 1 ปี 2547 ปรับเพิ่ม 3% บวก 2 ขั้น และ 3% บวก 1 ขั้น (พนักงานระดับผู้อำนวยการ ฝ่ายขึ้นไป) และครั้งที่ 2 ปี 2549 ปรับเพิ่ม 5% ซึ่งพบว่าการปรับอัตราค่าจ้างและผลการดำเนินงานที่ผ่านมาไม่ได้ส่งผลให้รัฐวิสาหกิจพัฒนาประสิทธิภาพและมีรายได้ดีขึ้น

อีกทั้งการเพิ่มค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่สัมพันธ์กับผลงานขององค์กร โดยความสามารถในการทำกำไรในภาพ รวมเมื่อเทียบกับปี 2547 ซึ่งอยู่ที่ 8.26% และในปี 2548 เหลืออยู่ที่ ระดับ 6.75% ส่วนในปี 2549 เหลืออยู่ที่ระดับ 7.08%

ปัจจุบันการกำหนดโครงสร้าง เงินเดือนของรัฐวิสาหกิจจะเป็นอำนาจของคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=192979
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news22/09/07

โพสต์ที่ 288

โพสต์

อัดแสนล้านโด๊ปศก. +'โฆสิต'ทิ้งทวนดัน 12 เมกะโปรเจ็กต์ปิโตรเคมีชงบอร์ดสิ่งแวดล้อมชี้ชะตา
"โฆษิต"ทิ้งทวนดัน 12 เมกะโปรเจ๊กต์แสนล้าน อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ระยะที่3 ลงมาบตาพุดอีกครั้ง เชื่อมีผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ภาวะการลงทุนน่าจะคึกคักขึ้น ล่าสุดคลอด 4 มาตรการปรับลดมลพิษสนับสนุนลงทุนใหม่ ขณะที่ผลการศึกษาคพ.ระบุ หากเอกชนเดินตามมาตรการเข้าพื้นที่ได้ทันที นักวิเคราะห์ขานรับข่าวดี เชื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ฟื้นลงทุน

สืบเนื่องจากที่รัฐบาลขิงแก่ซึ่งนำโดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีใกล้จะหมดวาระลง เมื่อมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งเกิดขึ้นราวต้นปี2551 แต่ในช่วง1ปีที่ผ่านมา นโยบายหลายๆด้านรัฐบาลยังไม่ทำให้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม ทั้งในส่วนของการลงทุนของรัฐบาลหลายโครงการถูกแช่แข็ง เพราะความไม่พร้อมในเรื่องของแหล่งเงินทุน ขณะที่อีกหลายโครงการ ที่รัฐบาลมองว่าน่าจะผลักดันให้เกิดขึ้นได้ โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการที่ใช้งบจากการลงทุนของภาคเอกชนโดยเฉพาะการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีระยะ3 ที่มาบตาพุด นั้น ถือเป็นการเดิมพันสุดท้ายที่จะผลักให้เกิดขึ้นให้ได้ในรัฐบาลชุดนี้

++โฆสิตดันสุดฤทธิ์เมกะมาบตาพุด

นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงาน ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษและกำหนดการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดระยอง เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"หลังการประชุมถึงความคืบหน้าในการแก้ปัญหามลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมในจังหวัดระยองเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2550 ที่ผ่านมาว่า มีข้อสรุปถึงความก้าวหน้าของการจัดทำแผนแก้ปัญหาเพื่อจะนำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่มีนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐ

มนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานบอร์ดพิจารณาอีกครั้ง หลังจากรองนายกฯและรมว.อุตสาหกรรม ต้องการจะผลักดันให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ระยะที่3 พื้นที่มาบตาพุดมาตั้งแต่แรก เนื่องจากมองว่าเป็นการลงทุนจากภาคเอกชนที่สามารถต่อยอดได้ทันที เนื่องจากมีความพร้อมอยู่แล้วในระบบโครงสร้างพื้นฐานอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาติดปัญหาการต่อต้านจากชุมชนในพื้นที่ ที่สำคัญเพื่อเป็นอีกทางหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลชุดนี้ต้องการฝากไว้เป็นผลงานทิ้งทวนก่อนหมดวาระลง

++ดัน12โครงการกระตุ้นศก.

ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า ล่าสุดที่ประชุมคณะอนุกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบแนวทาง การพิจารณารายงานอีไอเอใหม่ โดยให้ปรับเปลี่ยนวิธีการเสนอโครงการเพื่อขออนุมัติรายงานอีไอเอ จากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือสผ.ในลักษณะกลุ่มโครงการหรือการจับคู่กันระหว่างโครงการเก่ากับโครงการที่จะลงทุนขึ้นใหม่ ภายใต้มาตรการปรับลดและสำรองสัดส่วนค่าการระบายมลพิษโดยใช้ฐานข้อมูลการระบายมลพิษของโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ระยะที่3 ที่อยู่ระหว่างการพิจารณารายงานอีไอเอเมื่อเดือนสิงหาคม 2550 จำนวน 12 โครงการ (ดูตาราง) ที่ผ่านการตรวจสอบในเบื้องต้นตามคุณสมบัติการจับคู่โรงงานใหม่กับโรงงานเก่า ปรับลดมลพิษที่ส่งให้สผ.พิจารณาแล้ว พบว่าสามารถทำให้ปริมาณการปล่อยมลพิษลดลงจากเดิม และไม่มีผลกระทบกับโครงการลงทุนใหม่ที่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จะต้องมีการลงทุนจากภาคเอกชนช่วง 5 ปี (2550-2554)ในวงเงินอีก 19,745 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามทั้ง 12 โครงการ จะเข้ามาตั้งในมาบตาพุดได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่มีนายโฆษิต เป็นประธาน ที่จะมีการประชุมในครั้งต่อไปในเร็วๆนี้ หลังจากที่ไม่สามารถนำเรื่องเสนอได้ทันในวันที่ 20 กันยายน 2550 นี้ ว่าจะพิจารณาตามแนวทางที่คณะอนุกรรมการฯได้เสนอมาตรการไปแล้วหรือไม่ เนื่องจากไม่ได้ทำให้การปล่อยมลพิษเพิ่มขึ้น ในขณะที่ทั้ง 12 โครงการนี้จะช่วยกระตุ้นการลงทุนของประเทศ เนื่องจากมีมูลค่าการลงทุนสูงเกือบ 20 % ของการเติบโตทางจีดีพีหรือประมาณ 150,000 แสนล้านบาท

++ออก4 มาตรการหนุนลงทุนใหม่

นายพรชัยกล่าวอีกว่า นอกจากนี้คณะอนุกรรมการฯ ยังมีการออกมาตรการสนับสนุนและมาตรการบังคับเพื่อให้ผู้ประกอบการเร่งปรับลดพิษในพื้นที่มาบตาพุดใน 4 มาตรการ เพื่อเป็นแนวทางให้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พิจารณาอนุมัติเห็นชอบโครงการที่จะมีการลงทุนใหม่ ภายใต้แผนที่มีการจัดทำขึ้น

โดยทั้ง 4 มาตรการนั้นได้แก่1. มาตรการด้านภาษี ที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)จะยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อใช้ในขบวนการผลิต และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเป็นเวลา 3 ปีเป็นสัดส่วน 70 % ของมูลค่าเงินลงทุนในการปรับปรุงลดมลพิษ รวมถึงยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจากรายได้ของกิจการที่ดำเนินการอยู่เดิมด้วย โดยผู้ประกอบการจะต้องยื่นคำขอส่งเสริมภายในปี 2552 และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี 2554

มาตรการที่2 ปรับลดและสำรองสัดส่วนค่าการระบายมลพิษสำหรับปรับปรุงการประกอบการในอนาคตโดยผู้ประกอบการจะต้องปรับลดอัตราการระบายมลพิษจากค่าการปล่อยสูงสุดคืนสู่สิ่งแวดล้อม 20 % ส่วนอีก 80 % ที่เหลือสามารถเก็บสำรองสำหรับการปรับปรุงการประกอบการในอนาคต หรือนำไปแลกเปลี่ยนกับผู้ประกอบการอื่นที่ต้องการขยายกิจการได้

มาตรการที่3 บังคับให้ผู้ประกอบการต้องปรับลดการระบายมลพิษ โดยกำหนดให้โครงการที่ได้รับความเห็นชอบในรายงานศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ ภายหลังปี 2541 ต้องปรับลดอัตราการระบายมลพิษทั้งโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว และโครงการที่ได้รับความเห็นชอบในอีไอเอแต่ยังไม่ก่อสร้าง

มาตรการสุดท้าย จัดเก็บค่าการปล่อยมลพิษ โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม จะกำหนดจัดเก็บค่าการปล่อยมลพิษตามปริมาณที่ระบายกับโรงงาน 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มโรงกลั่นน้ำมันและโรงแยกก๊าซธรรมชาติ กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มเคมีภัณฑ์และปิโตรเคมี และกลุ่มโรงเหล็กและเหล็กล้า ในจังหวัดระยองเป็นพื้นที่นำร่องก่อน ซึ่งจะเริ่มในช่วงปลายปี 2550 นี้ ก่อนที่จะมีผลใช้บังคับทั่งประเทศ หลังจากที่กระทรวงการคลังออกกฎหมายสิ่งแวดล้อมออกมาบังคับใช้ต่อไป

++ผ่านงบกว่า22,000ล้านลดมลพิษ

นายพรชัย กล่าวย้ำว่า การประชุมครั้งนี้คณะอนุกรรมการฯ ได้เห็นชอบ ในกรอบวงเงินงบประมาณที่นำมาใช้ในการดำเนินงานปรับลดมลพิษในช่วง 5 ปีนี้ จำนวน 22,371 ล้านบาท แบ่งเป็นในส่วนงบประมาณแผ่นดิน 2,263 ล้านบาท ของการนิคมแห่งประเทศไทย(กนอ.) 362 ล้านบาท ของภาคเอกชน 19,745 ล้านบาท โดยในปีหน้าจะใช้งบประมาณแผ่นดินจำนวน 635 ล้านบาท ภาคเอกชน 6,177 ล้านบาท และ กนอ.76 ล้านบาท รวม 6,888 ล้านบาท

++เชื่อผลศึกษาลงทุนใหม่เข้าพื้นที่ได้

แหล่งขาวจากคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษและกำหนดการพัฒนาในพื้นที่จังหัดระยอง เปิดเผยว่า สำหรับกรณีที่กรมควบคุมมลพิษได้ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์วิเคราะห์ศักยภาพการรองรับมลพิษของพื้นที่มาบตาพุด กรณีที่มีโครงการลงทุนใหม่ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ระยะที่3 จำนวน11 โครงการ โดยยังไม่รวมโครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท โกลว์พลังงาน จำกัด(มหาชน)(บมจ.) ภายใต้การลงทุนปรับลดมลพิษและการจับคู่แลกเปลี่ยนมลพิษระหว่างรายเก่าและรายใหม่ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาอีไอเอนั้น พบว่า จากเดิมที่มีการปล่อยมลพิษเกินค่ามาตรฐาน 75 ครั้ง แต่เมื่อมีโครงการทั้ง 12 โครงการเข้าไปใหม่ จะมีจำนวนครั้งที่การเกินค่ามาตรฐานมีค่าลดลง 48 ครั้ง คงที่ 11 ครั้ง และมีค่าความเข้มข้นเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 1 ครั้ง ใน 1 จุด

อย่างไรก็ตาม หากรวมโครงการโรงไฟฟ้าของบมจ.โกลว์พลังงานเข้าไปด้วยแล้ว จะมีจำนวนครั้งที่การเกินค่ามาตรฐานมีค่าลดลง 46 ครั้ง คงที่ 9 ครั้ง และมีค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 2 ครั้ง ใน 2 จุด เนื่องจากโรงไฟฟ้ามีการลงทุนปรับลดมลพิษสูงกว่าโครงการอื่นๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เมื่อมีโครงการโรงไฟฟ้าซึ่งมีการปรับลดมลพิษ จะส่งผลให้การลดมลพิษในภาพรวมดีขึ้นมากกว่าเดิมส่วนโครงการโรงไฟฟ้าที่ยังมีปัญหาคาความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศมีค่าเกินค่ามาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศอยู่ก่อนแล้ว มีค่าความเข้มข้นเพิ่มสูงขึ้น 1 จุด ซึ่งผู้ประกอบการจะต้องไปลงทุนปรับลดมลพิษเพิ่มขึ้นอีก

++นักวิเคราะห์เชื่อช่วยกระตุ้นศก.-ฟื้นลงทุน

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยว่าหากแนวทางการสนับสนุนโครงการลงทุนในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ระนะที่3 มาบตาพุด เกิดขึ้นได้จริง จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศไทยได้ แต่คงเห็นผลในระยะยาว เนื่องจากจะเป็นการทยอยลงทุนประมาณ 1-3 ปี อย่างไรก็ตามมองว่าจะช่วยในเรื่องของความเชื่อมั่นการลงทุนของภาคเอกชนในนิคมอุสาหกรรมมาบพุดกลับขึ้นมาได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าปัญหาของภาคการลงทุนนี้เป็นส่วนของเอกชน ดังนั้นถึงแม้ว่าภาครัฐจะอยากให้เกิดมากเพียงใดแต่หากเอกชนยังไม่ตัดสินใจลงทุน ก็ไม่สามารถบังคับได้ การลงทุนก็คงจะไม่เกิด ดังนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าการกระตุ้นของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสสริมการลงทุนหรือบีโอไอ จะเป็นผลโดยเร็ว

ดร.เศรษฐพุฒ กล่าวอีกว่า นโยบายการคลังในปีนี้และปี2551 มีส่วนประกอบของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยมาก ตัวเลขขาดดุลงบประมาณจำนวน 1.65 แสนล้านบาท สำหรับปีงบประมาณปีหน้า (เริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 )ประกอบด้วยการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นจำนวน 1.6 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงมีการขาดดุลจากการดำเนินงานที่แท้จริงเพียง 5,000ล้านบาท ขณะที่การใช้จ่ายของรัฐวิสาหกิจก็ชะลอตัวลงด้วย และอัตราการเบิกจ่ายงบประมาณของรัฐวิสาหกิจในช่วง 10 เดือนแรกของปีงบประมาณอยู่ที่ระดับเพียง 36 % ต่ำกว่าเป้าหมายทั้งปีที่ 90 %

ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร กรรมการผู้จัดการ บล. ทิสโก้ กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนในประเทศรอโครงการลงทุนขนาดใหญ่(เมกะโปรเจ็กต์)เดินหน้า เนื่องจากมองว่าเป็นโครงการสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ขณะเดียวกันมองว่ามีสิ่งสำคัญที่เป็นตัวแปรสำคัญ คือ ความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล

สอดคล้องกับบทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล. เอเชีย พลัส ที่ระบุว่า หากโครงการเร่งด่วนด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นหลังได้รัฐบาลใหม่ไม่ว่าจะโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ทั้งรถไฟฟ้าและโครงการซื้อรับไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายใหญ่(IPP)ก็จะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นคึกคัก โดยมีหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าว ประกอบด้วย กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โดยหุ้นที่จะได้รับประโยชน์ได้แก่ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน)(บมจ.) ,บมจ.ชิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่งฯ

นอกจากนี้จะทำให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ทำธุรกิจที่อยู่อาศัย ได้ประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าอีกด้วย เพราะการมีโครงการรถไฟฟ้าทำให้เท่ากับเป็นการเปิดทำเลที่อยู่อาศัยใหม่ๆ และมีส่วนช่วยในการกระตุ้นความต้องการอีกด้วย  
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2254
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/09/07

โพสต์ที่ 289

โพสต์

ศก.ไทยพร้อมขับเคลื่อน รัฐ - เอกชนเร่งลงทุน Q4 โดย กระแสหุ้น

โฆสิต ย้ำเศรษฐกิจไทยมีความพร้อมในการขับเคลื่อนมากขึ้น โดยได้แรงหนุนจากการส่งออกการคลังจากฐานราก มั่นใจการลงทุนภาครัฐและเอกชนจะเข้ามาเสริมในไตรมาส 4 ทำให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตร้อยละ 4-4.5

นายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวปาฐกถาพิเศษ การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในสถานการณ์ปัจจุบันและการปรับตัวของภาคเอกชน ว่า เศรษฐกิจไทยในระยะต่อไปจะต้องเผชิญกับความไม่สมดุลในโครงสร้างเศรษฐกิจโลก เช่น เงินเฟ้อจีนสูงถึงร้อยละ 6 ปัญหาในสหรัฐฯทำให้ต้องเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยครั้งสำคัญ ตลอดจนเงินทุนไหลเข้าออกอย่างรวดเร็ว และปรากฏการณ์ไชน่าไพร์ซเซส หรือราคาจีน ทำให้หลายประเทศต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับจีน สหรัฐฯก็มีการปรับตัว โดยลดบุคลากรภาคการผลิตไปสู่ภาคบริการมากขึ้น

นายโฆสิต กล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ให้ความสำคัญการเติบโตทางเศรษฐกิจรองจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ดังนั้น เศรษฐกิจไทยต้องเข้มแข็งเมื่อปรับตัวได้ก็จะทะลุอุปสรรคไปสู่สภาพการแข่งขันที่รุนแรงและได้รับชัยชนะ โดยรัฐบาลนี้จะสร้างความเข้มแข็งและรักษาระดับอัตราการเติบโตที่ร้อยละ 4-4.5 ซึ่งเป็นอัตราที่ไม่ผิดปกติ อีกทั้งรัฐบาลได้พยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับประเทศ เพราะการเติบโตของประเทศตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบันการส่งออกยังเป็นแกนหลักที่ผลักดันเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ รัฐบาลได้พยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศให้กระจายไปส่วนต่างๆโดยเริ่มจากเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณปี 2550 ซึ่งเริ่มตั้งแต่ไตรมาสแรกปี 2550 จากนั้นไตรมาส 2 ปี 2550 งบประมาณภาครัฐเข้ามาเสริมช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจกับภาคส่งออกมากขึ้น จึงมั่นใจว่าทั้งปีการส่งออกของไทยยังเติบโตได้ตามเป้าหมายร้อยละ 12.5 เพราะตัวเลขการส่งออกที่ลดลงในเดือนกรกฎาคมเหลือเติบโตร้อยละ 5.9 นั้น แต่เดือนสิงหาคมกลับเติบโตเกือบร้อยละ 18

ขณะที่ด้านการคลังได้รับการปรับปรุงให้มีการกระจายการใช้เงินมากขึ้น ซึ่งตั้งแต่ไตรมาส 3 15 กันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลได้ขับเคลื่อนด้านการคลังไปสู่ 70,000 ชุมชน และเป็นไตรมาสแรกที่มีการใช้จ่ายตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข 2,800 ล้านบาท และการพัฒนาหมู่บ้านตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอีก 2,000 ล้านบาท รวมเป็น 5,000 ล้านบาท ที่จะใช้จ่ายสู่ฐานราก และได้เริ่มขับเคลื่อนไปได้อีกส่วนคือ การขับเคลื่อนงบประมาณผ่านองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ในไตรมาส 3 รวม 100,000 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 55,000 ล้านบาท ดังนั้น เศรษฐกิจไทยขณะนี้ นอกจากจะมีการส่งออกเป็นแกนหลักแล้วยังมีการคลังมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในลักษณะกระจายมากขึ้นและมาจากฐานราก

นายโฆสิต กล่าวด้วยว่า ด้านการลงทุนของเอกชนจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งจะเห็นได้จากการนำเข้าสินค้าทุนตัวเลขจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากที่ผ่านมาเคยติดลบ ซึ่งเป็นเครื่องชี้ว่าการลงทุนภาคเอกชนเริ่มแล้ว นอกจากนี้ ทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ยังอนุมัติโครงการลงทุนจนถึงเดือนสิงหาคมประมาณ 500,000 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมาที่ 260,000 ล้านบาท โดย 8 เดือนแรกปีนี้นักลงทุนญี่ปุ่นขอส่งเสริมลงทุน 89,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2549 มีจำนวน 66,000 ล้านบาท นักลงทุนสหรัฐฯมียอดขอส่งเสริมการลงทุนปีนี้ 76,000 ล้านบาท จากปีที่แล้ว 25,000 ล้านบาท ยุโรป 27,000 ล้านบาท ปี 2549 จำนวน 19,000 ล้านบาท จึงเห็นว่าความพร้อมการลงทุนของภาคเอกชนมีมากขึ้น และยังมีความพร้อมลงทุนโครงการปิโตรเคมีระยะ 3 ที่มาบตาพุด โดยรัฐบาลได้อนุมัติแผนดูแลสิ่งแวดล้อมที่มีการลดมลพิษพร้อมกับมีการลงทุนเพิ่ม หากภาคเอกชนลดมลพิษได้ร้อยละ 100 จะขยายงานได้อีกร้อยละ 80 ดังนั้น ยิ่งเพิ่มการลงทุน มลพิษก็จะมีสัดส่วนลดลง ซึ่งจนถึงวันที่ 17 กันยายน 2550 มีผู้ที่ได้รับอนุมัติแผนศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) ให้ลงทุนต่อไปจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวม 60,000 ล้านบาท ใน 11 โครงการ และยังมีโครงการที่รอการอนุมัติอีก 17 โครงการ รวม 139,000 ล้านบาท จาก 17 โครงการ โดย 5 โครงการได้รับอนุมัติแล้ว อีก 10 โครงการรอการยืนยันการลดมลพิษจากเอกชน ส่วนอีก 2 รายอยู่ระหว่างหาเทคโนโลยีลดมลพิษยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งรัฐบาลได้ประสานกับเครือซิเมนต์ไทยและ ปตท.ให้ดำเนินการลงทุนที่มาบตาพุด 10,000-20,000 ล้านบาท เริ่มไตรมาส 4 ปีนี้
http://www.settrade.com/S17_ContentDisp ... okerId=IPO
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news24/09/07

โพสต์ที่ 290

โพสต์

สภาพัฒน์ปรับประมาณการน้ำมันใหม่คำนวณจีดีพีหลังราคาพุ่ง

24 กันยายน พ.ศ. 2550 15:46:00

สศช.เตรียมปรับประมาณการณ์ราคาน้ำมันทั้งปีใหม่ 65-70 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังน้ำมันดิบดูไบทะยานแตะ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เชื่ออัตราเงินเฟ้อทั้งปียังอยู่ที่ระดับ 2-2.5%

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.อำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะล่าสุดราคาน้ำมันดิบดูไบไต่ระดับ 75.31 ดอลลาสหรัฐต่อบาร์เรล ว่า ราคาน้ำมันดิบดูไบตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายนปีนี้อยู่ที่ระดับเฉลี่ย 64 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ซึ่งยังอยู่ในสมมุติฐานราคาน้ำมันที่สศช.คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีจะอยู่ที่ 60-65 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่ยังต้องจับตามองต่อไป

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เช่น เดือนสิงหาคมที่ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 67 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่ล่าสุดเดือนกันยายนราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 74 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า สศช.จะปรับสมมุติฐานระดับราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีไปอยู่ที่ 65-70 ดอลลาร์สหรัฐ ในการประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 3 ในเดือนธันวาคมนี้

ดร.อำพน ระบุว่า แม้ราคาน้ำราคาน้ำมันจะปรับตัวสูงขึ้น จะส่งผลกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อในประเทศบ้าง แต่เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อทั้งปีไม่น่าจะเกิน 2-2.5% เนื่องจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันเมื่อทอนกลับมาในรูปเงินบาทนั้น ไม่ได้ทำให้ราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศสูงเท่าปีที่แล้ว ประกอบการราคาก๊าซธรรมชาติไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน ทำให้ไม่มีผลกระทบต่ออัตราค่าไฟฟ้า ขณะที่สถานการณ์การบริโภคในประเทศยังอยู่ในภาวะชะลอตัว

ดร.อำพน กล่าวว่า ตนคงไม่สามารถคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันได้อย่างถูกต้อง เพราะการขึ้นลงของราคาน้ำมันมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะปัจจัยจากการเก็งกำไร อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้มาจากหลายปัจจัย เช่น ผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน เศรษฐกิจของสหรัฐและจีนยังขยายตัวได้ดีอยู่ ปริมาณสต็อกน้ำมันสำรองของสหรัฐลดต่ำลงกว่าปกติ และการเข้าสู่ฤดูหนาวที่ทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น

ในปีนี้คงยังจะไม่เห็นราคาน้ำมันในตลาดโลกแต่ระดับ 100 ดอลลาร์สหรัฐแน่นอน แต่ปีหน้าไม่แน่อาจจะได้เห็นก็ได้ โดยมีสาเหตุหลักๆน่าจากปัจจัยค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงดร.อำพน ระบุ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/09/2 ... sid=185426
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news25/09/07

โพสต์ที่ 291

โพสต์

ฝรั่งหวนซื้อหุ้นตลาดเกิดใหม่
ดักเลือกตั้งเน้นพี/อี-บุ๊คแวลูต่ำ


นับถอยหลัง  3 เดือนก่อนเลือกตั้ง ตลาดหุ้นมีแววร้อนระอุก่อนอีกครั้ง หลังนักลงทุนต่างชาติโดดเก็บหุ้นติดต่อกัน 4 วันทำการ ฟันยอดซื้อสุทธิ  5,393  ล้านบาท ส่วนบล.เคจีไอประเมินปี 2551 นักลงทุนต่างแห่ลงทุนตลาดหุ้นเกิดใหม่รวมทั้งตลาดหุ้นไทยเพียบ ด้านบล.เอเซียพลัสแนะกลยุทธ์เฟ้นหุ้นเด่น น่าลงทุนดักเลือกตั้งพอมีอัพไซด์ทำกำไรได้  เน้นคุณสมบัติ  พี/อี  ต่ำกว่า 8 เท่า  ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวร์ลู ชู TCAP-THAI-NOBLE      

จากการสำรวจตัวซื้อขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติพบว่า มีแรงซื้อต่อเนื่องตั้งแต่สัปดาห์ก่อนติดต่อกันเป็นวันที่ 4 โดยมีแรงซื้อสุทธิรวม 5,393.81 ล้านบาท ล่าสุดวานนี้ (24 ก.ย.)  นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธ์สูงสุดถึง 2,151.79 ล้านบาท โดยกลุ่มที่มีแรงซื้อสูงสุดยังคงเป็นกลุ่มพลังงาน ธนาคารพาณิชย์ และอสังหาริมทรัพย์ เพราะเป็นกลุ่มพื้นฐานการเติบโตที่โดดเด่น และมีผลตอบแทนที่ดี    

บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า นักลงทุนต่างประเทศยังคงมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยว่าเป็นตลาดมีการปรับตัวช้ากว่าตลาดหุ้นอื่นๆ โดยนักลงทุนต่างชาติจะเข้าซื้อหุ้นอย่างจริงจังเมื่อหุ้นตลาดอื่นๆ ปรับขึ้นไปแล้ว ทั้งนี้ ณ ปัจจุบันสถานการณ์ก็เป็นเช่นนั้น โดยมองว่าดัชนี MSCI Thailand ในปัจจุบันมีการซื้อขายที่มีส่วนลดถึง 44% จากดัชนี MSCI EMEA ซึ่งเป็นตัวแทนของตลาดหุ้นเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก จึงถือว่ามีส่วนลดมากเทียบกับส่วนลดเฉลี่ยที่ 36%      

ทั้งนี้มองว่าประเด็นนี้จะดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในหุ้นไทย ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มปี 2551 ที่ดีกว่าปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ รวมทั้งผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ดังนั้นประเมินว่าหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นเป้าหมายการลงทุนของต่างชาติ น่าจะได้รับความสนใจ      

ดังนั้นฝ่ายวิจัยจึงแนะให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน เช่น ซื้อ PTT, TOP กลุ่มธนาคาร ซื้อ KBANK, BAY, SCB รวมทั้งกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ซื้อ LH, ITD, AP, PS

นายภูวดล ลาภอุดมสุข ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วง 3 เดือนข้างหน้าทิศทางการลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะกลับมาคึกคักมากขึ้น เพราะใกล้ถึงวันเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคมมากขึ้น ซึ่งปกติแล้วก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือนจะมีแรงซื้อสุทธิสูงขึ้น โดยเฉพาะในหุ้นที่มีค่าพี/อี ต่ำ และราคาหุ้นยังต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี  

ทั้งนี้มองว่าหุ้นที่มีระดับค่าพี/อี  ต่ำกว่า 8 เท่า และราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี 1 เท่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั้งชาวไทย และต่างชาติ สำหรับหุ้นที่มีระดับค่าพี/อี ต่ำกว่า 8 เท่า และราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี คือ NOBLE, SVI, GSTEEL, STA, TCAP, THAI และ KK    

อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยได้คัดหุ้นที่น่าสนใจลงทุนที่สุดจากทั้ง 7 ตัวดังกล่าวเหลือเพียง 3 ตัว คือ TCAP ซึ่งมีระดับค่าพี/อี ที่ระดับ 6.97 เท่า และมีมูลค่าทางบัญชี 0.83 บาท และมีอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลสูง 6.54% นอกจากนี้ TCAP ยังมีกลุ่มพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ซึ่งในอนาคตจะเอื้อประโยชน์ด้านของโนฮาวของ TCAP ให้โดดเด่นมากขึ้น แนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมาย 21.85 บาท      

ส่วน THAI มีระดับค่าพี/อี  ที่ 7.90 เท่า และมีมูลค่าทางบัญชี 0.93 บาท มีอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผล 3.79% มองว่าไตรมาส 4/2550 จะเริ่มเข้าสูฤดูกาลไฮซีซั่นของการท่องเทียว ซึ่งจะทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานโดดเด่นขึ้นมาอีกครั้ง แนะนำ ซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 58.21 บาท    

ส่วน NOBLE มีค่าพี/อี ที่ 5.79 เท่า และมีมูลค่าทางบัญชี 0.64 บาท และมีอัตราผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลสูงถึง 4.66% โดยมองว่าในครึ่งปีหลังของปี 2550 แนวโน้มผลการดำเนินงานจะสามารถฟื้นตัวดีขึ้น โดยมียอดขายที่รอรับรู้สูงถึง 4,000 ล้านบาท จึงแนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมาย 5.59 บาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 895&ch=213
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news25/09/07

โพสต์ที่ 292

โพสต์

หนี้สาธารณะสิ้นก.ค.อยู่ที่ 37.71%

โดย Post Digital 25 กันยายน 2550 13:15 น.

กระทรวงการคลัง แถลงว่า ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 ก.ค.50 มีจำนวน 3,168,897 ล้านบาท หรือร้อยละ 37.71 ของ GDP ลดลงจากร้อยละ 37.72 ณ สิ้น มิ.ย.50

ยอดหนี้สาธารณะคงค้างดังกล่าว เป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง 2,035,057 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 900,853 ล้านบาท หนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 190,550 ล้านบาท และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ 40,437 ล้านบาท

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน หนี้สาธารณะลดลง 2,529 ล้านบาท โดยหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรงเพิ่มขึ้น 3,482 ล้านบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 8,839 ล้านบาท และหนี้ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ และหนี้หน่วยงานอื่นของรัฐ ลดลง 9,571 ล้านบาท และ 5,279 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลดลงของหนี้สาธารณะเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้านั้น เนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูฯ ชำระคืนเงินกู้จากตลาดซื้อคืนสุทธิและได้รับเงินชดเชยความเสียหายจากรัฐบาลรวม 9,571 ล้านบาท และกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติได้ชำระคืนเงินกู้ 5,279 ล้านบาท

หนี้สาธารณะดังกล่าว ยังแยกออกเป็นหนี้ต่างประเทศ 409,214 ล้านบาท หรือร้อยละ 12.92 และหนี้ในประเทศ 2,757,683 ล้านบาท หรือร้อยละ 87.08 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้างตามลำดับ และเป็นหนี้ระยะยาว 2,788,902 ล้านบาท หรือร้อยละ 88.06 และหนี้ระยะสั้น 377,995 ล้านบาท หรือร้อยละ 11.94 ของยอดหนี้สาธารณะคงค้างตามลำดับ
http://www.posttoday.com/breakingnews.php?id=193568
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/09/07

โพสต์ที่ 293

โพสต์

ธปท.ไม่ยี่หระ ทุนนอกทะลัก

โพสต์ทูเดย์ ธปท.ยอมรับเฟด ลดดอกเบี้ยทำให้เงินทุนไหลเข้าเพิ่ม แต่ไม่ห่วงเงินบาทแข็ง แนะเอกชนลุยนำเข้า


นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ขณะนี้มีเงินลงทุนโดยตรง (เอฟดีไอ) ไหลเข้ามาไทยมากขึ้น ซึ่งมีการไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีแล้ว เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานประเทศไทยดี

เงินทุนไหลเข้าย่อมมีผลกระทบบ้างในบางสาขา แต่บางสาขาก็ยังแข่งขันได้ ซึ่ง ธปท.มีการเข้าไปดูแลค่าเงินบาทอยู่แล้ว ตามแต่สถานการณ์ ตามความจำเป็นเพื่อให้ค่าเงินไม่ผันผวนและมีเสถียรภาพ นางธาริษา กล่าว

นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. กล่าวยอมรับว่า ภายหลังที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดดอกเบี้ยลง 0.5% ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามาไทยเพิ่มขึ้นมาบ้างเล็กน้อย โดยเข้ามาทางตลาดหุ้น ส่วนปริมาณเงินทุนไหลเข้ามีมากน้อยแค่ไหนสามารถดูได้จากปริมาณการซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแจ้งข้อมูลการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติล่าสุดวันที่ 24 ก.ย. มียอดซื้อสุทธิ 2.15 พันล้านบาท ส่วนยอดซื้อสะสมสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ปีนี้ ถึงปัจจุบันมีถึง 9.39 หมื่นล้านบาทแล้ว

นางสุชาดา กิระกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธปท. กล่าวว่า หลังจากเฟด ปรับลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นลง 0.50% ทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นย่านเอเชียรวมทั้งตลาดหุ้นไทย และทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาเคลื่อนไหวที่ระดับ 34.27 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เหมือนกับเงินสกุลต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย แต่ไม่มีกระทบต่อเสถียรภาพของค่าเงินบาท

อยากให้เอกชนใช้โอกาสที่เงินบาทแข็งค่า และอัตราดอกเบี้ยอยู่ใน ระดับต่ำ นำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้า เนื่องจากจะเป็นการช่วยลดต้นทุนได้ โดยปัจจุบันกำลังการผลิตของไทยอยู่ในระดับ 70-80% ถือว่าสูงมาก ผู้ประกอบการควรจะขยายกำลังการผลิต รองรับกับการผลิตเพื่อการส่งออกที่ยังขยายตัวได้ดี และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ นางสุชาดา กล่าว

สำหรับกรณีที่เอกชนเสนอให้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% นั้น นางสุชาดา กล่าวว่า กนง.จะมีข้อมูลใหม่ในเดือน ส.ค. ทั้งการลงทุน การบริโภค และการส่งออก มาประกอบการพิจารณาในการประชุมวันที่ 10 ต.ค.นี้ ซึ่งจะต้องให้พิจารณาใน 2 ประเด็นหลักคือ อุปสงค์ในประเทศที่ยังคงไม่ฟื้นตัว ซึ่งจะเป็นแรงกดดันต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

อีกประเด็นหนึ่งคือ ภาวะเงินเฟ้อที่มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง แม้เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ 0-3.5% กนง.จะต้องมองภาวะเศรษฐกิจข้างหน้าว่า ประเด็นใดจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน

น.ส.นิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า ค่าเงินบาทวันที่ 25 ก.ย. ยังนิ่งอยู่ แม้ว่าในช่วง 2-3 วันก่อนเงินเหรียญสหรัฐจะอ่อนค่าลง แต่ค่าเงินบาทยังยืนได้ ส่วนเรื่องที่เฟดปรับดอกเบี้ยก็ไม่ทำให้ไทยประสบภาวะเงินทุนไหลเข้า และเชื่อว่าเงินบาทไม่ได้มีแนวโน้มแข็งค่ามาก เนื่องจาก ธปท.ยังมีมาตรการกันสำรองเงินทุนไหลเข้า 30% รองรับอยู่
มาตรการ 30% ไม่ควร ยกเลิกตอนนี้ เพราะไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม น.ส.นิตยา กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=193644
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/09/07

โพสต์ที่ 294

โพสต์

รัฐวิสาหกิจส่อกระอักพิษพรบ.แข่งขันฯ

โพสต์ทูเดย์ ครม.ไฟเขียวแก้ พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า ชี้ 3 รัฐวิสาหกิจใหญ่เข้าข่าย ทั้ง อสมท กรุงไทย และการบินไทย


นายโชติชัย สุวรรณาภรณ์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติร่างแก้ไข พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า พ.ศ.2542 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ โดยบังคับให้รัฐวิสาหกิจซึ่งประกอบธุรกิจแข่งขันกับภาคเอกชนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย จากเดิมที่รัฐวิสาหกิจทุกประเภทได้รับการยกเว้นทั้งหมด

นายโชติชัย กล่าวว่า ที่ผ่านมาการบังคับใช้กฎหมายอยู่บนพื้นฐานของความไม่เสมอภาคและเท่าเทียมกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี เนื่องจากมีรัฐวิสาหกิจหลายแห่งทำธุรกิจแข่งขันกับเอกชน ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องแก้ไขเพิ่มเติม โดยกระทรวงการคลังเห็นชอบด้วยแล้ว

ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อ พ.ร.บ.ดังกล่าวเข้าสู่การตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้วจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ใน เร็วๆ นี้

นายโชติชัย กล่าวว่า ขณะเดียวกันได้มีการตั้งข้อสังเกตถึงข้อยกเว้นการใช้บังคับ พ.ร.บ.การแข่งขันทางการค้า กับรัฐวิสาหกิจที่มิได้ประกอบธุรกิจแข่งขันกับเอกชน ว่าจะครอบคลุม รัฐวิสาหกิจประเภทใดและกิจการใด และอาจก่อให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายที่ต้องวินิจฉัยเป็นรายกรณี

ควรที่จะดำเนินการรับฟังความคิดเห็นของรัฐวิสาหกิจในฐานะผู้มีส่วนได้เสียโดยตรง เพื่อให้มีการพิจารณาผลกระทบและขอบเขตการบังคับใช้โดยรอบคอบ และเพื่อให้ครบขั้นตอนการเสนอกฎหมายต่อไป นายโชติชัย กล่าว

ด้านแหล่งข่าวกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ประกอบธุรกิจแข่งขันกับเอกชนในปัจจุบัน ได้แก่ องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท) ธนาคารกรุงไทย และบริษัท การบินไทย เป็นต้น

ทั้งนี้ ตาม พ.ร.บ.แข่งขันทางการค้า กำหนดว่าธุรกิจที่มีอำนาจเหนือตลาดหรือครองส่วนแบ่งตลาดสูง จะไม่สามารถตั้งราคาขายสินค้าหรือกำหนดเงื่อนไขในการขายโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งภาคเอกชนมีสิทธิ์ฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=193641
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news26/09/07

โพสต์ที่ 295

โพสต์

ไทยได้เลื่อนอันดับประเทศที่เหมาะสมสำหรับทำธุรกิจมากที่สุดในโลก จากอันดับ 17 ขึ้นมา 15 ของโลก

Posted on Wednesday, September 26, 2007

รายงาน หัวข้อ Doing Business 2008 เพื่อนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับความคิดเห็นของนักธุรกิจทั่วโลก ที่มีต่อความน่าสนใจในการทำธุรกิจในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจำนวน 178 ชาติ ซึ่งธนาคารโลก เป็นผู้จัดทำ โดยกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาจากดัชนีชี้วัดจำนวน 10 ด้าน เช่น กฎระเบียบของแต่ละชาติในการดำเนินธุรกิจ กรอบเวลา การใช้งบประมาณเพื่อการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปตามระเบียบที่ออกโดยรัฐ กระบวนการด้านภาษี ไปจนถึงการดำเนินการค้าและการปิดกิจการ

ผลสำรวจล่าสุด ไทยได้รับการจัดอันดับดีขึ้นจากอันดับที่ 17 ในปีที่ผ่านมา ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 15 แต่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกแล้ว ไทยยังเป็นรองอีก 3 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง และญี่ปุ่น

ขณะที่ น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก ประจำประเทศไทย เปิดเผยถึงสาเหตุที่ทำให้ไทยได้รับการขยับอันดับครั้งนี้ ว่า มาจากการปรับปรุงเรื่องการลดเวลาและขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและนำเข้าเป็นสำคัญ โดยเฉพาะการที่รัฐบาลมีการนำระบบ E?Customs มาใช้เพื่อลดเวลา ค่าใช้จ่าย และเอกสาร ซึ่งทำให้การค้าระหว่างประเทศดีขึ้น ช่วยหนุนให้อันดับการอำนวยความสะดวกการค้าระหว่างประเทศอยู่ในลำดับที่ 50 จากลำดับที่ 103 เมื่อปีที่แล้ว

สำหรับจุด่ออนของไทย ได้รับการชี้แจงว่า เกิดจากการปฏิรูปทางธุรกิจมีความล่าช้า สังเกตได้จากดัชนีหลายตัว เช่น ดัชนีที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งธุรกิจใหม่ การจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ การปิดธุรกิจ และข้อมูลเครดิต ซึ่งอันดับของประเทศไทยตกลงมา เนื่องจากประเทศอื่น ๆ ได้เร่งพัฒนาการปฏิรูปและปรับปรุงดีกว่า ซึ่งไทยจำเป็นต้องเร่งปรับปรุง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการจัดเก็บภาษีที่อันดับของไทย หล่นจากอันดับ 57 มาอยู่ที่อันดับ 89 เนื่องจากเวลาในการที่บริษัทเอกชนเสียภาษีนิติบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 104 ชั่วโมง เป็น 264 ชั่วโมง

มันนี่ ชาเนล - วรนนท์ อัศวพิริยานนท์ - 02- 229 -2000 ต่อ 2616
อีเมล - [email protected]

http://www.moneychannel.co.th/BreakingN ... fault.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/09/07

โพสต์ที่ 296

โพสต์

ขี่กระทิงจัดพอร์ตเป้า900จุด
โบรกไทย-เทศร่วมจัดพอร์ตสู้ศึกเลือกตั้ง ประเมินสัปดาห์นี้เหมาะสมช้อปปิ้งหุ้นเข้าพอร์ต ก่อนเตรียมแรลลี่ยาว 900 จุดรับวันลงคะแนนเลือกรัฐบาลใหม่  23 ธันวาคมนี้ เริ่มต้นด้วยโบรกต่างชาติบล.ทีเอ็มบี แมควอรี่ แนะจัดพอร์ตตามสไตล์การลงทุน 5 รูปแบบ จัดหุ้นเด็ดเข้าพอร์ต 10 ตัว ทั้งพอร์ตหุ้นบิ๊กแคป   พอร์ตมีอัพไซต์ห่างเป้าหมาย  พอร์ตไฮเบต้า  พอร์ตค่าพี/อี ต่ำ และพอร์ตที่ให้เงินปันผลสูง  ส่วนบล.กรุงศรีอยุธยา มองทางตลาดหุ้นเริ่มออกสตารท์ลองเครื่องในช่วงเดือนกันยายนหรืออาจล่าออกไปเป็นเดือนตุลาคมนี้ กลยุทธ์เด็ดให้ตั้งใจสะสม 60 วันก่อนเลือกตั้ง มีลุ้นได้ผลตอบแทน 8-9% จากเป้าหมายดัชนี 880-900 จุด

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทีเอ็มบี แมคควอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวก จึงถือเป็นจังหวะและเวลาที่ดีในการเข้าลงทุนในหุ้น โดยจะมีผลตอบแทนเฉลี่ยที่ประมาณ 9%  

เราเชื่อว่าจากปัจจัยสนับสนุนต่างๆ นั้นจะทำให้เกิดการแรลลี่ อีกครั้งในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงเดือนธันวามคมนี้ ซึ่งจากประวัติศาสต์แสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยมักจะปรับตัวขึ้นก่อนการเลือกตั้งทั่วไปและตลาดหุ้นมักจะให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งนักวิเคราะห์กล่าว

จัดพอร์ตตามสไตล์    

สำหรับพอร์ตการลงทุนฝ่ายวิจัยได้แนะนำและจัดพอร์ตตามเป้าหมายการลงทุนของนักลงทุน โดยแบ่งออกเป็น 5 แบบ และจะเลือกหุ้นเด่น 10 ตัว  
คือพอร์ตหุ้นบิ๊กแคป ซึ่งที่แนะนำคือหุ้น PTT  , PTTEP  , BBL  , KBANK ,  SCC , ADVANC , SCB , KTB , BANPU และ AOT

ส่วนพอร์ตที่มีอัพไซต์จากราคาเป้าหมายมากที่สุด เช่น SATTEL  , DTAC , HANA  , TCAP , KTB AOT , KK , TRUE , IRPC และ SCC      

ส่วนพอร์ตไฮเบต้า (High Beta Financial) แนะนำหุ้น  ASP , PHATRA  , KEST , LH  , AP , PS  , QH SCB , KTB และ KBANK    

ส่วนพอร์ตที่ค่าพี/อี ต่ำ แนะหุ้น SATTEL , HANA  , TCAP , KTB , KK , PTT , IRPC , TOP , SCC และ  DTAC  และพอร์ตที่ให้เงินปันผลสูง เช่นหุ้น  KK  , ADVANC  , HANA  , TISCO , MCOT , TUF , SCC , TCAP , GLOW และ TOP

เราได้จัดพอร์ตการลงทุน 5 แบบ โดยแต่ละพอร์ตนั้นก็มีปัจจัยการลงทุนที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหุ้นกลุ่มธนาคาร บริษัทหลักทรัพย์ และอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นหุ้นที่มีเบต้าสูง ได้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงสุดในช่วง 3 เดือนก่อนการเลือกตั้งที่ 12-14% เมื่อเทียบกับผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดที่ 9% และจะได้รับผลดีจากมูลค่าการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นนักวิเคราะห์กล่าว

เดือนนี้เริ่มออกสตารท์

นายกิตติ เหมนิลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการประเมินคาดว่าตลาดหุ้นไทยจะค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน หรือต้นตุลาคมนี้เป็นต้นไป เพื่อตอบรับกับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 นี้ซึ่งจากสถิติการเลือกตั้งที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็ปรับตัวสูงขึ้น      

เราคาดว่าตลาดหุ้นจะค่อยๆ ปรับสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน หรือ ต้นเดือนตุลาคม  ตอบรับกับการเลือกตั้งช่วงปลายปี ในการเลือกตั้งตั้งแต่ปี 2531-ปัจจุบัน ทั้ง 8 ครั้ง โดยเฉลี่ยตลาดหุ้นจะปรับสูงขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น โดยจะมีเพียงการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวในปี 2539 ที่ตลาดหุ้นปรับลดลงทั้งช่วงก่อนการเลือกตั้ง และหลังการเลือกตั้ง นายกิตติกล่าว    

สะสมหุ้น60วันก่อนเลือกตั้ง    

นอกจากนี้โดยเฉลี่ยแล้วการเข้าสะสมหุ้นก่อนการเลือกตั้งประมาณ 60 วันทำการ ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนสูงที่สุด แต่อย่างไรก็ตามหลังจากการเลือกตั้งไปแล้วส่วนใหญ่ตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวลดลงเช่นกัน      

ดังนั้นการเข้าซื้อหุ้นก่อนการเลือกตั้งประมาณ 60 วันทำการจะให้อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 8% ซึ่งการปรับลดลงของดัชนีถือเป็นโอกาสในการเข้าสะสมหุ้นเพื่อรอการปรับสูงขึ้นก่อนการเลือกตั้ง โดยมีเป้าหมายก่อนการเลือกตั้งที่ 880 900 จุด โดยแนะให้นักลงทุนหาจังหวะเข้าซื้อหุ้นในช่วงปลายเดือนนี้

โดยระยะกลางถึงยาว คงเน้นกลุ่มหุ้น Domestic Play เป็นหลัก เช่น AP, LPN, QH, CPF และ BEC เป็นต้น  
ส่วนหุ้นใหญ่พื้นฐานดีแนะนำ เช่นหุ้น  PTT , IRPC , TOP และ RRC  และ
หุ้นที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่นหุ้น  CCET และ BLS
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 910&ch=225
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/09/07

โพสต์ที่ 297

โพสต์

คลังปรับGDPใหม่พ.ย.นี้

วันที่ 27 กันยายน 2550

สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เตรียมปรับประมาณการเศรษฐกิจปี 2550 ใหม่เดือนพฤศจิกายน โดยอัตราเติบโตจะไม่ต่ำกว่า 4%

นางพรรณี สถาวโรดม ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง หรือสศค. เปิดเผยว่า ในเดือนพฤศจิกายนนี้ สศค. จะปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2550 ใหม่ โดยเชื่อว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะไม่ต่ำกว่าที่เคยประมาณการไว้เดิมร้อยละ 4 เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างเริ่มดีขึ้น ทั้งการส่งออก การบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชน ที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และผลสำรวจของสถาบันต่าง ๆ ระบุว่า นักลงทุนยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจมหภาค สศค. กล่าวว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยเดือนสิงหาคม ได้รับแรงหนุนจากการส่งออกที่ขยายตัวทั้งด้านมูลค่าและปริมาณ โดยมูลค่าขยายตัวถึงร้อยละ 17.9 ส่วนปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 13.1 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 2.6 โดยการส่งออกขยายตัวทุกกลุ่มสินค้า ทั้งอิเล็กทรอนิกส์ ที่ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 12.4 เครื่องใช้ไฟฟ้าขยายตัวร้อยละ 19.6 ซึ่งมาจากการส่งออกเครื่องปรับอากาศที่มีจำนวนมาก อุตสาหกรรมการเกษตรที่ขยายตัวร้อยละ 17.8 หรือสินค้าเกษตรกรรม ขยายตัวร้อยละ 10.6 จากที่เดือนก่อนหน้าติดลบร้อยละ 4.2 เนื่องจากการเร่งขยายตลาดส่งออกใหม่ ๆ เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย จีน และอาเซียน ทดแทนการส่งออกไปยังสหรัฐที่มีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ขณะที่การนำเข้าก็ขยายตัวทั้งด้านมูลค่าและปริมาณ โดยเฉพาะปริมาณขยายตัวถึงร้อยละ 10.1 ซึ่งสินค้านำเข้าที่สำคัญคือ วัตถุดิบที่ขยายตัวต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่ายังมีการผลิตสินค้าในประเทศรวมถึงสินค้าทุนและเครื่องจักร ขยายตัวร้อยละ 7.1 สินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 25 เชื้อเพลิงขยายตัวร้อยละ 11.4

นอกจากนี้ การบริโภคภายในประเทศก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว โดยเฉพาะการบริโภคในเมือง เห็นได้จากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขยายตัวร้อยละ 5 ขณะที่ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งขยายตัวร้อยละ 4.7 และการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเติบโตร้อยละ 28 ส่วนการบริโภคในต่างจังหวัดยังไม่ดีขึ้น เห็นได้จากปริมาณการขายรถจักรยานยนต์ที่ติดลบร้อยละ 23.5 ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่การบริโภคในเมืองจะฟื้นตัวก่อน เช่นเดียวกับการลงทุนที่มีสัญญาณชัดเจนว่าปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะดัชนีเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกอยู่ในระดับ 76 หรือรายได้จากภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ที่ขยายตัวร้อยละ 3.8 สูงกว่าเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ที่ขยายตัวร้อยละ 1.8

นายสมชัย สัจจพงษ์ ที่ปรึกษาการคลัง กล่าวว่า ในช่วง 11 เดือนแรกปีงบประมาณ 2550 รัฐบาลได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจแล้วกว่า 1.56 ล้านล้านบาท และเชื่อว่าในเดือนกันยายน ส่วนราชการจะเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามเป้าหมายที่ร้อยละ 93 แสดงให้เห็นว่าภาคการคลังได้ทำหน้าที่เพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และในปีงบประมาณ 2551 รัฐบาลได้ตั้งงบประมาณขาดดุลอีก 165,000 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายการเบิกจ่ายภาครัฐไว้ที่ร้อยละ 94 ถือเป็นการส่งสัญญาณให้เห็นชัดเจนว่า ภาครัฐบาลยังคงทำหน้าที่หลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดให้ภาคเอกชนกลับเข้ามาสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง.
http://www.posttoday.com/topstories.php?id=194037
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/09/07

โพสต์ที่ 298

โพสต์

พิษบาทแข็งค่าจีดีพีอุตสาหกรรมวืดอานิสงส์สินค้าหลักดันตลาดโตต่อ  
 
โดย เดลินิวส์
วัน เสาร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550 11:50 น.

นางอรรชกา สีบุญเรือง บริมเบิล ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรม คาดว่าทั้งปีนี้จะเติบโตที่ 4.5-4.7% ต่ำกว่าประมาณการตั้งไว้ทั้งปีที่ระดับ 5% ส่วนไตรมาส 3 ขยายตัว 4.6% และคาดว่าไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 4.8% ปัจจัยที่ต้องระมัดระวัง คือ ค่าเงินบาท แนวโน้มการส่งออกไปตลาดสหรัฐ การลงทุนและการบริโภคในประเทศ
อย่างไรก็ตามในช่วง 8 เดือน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมยังขยายตัวที่ระดับ 166.77 เพิ่มขึ้น 6% คาดว่าทั้งปีจะขยายตัว 6.2% เพิ่มจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวที่ 5.8% เพราะในไตรมาส 3 ภาคอุตสาหกรรมหลัก ๆ ยังเติบโตได้ดี โดยเฉพาะยานยนต์ ฮาร์ดดิสก์ ผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นว่าไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบ ทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ปัญหาสินเชื่อที่อยู่อาศัยด้อยคุณภาพ (ซับไพร์ม) และเงินบาทแข็งค่า

สำหรับปีนี้กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าประมาณการผลิตเพิ่มขึ้น 3-5% มูลค่าส่งออกเมื่อคิดเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐจะเพิ่มขึ้น 10% เพราะการส่งออกในตลาดสหภาพยุโรป (อียู) ดีขึ้น โดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ และมีหลายประเทศหันมาซื้อผลิตภัณฑ์จากไทยมากขึ้นจากเดิมซื้อจากจีนและประสบปัญหาเรื่องคุณภาพสินค้า

ด้านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปีนี้คาดว่าการผลิตเพิ่มขึ้น 18% ส่วนมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 11% เนื่องจากฮาร์ดดิสก์และไอซีที่เติบโตได้สูงในทุกตลาดยานยนต์ เป้าหมายการผลิตอยู่ที่ 1.25 ล้านคัน การผลิตเพิ่มขึ้น 5.21% และมูลค่าการส่งออกจะเติบโต 15.78% นอกจากนี้ได้ประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมัน คาดว่าคงไม่ปรับขึ้นไปถึงบาร์เรลละ 100 ดอลลาร์สหรัฐ เพราะไม่มีปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการหยุดชะงักของโรงกลั่นน้ำมัน
http://news.sanook.com/economic/economic_188112.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/09/07

โพสต์ที่ 299

โพสต์

ธปท.ปลื้มบริโภค-ลงทุนฟื้น  

โดย เดลินิวส์
วัน เสาร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550 11:50 น.

นางอมรา ศรีพยัคฆ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงภาวะเศรษฐกิจเดือน ส.ค. 50 ว่า ดีขึ้นจากเดือน ก.ค. ในทุกด้าน โดยดัชนีการบริโภคภาคเอกชนสูงขึ้นเกือบทุกตัว และมีแนวโน้มขาขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 แล้ว ส่วนดัชนีการลงทุนภาคเอกชน เดือน ส.ค. เทียบระยะเดียวกันของปีก่อน หดตัวน้อยลง ระดับดัชนีปรับตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 สอดคล้องกับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือน ส.ค. อยู่ที่ 43.4 เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ค. อยู่ที่ 40.7 เพราะการผลิตดีขึ้น ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ 50.2 ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่า 50 ที่หมายถึงความเชื่อมั่นทางธุรกิจทรงตัว ครั้งแรกในรอบ 6 เดือน หลังจากที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 หรือความเชื่อมั่นทางธุรกิจแย่ลงมานาน
การลงทุน กับการบริโภค 2 เดือนในไตรมาสที่ 3 ดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เร่งตัวเกินไป เราผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วเมื่อไตรมาสแรก ตอนนี้มีแนวโน้มที่ดี แต่ไม่ได้มากกว่าที่เราคาดการณ์ไว้ เพราะเราเคยคาดการณ์ไว้แล้วว่า ไตรมาสที่ 2 และ 3 การบริโภคกับการลงทุนน่าจะเริ่มปรับตัวขึ้น การที่เศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวได้ 4-5% ตามที่เราคาดไว้ก็ยังเป็นไปได้อยู่

ทางด้านการท่องเที่ยวกลับมาขยายตัวได้ หลังจากที่เคยหดตัวไป 2 เดือนก่อนหน้า โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามา 1.23 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1% มีอัตราการเข้าพัก 59.2% สูงกว่าเดือนก่อน ซึ่งอยู่ที่ 57% เนื่องจากอัตราการเข้าพักในภาคเหนือดีขึ้น และส่วนหนึ่งยังเป็นผลบวกจากการที่ไทยจัดกีฬามหาวิทยาลัยโลกวันที่ 8-18 ส.ค. ด้วย ขณะที่ภาคเกษตรกรรม รายได้เพิ่มขึ้น 16.5% ชะลอลงเล็กน้อยจากเดือน ก.ค. ส่วนหนึ่งเพราะฝนตกชุก ทำให้ผลผลิตยางพาราลดลง และดินฟ้าอากาศ ไม่เป็นใจ ทำให้ปาล์มน้ำมันผลผลิตลดลง เช่นกัน ขณะที่ผลผลิตมันสำปะหลังเร่งตัวตั้งแต่เดือนก่อนหน้าแล้ว สำหรับผลผลิตที่ยังดีอยู่คือ ผลไม้ ได้แก่ ทุเรียน มังคุด ลำไย อย่างไรก็ตามแม้ผลผลิตที่ลดลง ก็ทำให้ราคาเร่งขึ้น

สำหรับการส่งออก มีมูลค่า 13,818 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 18.4% เร่งตัว จากเดือน ก.ค. ที่เคยขยายตัวเพียง 6.6% เป็นผลจากการส่งออกข้าวที่มีปริมาณสูงมาก นอกจากนี้ยังส่งออกอัญมณีได้ดี และการส่งออกที่สูงขึ้นก็สอดคล้องกับภาคการผลิตที่ขยายตัวอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามแนวโน้มการส่งออกช่วงที่เหลือของปีคงไม่โดดเด่น เพราะเศรษฐกิจโลกผันผวน โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา คู่ค้าหลักชะลอตัว อย่างไรก็ตามทางด้านการนำเข้า ขยายตัวชัดเจน โดยมีมูลค่า 12,845 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.1% เร่งตัวจากเดือน ก.ค. ที่ขยายตัวเพียง 3.8% เป็นการขยายตัวทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดสินค้าทุน ขยายตัวดีสอดคล้องกับการลงทุนที่เริ่มดีขึ้น

ทั้งนี้จากยอดการส่งออกที่เร่งตัวมาก และยอดนำเข้าที่ขยายตัวชัดเจน ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 973 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัด เกินดุล 735 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นางอมรา กล่าวว่า การที่ภาครัฐเร่งการเบิกจ่าย ส่วน ธปท.ก็ผ่อนคลายนโยบายการเงิน อัตราลดดอกเบี้ย ทางด้านการเมืองก็คลี่คลายอย่างชัดเจนหลังร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ ส่งผลให้บรรยากาศดีขึ้น ช่วยให้หลายส่วนขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปด้วยกัน ทั้งการบริโภค การลงทุน การส่งออก ในส่วนของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น อยู่ที่ 75 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เป็นสิ่งที่เราได้ประมาณการไว้แล้ว โดยตั้งข้อสมมุติ ฐานราคาน้ำมันในตลาดโลก กรณีเลวร้ายที่สุดไว้ สูงกว่าระดับช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ 4-5% อยู่
http://news.sanook.com/economic/economic_188113.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news29/09/07

โพสต์ที่ 300

โพสต์

โยนรัฐบาลใหม่ชี้ชะตาขึ้นภาษีแวต  
 
โดย เดลินิวส์
วัน เสาร์ ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550 11:50 น.

นายสมหมาย ภาษี รมช.คลัง เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีเปิดงานมหกรรมบ้านมือ 2 ครั้งที่ 3 ว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีนโยบายที่จะปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เนื่องจากเหลือเวลาทำงานเพียงแค่ 4 เดือนเท่านั้น ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลชุดใหม่ที่ต้องพิจารณาต่อไป แต่ยอม รับว่าเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะปัจจุบันระบบโครงสร้างภาษีของไทยไม่สมดุล ขณะเดียวกันนโยบายของรัฐบาลยังเป็นนโยบายสวัสดิการ ที่ให้การศึกษา การรักษาพยาบาลฟรี และยังมีภาระดอกเบี้ยของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จึงทำให้รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย ดังนั้นรัฐบาลจึงหนีไม่พ้นที่ต้องปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่ที่ต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ และต้องกล้าตัด สินใจ เพราะเป็นภาษีเพียงประเภทเดียวที่จะปรับขึ้นได้ ส่วนภาษีรายได้อื่น เช่น ภาษีนิติบุคคล คงไม่สามารถทำได้เพราะปัจจุบันมีอัตราที่สูงและสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก

อย่างไรก็ตามยังมีภาษีประเภทอื่นที่รัฐบาลยังสามารถช่วยเหลือผู้ประกอบการได้ เช่นเรื่องของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่โดยส่วน ตัวแล้วเห็นว่ารัฐบาลควรจะให้การช่วยเหลือผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่องโดย การยืดเวลาการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนอง ซึ่งจะหมดเวลาในสิ้นปีนี้ออกไปอีก เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป

นอกจากนี้ยังเห็นว่ารัฐบาลควรให้การสนับสนุนอาชีพนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ให้มากขึ้น เพื่อช่วยให้การปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัยของประชาชนทำได้ง่าย ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการจราจรและความแออัดของชุมชนได้ เพราะเมื่อประชาชนมีที่อยู่อาศัยตรงกับความต้องการและอยู่ใกล้ที่ทำงาน ก็จะช่วยลดปัญหาการจราจร.
http://news.sanook.com/economic/economic_188121.php